กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-04-2011, 15:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔

ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี ? คำว่าดีใจก็คือ ญาติโยมมีจิตใจใฝ่บุญใฝ่กุศลกันมาก พอมีงานบุญที่ไหนเราก็ไป แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจดีหรือไม่ ? เพราะสร้างอาคารสถานที่ใหญ่เท่าไรก็ไม่พอใช้ สถานที่จะใหญ่เล็กขนาดไหน คนก็มากันเต็มเสมอ ถ้าเป็นสถานที่ของพรหมเทวดาท่านสร้าง ต่อให้เล็กแค่ไหนคนก็พอใช้ แต่อาตมาสร้างหลังใหญ่แค่ไหนก็ไม่พอใช้ กลายเป็นตรงกันข้ามไปได้

น่าจะพาญาติโยมไปทดสอบกันที่วัดจอมคีรีนาคพรต จังหวัดนครสวรรค์ วัดนั้นมีพระอุโบสถเทวดาสร้าง เมื่อก่อนมีคนรู้ข่าวไม่มาก เพราะว่าเป็นเรื่องที่ดังในพื้นที่เท่านั้น อาจจะเป็นเพราะติดขัดปัจจัยในการสร้าง หรือว่าอดีตเจ้าอาวาสท่านมีนิสัยเหมือนกับเจ้าอาวาสทั่ว ๆ ไป คือ สร้างอาคารแล้วก็ตั้งเสาทิ้งเอาไว้ เพื่อที่จะได้เรี่ยไรญาติโยมไปได้เรื่อย ๆ ก็ไม่ทราบได้

ตามที่คนประสบเหตุเล่าให้ฟังก็คือ อยู่ ๆ คืนนั้นก็มีไฟสว่างทั่วทั้งยอดเขา เหมือนกับมีงานอยู่ข้างบน พอรุ่งขึ้นโบสถ์ก็สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าเทวดาท่านทนรำคาญไม่ไหว จึงสร้างให้เองเสียเลย โบสถ์หลังนั้นขนาดไม่ใหญ่มาก น่าจะประมาณครึ่งหนึ่งของบ้านวิริยบารมีนี้เท่านั้น อาจจะไม่ถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำไป แต่ปรากฏว่าคนเข้าไปเท่าไรก็บรรจุได้หมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2011 เมื่อ 02:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 296 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-04-2011, 15:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จนกระทั่งท่านผู้การกรมทหารราบที่ ๔ ค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ อยากลองทดสอบดูว่าจริงหรือไม่ ? จึงพาทหารทั้งกรมไปทดสอบดู

ถ้าญาติโยมไม่เข้าใจว่าทหารกรมหนึ่งมีเท่าไร ? อาตมาก็จะอธิบายให้ฟังว่า
กรมหนึ่งจะประกอบด้วย ๓ กองพันทหารราบ ๑ กองร้อยยานยนต์ ๑ กองร้อยเสนารักษ์ ๑ กองร้อยบินเบา ๑ กองร้อยทหารม้า
๑ กองพัน ประกอบไปด้วย ๓ กองร้อยทหารราบ ๒ กองร้อยสนับสนุน
๑ กองร้อย ประกอบด้วย อัตรากำลัง ๑๔๒ นาย นี่อาตมาว่าตามอัตรากำลังที่บรรจุในสมัยที่ยังรับราชการทหารอยู่ที่กองพลทหารราบที่ ๙ ค่ายกาญจนบุรี (ปัจจุบันนี้เปลี่ยนชื่อเป็นค่ายสุรสีห์)

เพราะฉะนั้น..ต้องเอา ๑๔๒ (๑ กองร้อย) คูณ ๕ เป็นอย่างน้อย ก็จะได้ ๑ กองพัน แล้วคูณ ๓ จะเป็น ๑ กรม แล้วยังมีส่วนสนับสนุนอย่างพวกกองร้อยเสนารักษ์ กองร้อยยานยนต์ กองร้อยบินเบา กองร้อยทหารม้า เหล่านี้เป็นต้น ฉะนั้น..อัตรากำลังที่ท่านผู้การพาไป ถ้าเป็นไปตามอัตราที่อาตมาคุ้นเคย ก็ประมาณ ๒,๕๐๐ คน เราลองคิดดูว่า ๒,๕๐๐ คน ถ้าอยู่ในห้องนี้จะพอไหม ?

แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์ตรงที่ว่า พอทหารเข้าไปในโบสถ์ ช่วยกันขยับ ๆ ก็เข้าไปได้เรื่อย ๆ จนในที่สุด ๒,๕๐๐ คนก็เข้าไปอยู่ในพระอุโบสถได้ ไม่รู้เข้าไปได้อย่างไร ? ถ้าเป็นลักษณะนี้ก็ต้องเชื่อว่าเทวดาสร้างจริง

คำว่า "วิมาน" ของเทวดาหรือพรหมนั้น ท่านไม่จำกัด คนไปมากเท่าไรก็ขยายรองรับพอดี แต่ท่านไม่ได้ขยายพรวดพราดให้เรารู้ ก็เลยเดาไม่ถูกว่า โบสถ์หลังเท่าเดิมแล้วเราตัวเล็กลงหรือเปล่า ? แต่เขาก็ทดสอบกันมาแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริง เพียงแต่อาตมาแย่หน่อย แย่ตรงที่ว่าสร้างใหญ่เท่าไรก็ไม่พอใช้ แต่เทวดาสร้างมาเล็กเท่าไรก็พอใช้ กลายเป็นคนละอย่างกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2016 เมื่อ 15:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 281 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-04-2011, 16:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนนี้ญาติโยมกังวลเรื่องผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีจากญี่ปุ่น อาตมาได้รับโทรศัพท์อยู่บ่อย ๆ ว่า มีวัตถุมงคลอะไรที่กันกัมมันตภาพรังสีได้บ้าง ?

ถ้าญาติโยมถามว่าอาตมามั่นใจว่าวัตถุมงคลใดป้องกันได้ ? ก็ต้องบอกว่าเป็นพระสมเด็จหางหมากของหลวงพ่อวัดท่าซุง มั่นใจแน่นอน เพราะอาตมาเคยพกแล้วลุยเข้าไปในภูเขากัมมันตภาพรังสี ลักษณะของพื้นที่จะโล่ง ๆ แต่มีแรงงานมหาศาลดันออกมา เหมือนกับเราเดินสวนน้ำตกเข้าไป

ต้องอาศัยความบ้าพอจึงกล้าเดินเข้าไป เพราะว่ายิ่งเดินก็ยิ่งไม่มีอากาศหายใจ เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็หมดสภาพ หอบแฮ่ก ๆ เหนื่อยแทบขาดใจ แล้วก็เดินต่อ ปรากฏว่างานนั้นเข้าไปได้สองวัน กลับออกมาปัสสาวะเป็นเลือดไปหนึ่งอาทิตย์..! ขนาดพกวัตถุมงคลไปแล้ว เพราะดันบุกเข้าไปที่ต้นกำเนิดของรังสีเลย

ถ้าโยมทั้งหลายรู้จักยูเรเนียม จะรู้ว่ายูเรเนียมนั้นจะปนอยู่กับธาตุโลหะอื่น แต่บริเวณนั้นเป็นบริเวณยูเรเนียมบริสุทธิ์ จะเป็นก้อน ๆ ลักษณะเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง ที่มีสีเหมือนสนิมเหล็ก

สารกัมมันตภาพรังสีในปัจจุบันที่เรารู้จัก คือ ยูเรเนียมกับพลูโตเนียม ถ้าเป็นยูเรเนียมอาตมามั่นใจว่าพระสมเด็จหางหมากสามารถป้องกันได้ เพราะอาตมาผ่านมาแล้ว และสามารถอยู่รอดมานั่งคุยอยู่กับญาติโยมตรงนี้ได้

ถามว่าทำไมต้องไปยังเขตภูเขาที่มีสารกัมมันตภาพรังสี ? อันดับแรก ไปเพื่อพิสูจน์คำสอนของครูบาอาจารย์ ว่าสิ่งที่ท่านรู้เห็นมา เป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ? ไม่ใช่สงสัยในครูบาอาจารย์ แต่อยากรู้ว่าประเทศไทยเรามีของที่มีคุณค่าขนาดนั้นเชียวหรือ ?

ช่วงนั้นอเมริการับซื้อยูเรเนียมปอนด์ละ ๑๐ ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาเมื่อ ๒๓ ปีที่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2011 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 274 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 01-04-2011, 17:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาดูแล้วก้อนหนึ่งน้ำหนักเกิน ๒ กิโลกรัมแน่นอน ก็ประมาณ ๔-๕ ปอนด์ แปลว่าก้อนหนึ่งราคาหลายสิบล้านดอลลาร์

อาตมาเคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ถ้าผมแกล้งโง่ หยิบมาสักก้อนจะเกิดอะไรขึ้นครับ ?" หลวงพ่อบอกว่า "แกเอาออกมา แกรอด แต่คนอื่นตาย..!" กราบเรียนถามว่า "ทำไมหรือครับ ?" ท่านบอกว่า จะต้องมีเครื่องมือในการบังคับให้รังสีหดกลับเข้าไปในก้อนแร่ และบรรจุในภาชนะตะกั่วหนา ๆ ที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันการรั่วไหลจากรังสี จึงจะเอาออกมาได้ ก็ไม่ได้แปลว่า อาตมาจะหยิบเอาออกมาเฉย ๆ ได้

ดังนั้น..ใครที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง คาดว่าในเรื่องพระสมเด็จหางหมากยุคนั้นน่าจะพอมีกันอยู่ อาตมาเองก็พอมี แต่กำลังคิดว่าจะโก่งราคา ตอนนี้ได้ยินว่ารังสีถึงเวียดนามแล้ว ถ้ามาถึงลาวเมื่อไร ถึงจะค่อยขึ้นราคา

ในเรื่องของสารกัมมันตภาพรังสี ถ้าไม่ใช่ในปริมาณมากจริง ๆ จะไม่ตาย แต่จะโดนทำลายระบบร่างกายหลายอย่างจนกระทั่งเกิดโรค และเป็นโรคที่ทุกข์ทรมานมาก โดยเฉพาะโรคมะเร็ง

ถ้าเราใช้สารกัมมันตภาพรังสีในด้านที่ถูกจะเป็นสารฆ่ามะเร็ง ขณะเดียวกันถ้าใช้ผิดก็เป็นสารก่อมะเร็งด้วย พูดง่าย ๆ ว่า โดนโครมเดียวให้ตายไปเลยก็หมดเรื่อง ถ้าทรมานอยู่ก็จะเหมือนเด็กรุ่นหลัง ๆ ของรัสเซีย ที่โดนโรงงานนิวเคลียร์รั่วไหลออกมา เด็กรุ่นหลังนั้นเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และต้องทนทุกข์ทรมานกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2012 เมื่อ 16:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 279 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 02-04-2011, 11:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องเหล่านี้ทำให้พวกเราได้เห็นชัดว่า จะเกิดมามีชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การจะได้เกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก เพราะว่าส่วนใหญ่สร้างกรรมเอาไว้มาก ถึงเวลาก็ต้องใช้กรรม ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้ก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2011 เมื่อ 11:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 253 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 02-04-2011, 11:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าญาติโยมปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่ง ความเครียดต่าง ๆ จะหมดไปเพราะกำลังใจของเราเริ่มปล่อยวางได้ พอไม่มีความเครียดร่างกายจะทรุดโทรมช้า ตอนนี้เพื่อนอาตมาที่อายุระดับ ๕๐ กว่าด้วยกัน เวลาอาตมาไปนั่งด้วย เขานึกว่าเป็นลูกชาย เพื่อนจะดูแก่กว่าเยอะมาก บางทีรุ่นน้องมานั่งด้วย เขาก็กลายเป็นแก่กว่าไปด้วยเหมือนกัน

ถามว่าการปฏิบัติธรรมทำให้แก่ช้าลงหรือเปล่า ? ก็ขอตอบว่าไม่ได้แก่ช้า ยังคงแก่เหมือนเดิม แต่ว่าสภาพร่างกายจะทรุดโทรมช้านิดหนึ่ง เพราะว่าร่างกายของเรานั้นมีไฟธาตุอยู่ตัวหนึ่ง ที่เป็นตัวเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลงได้เร็วมาก โดยเฉพาะไฟธาตุที่เกิดจากแรงโกรธ

โทสัคคิ ไฟที่เกิดจากโทสะ จะเผาร่างกายให้ทรุดโทรมเร็วมาก ฉะนั้น..ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่ง จะเริ่มเป็นคนใจเย็น โกรธช้า ร่างกายก็จะทรุดโทรมช้าไปด้วย แต่ถ้าเรายังโกรธง่ายก็จะทรุดโทรมเร็ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2011 เมื่อ 12:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 264 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 02-04-2011, 14:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีใครสามารถบอกได้บ้างว่า ตอนนี้บ้านเราเป็นฤดูอะไร ? โดยเฉพาะที่ทองผาภูมิ ตอนกลางคืนจะหนาว กลางวันร้อนตับแตก พอตอนใกล้ค่ำฝนตก อาตมาก็บอกไม่ถูกว่าเป็นฤดูอะไร

สาเหตุเกิดจากสมดุลธรรมชาติเสียหาย อย่างบ้านเราก่อนหน้านี้มีป่าไม้อยู่ ๒๓ เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันนี้เขาก็ยังบอกว่ามีอยู่ ๒๓ เปอร์เซ็นต์ อาตมาขอยืนยันว่าไม่ใช่หรอก บ้านเราเหลือป่าไม้ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็ดีใจแล้ว เพียงแต่ว่าการทำแผนที่สำรวจด้วยดาวเทียม เวลาเขาถ่ายภาพลงมา เจออะไรสีเขียวเขาก็เหมาว่าเป็นป่าหมด ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ใช่ป่า แต่เป็นไร่ยางพารา หรือไม่ก็ไร่ปาล์มน้ำมัน

เมื่อพื้นที่ป่าเราเหลือน้อย สมดุลธรรมชาติก็เสียหายไปด้วย ตอนนี้ภาคอีสานแล้ง ภาคเหนือแผ่นดินไหว ภาคกลางหนาว ภาคใต้น้ำท่วม มีครบทุกรสชาติเลย ขาดอย่างเดียวว่าเมื่อไรภูเขาไฟจะระเบิดเท่านั้น..!

ตอนนี้บรรดาลูกศิษย์เขาบอกว่า สถานที่ที่น่าจะปลอดภัยมากที่สุด น่าจะเป็นวัดตะเคียนงาม ของหลวงพ่อสมคิด อาตมาถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าที่นั่นบรรจุพระสมเด็จศรีอินทราทิตย์ไป ๘ หมื่น ๔ พันองค์..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2011 เมื่อ 15:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 259 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 02-04-2011, 16:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอดีช่วงนั้นทางทองผาภูมิเขากังวลว่าเขื่อนจะแตก อาตมาจึงกราบขอบารมีพระท่านให้ช่วยสงเคราะห์ ขอให้ช่วยป้องกันเรื่องภัยธรรมชาติให้ด้วย

พระท่านตรัสว่า ในเรื่องของภัยธรรมชาติต่าง ๆ นั้น บุคคลที่ต้องมีผลกระทบ ส่วนใหญ่เคยสร้างกรรมหนักเอาไว้ โดยเฉพาะพวกเราเคยเป็นทหารป้องกันประเทศชาติมา ไปตีบ้านทำลายเมืองของเขาไว้มาก เมื่อกรรมนี้ตามมาทัน เกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็จะทำให้บ้านเรือนเสียหาย ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทำให้เสียชีวิต เราจะไม่ยอมรับเลยก็เป็นการฝืนกฎของกรรม

แต่พระองค์ท่านให้พรไว้ว่า ถ้าใครอาราธนาพระสมเด็จศรีอินทราทิตย์ติดตัวไว้ ไม่ว่าจะเกิดภัยธรรมชาติหนักขนาดไหนก็ตาม เต็มที่ก็ให้แค่ทรัพย์สินเสียหาย แต่ชีวิตจะปลอดภัย

พอสร้างรุ่นนั้นเสร็จก็ถวายหลวงพ่อสมคิดท่านไป ๙๐,๐๐๐ กว่าองค์ ให้ท่านบรรจุใต้ฐานพระ ๘๔,๐๐๐ องค์ ตามที่ท่านต้องการ ส่วนที่เหลือเอาไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมในงานปิดทองฝังลูกนิมิตของวัดท่าน จึงเหลืออยู่ที่วัดท่าขนุนเพียงไม่กี่องค์

พระสมเด็จศรีอินทราทิตย์เป็นพระที่ราคาค่อนข้างจะถูก ถ้าเป็นเนื้อดินตั้งราคาไว้ ๑๐๐ บาท ถ้าเป็นเนื้อว่านก็ราคา ๒๐๐ บาท มีโยมอยู่ท่านหนึ่งศรัทธาสูงมากตั้งแต่แรก จะเหมาไปเป็นร้อยองค์แทบทุกเดือน

บางคนก็ถามว่าปี ๒๐๑๒ ตามคริสตศักราชของฝรั่ง จะเกิดโลกาวินาศ โลกจะแตกหรือไม่ ? อาตมาบอกว่า ถ้าคิดอย่างนั้นประมาทเกินไป ความตายมาถึงเราได้ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเรามัวแต่ไปรอ ค.ศ. ๒๐๑๒ เราอาจจะตายเสียก่อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 30-01-2012 เมื่อ 16:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 260 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 02-04-2011, 16:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของบุคคล ถ้าไม่สร้างกรรมใหญ่เอาไว้ อย่างไรก็ไม่ต้องรับกรรมนั้น หรือถ้าเราได้สร้างกรรมเอาไว้ แต่ถ้ากำลังใจมั่นคง มีการยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัยอย่างเที่ยงแท้ ก็สามารถที่จะหนีกรรมได้ชั่วคราว ไม่ได้พ้นจากกรรมไปเลย แต่กำลังความดีสูงกว่า ทำให้หนีกรรมนั้นได้ชั่วคราว

หลังจากนั้น ถ้ากำลังความดีตกหล่นก็จะต้องรับกรรมนั้นใหม่ เพราะกรรมนั้นคอยไล่ตามอยู่ ถ้าใครอ่าน "ชีวิตนี้น้อยนัก" ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ท่านบอกว่า กฎแห่งกรรมไล่ตะครุบเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเราสร้างกรรมดีก็จะหนีได้ทัน ถ้าสร้างกรรมดีไว้น้อย โดนกฎของกรรมไล่ตะครุบตัวได้ ก็จะเกิดความลำบากเดือดร้อนในชีวิตของตน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2011 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 259 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 03-04-2011, 14:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในเรื่องของการทำบุญทำกุศลจึงต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเราทำ ๆ ทิ้ง ๆ เปิดโอกาสให้กรรมหนักแทรกเข้ามาได้ ช่วงนั้นถ้ากรรมสนองเข้า บางคนก็อาจจะเข้าใจผิดเกิดมิจฉาทิฐิ คิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ซึ่งความจริงทำดีต้องได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่วเป็นปกติ เพียงแต่กำลังความดียังสูงอยู่

ในเมื่อทำความชั่วแล้วกำลังความดียังสามารถคานเอาไว้ได้ ก็รับผลดีไปก่อน เราก็จะคิดว่าทำชั่วแล้วได้ดี แต่ถ้าหากกำลังของความชั่วสูงกว่า ทำดีเท่าไรก็ยังไม่สามารถคานกับกำลังของความชั่วได้ เราก็จะไปคิดว่าทำดีแล้วได้ชั่ว ซึ่งจะกลายเป็นมิจฉาทิฐิไป

ความจริงแล้วทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วแน่นอน เพียงแต่วาระการส่งผลนั้น มีการยักเยื้องไปตามกรรมที่หนักเบา ไปตามการให้ผล ซึ่งเป็นระยะเวลา อย่างการให้ผลในชาตินี้ ให้ผลชาติหน้า ให้ผลชาติที่สอง ชาติที่สาม ชาติที่สี่ เป็นต้น

ท่านเปรียบไว้ว่า การที่กรรมหนักบางประเภทให้ผล ก็เหมือนกับการปลูกถั่วงอก แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้กินแล้ว แต่ขณะเดียวกันถ้าเราปลูกไม้ผล ยืนต้น อย่างน้อย ๆ ก็ ๓-๕ ปี กว่าจะได้ผล แต่ถ้าเป็นถั่วงอกเพาะเสร็จแล้วกินหมด ไม่มีเหลือ แต่กรรมบางอย่างเหมือนกับไม้ผล ผลิดอกออกผลไปเรื่อย ๆ ตามวาระของเขา

ในเรื่องของกรรมนั้นองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่าอย่าประมาทว่ากรรมเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ ขณะเดียวกันก็อย่าประมาทว่าความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ เพราะว่ากรรมนั้นไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าถึงวาระที่เหมาะสม ก็สามารถที่จะส่งผลให้ได้ทันที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2011 เมื่อ 16:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 249 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 05-04-2011, 08:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราสำนึกได้แล้ว ก็ให้เร่งสร้างกรรมดีให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีบางคนที่ขี้สงสัยบอกว่า คำสอนของบางที่เขาบอกว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี แล้วเราทำความดีจะมีประโยชน์อะไร ?

อาตมาขอบอกว่า ในเรื่องนรกสวรรค์นั้น ถ้าเราไม่ได้ฝึกทิพจักขุญาณมาก่อน เราก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ และถ้าหากปราศจากความศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่า ตถาคตโพธิศรัทธาแล้ว เราก็จะไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้

แต่ให้นึกง่าย ๆ ว่า ถ้าหากว่านรกสวรรค์ไม่มีแล้วเราทำความชั่ว ก็แปลว่าเราเสมอตัว แต่ถ้านรกสวรรค์มีแล้วเราทำความชั่ว ก็แปลว่าเราขาดทุน ขณะเดียวกันถ้านรกสวรรค์ไม่มีแล้วเราทำความดี เราก็เสมอตัว แต่ถ้านรกสวรรค์มีแล้วเราทำความดี เราก็ได้กำไร เพราะฉะนั้น...กิจการที่ทำแล้วเสมอตัวกับขาดทุน กับที่ทำแล้วเสมอตัวกับกำไร ในความรู้สึกทั่ว ๆ ไปของคน ควรจะทำอย่างไร ? เมื่อมาคิดตรองเพียงแค่นี้ ญาติโยมก็น่าจะได้คำตอบสำหรับตัวเองแล้ว

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของคนมีปัญญา แต่ขณะเดียวกันต้องเป็นปัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิด้วย ก็คือ มีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะสามารถคิดและตรองด้วยเหตุผล สามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ? ควรหรือไม่ควร ? ขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่มีปัญญาเป็นสัมมาทิฐิ ปัญญาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะชักจูงให้เราคิดในด้านที่ผิด ๆ จะประกอบไปด้วยความสงสัยอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 10:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 05-04-2011, 10:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างที่พูดเมื่อเช้าก่อนบวงสรวงว่า ถ้าปัญญาเกินสติ ก็จะคิดฟุ้งซ่านล่วงหน้าไปหลายต่อหลายอย่างด้วยกัน ขณะเดียวกันก็จะทำให้ลังเลสงสัยว่า ทำความดีแล้วจะได้ผลหรือเปล่า ? แต่ถ้าสติเกินปัญญา ก็จะจด ๆ จ้อง ๆ มัวแต่หวาดระแวงอยู่ เอ..ทำความดีอย่างนี้แล้วมีผลอย่างนั้น ทำความชั่วแล้วมีผลอย่างนั้น เราควรจะเลือกทำกับใคร ? เลือกทำที่ไหน ?

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราไม่ได้ศึกษามาก็จะไม่รู้ และจะเลือกสถานที่ในการทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นการถูกต้อง แต่ว่าผิดในหลักการปฏิบัติ เพราะถ้าเรามัวแต่เลือกสถานที่ เลือกตัวบุคคลอยู่ เราอาจจะไม่ทันได้เจอสถานที่หรือบุคคลที่ต้องการ เราอาจจะเสียชีวิตไปก่อน ไม่มีโอกาสได้ทำความดีก็ได้

ดังนั้น..ในเรื่องของการสร้างบุญกุศล ท่านจึงได้บอกว่า ให้ถวายเป็นสังฆทานไว้ เพราะสังฆะคือหมู่สงฆ์ ผู้รับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น การที่ผู้รับเป็นเพียงตัวแทน อานิสงส์ที่เราได้รับนั้นเต็มอยู่แล้ว ไม่ว่าผู้รับจะแย่ขนาดไหนก็ตาม

ในธรรมบทได้กล่าวไว้ว่า มหาเศรษฐีนิมนต์พระจากวัดใกล้บ้านไปทำบุญ ท่านถวายสังฆทานด้วยความนอบน้อมเคารพสุดจิตสุดใจ พอยกสังฆทานไปส่งที่วัด พระท่านบอกให้เศรษฐีช่วยส่งขันตักน้ำให้หน่อย ท่านจะล้างเท้า ปรากฏว่าเศรษฐีใช้เท้าเขี่ยให้ พระท่านก็สงสัยว่าทำไมแสดงอาการแบบนี้

เศรษฐีก็เลยบอกว่า ถ้าโดยความประพฤติส่วนตัวแล้วผมไม่เคารพท่าน แต่ที่ให้ความเคารพมากตอนถวายสังฆทาน เพราะว่าท่านเป็นตัวแทนสงฆ์ ซึ่งเป็นตัวแทนสงฆ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านจึงต้องเคารพ แสดงว่าเศรษฐีท่านแยกแยะถูกว่าอะไรเป็นอะไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 10:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 05-04-2011, 10:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การถวายสังฆทาน เราถวายแก่สงฆ์หรือว่าตัวแทนสงฆ์ที่ไหนก็ได้ ล้วนเป็นสังฆทานทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าถ้าเมตตาก็ให้บอกท่านด้วยว่าเป็นสังฆทาน เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านเอาไปใช้เองคนเดียว เดี๋ยวจะเกิดโทษแก่ท่าน

ถ้าเป็นตามแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจะบอกว่า ให้คิดเสมอว่าของทุกอย่างที่รับมาคือสังฆทาน ญาติโยมจะเห็นว่า มีโยมมาถวายปัจจัยส่วนตัวหลายต่อหลายราย อาตมาก็บอกให้ใส่ลงรวมกัน ก็คือ ต่อให้เป็นส่วนตัวอย่างไรก็ตาม เขาก็ถวายมาในฐานะที่เราเป็นพระ ถือว่าเราได้มาด้วยความเป็นสงฆ์ จะไปถือเป็นส่วนตัวก็ยาก ฉะนั้น..ในเรื่องของเงินส่วนตัวจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ใช้ยาก เพราะถ้าใช้ในด้านที่ไม่สมควร เราก็จะเดือดร้อนลำบากเอง

ถ้าญาติโยมทั้งหลายทำบุญใส่บาตร อย่าไปตั้งใจว่าหลวงตารูปนั้น หลวงพ่อรูปนั้น หรือสามเณรรูปนั้นมาแล้วเราจะใส่ ถ้าไปตั้งใจแบบนั้น เราต้องใส่จนครบ ๔ รูป จึงจะเป็นสังฆทาน แต่ถ้าเราตั้งใจว่า ไม่ว่าจะเป็นพระหรือสามเณรรูปใดมา เราก็จะใส่บาตร ถ้าอย่างนั้นต่อให้ใส่รูปเดียวก็จะเป็นสังฆทาน เพราะเราไม่ได้เจาะจงไว้

การเจาะจงเป็นปาฏิบุคลิกทาน ซึ่งอานิสงส์จะน้อยกว่าสังฆทานหลายเท่า ถ้าถวายเป็นสังฆทานจะมีอานิสงส์มากกว่าชนิดคูณด้วยแสน เพราะสังฆทานเท่ากับเป็นทานต่ออายุพระพุทธศาสนา พระท่านรับไปแล้วเอาไปกินไปใช้คนเดียวไม่ได้ เพราะจะเกิดโทษแก่ตัวเองมาก ก็ต้องไปแบ่งปันกัน ทำให้พระหนุ่มเณรน้อยอื่น ๆ ที่ไม่มีคนศรัทธา สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้

เมื่อสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้ ก็ศึกษาเล่าเรียนธรรมะ แล้วนำไปเผยแผ่แก่ญาติโยมทั้งหลาย ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองต่อไป จึงกลายเป็นทานต่ออายุพระพุทธศาสนา สังฆทานจึงได้มีอานิสงส์มากกว่าทานทั่วไป ด้วยประการฉะนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 10:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 05-04-2011, 15:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้ามีโอกาสเลือกเนื้อนาบุญเราก็จะเลือก ขนาดเลือกเนื้อนาบุญได้ เราก็ยังถวายเป็นสังฆทานอยู่ ดังนั้น..ในส่วนของสังฆทานนั้นเป็นอานิสงส์พิเศษ เลิศกว่าทานทั่ว ๆ ไป อานิสงส์ที่ใหญ่กว่าสังฆทานมีแต่วิหารทานและธรรมทานเท่านั้น

การสร้างบ้านวิริยบารมีหลังนี้เป็นวิหารทาน เป็นการสร้างอาคารที่พักที่อาศัย ขณะเดียวกันก็เป็นอานิสงส์วิหารทานพิเศษ เพราะเราใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม สถานที่ซึ่งเป็นวิหารทานและมีการใช้สอยเป็นปกติ อย่างเช่น โบสถ์ ศาลาการเปรียญ หรือสถานปฏิบัติธรรม เป็นต้น ทุกครั้งที่บุคคลเข้าไปใช้ ท่านเจ้าของจะได้อานิสงส์เพิ่มขึ้นทุกครั้งไป วิหารทานจึงเป็นทานที่อานิสงส์ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาของอามิสทาน คือ ทานที่เป็นสิ่งของทั่ว ๆ ไป

ยกเว้นเสียจากธรรมทานแล้ว ไม่มีอานิสงส์อะไรใหญ่กว่าวิหารทานอีก เราจึงเห็นว่าคนโบราณนิยมสร้างโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ เพราะเมื่อบุคคลเข้าไปใช้สอย โดยเฉพาะพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยิ่งใช้สอยมากเท่าไร อานิสงส์ก็พอกพูนมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ผล ถึงเวลาก็ผลิดอกออกผลไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ จนกว่าวิหารหลังนั้นจะหมดสภาพไปเอง

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าภาพร่วมกันในการสร้างบ้านวิริยบารมีแห่งนี้ ขอให้ทราบว่าเราได้อานิสงส์วิหารทานพิเศษ ก็คือ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมโดยตรง คนมาใช้สอยมากครั้งเท่าไร อานิสงส์ของเราก็เพิ่มพูนทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ท่านที่เป็นเจ้าภาพร่วมกันสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะท่านเจ้าภาพใหญ่ คือ ครอบครัววิริยประไพกิจ (คุณวิทย์ - คุณกฤษณา วิริยประไพกิจ) ตลอดจนกระทั่งพี่น้องบุตรหลานทั้งปวงที่ช่วยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 15:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 05-04-2011, 15:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะเถ้าแก่ใหญ่ของเรา บริจาคเหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่มหึมามาให้ ทุกท่านจะเห็นว่าบ้านหลังนี้แข็งแรงเป็นพิเศษ แผ่นดินไหวสัก ๙ ริกเตอร์น่าจะรับไหว จะลองทดสอบกันดูสักทีดีไหม ?

โดยเฉพาะท่านวิศวกรโครงสร้าง เขาทำงานคุ้มกับเงินจริง ๆ เพราะเขาค่อย ๆ เล็งเสาทีละต้น ๆ กว่าจะตอกเข็มได้ กว่าจะลงวัสดุได้ ทุกขั้นตอนล้วนพิถีพิถันละเอียดลออมาก ซึ่งถ้าเป็นปกติทั่วไป ก็ไม่น่าจะเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด แต่ก็พยายามผลักดันกันจนเสร็จได้ โดยเฉพาะคุณเสถียร ติยานนท์ เป็นคนที่เครียดที่สุด เพราะอยู่ในฐานะผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบโดยตรง

บ้านหลังนี้จึงสำเร็จขึ้นมาด้วยความเมตตาของคุณวิทย์ - คุณกฤษณา วิริยประไพกิจ ตลอดจนกระทั่งครอบครัวบุตรหลาน และบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่ร่วมกันถวายปัจจัยสร้างมา ทำให้เกิดสถานที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นอานิสงส์ของวิหารทาน และเป็นธรรมทานอีกส่วนหนึ่งด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 05-04-2011, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของการทำบุญนั้น ถ้าเจตนาโดยตรง คือ เราทำบุญเพื่อเป็นการสละออกจริง ๆ ก็เท่ากับว่าเรามีเจตนาบริสุทธิ์

วัตถุทานบริสุทธิ์ คือ สิ่งที่เรานำมาทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร ปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ ได้มาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ได้ลักขโมยหลอกลวง หยิบฉวยช่วงชิงใครเขามา

ประการต่อมา ผู้ให้ ภาษาพระเรียกว่า ทายก เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยศีล ก่อนที่เราจะทำบุญทุกครั้งจึงมีการขอศีลพระ เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า เรามีศีลบริสุทธิ์จริง ๆ

ปฏิคาหก คือ ผู้รับ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากบริสุทธิ์โดยทั้งสี่ส่วนนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานิสงส์จะเต็มร้อยส่วน แต่ถ้าเราไม่มั่นใจในส่วนของปฏิคาหกคือผู้รับ ก็ให้ถวายเป็นสังฆทานไปเลย

สังฆทานนั้น ท่านแยกเอาไว้หลายประเภทด้วยกัน

ประเภทที่หนึ่ง ก็คือ ถวายต่อหมู่สงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

ประเภทที่สอง ถวายต่อหมู่ภิกษุสงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

ประเภทที่สาม ถวายต่อหมู่ภิกษุณีสงฆ์ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

ประเภทที่สี่ ถวายต่อหมู่ภิกษุและภิกษุณีสงฆ์ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แสดงว่านิมนต์รวมกัน

ประเภทที่ห้า ถวายต่อหมู่ภิกษุสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา ถ้าหากเป็นแบบนี้แสดงว่าต้องเกิน ๔ รูปขึ้นไป

ประเภทที่หก ถวายต่อหมู่ภิกษุณีสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา

ประเภทที่เจ็ด ก็คือ ถวายต่อหมู่ภิกษุและภิกษุณีสงฆ์ที่จำเพาะเจาะจงนิมนต์มา

ประเภทที่แปด ก็คือ ถวายต่อหมู่สงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป

สมัยนี้ถ้าภิกษุณีสงฆ์ในเถรวาท ท่านบอกว่าไม่มีแล้ว แต่ทางสายมหายานยังมีอยู่ กลายเป็นว่า ถ้าเราตั้งใจจะทำบุญกับภิกษุณีสงฆ์ในปัจจุบันก็ลำบากนิดหนึ่ง เพราะต้องหาภิกษุณีจากทางฝ่ายมหายาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 17:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 05-04-2011, 17:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของมหายานจะมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างเกี่ยวกับพระธรรมวินัย เพื่อความเหมาะสมตามสภาพของสังคมและสถานที่ แต่ในส่วนของบ้านเราที่เป็นเถรวาทนั้น ถือว่าจะต้องรักษาพระธรรมวินัยซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนาเอาไว้

อาตมาเองไปพม่า พระทางด้านนั้นไม่ถือสาในเรื่องญาติโยมผู้หญิง อย่างในเรื่องการประเคนของ ถ้าเราไม่รับด้วยมือ เขาจะถือว่าเขาไม่ได้บุญ เราจะเห็นว่าพระพม่าเดินทางไปไหนมาไหนกับผู้หญิงสองต่อสอง ถ้าเราดูภาพก็เหมือนกับเดินควงกันไป แต่ว่าสังคมของพม่าเขายอมรับ

โดยเฉพาะสังคมพม่าให้ความสำคัญต่อพระสูงมาก เพราะพม่าสามารถได้เอกราชคืนมาจากอังกฤษด้วยการที่พระนำชาวบ้านประท้วงรัฐบาล หลวงพ่ออูวิสาระ ท่านอดข้าวประท้วงพม่าถึง ๒๖๖ วัน จนเสียชีวิต เป็นการอดประท้วงที่อดจริง ๆ ไม่ใช่อดแล้วแอบไปกินทีหลัง

แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ในเรื่องการทรงสมาธิของท่านต้องมั่นคงจริง ถ้าไม่มั่นคงก็ไม่สามารถจะอดอาหารได้นานขนาดนั้น ปัจจุบันนี้มีการสร้างเจดีย์ใหญ่ คือ พระมหาเจดีย์มหาวิสะยะ อยู่คนละฝั่งถนนกับพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เพื่อเป็นการบูชาคุณของท่าน ที่เป็นผู้นำในการจุดประกายให้ประชาชนช่วยกันประท้วงทหารพม่า จนได้เอกราชคืนมา


พระมหาเจดีย์มหาวิสะยะ (วิสาระ) เมืองย่างกุ้ง
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg 023.jpg (12.3 KB, 1919 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 05-04-2011, 17:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในส่วนของประเทศพม่าแล้ว จะให้ความสำคัญกับพระเป็นพิเศษ พระจะมีอำนาจชนิดสั่งการชาวบ้านได้ทุกอย่าง เพราะเขาถือว่าประเทศเขาได้มาก็เพราะพระ จึงให้สิทธิแก่พระมากกว่าปกติ

แต่ที่ประหลาดอยู่อย่างหนึ่งที่บ้านเราไม่มีก็คือเรื่องบวช อย่างบ้านเราบวชเข้ามาตามประเพณีบ้าง บวชเข้ามาเพื่อศึกษาบ้าง แต่ปัจจุบันพระพม่าส่วนใหญ่ที่บวชก็เพื่อต้องการจะหนีทหาร ถ้าไม่บวชก็ต้องเป็นทหารซึ่งลำบากมาก เขาจึงบวชกันมากเป็นพิเศษ ถึงเวลาก็สึกไป

ตรงที่สึกนี่แหละ ทำให้อาตมาเห็นว่าคนพม่าเข้าถึงธรรมได้มากกว่าเรา เพราะอย่างบ้านเราถ้าบวชตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป มักจะเป็นคนแปลกแยกในสังคม แต่ถ้าพระพม่าสึกไป เขาก็คลุกคลีตีโมงกันอย่างชนิดที่ว่ากลืนกันสนิทได้ และถ้าพระรูปนั้นกลับมาบวชใหม่ เขาก็กราบไหว้บูชากันตามปกติ

แสดงว่าคนพม่าเข้าถึงธรรมมากกว่า เพราะเขาแยกออกว่า วาระนี้คุณเป็นฆราวาส วาระนี้คุณเป็นพระ เขาเล่นได้ตามบทบาท แต่พระบ้านเรา อย่างอาตมาบวชมา ๒๐-๓๐ กว่าพรรษา ถ้าไปสึกจะกลายเป็นแปลกแยกในสังคม ชาวบ้านจะมองแปลก ๆ ไม่ยอมรับในฐานะฆราวาสของผู้ที่บวชมานาน ๆ แต่ของพม่าเขากลืนไปกับสังคมเลย พอวิ่งกลับมาบวชใหม่ในวันนั้น เขาก็ให้ความเคารพนับถือเหมือนเดิม

ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากในบ้านของเรา และชาวพม่านั้น เขาเข้าวัดกันเป็นปกติ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ละวันในวัดจะแน่นไปหมด เหมือนกับที่บ้านเราไปเดินห้างกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 17:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 05-04-2011, 17:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเองไปเห็นแล้วชื่นชมว่า บ้านเขามีความพร้อมเพรียงกันในเรื่องของบุญของกุศล โดยเฉพาะการสร้างบุญใส่ตัว เช้าขึ้นมาก่อนจะไปทำงาน เขาเข้าวัดก่อน สวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติสมาธิภาวนา จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวเยือกเย็นดีแล้วก็ไปทำงาน กลับจากที่ทำงานมาก็เข้าวัด สวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วค่อยกลับบ้าน

เขาไม่ได้ทำกันแค่คนสองคน แต่ว่าคนทั้งบ้านทำเหมือนกันหมด ฉะนั้น..ถ้าเราไปปฏิบัติสวดมนต์ภาวนาที่นั่น ก็จะไม่แปลกแยกจากสังคมของเขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2011 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 05-04-2011, 18:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,189 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ถือว่าการฉลองบ้านวิริยบารมีของเรา สิ้นสุดลงตั้งแต่ถวายภัตตาหารเพลพระเสร็จ งานนี้ที่สิ้นสุดลงก็ด้วยความร่วมมือของญาติโยมหลายต่อหลายฝ่ายด้วยกัน แต่มีอยู่คณะหนึ่ง ถ้าให้อาตมาประเมิน ถือว่าตกเรียบ..! แค่เรื่องนัดไม่เป็นนัด ก็ถือว่าใช้ไม่ได้แล้ว ใครก็ตามที่นัดแล้วไม่ตรงเวลา อย่าหวังว่าชีวิตนี้จะประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่เห็นความสำคัญเรื่องเวลา เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญทั้งนั้นแหละ..!

ประการที่สอง คือเรื่องการทำงาน ตรงเป็นสากกะเบือเลย..! ไม่มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาวะของงาน พูดง่าย ๆ ว่าถือคำสั่งเป็นใหญ่ แต่ไม่ใช้หัวแม่เท้าตรองดูบ้าง ว่าควรจะปรับเปลี่ยนอย่างไรให้เหมาะ ขนาดอาตมาบอกให้ทำอีกอย่างหนึ่ง เพื่อความสะดวกคล่องตัวก็ยังเถียงอีก

โดยเฉพาะในเรื่องของการเจริญพุทธมนต์ ต้องนับว่าอาตมาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิชำนาญการพิเศษ ขณะเดียวกันพวกเราเป็นได้แค่เด็กหัดใหม่ นอกจากไม่รู้จริงแล้วยังเสือกเถียงผู้ชำนาญการอีก..! โดยยึดถือคำสั่งเป็นใหญ่ว่าจะต้องยกไทยธรรมไปพร้อมกัน ถ้าลักษณะอย่างนั้น อาตมาเอาลิงสองขามา สั่งให้ทำก็ได้ผลงานออกมาเหมือนกัน..!

เราต้องดูด้วยว่าลักษณะของงานเป็นอย่างไร จะเห็นว่าสถานที่ไม่อำนวยให้ ในเมื่อไม่อำนวยให้ เราจะปรับอย่างไรให้ง่ายที่สุดและเร็วที่สุด ถ้าเป็นคณะญาติโยมที่อาตมาใช้งานเป็นปกติ งานนั้นแค่ ๒ นาทีก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่พวกเราสามารถใช้เวลาได้เกือบ ๑๐ นาที และแถมออกมาทุเรศดูไม่ได้เลย..!

ดังนั้น..ลองคิดดูว่า นี่เป็นแค่งานบุญงานกุศลเท่านั้น ผลงานของเรายังออกมาห่วยแตกขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นงานในหน้าที่รับผิดชอบ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-04-2011 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว