|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔
ถาม : เดือนที่แล้วพาน้องชายไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม พอกลับมาไม่กี่วันเพื่อนเขาตาย เขาเดินมาบอกหนูว่า ผมคิดได้แล้วครับว่าไม่อยากเกิดอีก หนูควรจะสอนเขาต่ออย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็ดีแล้ว ในเมื่อไม่อยากเกิดก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากขึ้น ถึงเวลากำลังของศีล สมาธิ ปัญญา จะได้ส่งเราให้พ้นจากโลกนี้ ไม่ต้องมาเกิดอีก ถาม : หนูกลัวว่าเขาโตไป เขาอาจจะไม่ถูกทาง ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป สิ่งที่ได้เริ่มทำเอาไว้ จะเป็นเหตุปัจจัยส่งผลให้เราก้าวเข้าไปสู่ความดีในภายภาคหน้าได้ทั้งนั้น แม้ว่าตอนกลางอาจจะคดบ้าง ท้ายสุดปลายก็จะตรงเอง ถาม : ส่วนน้องชายอีกคน เขาไม่เอาอะไรเลย ตอบ : ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาสักวันเดี๋ยวเขาก็เอาเองแหละ หวังดีแต่อย่าทำให้เขารำคาญ มีโอกาสก็แนะนำเขานิด ๆ หน่อย ๆ หรือไม่ก็ชวนเขาทำบุญ ถาม : น้องชายคนเล็กเวลานั่งรถ เขาไม่มีอะไรทำก็บอกให้เขาสวดคาถาเงินล้านไป เขาก็ทำได้ แต่พออยู่ที่บ้านเขาสวดได้นิดหน่อย เขาบอกว่าอยู่บ้านเขาสวดไม่ได้ หนูอยากให้เขาสวดทุกวัน อย่างน้อยให้เขาสวดวันละกี่จบคะ ? ตอบ : แรก ๆ เอาแค่ ๙ จบก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2011 เมื่อ 15:34 |
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สมาธิของเราไม่พอ ไม่ใช่นั่งสมาธิให้นานขึ้น แต่ต้องฝึกสมาธิให้ได้ระดับที่สูงขึ้น ถาม : ถามพระ ท่านบอกว่าหนูอยู่ที่ฌานสี่ให้ถอยลงมา ตอบ : ไม่ใช่หรอก ถ้าฌานสี่ต้องไปได้แล้วจ้ะ ถาม : เป็นความรู้สึกว่า หนูได้กราบพระพุทธเจ้า นั่นเป็นแค่ความรู้สึกของเราเองหรือเปล่า ? ตอบ : ให้รู้สึกได้ก็พอแล้ว อย่าเพิ่งเอารายละเอียดอะไรมาก ถาม : หนูลองฝึกกสิณดู นอนฟังเทปและฝึกไปด้วย พอจะถึงกองที่สิบก็ปวดท้องขึ้นมา อีกทีก็ปวดหัวขึ้นมาทันที ยังไม่ใช่วาระที่เราจะฝึกหรืออย่างไรคะ ? ตอบ : อาจจะเป็นเพียงขันธมารมาขวางเท่านั้น ไปซ้อมบ่อย ๆ เรื่องพวกนี้ต้องขยัน ไม่ซ้อมบ่อยไม่ได้หรอกจ้ะ ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ? ตอบ : จ้ะ ทำไปเรื่อย ๆ แล้วกำลังจะสูงขึ้น ถ้ากำลังพอ บางทีไม่ต้องเสียเวลาฝึกหรอกจ้ะ จะไปเองเลย ถาม : หนูควรจะทำทั้งสิบกองหรือคะ ? ตอบ : อย่างเดียวก็พอจ้ะ ถ้าเราตั้งใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งจริงก็ไปนิพพานได้แล้ว มัวแต่ทำสิบกองอยู่เสียเวลาด้วยซ้ำไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2011 เมื่อ 15:36 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถาม : เจอเหรียญเก่าตกในบริเวณบ้าน จึงเก็บมา ตั้งใจจะวางไว้บนโต๊ะ
ตอบ : ถ้าบุคคลที่จิตละเอียดเขาจะไม่ถือว่าเป็นของเรา แบบเดียวกับพระโพธิสัตว์ที่เสวยพระชาติเป็นชายตัดฟืน ท่านไปเจอดอกบัวในป่า อยู่ในสระโบกขรณี ตั้งใจจะเก็บไปบูชาพระ พอเก็บดอกบัว ผีเสื้อน้ำตะโกนว่าขโมย พระโพธิสัตว์บอกว่าดอกบัวนี้เป็นของสาธารณะ จะเป็นขโมยได้อย่างไร ? ผีเสื้อน้ำบอกว่า ถ้าคนอื่นเอาไม่ถือว่าขโมย แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องสอนบุคคลอื่นให้บรรลุธรรม ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำโดยสภาพจิตไม่เห็นว่าเป็นการขโมย แสดงว่ากำลังใจของท่านเองยังบกพร่องอยู่ ฉะนั้น..คนทั่วไปเอาไม่ถือว่าเป็นขโมย แต่ถ้าพระโพธิสัตว์เอาถือว่าเป็นขโมย เพราะจะต้องไปเป็นครูเขา ถาม : อยู่ในบริเวณบ้านเรา และเป็นเหรียญเก่าจนมองไม่เห็น หนูเลยรีบเอาไปถวายพระทันที ตอบ : ไปถวายพระก็ถวายไป แต่อย่าเอาไปเป็นของตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2011 เมื่อ 17:40 |
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ถาม : ที่บ้านโรยทรายเสกของหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้แล้ว แต่ยังมีตะขาบเข้าไปได้ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร อะไรที่เข้ามาแล้วไม่เป็นอันตราย จะเข้าออกได้ แต่ถ้าเข้ามาทำอันตรายมีตายให้เห็นกันมาแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2011 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถาม : เล่าเรื่องย้ายศาลให้คนในบ้านฟัง เขาไม่อยากย้ายเพราะเป็นศาลของซอย เจ้าที่แรงมาก ใครผ่านมาจะต้องไหว้กราบ
ตอบ : ถ้าหากเป็นของส่วนรวมก็ปล่อยเขาไปสิ อาตมานึกว่าเป็นศาลของบ้าน ถาม : เป็นศาลของบ้านค่ะ แต่เขาถือว่าเป็นของซอยไปแล้ว ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ยกให้เขาไป อย่าลืมบอกท่านก็แล้วกันว่า สงเคราะห์ผมให้มากกว่าคนในซอยด้วยนะครับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2011 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนเวลาอาตมาเข้าป่าเข้าดง เมื่อต้องการความปลอดภัยจะใช้อยู่สองวิธี วิธีหนึ่งคืออาศัย พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขีดเป็นวงล้อมบริเวณนั้น แต่ตอนช่วงเช้าต้องลบทิ้งนะ ถ้าไม่ลบทิ้ง เดี๋ยวพวกท่านที่อาศัยอยู่แถวนั้นจะเข้าออกกันไม่ได้
หรือไม่ก็ใช้คาถาอิติปิโสแปดทิศ เสกดินหรือหินก็ได้แปดก้อน โยนไปแปดทิศ ในช่วงบริเวณที่ก้อนหินไปถึง ก็จะเป็นเขตปลอดภัยของเรา ถ้าเวลากลางคืนจะไปห้องน้ำห้องส้วมก็อย่าไปให้พ้นเขตนั้น แต่กรณีนี้จะต้องอธิษฐานว่า ถ้าตะวันขึ้นแล้วขอให้หมดอานุภาพ ไม่เช่นนั้นเขตนั้นก็จะกลายเป็นเขตหวงห้ามไปโดยปริยาย แต่อย่างครูอี๊ด(พนมเทียน = คุณฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ)ท่านจะใช้มีดหมอ ถึงเวลาก็อธิษฐานเอามีดหมอปักดินฝากแม่ธรณีไว้เลย ถ้าจะมีอันตรายเกิดขึ้น มีดหมอจะสั่นสะเทือนขึ้นมาให้รู้สึกตัวตื่นทันก่อนเสมอ" ถาม : สะเทือนแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ ? ตอบ : ก็ขนาดทำให้คนปักมีดรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่คนที่เขาตั้งใจปลุกจะต้องตื่น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2011 เมื่อ 14:22 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
วันศุกร์ ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) ได้พาเพื่อนชาวเยอรมันมากราบพระอาจารย์ ชาวต่างชาติผู้นี้เห็นพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เกิดความสนใจ จึงถามพระอาจารย์โดยมี ดร.เก้าเป็นล่ามให้
ถาม : พระเขี้ยวแก้วมาได้อย่างไร ? ตอบ : อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้เหมือนกัน ว่ามาได้อย่างไร ถาม : เพื่อนเขาบอกว่า ปกติกระดูกคนก็เป็นคาร์บอนธรรมดา ตอบ : วัตถุทุกอย่างที่แตกต่างกันนั้น เกิดจากการจัดเรียงโมเลกุลภายในวัตถุนั้นต่างกัน คราวนี้บุคคลที่ปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง พลังงานของท่านจะไปจัดเรียงโมเลกุลของตนเองใหม่ ถึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็จัดใหม่ไปแล้ว เมื่อพลังงานนั้นไปจัดเรียงโมเลกุลใหม่ ถึงเวลาแล้วก็จะเกิดความต่างจากบุคคลทั่วไปที่ยังทำไปถึงตรงนั้นไม่ได้ บุคคลที่ฝึกพลังจิตไปจนถึงระดับหนึ่ง จะเกิดการชะล้างและเปลี่ยนแปลงภายใน จะทำให้กระดูกจากที่เป็นคาร์บอนทั่วไป สามารถเปลี่ยนสภาพได้ พลังงานส่วนนี้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น ที่ท่านต้องการจริง ๆ ก็คือ ใช้พลังงานมหาศาลนี้ในการปรับสภาพจิตใจของบุคคลทั่วไป ที่ปกติอยู่ภายใต้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ท่านจะใช้พลังงานตัวนี้เพื่อก้าวพ้นความรัก โลภ โกรธ หลงนี้ไป จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากเกิดแล้วเกิดอีก สิ่งเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นเป็นแค่ผลพลอยได้ แต่สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คือ ซักฟอกจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส บรรดาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติถึงแล้ว กระดูกเป็นแก้วอย่างนี้มีมากมาย ถ้ามีโอกาสก็พาเพื่อนไปดูตามพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ต่าง ๆ บ้าง พลังจิตที่ท่านฝึกได้จนถึงที่สุดแล้ว ความมากมายมหาศาลของกำลังจิตนั้น จะเปลี่ยนสภาพจิตจากที่ไม่ดีให้กลายเป็นดี ทำให้สิ่งรอบข้างพลอยเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีไปด้วย กลายเป็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติเท่านั้น เป้าหมายใหญ่จริง ๆ ก็คือ การชำระใจให้หมดจากกิเลส อย่างอื่นเป็นของแถมทั้งหมด คุณเองก็ทำได้..! ถาม : เพื่อนเขาบอกว่าจะลองดู..! ตอบ : บอกเขาให้ค่อย ๆ ทำไป พอถึงเวลาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสภาพร่างกายก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพของจิตใจที่ดีขึ้นนั้น โยมเขาน่ารักมาก เป็นชาวต่างชาติต่างภาษายังพยายามจะศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2011 เมื่อ 14:28 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามีโอกาส ให้ลองไปอ่านดูในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ ท่านกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้า มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ เกิดจากการสร้างบุญอะไรมาบ้าง ?
ถ้าอย่างพวกเรามีกำลังใจเหมือนหนุ่มเยอรมันคนนั้นไหม ? พอเห็นพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เขาสงสัยว่ากระดูกคน แม้กระทั่งฟันซึ่งเป็นคาร์บอน จะเป็นแก้วได้อย่างไร ? พออธิบายให้เขาฟัง เขาอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ขอวิธีทำ สุดยอดจริง ๆ อาตมาชอบใจฝรั่ง ตรงที่แต่ละคนเขาได้รับการอบรมมาในลักษณะที่ทำอะไรก็ทำจริง ฉะนั้น..เวลาฝรั่งปฏิบัติธรรมมักจะได้ผลมากกว่าพวกเรา พวกเราอยู่ในลักษณะจับจด ไม่แน่นอน ประเภทหนูอยู่บนถังข้าวสาร คิดว่าจะกินเมื่อไรก็ได้ ส่วนพวกเขาเป็นหนูท้องกิ่ว มาถึงก็กินกระจายเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2011 เมื่อ 14:30 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพ่อฤๅษีมีลักษณะใดเป็นมหาปุริสลักษณะบ้างไหมคะ ?
ตอบ : ดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านกราบขอขมาและขออนุญาตวัดร่างกายหลวงปู่ปาน ก็คือ ร่างกายของหลวงปู่ปานช่วงซ้ายกับช่วงขวาจะเท่ากัน ช่วงบนกับช่วงล่างเท่ากันพอดี ลักษณะที่ตำราบอกว่า พระพุทธเจ้าจะมีพระวรกายเหมือนกับต้นไทร ก็คือ ด้านกว้างกับด้านสูงจะมีขนาดเท่ากัน หลวงพ่อลองวัดจากกลางอกขวาไปสุดแขนขวา วัดจากอกซ้ายไปสุดแขนซ้าย วัดจากสะดือขึ้นถึงศีรษะ จากสะดือลงสุดปลายเท้า สรุปว่าเท่ากันหมด ทดสอบได้แน่ ๆ ว่า มหาปุริสลักษณะมีจริง ๆ เรื่องพวกนี้เป็นของยาก ถ้าไม่จำเป็นก็ไปทางลัดดีกว่า แค่จะสู้กับกิเลสชาติหนึ่งก็สาหัสแล้ว ถ้ายังต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ยาก บำเพ็ญบารมีมาอย่างต่ำก็ ๒๐ อสงไขยกัป อย่างพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ บาลีเขาบอกว่า จิตติตัง สัตตสังเขยยัง แค่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ ๗ อสงไขยกัป นวสังเขยยะ วาจะกัง เอ่ยปากจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขยกัป รวมเป็น ๑๖ อสงไขยกัปแล้ว หลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกาย วาจา ใจ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับ ๑ แสนมหากัป เพราะฉะนั้น..อย่างน้อยเจอไป ๒๐ อสงไขยกัปนะจ๊ะ ไม่ใช่แค่ ๔ อสงไขยกับอีก ๑ แสนมหากัปเท่านั้น แค่กัปเดียวก็เกิดจนนับไม่ถ้วนแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2011 เมื่อ 14:37 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ถาม : ช่วงปีใหม่ลูกน้องเอารังนกมาให้เจ้านาย เจ้านายเขาบอกว่าไม่อยากได้รังนก เขาอยากได้เหล้า เขาให้เงินลูกน้องไปซื้อ แต่ดิฉันกลัวว่าจะผิดศีล ?
ตอบ : ซื้อก็ไม่ผิดศีล ขายก็ไม่ผิดศีล ต้องกินถึงจะผิดศีล ถ้าเราไม่ได้เปิดขวดแล้วบีบปากเขากรอกลงไป เราก็ยังไม่ผิดศีล เพียงแต่พระพุทธเจ้าบอกว่า การให้เหล้าเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ ให้ไปไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2011 เมื่อ 14:42 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
พระอาจารย์ถามพวกเราว่า "พวกเราจะไปนิพพานใช่ไหม ? มั่นใจหรือยัง ? จะไปแน่นอนแล้วนะ ? แล้วนิพพานอยู่ที่ไหน ? ไม่รู้จักไปไม่ได้นะจ๊ะ
ถ้าเขาบอกให้ไปอำเภอแม่ลาน มีใครรู้บ้าง อำเภอแม่ลานอยู่ที่ไหน ? ถ้าไม่รู้จักก็ไปแม่ลานไม่ถูก ถ้าไม่รู้จักนิพพานก็ไปนิพพานไม่ถูก อำเภอแม่ลานอยู่จังหวัดสงขลา อันดับแรก เราต้องรู้เป้าหมายก่อน เป้าหมายคือนิพพาน เมื่อกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนแล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่าทางไปคืออะไร ? คราวนี้ทางไปพระพุทธเจ้าบอกไว้ชัดแล้ว ก็คือ มรรคแปด ย่อลงมาเหลือศีล สมาธิ ปัญญา คราวนี้ไม่ต้องย่อ ลองเอาเต็ม ๆ ดูซิ..มรรคแปดประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง เห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรที่เป็นที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ สัมมาสังกัปปะ คิดได้ถูกต้อง เช่น คิดไม่พยาบาท คิดไม่เบียดเบียนเขา คิดออกจากกาม คิดจะหลุดพ้นไปนิพพาน สัมมาวาจา พูดได้ถูก อย่างเช่นว่า ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อ สัมมากัมมันตะ ปฏิบัติได้ถูก ก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย เป็นต้น สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตได้ถูก คือ ทำมาหากินได้ถูกต้องทั้งกฎหมายและศีลธรรม ไม่เบียดเบียน ลักขโมย ช่วงชิง ฉ้อโกงใครเขามา สัมมาวายามะ เพียรพยายามได้ถูก คราวนี้เริ่มยากแล้ว ถามว่าเพียรอะไร ? เพียรในการละความชั่วในใจของเรา เพียรระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นในใจของเรา ก็คือ ตัดความชั่วออกไปให้ได้ แล้วระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นมาอีก เพียรสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา และเพียรรักษาความดีให้อยู่ในใจของเราไว้ อันนี้ก็คือ ทำดีให้ได้ แล้วรักษาดีให้อยู่ เริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 20:07 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
"ต่อไปก็ สัมมาสติ ตั้งสติไว้ถูกต้อง ก็คือ มีความรู้ตัวอยู่เสมอ เช่น รู้ตัวว่าเราจะต้องตาย ตายแล้วเราจะไปไหน โดยเฉพาะท่านให้ตั้งสติไว้ในสติปัฏฐานทั้งสี่ คือ กำหนดรู้กายทั้งภายในและภายนอก กำหนดรู้เท่าทันเวทนาทั้งสุขและทุกข์ ทั้งไม่สุขและไม่ทุกข์ กำหนดรู้จิตในจิต สิ่งต่าง ๆ ที่คำนึงครุ่นคิดอยู่ จะดีหรือชั่ว ต้องกำหนดรู้เท่าทันทั้งหมด และกำหนดรู้ธรรมในธรรม คือ ธรรมารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของตน เช่น นิวรณ์ ๕ เป็นต้น
สิ่งทั้งหลายทั้งหมดนี้ กำหนดรู้เท่าทัน รู้แล้วปล่อยวาง ไม่ใช่รู้แล้วแบกเอาไว้ ท้ายสุด สัมมาสมาธิ ตั้งสมาธิไว้ถูกต้อง ก็คือ สมาธิที่เราทรงในระดับฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถ้าหากยังไม่ถึง ก็ไม่จัดเป็นสัมมาสมาธิ เพราะไม่สามารถใช้ในการตัดกิเลสได้ คราวนี้มีปัญหามาอีกตรงที่ว่า กิเลสหน้าตาเป็นอย่างไร ? ตายแล้ว..เตรียมอาวุธไว้เต็มที่เลย แล้วจะไปตีกับใคร มีใครรู้บ้าง กิเลสมีกี่อย่าง ? ตอบได้ไหม ? กิเลสมีอยู่ ๓ อย่าง หรือ ๓ ระดับด้วยกัน อันดับแรกเขาเรียกว่า วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสที่เราล่วงละเมิดแล้วเกิดความชั่วด้วยกาย ด้วยวาจาของเรา อย่างเช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การดื่มสุราเมรัย การพูดโกหก ถ้าล่วงละเมิดอย่างนี้เมื่อไร เรียกว่า วีติกกมกิเลส"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-03-2018 เมื่อ 02:04 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
"อย่างที่สอง เป็นกิเลสที่คุกรุ่นอยู่ในใจของเรา เหมือนภูเขาไฟรอวันระเบิด เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส อย่างเช่นนิวรณ์ ๕ มี กามฉันทะ ครุ่นคิดถึงในกาม พยาบาท โกรธเกลียดอาฆาตแค้นคนอื่น ถีนมิทธะ ง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่าน รำคาญ หงุดหงิด ท้ายสุด วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยว่าผลการปฏิบัติจะมีจริงหรือไม่จริง ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริงหรือเปล่า ?
ถ้าหากเราไม่สามารถจะหยุดปริยุฏฐานกิเลสนี้อยู่ ไม่สามารถจะห้ามเอาไว้ได้ได้ พอล้นออกมาเมื่อไรก็จะเป็นวีติกกมกิเลส ก็คือจะทำผิดศีลทันที ตัวสุดท้ายเรียกว่าอนุสัยกิเลส จะเป็นเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ก็คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจของเรา เหมือนตะกอน น้ำที่นอนก้นอยู่ ปกติเราเห็นว่าน้ำใส แต่เกิดจากการที่ยังไม่มีสิ่งที่มากระทบ ถ้ามีสิ่งที่มากระทบเมื่อไร น้ำนั้นจะขุ่นขึ้นมาทันที แบบเดียวกับลูกศิษย์หลวงปู่สด วัดปากน้ำ ลูกศิษย์คนนี้เป็นเศรษฐีนี รวยมาก ทำมาหากินก็เครียดตามปกติ ได้ยินว่าหลวงปู่สดเก่งมาก สามารถแก้ไขปัญหาทั้งทางโลกและทางธรรมได้ ก็ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็สอนให้ภาวนาสัมมาอะระหัง กำหนดตั้งแต่ดวงปฐมมรรคไล่ไปเรื่อย จนตัวเองปฏิบัติก้าวหน้าดี จากคนที่อารมณ์ร้ายชนิดที่คนใช้ในบ้านทำอะไรผิด ก็โดนด่าไปสามวันสามคืน วันนั้นคนใช้ทำแก้วเจียระไนตกแตกทั้งชุดเลย ปรากฏว่าแกเฉย แกก็แปลกใจตัวเองว่าทำไมเป็นอย่างนี้ จึงไปเล่าให้หลวงปู่สดฟังว่า "ดิฉันหมดกิเลสแล้วค่ะ วันนี้คนใช้ทำแก้วเจียระไนที่รักมาก ตกแตกทั้งชุด ดิฉันยังไม่มีความโกรธเลย" หลวงปู่สดบอกว่า "อย่าเพิ่งไว้ใจนะ" "จริง ๆ เจ้าค่ะ จนป่านนี้ก็ยังไม่โกรธเลย" "อย่าเพิ่งไว้ใจ เพราะอาจจะกำเริบอีกเมื่อไรก็ได้" "ไม่กำเริบแน่นอนค่ะ จนป่านนี้ดิฉันยังไม่มีความรู้สึกเลย" "อีตอแหล..พูดขนาดนี้ยังไม่รู้จักฟัง..!" "อ้าว..ทำไมท่านพูดอย่างนี้ละเจ้าคะ นี่ท่านด่าดิฉันแล้วนะคะ..!" หลวงปู่ท่านถามยิ้ม ๆ ว่า "คราวนี้เป็นอย่างไร ? กำเริบแล้วใช่ไหม ?" กิเลสที่นอนนิ่งอยู่ เพราะโดนอำนาจของสมาธิกดเอาไว้ ถ้าไปกวนไม่ถูกจุดก็ยังไม่เกิดขึ้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-01-2011 เมื่อ 21:11 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
"เมื่อเรารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเราหน้าตาเป็นอย่างไร วีติกกมกิเลส ที่ล่วงละเมิดออกมาทางกายและวาจา เราก็ใช้ศีลเป็นเครื่องตีกรอบบังคับไว้ ใจเราอยากฆ่าสัตว์ ก็ต้องตัดใจอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ไม่ฆ่า ยอมตายดีกว่าศีลขาด อยากลักขโมยจนใจจะขาด นั่งเหงื่อตกอยากได้ของเขาก็ไม่ขโมย มีโอกาสล่วงละเมิดลูกเขาเมียใคร ก็ฝืนใจ อดใจเอาไว้ มีโอกาสที่จะโกหกหลอกลวงใคร ก็ห้ามใจตัวเองไว้ อยากจะดื่มสุราเมรัยก็หักห้ามใจตัวเองเอาไว้
ถ้าทำอย่างนี้ได้ ก็แปลว่า กิเลสชั้นแรกที่เป็นของหยาบ เราพอที่จะสู้ได้แล้ว แต่กิเลสนั้นยังไม่ตาย เราแค่ล้อมคอกกันเอาไว้ได้เท่านั้น เท่ากับว่าอันดับแรก เราล้อมคอกกันตัวกิเลสหยาบไว้ได้แล้ว ไปต่อก็ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่กรุ่นอยู่ในใจของเรา ทำอย่างไรที่จะเอาให้อยู่ ? คำตอบง่ายมากเลย ก็คือใช้กำลังของสมาธิเข้าข่มเอาไว้ อย่างที่คุณนายท่านนั้นเขาทำ พอทำไปทำมา เหยียบกิเลสแบนอยู่ใต้ตีน แต่ก็ยังไม่ตาย เพียงแค่นิ่งสงบไปชั่วคราวเท่านั้น เผลอหลุดเมื่อไรมาใหม่แน่ ตรงนี้ต้องใช้กำลังของสมาธิช่วยเป็นอย่างมาก พอท้ายสุดคือ อนุสัยกิเลส ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เห็นว่า กิเลสเหล่านี้นั้นเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร จะได้เบื่อหน่าย สลัดทิ้งไปเสียที กามราคานุสัย อนุสัยเกี่ยวกับกามราคะ พาเราสร้างโลก สร้างกิเลส สร้างตัณหาทุกประการให้แก่เรา เป็นอย่างนี้มาชาติแล้วชาติเล่าจนนับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะพอ ควรที่จะเข็ดหรือยัง ? ควรที่จะละ จะเลิกหรือยัง ? ปฏิฆานุสัย อารมณ์กระทบต่าง ๆ ที่เข้ามา ตาเห็นรูป ชอบใจก็เป็นราคะ ไม่ชอบใจก็เป็นโทสะ กิเลสหลอกกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส โดนเหมือนกันหมด กระทบเมื่อไรถ้าสติตามไม่ทันกิเลสเกิดทันที พาเราเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะเข็ดกันที พอกันทีหรือยัง ? อวิชชานุสัย ความโง่ที่สิงใจของเราอยู่ ยังเห็นว่าการเกิดนี้ดี ยังเห็นว่าโลกนี้ดี ยังเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไรแล้วยังมีความรู้สึกชอบ ยังมีความรู้สึกพอใจ ถ้าเป็นแบบนี้เราเสร็จเขาแน่ ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2020 เมื่อ 01:53 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
"เพราะฉะนั้น..ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นรากเหง้าใหญ่ที่จะพาให้เราทุกข์ ต้องเกิดมาไม่รู้จบ เราควรที่จะเลิกคบกันเสียที ก็ตั้งหน้าตั้งตาใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยร่างกายนี้เป็นคูหาคือที่อาศัย
ถ้าปราศจากร่างกายนี้อย่างเดียว กิเลสก็ไม่มีอะไรที่จะอาศัยอยู่ได้ ก็จะไปเข้าจุดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อนัตตา ความไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีตัวแล้วกิเลสจะมาทำอะไรเราได้หรือเปล่า ? ก็ทำไม่ได้ สมมติว่ากิเลสจะผูกเรา เรามีมือ กิเลสก็ผูกเราได้..ใช่ไหม ? แต่ถ้าเราไม่มีมือเล่า ? กิเลสจะเอาอะไรมาผูก ? ฟังดี ๆ นะ..นิดเดียวแค่นั้น วันนี้ถ้าหากใครทำได้หลุดพ้นเลย ทั้งหมดก็มาลงตรงนี้ อนัตตา แต่คนเรามาถึงก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาถึงความไร้ตัวตน เมื่อครู่ที่ถามในตอนแรกว่ารู้จักนิพพานไหม ? ถ้าเราไม่รู้จักแล้วจะไปอย่างไร ? ตรงนี้เราต้องมองย้อนกลับ ในเมื่อเป็นอนัตตาก็เลยทุกขัง คือ ไม่มีตัวตนแต่เราไปยึดถือว่ามีเราก็ทุกข์ และ ในเมื่อไม่มีตัวตนเราไปยึดถือว่ามีก็เลยอนิจจัง ไม่เที่ยง เราลองมาคิดดูว่า ถ้าเป็นอัตตาเล่า ? ก็ต้องสุขขัง แล้วก็ต้องนิจจัง ก็คือ ถ้าเป็นตัวตนที่มั่นคงก็ต้องมีแต่ความสุข ก็จะต้องมีแต่ความเที่ยง นี่แหละนิพพาน..! เราวิ่งมาถึงนี่ คือตัวที่ต้องตัดทิ้ง (อนิจจัง --> ทุกขัง ---> อนัตตา) แต่ถ้าเราวิ่งย้อนกลับมาเมื่อไร ก็คือ สภาพสภาวะนิพพานที่เราต้องไปถึง (อัตตา ---> สุขขัง ---> นิจจัง) แต่คราวนี้ทำอย่างไรที่เราจะไม่พลาดไปยึดเป็นอัตตา เพราะว่าอัตตาตรงนี้เป็นปรมัตถ์สัจจะ ไม่ใช่สมมติสัจจะ ถึงจะเป็นปรมัตถ์สัจจะ แต่ถ้าเราไปบอกว่าเป็นอัตตา คนอื่นก็จะเถียงว่าเป็นอนัตตา พระพุทธเจ้าท่านจึงอธิบายว่านิพพานเป็นสถานที่พิเศษ พระองค์ท่านตรัสว่า "ดูก่อน..ภิกขุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่พระจันทร์ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ.." ในเมื่อไม่ใช่สิ่งสมมติทั้งหลายเหล่านี้ จึงไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา เพราะถ้ากล่าวเป็นอัตตาก็ต้องเป็นอนัตตา ก็จะค้านกับคำสอนของพระองค์ท่านเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 20:08 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
"เพราะฉะนั้น..ตรงจุดนี้ถ้าเรามองย้อนกลับเพื่อจะได้รู้จักพระนิพพาน เราจะต้องเข้าใจนะว่าเป็นคนละระดับกัน คือ เป็นระดับของปรมัตถธรรม ไม่ใช่สมมติสัจจะทั่ว ๆ ไป
ในเมื่อเราย้อนกลับ ถ้าเป็นอนัตตาก็ไม่มีอะไรผูกพันเราได้ พอรอดพ้นไป เราก็จะเข้าถึงอัตตาที่แท้จริงคือนิพพาน แต่ตรงนี้ท่านไม่ใช้คำว่าอัตตานิพพาน ท่านใช้คำว่าพระนิพพาน ตรงจุดนี้เราจะต้องมีสัมมาทิฏฐิที่ชัดเจนที่สุด ถ้าสัมมาทิฏฐิไม่ชัดเจนเมื่อไร เราจะติดอยู่ตรงนี้ทันทีเลย ขอเปรียบเทียบหน่อยนะ.. เรามีมือใช่ไหม ? ..ใช่ครับ.. แล้วลิงมีมือไหม ? ..มีครับ.. ถ้ามีมือ..เราโดนผูกมือได้ ลิงมีมือ..ลิงก็โดนผูกมือได้เหมือนกัน..ใช่ไหม ? ..ครับ.. ถูกต้องไหม ? ..ถูกต้องครับ.. แน่ใจนะ ? ..แน่ใจครับ.. ลิงเป็นสัตว์สี่เท้าใช่ไหม ? ..อ้าว..?? แล้วลิงจะเอามือที่ไหนมา ? ลิงมีแต่ขาสี่ข้าง แล้วเราจะไปผูกมือลิงได้อย่างไร ? นี่คือสิ่งที่จะเปรียบเทียบให้ฟังว่า ตัวมิจฉาทิฏฐินั้น ถ้าเข้าใจผิดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะทำให้เรามุ่งไปผิดเป้าได้ ลิงเป็นสัตว์สี่เท้า ไม่มีมือ แล้วเราจะเอาอะไรไปผูกมือลิงได้ ลิงมีแต่ขาหน้ากับขาหลัง ถ้าเราเข้าใจว่าลิงไม่มีมือ นี่คือสัมมาทิฏฐิ แต่ตอนที่เราเข้าใจว่าลิงมีมือ ก็คือมิจฉาทิฏฐิ ต่างกันอยู่แค่นี้เอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 20:09 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
"ในเมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสภาพร่างกายนี้โดยจริงแท้แล้วไม่มีอะไร เป็นเพียงดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น ในเมื่อไม่มีอะไร แล้วรัก โลภ โกรธ หลงที่ไหนจะมาร้อยรัดเราได้เล่า ?
ก็ทั้งหมดเป็นเพียงสมบัติของร่างกาย รัก โลภ โกรธ หลง จะมีอยู่ได้ก็เพราะอาศัยร่างกายนี้ เมื่ออยากจะมีก็มีไปสิ อยากจะอยู่ก็อยู่ไปสิ เพราะนั่นเป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา เราอย่าเอาใจไปยุ่งด้วยก็พอ เพราะว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีอะไรเป็นของเราเลย ในเมื่อใจเราไม่ไปยุ่งด้วย เรารู้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่น้อย แล้วกิเลสอะไรจะมาร้อยรัดมัดเราได้ ? ต่อให้เป็นต้นตระกูลของกิเลส ๑๘ ชั่วโคตรก็มัดเราไม่อยู่หรอก..! ดูท่าของขวัญปีใหม่นี้จะยากจัง แต่ความจริงแค่มองเห็นชัดนิดเดียวเท่านั้น..นิดเดียวแค่ที่เราเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย ดีชั่วทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย แต่ที่เราสร้างความดีเพราะเขาสมมติว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ทุกคนนิยมกันเราถึงทำ ที่เราละชั่วเพราะว่าทุกคนไม่พึงปรารถนาในความชั่วเราถึงละ เราทำดีเพราะรู้ว่าดีถึงทำ เราละชั่วเพราะรู้ว่าชั่วถึงละ แต่เราไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว เพราะไม่มีอะไรให้เกาะแล้ว แม้แต่สภาพตัวตนก็ไม่มี แล้วเราจะไปเกาะอะไรได้ ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะจบไหม ? ก็น่าจะจบนะ สรุปจบปิดบทสุดท้ายได้เลย วิทยานิพนธ์ผ่านแน่นอน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 20:09 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
"ตรงที่เปรียบเทียบมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิ หลวงพ่อสมนึก (ท่านพระครูสุธรรมนาถ วัดปลักไม้ลาย) ท่านอธิบายให้ฟัง อาตมาโดนท่านหลอกมาเหมือนกัน ถึงเวลาผูกมือเราก็เลยผูกมือลิงไปด้วย ตรงนี้เป็นความรู้และเป็นความดีอย่างยิ่งของท่าน ที่ชี้ให้เห็นว่ามิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐินั้นต่างกันนิดเดียว
เพราะฉะนั้น..เรารู้แล้วว่านิพพานอยู่ที่ไหน รู้โดยที่ไม่ต้องไปฝึกอภิญญาด้วย เราแค่ย้อนทวน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลับไปเป็น นิจจัง สุขขัง อัตตา ก็เป็นนิพพานแล้ว แต่อย่าลืมว่าเป็นอัตตาในปรมัตถ์ธรรมนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไปยืนยันว่านิพพานเป็นอัตตาในระดับสมมติ จะกลายเป็นว่า ไปเถียงพระพุทธเจ้าเข้าเสียอีก..! พวกเราเพียงแต่ขาดปัญญาอยู่นิดเดียว คือปัญญาที่เห็นแล้วตัดได้ ละวางได้ ก็แปลว่าในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องไปเร่งเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้ปัญญาของเราพอ จะได้ก้าวพ้นกิเลสกันเสียที"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 20:10 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าบ้านเรามีนกมาทำรังดีไหมคะ ?
ตอบ : ดีจ้ะ โบราณท่านว่า ถ้าแมวมาหา หมามาสู่ ถือว่าเป็นมงคล สัตว์สี่เท้า สองเท้า ไม่มีเท้า เข้ามาก็ใช้ได้ทั้งนั้น เขาเว้นอยู่สองอย่าง คือ มังกรทองกับหงส์ทอง ถ้าเป็นมังกรทองกับหงส์ทอง โบราณเขาให้ไปจุดธูปเชิญลงจากเรือน มังกรทองก็คือตัวเงินตัวทอง หงส์ทองก็คือแร้ง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2011 เมื่อ 09:41 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ถาม : การที่เราจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง อยู่กับตัวเอง แล้วไม่โงหัวขึ้นมาดูคนรอบข้าง ไม่เงยขึ้นมาดูความเป็นจริง ก็เท่ากับว่าเราจมอยู่กับสมาธิในรูปฌานอรูปฌานด้วย ?
ตอบ : ก็ดี..จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจกับใครมาก แต่เป็นสังโยชน์ใหญ่สำหรับเราเท่านั้นเอง ถาม : เราไม่ตั้งใจจะทรงสมาธิอะไรของเรา แต่ก็เป็นไปเอง ตอบ : คิดว่าเราไม่เคยทรงมาสักชาติหนึ่งเลยหรือ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2011 เมื่อ 09:43 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|