กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-12-2009, 09:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default งานพระศาสนา

ปีหนึ่ง ๆ จะมีนักการเมืองบางท่าน เป็นเจ้าภาพกฐิน ๒๐ วัด แต่ว่าเขาถวายวัดละ ๕,๐๐๐ บาท เขาจะถามกำหนดการแล้วก็เอาซองไปถวาย จะว่าไปแล้วพวกนักการเมืองนี่ก็ทำบุญเยอะนะ ถ้ารู้จักต่อบุญก็ไปได้เรื่อย ๆ ต้องบอกว่าไม่ว่าเราหรือเขาก็ตาม แต่ละคนที่เกิดมา บุญเก่านั้นพอแล้ว ถ้าสั่งสมมาไม่พอ ก็ไม่ได้เกิดเป็นคนหรอก สำคัญที่ว่าเรารู้จักต่อบุญหรือว่าใช้บุญอย่างไร ? ถ้าหากว่ารู้จักต่อบุญจะไปได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่าให้บุญขาดช่วงลง

บุญเราทำได้ ๑๐ วิธีด้วยกัน ที่เขาเรียก บุญกิริยาวัตถุ ทาน ศีล ภาวนา จะเป็นบุญที่ใหญ่ที่สุด เพียงแต่ว่าทานทำหนึ่งได้ร้อย ส่วนศีลทำหนึ่งได้หมื่น ถ้าภาวนาทำหนึ่งได้ล้าน ถามว่าทำไมถึงต่างกันขนาดนั้น ? ทานนั้นทำด้วยกาย ศีลนั้นรักษาทั้งกายและวาจา พูดปดก็ไม่ได้ พูดคำหยาบก็ไม่ได้ แต่ภาวนานั้นต้องทั้งกาย วาจา ใจ พร้อมกันเลย นั่งหลับตาอยู่ตรงนั้นต่อให้จิตมันไม่เป็นสมาธิอย่างไรก็ตาม กายเราไปทำชั่วได้ไหม ?...ไม่ได้หรอก วาจาเราพูดชั่วได้ไหม ?...หลับตานั่งอยู่ พูดไม่ได้หรอก อย่างเก่งก็คิดชั่วได้อย่างเดียว การคิดชั่วเป็นมโนกรรม กรรมก็น้อย อานิสงส์เราได้ทั้ง ๆ ที่ฟุ้งซ่าน ก็เลยกลายเป็นบุญใหญ่

ในเมื่อเป็นบุญใหญ่ ในแต่ละวันของเรา ถ้าไม่ทิ้งการภาวนา ก็จะสั่งสมตัวมากขึ้น ๆ แรก ๆ เราไม่รู้หรอก เหมือนกับน้ำทีละหยด..ทีละหยดรวมกัน พอนานเข้า..นานเข้าก็เป็นโอ่งเป็นไห ตอนที่ค่อย ๆ รวมนี่เราจะไม่รู้สึก แต่ว่าเราจะวัดปริมาณมันได้ก็ต่อเมื่อเกิดฉุกเฉินขึ้นมา อาจจะเป็นว่า อยู่ ๆ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยปางตายไปเลยอย่างนี้ โห..กำลังใจรวมตัวดีแท้ ๆ เลย มีเท่าไหร่มันโกยมาหมด เพราะรู้ว่าจะตายแล้วนี่ ตอนนั้นเราจะรู้เลยว่าต้นทุนมีเท่าไร ?

ฉะนั้น...เรื่องป่วย จริง ๆ แล้วพระนักปฏิบัติท่านชอบนะ คือกำลังใจจะรวมเต็มที่เลย วัดตัวเองได้ หรือไม่อีกทีก็เกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่นนั่งรถไป ชนตูม..สนั่นเลย คนอื่นอาจจะเอะอะโวยวาย ตกตะลึงกันไปหมด แต่ถ้านักปฏิบัติจริง ๆ เวลาเขามองว่าเกิดอะไรขึ้น สมองเขาจะตรอง จะแก้ไขได้อย่างไร ? ไม่น่าเชื่อว่าแค่เวลาวินาทีเดียวเราคิดได้เป็นสิบ ๆ เรื่อง ความเร็วของจิตเราเร็วขนาดนั้น ท้ายที่สุดก็จะหาเรื่องที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ตอนนั้น แล้วก็ทำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-12-2009 เมื่อ 09:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 16-12-2009, 10:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ของเรารถชนตูม..! เปิดประตูลงไปถามคู่กรณีว่ามีใครเจ็บบ้างไหม ? ไม่ได้ดูความเสียหายของรถเราเลยนะ มีใครเจ็บบ้างไหม ? รถมีประกันหรือเปล่า ? ถามให้เรียบร้อยก่อน คุยกันให้รู้เรื่องก่อน แล้วค่อยไปดูความเสียหาย เพราะว่าไม่มีใครอยากขับรถชนหรอก ยกเว้นดวงซวยจริง ๆ แล้ววันนั้นเจ้านั่นก็ซวยจริง ๆ ชนเราเยินเลย กระจกแตกกระจายเต็มถนน หน้ากระจังกระเด็นหลุดไปทั้งอัน เราก็ไปดู "โยมมีประกันหรือเปล่า ?" โยมบอก "ไม่มีครับ"
"อย่างนั้นไปซ่อมเองก็แล้วกัน อาตมาไม่เอาเรื่องหรอก" เป็นลักษณะว่าจะต้องทำอย่างนั้น เหมือนกับเวลาที่คุณปฏิบัติไป แล้วความเป็นทิพย์เกิดขึ้น ถ้าใช่ของจริงนะ มันจะรู้เลยว่าเรื่องนี้นะ เราต้องทำอย่างไรหรือว่าพูดได้เท่าไร ? บางทีรู้ร้อยพูดได้แค่หนึ่งเท่านั้น ความเป็นทิพย์นี้จะรายงานมาพร้อมหมดเลย

ฉะนั้น...เรื่องของการปฏิบัติต้องฝึกซ้อมอยู่ทุกวัน อย่าไปประมาท ประมาทเมื่อไหร่สนิมจะกิน สมัยก่อนหลวงพ่อให้นั่งข้างถนนเพื่อฝึกซ้อม ถึงเวลาหลับตาทำใจสบาย ๆ รถวิ่งมา ถามตัวเองว่ารถสีอะไร ? แล้วลืมตาดู ก็จะได้คำตอบเดี๋ยวนั้นเลย เราจะจำได้ว่าวางอารมณ์ถูกหรือไม่ถูก รถมาสีอะไร ? ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าถูกสัก ๘ ใน ๑๐ คันนี่เราจะจำอารมณ์ได้แล้ว ว่าที่ถูกต้องนี่ต้องวางอารมณ์ใจแบบนี้ คราวนี้ก็ใส่รายละเอียดเพิ่มว่า รถมาสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? พอได้แม่นสัก ๘ ใน ๑๐ เราก็มาทายว่า นั่งมากี่คน ? ผู้หญิงเท่าไหร่ ? ผู้ชายเท่าไหร่ ? ใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? แล้วท้ายสุดแม้กระทั่งเลขทะเบียนอะไรก็บอกได้

การซ้อมลักษณะนั้นก็มีข้อเสียอยู่ว่า ถ้าหากว่ายืนระยะนานไม่ได้ ท้าย ๆ ก็จะเป๋ สมาธิจะหล่น เราต้องตั้งต้นใหม่ ประเภทวันนี้ไม่เอา เราไปภาวนาไปทำอะไรให้สบายใจก่อน เสร็จแล้วพรุ่งนี้ก็เริ่มใหม่ ที่สำคัญอย่าให้มีกองเชียร์ ของเรากองเชียร์เยอะ พอตอบถูกเขา เฮ..! ชอบใจ ถ้าสมาธิไม่ดีก็บรรลัยหมด ซ้อมอยู่บ่อย ๆ อย่าคิดว่าใช้ได้แล้ว ใช้เป็นแล้ว จะต้องใช้ได้ทุกเวลา ถ้าหากว่าเอะใจสงสัยขึ้นมานี่ เอ๊ะ..! เมื่อไรก็ผิดเมื่อนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-12-2009 เมื่อ 16:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-12-2009, 10:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จริง ๆ แล้ว เราต้องเชื่ออารมณ์แรก ยกเว้นว่าพอไปท้าย ๆ ซ้อมคล่องแล้ว ก็จะเหมือนกับตาเห็น พรรษาท้าย ๆ ที่อยู่วัด ถ้าหากว่าหลวงพ่อไม่สิ้นเสียก่อน ผม(คุยกับพระ)มีโครงการใหญ่จะทำ คือหลวงพ่อท่านจะให้พระท่านผลัดเข้าไปปฏิบัติในที่ธุดงค์ ผมจะมีโครงการเสนอหลวงพ่อว่า ๓ พรรษาแรกอย่าให้พระใหม่ทำงาน ถ้าจะทำให้ใช้พระเก่าไปเลย

พระใหม่ ๓ พรรษาแรกจะให้ฝึกกรรมฐานจริง ๆ ซ้อมเรื่องของมโนมยิทธิ สายกรรมฐานของเรานี่เกิดขึ้นได้ด้วยมโนมยิทธิ คราวนี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว คนเขารู้ว่าถ้าหากเป็นลูกศิษย์สายวัดท่าซุงคุณต้องได้มโนมยิทธิ จึงต้องซ้อมให้แม่นจริง ๆ ชนิดท้าพิสูจน์ได้ ประเภทเอาของใส่กล่องใส่ห่อมาต้องบอกได้ ถ้าอย่างนั้นคุณจะสามารถเรียกศรัทธาคนได้เยอะ แล้วในขณะเดียวกันเราก็สามารถใช้งานอย่างแท้จริงได้ด้วย ไม่ใช่พอถึงเวลาเขาถามก็เงียบ...ถามก็เงียบ คือ ทันทีที่เราขาดความมั่นใจ กลัวจะผิด กลัวอาย กลัวขายหน้า เราจะเจ๊งไปเลย เพราะขาดความมั่นใจ กำลังใจไม่มั่นคง เราเองก็บอกว่าของในห่อเป็นอย่างนั้น ๆ พอเปิดห่อมาก็ใช่ คราวนี้ถามว่า กว่าผมจะมั่นใจอย่างนี้ใช้เวลานานไหม ? ๓ ปีเห็นจะได้ ลองอยู่ทุกวัน ซ้อมแล้วซ้อมอีกทุกวัน ผิดถือว่าเป็นครู พอถึงเวลาหลวงพ่อบอก “เอ๊ย! วันนี้ซ้อมมโนฯ กันดีไหม ?” เราก็ “ดีครับ” เพื่อน ๆ มองตาเขียวทั้งวัด มันจะพากูเดือดร้อนอีกแล้ว..!

กำหนดรู้ ผิดไม่ต้องไปจำ ถ้าถูกให้จำไว้ว่าเราวางอารมณ์อย่างไร ถ้าหากว่าเราเลือกจำแต่ที่ถูก ทิ้งที่ผิด ต่อ ๆ ไปก็จะแม่น
ทีนี้ของเราที่เป็นพระ ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้อย่างนั้น อันดับแรกสามารถเรียกศรัทธาคนได้ อันดับที่สอง สามารถใช้งานจริงได้ อันดับที่สามสำคัญที่สุดก็คือ สามารถรักษาสายกรรมฐานเอาไว้ได้ ไม่ใช่พอถึงเวลามีแต่เปลือก "ดีแต่กินบุญเก่าของหลวงพ่อ" โห..ถ้าได้ยินคำนี้โคตรช้ำเลย เพราะฉะนั้น..คุณจะไปนิ่งนอนใจไม่ได้ เหมือนกับว่าเราเป็นหนูอยู่บนถังข้าวสาร แล้วเราไปประมาทว่ากินเมื่อไรก็ได้ ระวังไว้เถอะ แมวมาเมื่อไรมันจะแดกเราก่อน ไม่มีโอกาสได้กินข้าวสารหรอก เราต้องกอบโกยให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-11-2016 เมื่อ 14:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 16-12-2009, 21:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ผมอยู่วัดท่าซุงกับหลวงพ่อ ผมไม่เคยคิดเลยว่าหลวงพ่อจะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ คุณอาจจะแปลกใจ ผมอยู่กับหลวงพ่อมา ๑๑ ปี แต่ความเป็นพระผมอยู่กับหลวงพ่อมา ๗ ปีเท่านั้น แต่ว่า ๗ ปีนี่ผมโกยสุดชีวิตเลย ดินฟ้าอากาศวิปริต ฝนฟ้าตกไม่ต้องตามฤดูกาล พิลึกพิลั่นขึ้นมาเมื่อไร ผมจะลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานดูว่าหลวงพ่อไปหรือยัง ? ผมไม่เคยประมาทเลย คิดอยู่เสมอว่าหลวงพ่อจะไปวันไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น..ในเมื่อคนตั้งใจจะโกย ๗ ปีนี่เหลือเฟือที่คุณจะทำเลยครับ จะเอาอะไรก็ต้องได้ แล้วพอปุบปับสิ้นหลวงพ่อไป พระผู้ใหญ่บางท่านก็ร้องไห้ให้ญาติโยมเห็น ผมขายหน้าแทน ฝึกกับหลวงพ่อมาขนาดนี้ยังมานั่งร้องไห้ ของเราเองก็เลยต้องกลายมาเป็นหลักของวัด ต้องจัดงานต้องเตรียมงานต้องอะไรทุกอย่าง พระผู้ใหญ่จากที่กรุงเทพฯ มาก็ "อ้อ..คุณเป็นเจ้าอาวาสคนใหม่หรือ ?" ก็กราบเรียนท่านไปว่า "ไม่ใช่หรอกครับ ผมเป็นพระใหม่ เจ้าอาวาสท่านมี รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ท่านมี" ในช่วงนั้นผมมั่นใจเลยว่า พระผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯ ตีราคาพระวัดท่าซุงสูงติดยอดเอเวอเรสต์เลย ขนาดพระใหม่ทำได้อย่างนี้ แล้วพระเก่าจะขนาดไหน ?

ตรงจุดนี้แหละที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน ถ้าไม่ช่วยกันนี่ เรื่องของชื่อเสียงนานไป ๆ ผมดูมาเยอะต่อเยอะแล้ว วัดท่าซุงของเรายังเสื่อมโทรมช้าเพราะหลวงพ่อหาทุนไว้ให้ แต่คุณลองไปดูวัดบางนมโคดูสิ ลองไปดูวัดบางปลาหมอ ลองไปดูวัดน้ำเต้า ลองไปดูวัดน้อยนั่น ถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์สายหลวงพ่อไปช่วยเอาไว้ ป่านนี้โทรมดูไม่ได้เลย เราจะเห็นว่าทำไมพอครูบาอาจารย์ท่านสิ้นไปแล้ว วัดก็อยู่ได้แค่ยุคเดียว พอยุคถัดไปจะเห็นเลยว่าทรุดอย่างเห็นได้ชัด ทุกวัดเลย เนื่องจากว่า เจ้าอาวาสเก่าถ้าหากว่ามีความสามารถ เจ้าอาวาสใหม่สาหัสทุกรูป เก่งเท่า....เขาก็ไม่เชื่อน้ำยา เพราะเขายังรักองค์เก่าอยู่ ถ้าเก่งน้อยกว่าแล้วจะเหลือหรือ ?

เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่เก่งเท่า ก็ต้องเก่งให้มากกว่าให้ได้ ก็มีอยู่ทางเดียวคือทุ่มเทฝึกฝน ไม่ต้องไปกลัวเหนื่อยหรอก อย่างดีแค่ตาย ตายเมื่อไรเราตั้งใจไปนิพพาน ไปไม่ได้...มันก็ไปไกลได้ที่สุดเท่าที่เราจะไปได้ ต้องอย่างที่หลวงพ่อท่านบอก ๑๐ นิ้วเท่ากัน คนอื่นทำได้เราต้องทำได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2009 เมื่อ 03:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-12-2009, 08:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่ามีความพยายามจริง ๆ ไม่มีใครหรอกที่ทำไม่ได้ เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาเรามักจะเชื่อกิเลส แต่ไม่ค่อยเชื่อครูบาอาจารย์ เฮ้อ..เหนื่อยแล้วพักเถอะ เราก็ไปตามใจมัน เรียบร้อย...มีเท่าไหร่ก็ถูกต้มเราตลอด สมัยผมอยู่วัดท่าซุงนี่ บางวันผมนอนประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น จริง ๆ นะ..เวลาที่เหลือทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ แล้วยิ่งช่วงที่ต้องไปอยู่เวรอยู่ยามรักษาปลาหน้าวัดด้วยละก็ ได้นอนถึง ๒ ชั่วโมงก็โคตรเก่งแล้ว นั่นแหละ...ช่วงประมาณ ๓ - ๔ ปีที่รบกับพวกเรือหาปลานี่ ผมเป็นโรคกระเพาะสาหัสเลย เพราะว่าพายเรือทั้งคืน ไม่ได้นอนและไม่ได้กินด้วย เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผมออกจากวัดมาหลวงพี่นันต์ต้องหาพระไปแทนผมตั้ง ๕ รูป นึกเอาก็แล้วกันว่างานผมเยอะขนาดไหน ?

พระวัดท่าซุงของเรานี่จะบอกว่ารักปฏิบัติก็ใช่ แต่ว่าคุณเป็นพระปฏิบัติ...ถ้าเอาปฏิบัติอย่างเดียว ปริยัติมันก็พร่อง หรือว่าเอาวิปัสนาธุระอย่างเดียวคันถธุระมันก็พร่อง ถ้าเราทำเป็น งานทุกอย่างใส่สติลงไปเฉพาะหน้า ก็เป็นกรรมฐานทั้งหมด เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า แก่นที่แท้จริงก็คือการมีสติรู้ปัจจุบันอยู่ ถ้าหากว่าเราสามารถทำตรงจุดนั้นได้ งานทุกอย่างจะเป็นกรรมฐานทั้งหมด

แต่บางทีพี่ ๆ น้อง ๆ เขาก็ว่า ถ้าหากไปทำงานจะเสียการภาวนาของตัวเอง ก็ไม่รับงาน ในเมื่อไม่รับงานเขาเห็นใครรับอยู่เขาก็ยัดให้คนนั้น งานก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้น..บรรดาบุคลากรเก่า ๆ นี้ อย่าให้หลุดออกจากวัดไปได้ หลุดออกไปเมื่อไร ที่อยู่นี่วิ่งกันตีนพลิกกว่าจะหาคนมาแทนได้ แต่ว่าไม่ใช่ไม่มีนะ...มี บางทีท่านทำได้ดีกว่าเราอีก เพียงแต่ว่าท่านเองยังไม่มีอารมณ์ที่จะมารับงานตรงนั้น

เดี๋ยวนี้ฆราวาสสายหลวงพ่อมักจะมีการแสดงออกที่โดดเด่นมากกว่า อย่างเช่นว่า เป็นครูสอน และเขาไม่ได้สอนที่เดียวนะ บางทีเดินสายสอนทั่วประเทศเลย ถือว่าเป็นการสงเคราะห์ เป็นธรรมทานไป หลายต่อหลายท่านก็ตั้งสำนักเป็นหลักเป็นฐาน เป็นทางการ ตรงจุดนี้น่าจะเป็นการบ้านใหญ่ เพราะถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะทำอย่างนั้นได้แล้ว สายกรรมฐานของเรา...ไม่ต้องมากมายหรอก ล่วงพ้นไปสัก ๕๐ ปี หรือว่ารุ่นเรานี่ยังไม่ทันจะตายหรอก ๕๐ ปี (แต่อย่าประมาทนะ) ผมว่าสายอื่นเขาแซงเรา เพราะว่าของเราหาคนที่เก่ง ๆ ไม่ได้ ผมทุกวันนี้ก็ทุ่มเป็นทุ่มตาย พี่น้องที่ไหนเขาเดือดร้อนขอความช่วยเหลือมาก็ไปช่วย เพราะว่างานพวกนี้หลวงพ่อท่านทำมาก่อน

ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ หลวงพ่อแบกวัดอยู่ ๔๓ วัด ค่าใช้จ่ายแต่ละปี ๆ นับไม่ถ้วน บางวัดหลวงพ่อสั่งเหล็กสั่งปูนให้ครั้งหนึ่งราคาเป็นล้าน ๆ แต่ว่าส่งบิลที่วัดท่าซุง เพราะหลวงพ่อเห็นว่าเขาทำจริงก็ช่วย นั่นก็คือลักษณะของการสนับสนุนบุคคลในพระพุทธศาสนาด้วยกัน เพราะว่าไม่ว่าส่วนไหนก็ตาม ถ้าหากว่าสามารถนำคนเข้าวัดได้ สร้างศรัทธาให้กับคนได้ ถือว่าเป็นงานพระศาสนาด้วยกันทั้งหมด จะไปเลือกที่รักมักที่ชังว่าไม่ใช่สายหลวงพ่อ ไม่ใช่สายหลวงปู่..ในเมื่อไม่ใช่ก็ทำให้มันใช่เสียสิวะ..! เขามาขอความช่วยเหลือ ช่วยเขาท้ายที่สุดเขาก็ต้องมาหาเรา ก็กลายเป็นสายเดียวกันไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-12-2009 เมื่อ 14:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 97 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 17-12-2009, 08:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้มาถึงรุ่นพวกคุณ ถ้ามีโอกาสเรื่องเรียน เรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กาลต่อไปข้างหน้า ในเรื่องของการคณะสงฆ์นี่ ทันทีที่สิ้นในหลวงของเรา จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลชนิดพลิกฟ้าคว่ำดินเลย เพราะว่ามีคนจ้องจะล้มพระพุทธศาสนามานานแล้ว แรก ๆ ก็จะตัดในลักษณะที่ว่า เรื่องของสมณศักดิ์ ยศ ตำแหน่ง อะไรพวกนี้ อาจจะค่อย ๆ โดนตัดไปหรือตัดไปทีเดียว แล้วแต่ว่าเขาจะเมตตาอย่างไร ? เมื่อถึงวาระนั้นแล้ว สิ่งที่จะช่วยเราได้ดีที่สุดคือการศึกษา เพราะถ้าหากว่าเรามีการศึกษาอยู่ ถึงเวลาเราสามารถรับยศรับตำแหน่งได้ แม้ว่าจะไม่มีในลักษณะที่เรียกว่าเป็นสมณศักดิ์อย่างเดิม แต่ว่าการปกครองคณะสงฆ์อย่างน้อย ๆ เป็นเจ้าอาวาสนี่ ถ้าหากว่าเราสามารถเป็นเจ้าอาวาสที่ใดที่หนึ่งได้ เราจะมีอำนาจตามกฎหมาย สามารถบริหารจัดการตรงนั้นได้เต็มที่ ถ้าเราไม่มีความรู้ตรงนี้รองรับ เราไม่สามารถที่จะทำได้ และโดยเฉพาะถ้าไม่มีการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ วิสัยทัศน์เราจะแคบ เราไม่รู้ว่าจะบริหารจัดการวัดไปทางไหน

ผมเองคุยกับพระกับเณรอยู่ทุกเย็น ผมจะบอกอยู่ตลอดว่าผมจะบริหารวัดไปในลักษณะไหน..แนวไหน เพื่อที่ว่าถ้าหากปุบปับถ้าสิ้นเราไปเขาจะได้ทำต่อได้ ถ้าเรามีแนวบริหารที่ชัดเจน มีแผนระยะยาว ระยะกลาง ระยะสั้นที่ชัดเจน ว่าในแต่ละเดือน แต่ละปี อีก ๓ ปี ๕ ปี เราจะทำอะไร ทุกคนจะรู้ แล้วเราจะทำทุกอย่างไปในแนวเดียวกันหมด งานยากก็จะเป็นงานง่าย เราไม่ใช่แค่คิดว่า เออ..เดือนหน้าเราจะจัดงานอะไร ? เสร็จแล้วก็จบแค่นั้น นั่นใช้ไม่ได้...

จัดงานผ่านไปแต่ละงานนี่ คุณเคยประเมินตัวเองกันบ้างไหมว่าสอบได้หรือสอบตก ? ทันทีที่กระทบอารมณ์ในระหว่างงาน เราเกิดความรู้สึกอย่างไรขึ้นมาบ้าง ? ยินดียินร้ายตามมันหรือเปล่า ? ยินดีเฟื่องฟูเวลาที่เขาให้คำชมเชย บอกว่า "เออ...จัดงานได้ดีมากเลย หลวงพี่ขยันขันแข็งกันจัง เห็นทำงานมา ๒ วัน ๒ คืนแล้วยังไม่ได้พักเลย" หรือไม่อยู่ ๆ ไปเจอคนที่ไม่ถูกอารมณ์ด่าเอา "ไอ้ห่..มาวัดทำบุญ มันยังไล่อย่างกับหมูอย่างกับหมาว่าให้รีบ ๆ ทำ..รีบ ๆ ทำอีก..!" ถ้าโดนอย่างนั้นเข้าแล้ว เราไปดีใจเสียใจตามเขาหรือเปล่า ? ถ้าเราไปดีใจเสียใจตามเขา ก็ให้รู้เลยว่ากำลังใจเรายังใช้ไม่ได้ ทำอย่างไรที่เราจะทำกำลังใจให้เป็นกลางได้

ผมเป็นคนช่างสังเกตมาก เพราะว่าหลวงพ่อท่านสอนให้ดูใจตัวเอง ผมทำงานไป ๆ ตกใจ..รุ่นน้องเสียงโคตรดังเลย ผมก็ว่า เอ๊ะ...คนเสียงดังนี่ ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกคือเหนื่อย สาเหตุสองคือเครียด เหนื่อยกับเครียดนี่ ถ้ากำลังใจของเราทรงสมาธิอยู่ได้อาการก็จะน้อย ถึงเหนื่อยก็เก็บอยู่ข้างใน จะเครียดก็เก็บอยู่ข้างใน แต่นี่ทำไมเสียงดังอย่างกับตะโกน ผมก็หันมาสังเกตตัวเอง ปรากฏว่าเป็นเหมือนกัน โห..ตอนเช้าทำกรรมฐานอัดมาตั้งแต่ตีสาม..แน่นเปรี๊ยะเลย กะว่า "ใครจะเขย่าอย่างไรกูไม่สะเทือนแน่.." ที่ไหนได้..ยังไม่ทันจะฉันเพลเลยจะปริหักแล้วว่ะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-12-2009 เมื่อ 17:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 17-12-2009, 18:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราก็มาสังเกตว่า "เออ..เราโดนกระทบหนัก ๆ แล้วเป็นเหมือนกันเว้ย..!" คราวนี้ทำอย่างไรล่ะ ? บางทีก็นั่งจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ คุณก็รู้..ร้อยพ่อพันแม่จะเอาอย่างใจให้ได้ทุกคน แล้วมันจะขนาดไหน ? ราคาก็ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร เราก็กลัว ถ้าพลาดเราต้องควักกระเป๋าแทนอย่างนี้ พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเสียงดัง ก็เรียกโยมหรือไม่ก็พระที่อยู่ด้วยกัน "ช่วยดูแลแทนผมหน่อย เดี๋ยวผมจะเข้าห้องน้ำ ท้องไส้ไม่ค่อยดี.." เข้าไปนั่งนานนะ บางที ๑๐ นาที ๒๐ นาที ไปนั่งทำไม ? ไปปรับอารมณ์ใหม่ บางทีก็นั่งภาวนาบนโถส้วม เพราะว่าเราจะไปทำที่อื่นไม่ได้ คนเขาเห็น..พอเริ่มรู้สึกว่ากำลังใจทรงตัว คราวนี้ออกมาลุยกันใหม่ ดูซิว่าจะไปได้สักเท่าไร ? พอรู้สึกว่าไม่ไหว..สักบ่ายสองบ่ายสามเริ่มเป็นอีกแล้ว ก็ขอเข้าส้วมอีกรอบหนึ่ง เขาก็เข้าใจว่า..เมื่อเช้ามันท้องไส้ไม่ค่อยดี ตอนบ่ายก็เลยเข้าอีก ก็ดูปกติใช่ไหม ? ต้องหาเหตุให้เราเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้ารักษากำลังใจไม่ได้แล้ว ก็จะเสียประโยชน์ของเราเอง พอปรับไป...ปรับไปแล้ว ท้ายสุดสมาธิดี ก็ยืนระยะได้ทั้งวัน

มีอยู่งานหนึ่ง ถ้าหากว่าท่านเต่า(พระสองเมือง)จะจำได้ หลวงพ่อจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชรเสร็จ รุ่งขึ้นเป็นงานประจำปี โอ้..พระเจ้า..! คนอยู่วัดสามแสนกว่า สองวันสองคืนตูยืนเสียตีนบวม โยมเขาอยู่เราก็เลิกไม่ได้ ปรากฏว่า เฮ้ย..ผ่านได้ว่ะ..อีกงานหนึ่งก็งานเผาศพจำลองของหลวงพ่อ พอสวดเสร็จหลวงพ่อเรียก "เฮ้ย..เล็ก พรมน้ำมนต์.." เราก็หยิบที่พรมน้ำมนต์มา พอเดินถึงที่พรม โอ้โห...จ่าตุ๋ยชี้เสร็จเราเข่าอ่อนเลย ๒ แท็งก์..! น้ำมนต์ ๒ แท็งก์จริง ๆ..! วางอยู่บนสะพานลอยระหว่าง ๑๒ ไร่กับ ๒ ไร่ ๒ มุม ตูเหมาเละเลย ทหารตักใส่ถังมา เราก็พรมไป โยมเดินออกจาก ๑๒ ไร่ ไหลอย่างกับน้ำเลย ช้าไม่ได้ ถ้าช้าคนข้างหลังมา คนข้างหน้ายังยืนอยู่มันผลักเลยใช่ไหม ..? พรมหมด ๒ แท็งก์ ตูแขนห้อยไป ๓ วัน ยกแขนไม่ขึ้นจริง ๆ ทำอะไรไม่ได้เลย ๓ วัน เขียนหนังสือไม่ได้เลย จับอะไรสั่นแหง็ก ๆ ๆ แต่ก็รู้สึกว่า เอ๊ะ..สมาธิยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แสดงว่ากำลังใช้ได้...

แต่พอสังเกตมาอีก ๒ - ๓ งาน ไม่ได้แล้วว่ะ..สมาธิเราทรงตัวก็จริง แต่ในใจมีแรงกระทบตึก ๆ ๆ อยู่ตลอด "ไอ้ห่..มันไม่รู้จักเตรียมตัวหรืออย่างไรวะ ? เดินมาจนจะถึงหน้าหลวงพ่ออยู่แล้ว ค่อยมาควักสตางค์ ควักเสร็จนับไปนับมามันยืนนิ่ง มันยัดกลับเข้าไปใหม่อีก พอจะดันมันเดินขึ้นมา เอ้า...ควักออกมาใหม่" เจอคนอย่างนี้ถ้าคุณเป็นคนทำงานคุณจะรู้สึกอย่างไร ? หลวงพ่อของเรานี่ช้าไม่ได้เลยนะ.. เราก็เกิดแรงกระทบอยู่ตลอด ดูไปดูมา เราขาดตัว อัปมัญญาพรหมวิหาร ไม่สามารถที่จะทำได้อย่างหลวงพ่อ...
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-12-2009 เมื่อ 01:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 17-12-2009, 18:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนที่หลวงพ่อท่านอยู่ ถึงเวลาเช้า ๆ ถ้าท่านมา..ท่านจะติดขนมมาด้วย แล้วหมามันจะมาขอ จะมีหมาตัวหนึ่งเขาเรียก "ไอ้เขียว" ไอ้เขียวมันจะกระโดดท้าวหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านป่วย ท่านไม่มีแรง เดินยังเซ แล้วหมามันโดดท้าวใส่ ท่านก็จะล้ม ผมก็ต้องคอยคว้า วันนั้น "มึงโดนแน่..!" ผมเงื้อมือสุดแขน หลวงพ่อบอกว่า "อย่า...มันไม่รู้เรื่อง..!!" โอ้โห..ผมได้ยินผมเฉาเลย หลวงพ่อท่านว่าหมามันไม่รู้เรื่อง มันทำอย่างนั้นเพราะความที่มันรัก แล้วก็ดีใจที่จะได้กินขนมจากหลวงพ่อ มันก็พยายามจะประจบเอาใจตามแบบของมัน มันไม่รู้ว่าหลวงพ่อท่านป่วย แต่ มึงน่ะรู้ว่าหลวงพ่อป่วย..! ทำไมไม่คอยค้ำหลวงพ่อไว้ก่อน กลายเป็นว่าเรานั่นและที่ผิด ไม่ใช่หมาผิด แล้วพอไปได้ยิน อย่า..มันไม่รู้เรื่อง โห...หลวงพ่อเมตตามันขนาดนั้นนะ เราทำไมเมตตามันไม่ได้ ?

คนบางทีก็ฐานะอย่างดีเลย "โยมเชิญทางนี้เลยจ้ะ หลวงพ่ออยู่ทางนั้นรอรับถวายสังฆทานอยู่" แต่อีกคนมาถึงชุดมอซอมา "ยาย..! เร็ว ๆ หน่อยสิ ช้าได้อย่างไร ?" ทำไมตูเมตตาเขาเท่ากันไม่ได้วะ..?! นี่คือสิ่งที่ผมสังเกตและอยากจะบอกให้พวกคุณทำให้ได้แบบนี้ ท้ายสุดผมตัดสินใจขออนุญาตหลวงพ่อออกธุดงค์ เพราะผมรู้ว่าตัวเมตตาพรหมวิหารนี่ อยู่กับวัดผมฝึกไม่สำเร็จหรอก มันต้องไปป่า ไปหาที่ตายเลย ดูซิว่าจะเดินเข้าไปหาเสือแล้วแผ่เมตตาให้มันได้ไหม ? นั่นแหละครับ..ที่ผมออกธุดงค์ก็เพราะอย่างนี้ แต่ปรากฏว่าได้เกิน..พอไปเข้าจริง ๆ เหลือแต่....ตายแน่..!ตายแน่..! ไม่เหลืออย่างอื่นเลย ไม่ได้เมตตาพรหมวิหารกลับมาหรอก ไปได้สังขารุเปกขาญาณเลย งานนี้มึงไม่รอดแน่นอน..! มันได้เกินที่ต้องการ

นี่แหละ...คือสิ่งที่พวกเราต้องดูตัวเองให้ออก ดูตัวเองให้เป็น แล้วแก้ไขตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นการปฏิบัติของคุณทั้งชาติจะไม่ก้าวหน้าไปไหนหรอกครับ จะเห็นว่าสมาธิ ทำไป...ทำไป..ถึงเวลาแล้วมันจะตันครับ พอตันแล้วคุณไปต่อไม่เป็น มันก็ถอยกลับ ถ้าถอยกลับคราวนี้ล่ะคุณเอ๊ย..! รสชาดของชีวิตมาเลยแหละ เพราะมันจะฟุ้งซ่าน แล้วมันเอากำลังของสมาธิของคุณนั่นแหละไปฟุ้งซ่าน คราวนี้เอาอยู่ยากสุด ๆ เขาให้เอากำลังสมาธิตัวนั้นไปตัดกิเลส แต่กลายเป็นว่าคุณเอากำลังสมาธิตัวนั้นไปฟุ้งซ่าน โอ้โห..คราวนี้ รั้งไปเถอะ อย่างกับม้าพยศอยู่ริมเหว จะเอาให้อยู่อย่างไรก่อนที่มันจะตกเหวไปด้วยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2009 เมื่อ 20:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 18-12-2009, 02:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...ต้องระวังให้ดีครับ มันจะมีกำลังมากกว่าเดิมครับ เพราะเราไปสนับสนุนกิเลสโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี้ถ้าหากว่าเราอ่านเกมเป็น แก้เกมเป็นไปเรื่อย ๆ ความชำนาญก็จะมี แล้วถึงเวลาใครเขามาถาม เราบอกได้ทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าเราไม่สามารถทำถึงจุดนี้ได้ อันดับแรก ผลประโยชน์ของตัวเองในการปฏิบัติก็จะไม่มี อันดับที่สองเราแบกชื่อวัด แบกชื่อหลวงปู่ หลวงพ่อ ของเราอยู่ ถ้าเกิดว่าเราไปหลุด กาย วาจา ใจ ที่ไม่ดีให้โยมเขาเห็น เขาไม่ได้ว่าเรา เขาจะบอกว่า "อะไรวะ..พระหลวงพ่อทำได้แค่นี้เองหรือ ?" ฉิบหา..แล้ว..เขาไม่ได้ว่าแต่เราแล้ว เขาว่าวัดท่าซุงไปด้วย เขาว่าหลวงปู่หลวงพ่อไปด้วย เพราะฉะนั้น..พวกเราจะต้องรู้สำนึกตัวเอง สมัยผมอยู่กับหลวงพ่อ ท่านบอกว่า "แกไปไหนบอกเขาว่าอยู่วัดท่าซุง แกเคยพิจารณาหรือเปล่าว่า แกเอาซุงดี ๆ หรือซุงผุ ๆ ไปอวดเขา ?"

ผมตัดสินใจออกจากวัดมาเพราะสาเหตุพวกนี้เป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าตอนนั้นถ้าอยู่วัดต่อ ผมจะเป็นมาเฟียแล้ว พระพี่พระน้อง ๔๐ กว่ารูป ผมบอกซ้ายหัน ขวาหัน จะมีหันตามมาประมาณ ๓๐ รูป คุณคิดดูแล้วกัน ถ้าเราไปอยู่ตรงจุดนั้น เราจะหาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะคนอื่นเขาให้เครดิตเราสูงสุด เราไม่มีคู่แข่ง ในเมื่อไม่มีคู่แข่ง ก็วัดตัวเองไม่ได้ ถ้าสามารถรักษาความดีไว้ได้...ก็ได้แค่นั้น แต่ถ้ารักษาความดีไว้ไม่ได้ เราถอยหลังแน่นอน แล้วหากว่าถอยมาจนกระทั่งความดีหมด คราวนี้แย่กว่าหมาเยอะเลย..!

ที่ผมตัดสินใจออกจากวัดมานั้น เรื่องนี้เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุด เพราะผมรู้ว่าความดียังไม่พอ ผมต้องไปหาเพิ่ม วิธีที่จะหาเพิ่มนั้นมีทางเดียวคือต้องไปผาดโผนในยุทธจักร เพราะว่าแรงกระทบจะเยอะที่สุด ไม่ว่าคุณจะทำอะไรนี่...มือตีนมารอบข้างเลย ไม่ใช่ประเภทช่วยกันผลักช่วยกันดันนะ แต่ทั้งถีบทั้งอัดเราเลย แต่ผมมั่นใจว่า สิ่งที่หลวงพ่อสอนมา กับสิ่งที่ผมพยายามกอบโกยใส่ตัวไว้นี่ อย่างน้อย ๆ ผมพอที่จะยืนหยัดอยู่ได้ แม้ว่าจะเซบ้าง เอียงบ้าง แต่ไม่ถึงกับล้มขายหน้าเขาแน่นอน ผมมั่นใจผมถึงกล้าออกมา...
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2009 เมื่อ 03:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 18-12-2009, 08:08
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ขออนุญาตและขอขมาหลวงพี่เล็กท่านด้วย ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อนะครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 18-12-2009, 12:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอผมขยับออกมา คุณก็เห็นว่าตามมาเป็นพรวน พอออกมาได้ปีกว่า ๆ หลวงตาวัชรชัยก็โทรมา "เล็กโว้ย..มึงทำใจได้อย่างไรวะ ? กูจะหัวหงอกหมดแล้ว เห็นมึงออกมาสร้างวัดแป๊บเดียวเสร็จ กูก็นึกว่าง่าย ๆ" (หัวเราะ) ก็บอกท่านไปว่า "พี่...ผมไม่ได้ทำใจอย่างไรหรอก ผมคิดอย่างเดียวว่าถ้าผมมี..ผมก็ทำ ถ้าไม่มี ผมก็นอน..!" แต่มันไม่เคยได้นอนเลยสิ

พยายามสร้างตัวเองเข้าไว้ ถึงเวลาถ้าหากกำลังใจของเรามั่นคง อันดับแรก เราเอาตัวรอดได้ อันดับสอง ญาติโยมที่หวังพึ่งพาเราเอาตัวรอดได้ อันดับสาม ถึงแม้ไม่สามารถจะยังพระศาสนาให้รุ่งเรืองไปกว่านี้ ก็อย่าทำให้พระศาสนาล่มจมไปเพราะตัวเรา เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ต้องพยายามไว้ อนาคตมันจะแย่ เพราะว่าพระศาสนาจะโดนเบียดเบียนมาก เขารอให้ในหลวงสิ้นพระชนม์จริง ๆ พวกนั้นเขารออย่างเดียวเลย เพราะตราบใดที่ในหลวงอยู่ เขาทำอะไรศาสนาเราไม่ได้

ในหลวงทุกวันนี้ต้องบอกว่าตายไม่ลง ทรมานพอ ๆ กับหลวงพ่อเลย แต่ตายไม่ลง ตายเมื่อไรบ้านเมืองจะปั่นป่วนมาก อย่างไรก็ต้องโดนค้ำอยู่นั่นแหละ เทวดาค้ำซ้ายค้ำขวา นับองค์ไม่ถ้วน หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ต้องลุ้นกันสุดชีวิต ผมเองเมื่อวานก็ไปกราบพระแก้วมรกตมา ขอพรเผื่อในหลวงเยอะเลย เสร็จแล้วก็มาป่วยอยู่นี่ แตะเรื่องของประเทศชาติ เรื่องของส่วนรวมเมื่อไรผมหงิกทุกที ไม่ได้นึกอยากจะทำหรอก แต่ถ้างานบางอย่าง มุมไหนที่เราพอจะทำได้ เป็นการเอื้อต่อพระศาสนา เป็นการแบ่งเบาพระราชภาระ ให้ทำไปเถอะ...

ผมประทับใจในพระบรมราโชวาทที่พระองค์ประทานให้คนที่รับพระสมเด็จจิตรลดา ท่านบอกให้เอาทองปิดข้างหลังไว้ ก็คือให้ทำงานแบบปิดทองหลังพระ ไม่ต้องไปหวังความดี ไม่ต้องไปหวังยศตำแหน่ง ให้เราทำเพราะตั้งใจทำ พล.ต.อ.วศิษฐ์ เดชกุญชร ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดท่านมียศเป็นพันตำรวจเอก ไปเป็นตำรวจนายเวรพระราชสำนัก พอได้รับพระราชทานท่านก็กราบทูลในหลวงว่า เรามัวแต่ปิดทองหลังพระอยู่ แล้วเมื่อไรคนจะเห็น (หาคนกล้าถามอย่างนี้ยาก) ในหลวงทรงตรัสว่า สำคัญที่ว่าเราปิดเยอะพอไหม ถ้าหากว่าปิดได้มากพอก็จะล้นมาข้างหน้าจนคนเห็นเอง

ผมเองสุขภาพก็ไม่ดี จะไว้วางใจว่าชีวิตยืนยาวก็ไม่ใช่ แนวคิดหลายอย่างที่มีอยู่แต่ยังทำไม่ได้ บางส่วนก็บอกคุณไปแล้ว ลองไปว่ากันดูสักยก เอาให้ระบือลือลั่นไปเลยว่าเราเป็นรุ่นใหม่มาแรง รุ่นเก่า ๆ บางทีพออายุมากเข้า ๆ แล้วไฟเริ่มมอด รุ่นใหม่ ๆ อย่างพวกเรานี่เหมือนไฟไหม้ฟาง อย่างคุณมาตรงนี้ ผมเอาไฟจุด..ก็ลุกพรึ่บขึ้นมา เดินไม่ทันจะพ้น...เดี๋ยวก็ดับแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2009 เมื่อ 13:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 18-12-2009, 12:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทำอย่างไรที่คุณจะรักษากำลังใจให้สม่ำเสมอได้ จุดมุ่งหมายการบวชของเราวันแรกคืออะไร ? ในปัจจุบันนี้เรายังมีกำลังใจที่มุ่งมั่น มั่นคงเท่ากับวันแรกที่เราบวชหรือเปล่า ? ตอนนี้เราเดินตรงทางที่จะไปสู่จุดหมายนั้นหรือไม่ ? เราได้ระยะทางใกล้ไกลเท่าไร ? ยืนอยู่ตรงจุดไหนแล้ว ? เหลือระยะทางอีกใกล้ไกลเท่าไรที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายนั้น ?

คุณต้องประเมินตัวเองให้ได้ ถ้าประเมินตัวเองไม่ได้นี่ความก้าวหน้าจะไม่มี ตอนสมัยผมอยู่วัด ผมก็ไม่ได้ตำหนิพี่ ๆ เขาหรอก เพราะว่าผมกล้าเกินตัว วิสัยเป็นทหารมาทุกชาติ เราอายุพรรษาน้อย แต่กล้าจับงานใหญ่ กล้าชนกระทั่งกรรมการสงฆ์ทั้งคณะ ทำให้พี่ ๆ เขาปวดหัว ผมดูเหมือนคนหัวดื้อ ปกครองยาก แต่จริง ๆ ไม่ใช่ คุณไปคุยกับหลวงตาวัชรชัยแล้วคุณจะรู้ คนอย่างผมถ้าหากว่ามีเจ้านายที่เขาเข้าใจนะ สั่งคำเดียวครับรับรองว่างานเสร็จแน่นอน แล้วผลงานออกมาดีด้วย ไม่ต้องเสียเวลามาตรวจสอบ มาติดตามอะไรหรอก แต่ถ้าเจ้านายไม่เข้าใจ เขากลัวว่าประเภทพลังงานล้นเกินอย่างเรา ถ้าหากว่างานพลาดจะเสียหายมาก ก็เลยมีการขัดกันอยู่ในที แล้วก็กระทบกันไป กระทบกันมาเป็นเรื่องปกติ

ผมเองทุกครั้งที่มีการกระทบกระทั่งกัน ผมจะขอขมาท่ามกลางสงฆ์ทุกครั้ง แม้กระทั่งการประชุมสงฆ์ ฉะกันจนศาลาจะถล่ม ถึงเวลาต่างคนต่างยกเหตุผลของตัวเองขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุผลแต่เสียงเราดังไป ใส่อารมณ์มากไป พอเขาเลิกงานผมก็ขอขมา ผมไม่เคยงุบงิบไปขอขมาลับหลังกัน ผมถือว่าผมเล่นเขาต่อหน้า ผมต้องขอขมาเขาต่อหน้า ขอให้ทุกคนเห็นว่าผมขอ แล้วหลังจากนั้นผมก็ตัดตรงนั้นทิ้งไปเลย ผมถือว่าผมรักษากำลังใจของผมใหม่ แต่สำหรับใครอาจจะติดใจไปสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ หนึ่งเดือนหรือสองเดือน ก็แล้วแต่กำลังใจมากน้อยของเขา

แรก ๆ ผมออกมาจากวัดได้ ๑ - ๒ ปี พี่อาจินต์ พี่สามารถก็แวะไปหา ตอนนั้นเขาคงจะหาช่องทางไปของตัวเอง ผมมานั่งคิดว่า "ผมทำถูกหรือเปล่า ที่ผมออกจากวัดมา เพราะว่าถ้าผมอยู่วัด ผมจะเป็นกำลังที่ช่วยบริหารวัดได้มากกว่านี้.." ไม่ใช่ผมไม่คิดนะ...ผมคิด แล้วท้ายสุดผมตอบตัวเองว่า...ผมคิดไม่ผิด ที่ผมคิดไม่ผิดก็เพราะว่าถึงผมอยู่...ผมก็บริหารวัดได้ไม่ดีไปกว่าหลวงพ่อ ถ้าเราบริหารวัดได้ไม่ดีเท่าหลวงพ่อ คุณทำอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่กระเตื้องขึ้นไปกว่านั้นหรอก แต่ถ้าคุณออกมาข้างนอกเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แล้วคุณทำได้ดี จะมีคนเห็นตั้งแต่แรกเลย ตรงนี้เขาจะเห็นว่าความสามารถล้วน ๆ แล้วท้ายสุดจะดึงศรัทธาคนได้มาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2009 เมื่อ 13:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 18-12-2009, 12:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ซึ่งก็จริง ๆ มันมากจนผมเหนื่อย ก็แปลว่าจริง ๆ แล้วงานของพระพุทธศาสนา ไม่ว่าอยู่จุดไหนของประเทศ อยู่จุดไหนของโลกเราก็ทำได้ สำคัญอยู่ตรงที่เราต้องทุ่มเท ถ้าเหนื่อยแล้วพัก ป่วยแล้วพัก หิวแล้วพัก เจออุปสรรคแล้วพัก ก็แปลว่าเรารักตัวเองมากกว่างานพระศาสนา ถ้าเรายังรักตัวเองมากกว่างานพระศาสนา ก็แปลว่าสักกายทิฏฐิยังท่วมหัวเลย เพราะยึดตัวเองเป็นใหญ่

เพราะฉะนั้น..พวกท่านจะเห็นว่าบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ สายนอก คำว่าสายนอกก็คือท่านที่ไม่ได้บวชที่วัดท่าซุง แต่เลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงปู่ หลวงพ่อแล้วปฏิบัติตาม ประกาศตนว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ท่านจะเข้มแข็งกว่าทั้งนั้นเลย คุณลองไปเยี่ยมแต่ละวัดดู แต่ละวัดเป็นหลักเป็นฐาน มีญาติมีโยมจำนวนหนึ่งให้การสนับสนุนอย่างเหนียวแน่น แล้วขณะเดียวกันอย่างของท่านเต่า คุณอยู่มานานกว่าเพื่อนในกลุ่มนี้ คุณวิเคราะห์ดูว่า ตั้งแต่คุณบวชพรรษาแรกจนถึงพรรษาปัจจุบัน วัดท่าซุงเรามีการเปลี่ยนแปลงในทางไหน ? คนเก่าเรารักษาเขาอยู่ได้ไหม ? คนใหม่เราสามารถหาเพิ่มได้ไหม ? ที่เพิ่มมาเรารักษาเขาอยู่ได้ไหม ? ต้องมองตรงจุดนี้ให้เป็น ถ้ามองตรงจุดนี้ไม่เป็นคุณบริหารวัดไปไม่รอดหรอก มีแต่จะกลายเป็นตำข้าวสารกรอกหม้อเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ

บางทีก็ไม่รู้ว่าโยมเขาหายไปเพราะสาเหตุอะไร แล้วที่มาก็เพราะสาเหตุอะไร ที่หายไปให้เขาไปวิเคราะห์เอาเอง ไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว แต่ที่มานั้น ๕ สาเหตุด้วยกัน

สาเหตุที่หนึ่ง มาเพราะอยากได้หวย จริง ๆ ครับ พวกนี้ไปวัดไหนจะเอาหวยให้ได้
สาเหตุที่สอง มาเพราะอยากได้เครื่องรางของขลัง มาเพราะอยากได้วัตถุมงคล ของหลวงพ่อเรามีให้แน่นอน โดยเฉพาะยันต์เกราะเพชร
สาเหตุที่สาม มาเพราะได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณหลวงพ่อ อยากจะได้ชื่อว่ากูก็ไปกราบพระอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน
สาเหตุที่สี่ ตามเขาไป ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เพื่อนชวนก็ไป ไปถึงยังไปถามอีกว่า "หลวงพ่อองค์ไหน ? หลวงพ่อเก่งอย่างไร ?" คุณเจอบ้างไหม ? มีครับ..เยอะด้วย
สาเหตุที่ห้า นี่หายากที่สุด ไปเพราะต้องการธรรมะ

ในเมื่อเขามาเพราะห้าสาเหตุ ถึงเวลาคุณบริหารวัด คุณสามารถสนองเขาได้ครบทุกสาเหตุหรือเปล่า ? คุณเลือกเอาเฉพาะบุคคลไม่ได้ เหมือนกับบางวัด เลือกคบกับเฉพาะญาติโยมรวย ๆ นั่นนะหาเรื่องเหนื่อย ญาติโยมรวยเขาบริจาคเยอะ..เออใช่..คุณคิดถูก คุณได้เงินเยอะ..เยอะกว่าคนจน แต่ถึงเวลาจะขุดหลุมยกเสา เขามาขุดให้คุณไหมเล่า ? เขาลงจากเบนซ์มา ใส่สูทหรือเดรสมาจากนอกเลย หิ้วกระเป๋าหลุยส์วิตตองมา ให้เขาไปโกยดินเขาจะทำให้ไหมเล่า..? ไม่มี..ก็ต้องอาศัยชาวบ้านข้างวัดนั่นแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2009 เมื่อ 13:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 18-12-2009, 12:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,399,964 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราสามารถสนองความต้องการของเขาได้ ดึงคนให้อยู่กับวัดได้ จะเป็นคนรวยหรือคนจนก็ตาม ถึงเวลา ถึงวาระที่เหมาะสม เขาจะแสดงศักยภาพของเขาออกมา สามารถช่วยงานพระศาสนาได้เหมือน ๆ กัน และช่วยได้มากกว่าที่เราคิดด้วย คุณจะให้คุณหญิง คุณนาย นายพลทั้งหลายไปล้างจานหรือ ? ถามหน่อยซิ..ใครมันจะทำวะ ? ยกเว้นถ้าเขาลดมานะได้จริง ๆ คุณก็ต้องใช้ชาวบ้านนั่นแหละ..ใช่ไหม ? ผู้เสียสละเลย กว่างานจะเสร็จ กว่าจะล้างจาน คนอื่นเขานอนตีพุงไปตั้งนานแล้ว ทางนี้ยังเก็บกวาดไม่หมดเลย

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าเราทำงาน สายตากว้างอย่างเดียวไม่พอ ใจเราต้องกว้างด้วย สายตากว้างแต่ใจแคบ..บริหารงานได้ไม่ดี แล้วที่สำคัญที่สุด หูต้องหนัก ใครว่าอะไรช่างหัวมัน...ถือเป็นลมผ่านหู ไม่ได้ยิน ทุกวันนี้ผมทำอย่างนั้นจริง ๆ ไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ถือว่าไม่รู้ ไม่ได้ยินกับหูตัวเองถือว่าไม่รู้ คนอื่นพูดอย่างไรผมเฉย ผมรอดูจนกว่าจะเจอต่อหน้าต่อตา คราวนี้จะได้คุยกัน แต่ถ้าหลักฐานยังไม่ชัดเจนปล่อยไปก่อน ซ่าได้ซ่าไป ไม่ว่ากัน

คุณต้องวางกำลังใจให้ได้ ถ้าวางกำลังใจไม่ได้..ก็อยู่คนเดียวไม่ได้ ถ้าวางกำลังใจเป็น มีความมั่นคง ก็เหมือนกับเสาหลักหรือหินใหญ่กลางน้ำ คนที่เขาอยู่กลางกระแสเชี่ยว ท้ายสุดก็ต้องมาพักมาพิงอยู่ตรงนี้ แล้วก็จะกลายเป็นคณะใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ตามเวรตามกรรมที่เราทำมา

ขอให้รักษาคนที่ศรัทธาเราให้อยู่ให้ได้ แล้วแนะนำเขาไปในทางที่ถูก รู้ว่าเรามีความดีไม่เพียงพอที่จะแนะนำเขา เทปก็ได้ ซีดีก็ได้ หรือหนังสือของหลวงพ่อก็ได้ ให้เขาไป บอกเขาไปเลยว่า "ไปทำเอา หลวงพี่หรืออาตมาเองทำมายังไม่ตลอดรอดฝั่งหรอก แต่ว่าโยมอาจจะบุญดีกว่า ทำแล้วอาจจะได้ผลมากกว่า ถ้าหากว่าโยมได้ดีมากกว่ามาสอนอาตมาด้วย แต่ถ้าตรงไหนที่โยมคิดว่าไปไม่ไหวแล้วอาตมายังพอรู้บ้าง มาขอคำแนะนำจะบอกให้.." ถ้าอย่างนี้โอกาสพลาดของคุณนะ....ยาก แล้วเราก็มั่นใจว่าสิ่งที่เราให้เขานี่ดีแน่ ๆ

รักษาคนของเราให้ได้ ถ้าหากของคุณสามคน คุณมีคนศรัทธาเลื่อมใสสัก ๓๐๐ คน ของคุณอาจจะมีสัก ๑๐๐ คน ของคุณมีสัก๕๐ คน รวมแล้วก็ ๔๕๐ คน แต่ถ้าแตกกระจัดกระจาย คุณได้ ๓๐๐ นั่นได้ ๑๐๐ นั่นเหลือ ๕๐ ก็เหมือนกับโซ่ที่เป็นห่วง ๆ หลุดอยู่ โซ่ที่เป็นห่วง ๆ จะใช้อะไรได้ ยกเว้นเอาไปขว้างกบาลคนอื่น แต่ถ้าคุณเชื่อมให้เป็นโซ่เส้นเดียวกันขึ้นมา งานของพระพุทธศาสนาจะไปได้ดีมากเลย

เรื่องบางอย่างมันเหมาะที่จะพูดกับพระ ไม่เหมาะที่จะพูดกับฆราวาส แต่ว่าเรื่องส่วนใหญ่นั้นเหมาะที่จะพูดกับฆราวาสมากกว่า แล้วโอกาสที่พวกเราจะมานั่งพร้อมหน้าหลาย ๆ คน เพื่อให้คุ้มค่ากับที่ผมจะพูด...ก็มีน้อย


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
สนทนากับพระ ช่วงเช้า ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2009 เมื่อ 13:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ

Tags
งานพระศาสนา


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:42



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว