กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #521  
เก่า 13-07-2020, 14:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

บ้านตาดยุคสุดท้าย (พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๕๔)

เป็นยุคที่เปิดกว้างสู่สาธารณชนสูงสุด เนื่องจากองค์หลวงตาเมตตาออกมาช่วยชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อ้างอิงตามข้อมูลของวัดเก็บบันทึกไว้มีดังนี้
ปี ๒๕๔๑ จำนวน ๔๖ องค์ ปี ๒๕๔๘ จำนวน ๕๘ องค์
ปี ๒๕๔๒ จำนวน ๔๗ องค์ ปี ๒๕๔๙ จำนวน ๕๖ องค์
ปี ๒๕๔๓ จำนวน ๔๖ องค์ ปี ๒๕๕๐ จำนวน ๕๘ องค์
ปี ๒๕๔๔ จำนวน ๔๙ องค์ ปี ๒๕๕๑ จำนวน ๖๑ องค์
ปี ๒๕๔๕ จำนวน ๕๒ องค์ ปี ๒๕๕๒ จำนวน ๖๓ องค์
ปี ๒๕๔๖ จำนวน ๕๕ องค์ ปี ๒๕๕๓ จำนวน ๖๒ องค์
ปี ๒๕๔๗ จำนวน ๕๗ องค์


ครูบาอาจารย์ที่จำพรรษาร่วมกัน มีรายนามดังนี้
พระอาจารย์สงัด ฐิตธัมโม, พระอาจารย์สมบูรณ์ ปุณณารักโข, พระอาจารย์เสวต จิรธัมโม, พระอาจารย์จำเริญ คุณวโร, พระอาจารย์คัมภีร์ ญาณคัมภีโร,พระอาจารย์สันต์ชัย สันติธัมโม, พระอาจารย์ประพจน์ ทีฆายุโก, พระอาจารย์ปัญญา ฐิตโสภโณ, พระอาจารย์บัญชา เมตติโก, พระอาจารย์สุทธิชัย จักกวโร, พระอาจารย์สมฤกษ์ ญาณวโร, พระอาจารย์สุขกาย พลญาโน, พระอาจารย์สันติ สุปฏิปันโน, พระอาจารย์พอใจ โฆสธัมโม, พระอาจารย์เรือนทอง สันตจิตโต, พระอาจารย์อำพล ฐานุตตโร, พระอาจารย์ชำนาญ อภิปัญโญ, พระอาจารย์ทวี อัตตสาโร, พระอาจารย์ธีระเดช ถิรธัมโม, พระอาจารย์วิมาน เขมาภิรโต, พระอาจารย์ประพบ ลาภิโก, พระอาจารย์ยุทธนา ตันติปาโล, พระอาจารย์ทิพากร สุภาจาโร, พระอาจารย์สมชาย จิตตกาโร, พระอาจารย์นกหวีด กิตติวุฑโฒ, พระอาจารย์อดิศร รตนปัญโญ, พระอาจารย์ฉัตรชัย วิชโย, พระอาจารย์ชวลิต ภูริปัญโญ, พระอาจารย์เฉลิมชัย อธิจิตโต, พระอาจารย์ไพโรจน์ อภิปุญโญ, พระอาจารย์สิงห์โต โฆสโก, พระอาจารย์สมิง ปิยธัมโม, พระแกส รตนญาโณ, พระฉัตรแก้ว ญาณรังสี, พระเขมาสาลา ธัมมเฉโก, พระปิออต จิตตปัญโญ, พระวีระพงษ์ สุจิณณธัมโม, พระจันทร์ญา เปสโล, พระพรเทพ ญาณวุฑโฒ, พระอ้วน ธัมมเฉโก, พระไพโรจน์ อัตตคุตโต, พระฮานส์ ญาณธัมโม, พระปีเตอร์ ฐิตธัมโม, พระพิทักษ์ รตินธโร, พระมหาพิศิษย์ ธีรปัญโญ, พระธงชัย นิรโต, พระวีระพล สัจจวโร, พระไกรวัลย์ ฐานวโร, พระนิรันต์ นิรันตโร, พระมนู กิตติวัณโณ, พระรอนนี่ กันตธัมโม, พระจอห์น กุสโล, พระอาทิตย์เทพ อภิปัญโญ, พระวีระศักดิ์ ถาวรจิตโต, พระเพลินจิต อธิจิตโต, พระ ม.ล.สิทธิโชค สิทธิเตโช, พระหมาย มหัทธโน, พระศุภชัย ภูริปัญโญ, พระพิณโย กาญจโน, พระสมชาย ฐิตธัมโม, พระเจี่ย ปิยสีโล, พระเฮนรี่ หิริวโร, พระกัมพล ขันติพโล, พระพายัพ ฉันทสีโล, พระสัมพันธ์ ถิรโสภโณ, พระมณฑล วรจิตโต, พระศุภนิติ ครุโก, พระวรวุฒิ ภัททธัมโม, พระสารทูล สุชาโต, พระธนเศรษฐ์ สมังคิโก, พระปัญญา นิมโล, พระมนตรี จัตตสีโล, พระภานุมาศ ฐานิโย, พระสุชาติ ฐิตสุโข, พระโชติรส, พระดนัย โสภิโต, พระอภิสิทธิ์ สิทธิชโย, พระเกรสัน มนุญโญ, พระวินัย สิริกุโล, พระเจตน์ อาจิตตธัมโม, พระตีต้อง วรปัญโญ, พระโจเซฟ ปิยธัมโม, พระประเสริฐ ขันติโสภโณ, พระธงชัย อธิปัญโญ, พระปีเตอร์ ตปสีโล, พระปิโยรส ฐิตรโส, พระพิศาล วิชโย, พระเนตร สันตจิตโต, พระเดวิด อภิสัทโธ, พระพรชัย นาถธัมโม, พระทรงศักดิ์ ติกขวีโร, พระพยัคฆ์ ปัญญารัตโน, พระนิวัติ สุวัณโณ, พระวรัตน์ วรญาโณ, พระอนุวัฒน์ ปิยวาจโก, พระเดชา จัตตสัลโล, พระสมชาย วรจิตโต, พระบวร (โคคำมา) ฯลฯ


จำพรรษาในระหว่างเป็นสามเณร ไม่ทราบสถานภาพปัจจุบัน
สามเณรจิตติ สุวรรณพฤกษ์, สามเณรกะวีวัฒน์ นาสวัสดิ์, สามเณรนนท์ ยะสุตา, สามเณรเอกชัย ใจสุต๊ะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2020 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #522  
เก่า 13-07-2020, 16:45
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

บ้านตาดยุคสิ้นร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่ (พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป)

เป็นยุคที่พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน โดยก่อนละขันธ์.. องค์ท่านบรรจงฝากพระธรรมคำสอนตอนเช้ามืดของวันใหม่ และปีใหม่เวลาตีหนึ่งเศษของวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ณ โรงพยาบาลศิริราช ไว้เป็นเครื่องระลึกเตือนใจตลอดไป แก่พระอาจารย์สุดใจในนามผู้แทนคณะศิษย์ทั้งปวงว่า
มือของครูอาจารย์กับมือของลูกศิษย์ลูกหา ญาติมิตร เพื่อนฝูง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้ ไว้ใจกันได้ เชื่อใจกันได้ ตายใจกันได้


องค์หลวงตา ท่านฝากเตือนคณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์ของท่านทั้งปวง ให้มีสามัคคีธรรม รักใคร่กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้รักษาและสืบทอดมรดกธรรม ได้แก่ข้อวัตรปฏิบัติ คำสั่งสอน และปฏิปทาที่ท่านพาดำเนินมา มิให้เสื่อมคลายและสูญหายไป ให้ฝากเป็นฝากตาย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2020 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #523  
เก่า 13-07-2020, 16:49
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๙. เสาหลักกรรมฐานสมัยกึ่งพุทธกาล

องค์หลวงตามักมีเหตุได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานสำคัญ ๆ ที่ต้องใช้เหตุผล ไหวพริบปฏิภาณและบารมีในการจัดการปัญหา และทุกเรื่องก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เป็นที่ลงใจของทุกฝ่าย ทางด้านปัญหาธรรม องค์หลวงตาก็มีโอกาสได้สนทนา แก้ปัญหาธรรมขั้นละเอียดให้แก่พระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจำนวนมาก จนถึงกับเคยได้รับคำยกย่องจากพระมหาเถระที่มีพรรษาสูงกว่าว่า "องค์หลวงตาเป็นอาจารย์ของท่าน" ด้วยเหตุนี้ การแก้ปัญหาทั้งส่วนย่อยส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของท่าน จึงกล่าวขานได้อย่างสมบูรณ์แบบว่า องค์หลวงตาเป็นเสาหลักแห่งวงกรรมฐานสมัยกึ่งพุทธกาล

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2020 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #524  
เก่า 14-07-2020, 14:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เสาหลักกรรมฐาน

งานฉลองกึ่งพุทธกาล

เมื่อครั้งที่องค์หลวงตาจำพรรษาที่จันทบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ชาวจันทบุรีได้เล่าให้ท่านพ่อลี วัดอโศการาม ฟังถึงการเทศนาขององค์หลวงตาชนิดน้ำไหลไฟสว่างเลยทีเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วท่านทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อนแล้วตั้งแต่หลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ องค์หลวงตาเล่าว่า
“... ท่านพ่อลีมีนิสัยเด็ดเดี่ยว อาจหาญชาญชัยมากในการประพฤติปฏิบัติ และท่านเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เริ่มแรกโน้น จนกระทั่งได้พลัดพรากจากกันทั้งหลวงปู่มั่น และท่านเองก็เคยไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ


เท่าที่ได้สังเกตในเวลาท่านไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือนั้น รู้สึกว่าหลวงปู่มั่นท่านแสดงอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความเมตตาอย่างมากมาย เห็นได้อย่างชัดเจน แม้ท่านจะไม่ได้พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือเป็นเวลานานก็ตาม แต่สถานที่ให้พักสำหรับท่านพ่อลีเรานี้ ท่านเป็นผู้สั่งเองว่าให้ไปจัดที่นั่น ๆ คือในป่านอกบริเวณรั้ววัด ให้ท่านลีได้พักสบาย ๆ เพราะสงัดดีกว่าที่อื่น ๆ

คำว่าที่นั่น ๆ นั่นหมายถึงในป่าลึก ๆ โน้น แล้วก็สั่งเราเองนี้ให้เป็นผู้ไปดู และจัดสถานที่ที่จะให้ท่านพัก หลังจากนั้นท่านยังตามไปดูสถานที่พักนั้นอีกด้วย นี่ก็เป็นเหตุให้ประทับใจไม่ลืม และการให้โอวาทสั่งสอนใน ๒ – ๓ คืนที่ท่านพักอยู่นั้น รู้สึกว่าประทับใจอย่างมากทีเดียว

เพราะครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน และเป็นที่เมตตาเป็นที่ไว้วางใจของท่าน นาน ๆ จะได้ไปพบกับท่าน กราบนมัสการท่านครั้งหนึ่ง และได้สนทนาธรรมกัน ท่านจึงได้สนทนากันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถเต็มธรรมทุกขั้นตอน ซึ่งยากที่จะหาฟังได้ในเวลาอื่น ๆ

นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ลืมไม่ได้ เพราะหลวงปู่มั่นนั้นแสดงอาการอันใดออกมา ย่อมเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความหมายที่จะยึดเป็นคติได้ตลอดไป ไม่สักแต่ว่ากิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยความหมาย นี่ท่านพ่อลีก็เป็นลูกศิษย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเรา...”

จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ท่านพ่อลีรู้จักคุ้นเคยกับองค์หลวงตาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านหนองผือแล้ว

ต่อมาเมื่อท่านเริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดได้ไม่นาน ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ครบกึ่งพุทธกาล ท่านพ่อลีจึงได้จัดเตรียมงานฉลองพระพุทธศาสนาขึ้นที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ความตั้งใจของท่านพ่อลีในทีแรก คิดจะจัดงานนาน ๒ อาทิตย์ แต่ก็มีเหตุให้ขยายวันเพิ่มออกไป

เป็นปกติธรรมดาเมื่อทำกิจการงานใด ปัญหาในงานนั้นย่อมเกิดมีขึ้นไม่มากก็น้อย และหากต้องอาศัยคนหมู่มากเข้าร่วมงานกันด้วยแล้ว การตกลงกันในงานเพื่อจะให้มีทิศทางเดียวกัน ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีก มิฉะนั้น ปัญหายุ่ง ๆ พอให้รำคาญใจย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย แม้ในคราวจัดงานบุญครั้งนี้ก็เช่นกัน

พอเริ่มงานได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ก็เริ่มมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น คือจำนวนแม่ครัวมีไม่เพียงพอ ปัญหาเท่านี้คงไม่ใหญ่โตอะไร แต่เมื่อขยายผลมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ อันเป็นกิ่งก้านสาขาตามมาจนเป็นเหตุให้เกิดการโต้เถียงกันในที่สุด เนื่องจากยังหาจุดลงตัวไม่ได้ งานส่วนรวมจึงเกิดชะงักงันขึ้น กลายเป็นปัญหาโหญ่โต แม้จะมีพระภิกษุครูบาอาจารย์พยายามไปพูดคุยช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่เป็นผลดีขึ้นแต่อย่างใด บางทีอาจซ้ำร้ายลงไปอีก ดังนี้
“... อย่างวัดอโศการามระงับเหตุก็เรา มีงานฉลอง ๒๕๐๐ คนแน่นหมดเลย งานนี้จะให้มีอยู่สองอาทิตย์ ทำประมาณสัก ๖ – ๗ วันเรื่องราวก็เกิดขึ้น ยังไม่ถึงไหนเกิดเรื่องขึ้นแล้วภายในวัด ยุ่งกันฝ่ายผู้หญิง.. แม่ครัวไม่พอบ้าง อะไรบ้างยุ่งไปหมด อโศการาม.. นี่ก็ท่านพ่อลีล่ะ ท่านก็สั่งท่านอาจารย์เจี๊ยะนี้ละ.. ไปหาเราว่า


บอกให้มหาบัวไประงับเหตุในครัวเดี๋ยวนี้ คนอื่นไปแทนไม่ได้โดยเด็ดขาด ห้ามไม่ให้ใครแทนเป็นอันขาด ให้มหาบัวเท่านั้นไป
แล้วก็บอกให้ท่านอาจารย์เจี๊ยะไปหาเรา ให้เราไประงับเหตุการณ์ในครัว เราบอก ‘ไปหาองค์อื่นไม่ได้หรือ’


‘ท่านห้ามเด็ดขาด ให้ท่านอาจารย์เท่านั้นไประงับเหตุการณ์ในครัว’

‘โอ๊ย.. ทำไงอย่างนี้’

‘ก็ท่านสั่งอย่างนี้ จะทำไง’ ตกลงเราก็เลยไป...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2020 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (15-07-2020)
  #525  
เก่า 14-07-2020, 14:31
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ด้วยความจำเป็นเช่นนี้ ท่านจึงเข้าซักถามกับแม่ครัว เพื่อดูว่ามีปัญหาอะไร ต้นสายปลายเหตุอย่างไร เมื่อเข้าใจเหตุผลแล้ว ท่านก็ชี้ปัญหาและการแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา ดังนี้
“... เราเอาอย่างหนัก ๆ เลยทีเดียว เพราะมันไม่ลงกัน แม่ครัวมีแต่เขาโค้ง ๆ ตัวใหญ่ ๆ ตัวทิฐิมานะใหญ่ ๆ ทั้งนั้นอยู่ในครัว พออาจารย์เจี๊ยะพูดคำหนึ่งเขารุมมานี้.. หลงทิศ เมาหมัด พอทางนี้พูด ทางนั้นขึ้น.. ทางนี้ขึ้นเลยนะ ฟาดอาจารย์เจี๊ยะ จนกระทั่งอาจารย์เจี๊ยะได้มากระซิบกับเรา
‘นี่ ๆ ท่านอาจารย์เห็นไหม ผมพูดอะไรไม่ได้นะ’


เราก็นิ่งเฉย.. ฟัง บทเวลาเราจะพูด บอกตรง ๆ เลย เราบอกชัดเจนเลย เอาอย่างเด็ดนี่นะ ไม่เด็ดไม่ได้
‘เอ้า.. ให้พูดคนละฝ่าย ฝ่ายไหนจะพูดเรื่องราวอะไร ให้พูดมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฝ่ายหนึ่งให้นิ่ง ฝ่ายไหนจะพูดออกมา ทางนี้ให้เงียบหมด พอทางนั้นเสร็จเรียบร้อย เอ้า.. ทางนี้พูด ทางนั้นให้เงียบ ๆ’


ครัวก็มีแต่เขาโค้ง ๆ พูดให้มันชัด ๆ เสีย โอ้โหย.. ไม่ใช่เล่น ๆ นะ นั่นก็เอาอีกแหละ เข้าไปก็ใส่เปรี้ยงเลยเทียว นี่ก็ขบขันดีเหมือนกัน ทางนี้พูด ทางนั้นจะแย็บออกมาไม่ได้ ฟัดเลยนิ่งหมด
‘เอ้า.. ทางนี้มีอะไร เอ้า พูดออกมาให้หมด บอกให้หมด’


พอหมดแล้ว ‘หมดแล้วเหรอ’

‘หมดแล้ว’

เอ้า ทางนี้ขึ้น ทางนี้เงียบ ทางนี้ก็เงียบ ทางนั้นขึ้นเต็มที่ ๆ เราก็เอาทั้งสองเข้ามาประมวลกัน ไม่เอามากละ เอาเด็ดเสียด้วย เราว่า
‘เวลานี้พวกเราทั้งหลาย มากันในนามลูกศิษย์ของท่านพ่อลีนะ เราไม่ได้มาในนามอาจารย์ของท่านพ่อ เมื่อต่างคนต่างไม่ได้มาในนามของอาจารย์ท่านพ่อ เป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย การมาทะเลาะเบาะแว้งอย่างนี้ มันเป็นการเสริมเกียรติท่านพ่อ หรือเป็นการเหยียบท่านพ่อลง เอ้า..ตอบ’ นั่น ขึ้นอย่างนี้นะ ขึ้นงี้เลย


‘เวลานี้ท่านพ่อ ท่านไม่มีอะไร ท่านนิ่ง ๆ ฟังเหตุการณ์ของพวกเราอยู่ซึ่งกำลังกัดกัน.. วาสนาบารมีของท่านพ่อเป็นยังไง.. เราถึงมาทำอย่างนี้ เพราะเราทุก ๆ คนก็มาในนามลูกศิษย์ แล้วทำไมถึงจะปฏิบัติต่อกันไม่ได้ล่ะ ? ทำไมถึงกระทบกระเทือนถึงท่านพ่อ หากว่าท่านพ่อมาว่าแบบนี้จะว่ายังไงล่ะ ? ท่านพ่อจะพูดไม่กี่คำนะ จะพูด ๒ - ๓ คำแล้วพวกเราจะแก้ได้ไหม ? ...

เอ้า.. นี่หากว่าท่านพ่อ ท่านดำเนินตามความรู้ความเห็นของท่านแล้ว.. ท่านเตรียมบริขาร ๘ เท่านั้น เดินผ่านพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลาย อวดอ้างตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อ ๆ ทั้งวัดนี้น่ะ ท่านเดินผ่านมานี้ว่า อาตมาไม่มีวาสนาแล้วเวลานี้ มีลูกศิษย์เท่าไรก็ไม่สามารถที่จะระงับ หรือจะส่งเสริมวาสนาอาตมาได้
“อาตมาจะไปแล้วนะ อาตมาไม่มีวาสนาบำเพ็ญพาลูกศิษย์ลูกหา พาทำงานคราวนี้ก็ไม่ได้ อาตมาจะไปตาบุญตามกรรมของอาตมา”


สะพายบาตรเดินผ่านออกไปนี้ เอ้า.. ทั้งหมดนี้ใครจะไปเอาท่านกลับคืนมาได้ มีไหม เอ้า..ว่าซิ ท่านก้าวออกจากวัดนี้ไป เอ้า.. ใครจะติดตามไปเอาท่านมาได้ไหม ? ถ้าหากว่าพวกเราไม่รีบแก้ไขตั้งแต่บัดนี้.. ก็เวลานี้เหตุการณ์ยังอยู่ในฐานะสมควรที่จะแก้ไข พิจารณากันได้อยู่ในระหว่างลูกศิษย์ทั้งหลาย ที่จะคุยกันเพื่อส่งเสริมครูบาอาจารย์ แล้วปฏิบัติกันไม่ได้เหรอ ? ทำไมจะทำไม่ได้ แล้วจะให้ครูบาอาจารย์ออกหนีด้วยการว่าท่านมีวาสนาน้อย ในขณะเดียวกันพวกเราวาสนาเป็นยังไง ตอนนี้ท่านยังไม่ไป เราจะพิจารณายังไง ไอ้เรื่องแม่ครัวเขาก็มาในนามเป็นลูกศิษย์ทุกคน ไปโรงไหน ๆ ติดต่อโรงไหนก็ได้แม่ครัว ยากอะไร แต่หาครูบาอาจารย์นี้.. หาได้ง่าย ๆ เหรอ’

ในครัวเรียบวุธ นิ่งหมดเลย เห็นโทษของตัวเองหมด ยอมรับตามเหตุผลของเราทุกอย่าง ทีนี้ก็ลงพรึบเลย..”

พอท่านพูดถึงจุดนี้ ก็เหมือนเป็นการกระตุกเตือนใจ.. ให้ระลึกถึงบุญคุณท่านพ่อลี ที่อุตส่าห์เมตตาแนะนำสั่งสอนให้รู้ผิดชอบชั่วดี พอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา ต่างมีแก่ใจแข็งขันปัดปัญหาเหล่านั้นให้จางไป ไม่เห็นเรื่องขัดอกขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่ากิจการงานของครูบาอาจารย์ ต่างขันอาสารับปากรับคำท่านขึ้นในทันที ดังนี้
“... คนนี้จะไปติดต่อครัวนั้น คนนั้นไปติดต่อครัวนี้พรึบเดียวเลย เพราะเห็นโทษที่ท่านจะเตรียมของออกมาเดินฉากหน้าไปนี้ .. ลงกันทันทีเลย พอเรากลับออกมาแล้วประกาศ

แม่ครัวนี้พรึบเดียว ยังไม่ถึง ๒ ทุ่ม ฟาด ๒ ร้อยคนแล้ว พอ ๒ ทุ่มกว่า ๒ ร้อยกว่าคน พอ ๓ ทุ่ม มีถึง ๓ ร้อยคน พอ ๙ โมงเช้านี้ออกมา ๓ ร้อยกว่า .. เรื่องราวเรียบไปเลย เพราะเห็นโทษที่ท่านจะก้าวหนีจะเป็นยังไง อันนี้มันหนักมากขนาดไหน มันยอม มันเห็นโทษเลยพรึบเลย แม่ครัวเต็มเอี๊ยดเลยพอ เรียบตั้งแต่นั้นไม่มีเรื่องกันเลย จนกระทั่งท่านได้ขยายงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ โดยไม่มีปัญหาขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น เรื่องต่าง ๆ ก็สงบไปหมด เรียบตลอดเลย

นี่เราก็ไม่ลืม เรื่องราวเราล่ะเข้าระงับเรื่องครัว จากนั้นแล้วเราเอาสองเรื่องนี้มาประมวลกัน ก็ใส่ตูมไปเลย เรียบร้อยไปเลย ก็อย่างนั้นแล้ว นั่นล่ะเรื่องราวมันจึงไประงับ ท่านคงจะเห็นผล ..

ท่านเลยขยายงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ ทีแรก ๒ อาทิตย์ เห็นว่าเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง ก็ให้เลื่อนงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ แต่เราไปไหนไม่ได้นะ ท่านเห็นหน้าเราก็ว่า ‘มหาบัว..ไปไหนไม่ได้นะ ยังไม่เสร็จ.. มหาบัวไปไหนไม่ได้นะ งานยังไม่เสร็จ’

ท่านอาจารย์ลีกับเรามักจะเป็นอย่างนั้นละ ก็เดชะอยู่ไประงับที่ไหนเรียบทุกแห่ง ไม่เคยเหยียบหัวเราไปด้วยงานไม่สงบ ไม่เรียบร้อยไม่มี ไปทีไรก็เรียบร้อยทุกอย่าง อย่างวัดอโศการามก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อันนั้นก็เรียบไปเลย เป็นอย่างนั้น...”

คงเพราะเหตุการณ์จุดนั้น ด้วยส่วนหนึ่งเป็นผลให้ท่านพ่อลีสงวนท่านไว้ ไม่ยอมให้ท่านไปไหนตลอดระยะงานฉลองครั้งนั้น และเมื่อท่านพ่อลีเจอหน้าท่านครั้งใด มักจะพูดขึ้นแบบคนสนิทคุ้นเคยเช่นนี้

จากนั้นท่านพ่อลีก็พาท่านเดินไปดูที่นั่นที่นี่ ในตอนเช้าเวลาเลี้ยงอาหารกันบ้าง หรือดูเรื่องอื่น ๆ บ้าง ทำให้ทุกคนในงานครั้งนั้น.. เห็นถึงความเมตตาสนิทสนมที่ท่านพ่อลีมีต่อท่านอย่างเป็นกรณีพิเศษ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2020 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (15-07-2020)
  #526  
เก่า 15-07-2020, 13:59
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

มหาบัว เอ้า ! พิจารณา

อีกครั้งหนึ่งที่วัดอโศการามแห่งเดียวกันนี้ มีการประชุมสงฆ์เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งองค์หลวงตาก็ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ครั้งนั้นมีแต่พระเถรานุเถระ ครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ ทั้งนั้น ทราบว่าระหว่างการชุมซึ่งยังหาจุดลงเอยไม่ได้นั้น ท่านพ่อลีได้บอกท่านให้แสดงความคิดเห็นด้วย ถึงกับพูดในที่ประชุมว่า
“มหาบัว เอ้า..พิจารณา”


ด้วยความจำเป็นและเคารพท่านพ่อลี ท่านก็ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย และนิสัยจริงจังเป็นพื้นเดิม การวินิจฉัยในเรื่องนั้นของท่าน จึงเป็นไปแบบเต็มเหนี่ยวเต็มเหตุเต็มผล และผลปรากฏว่า คณะสงฆ์ต่างเห็นดีหมด และยอมรับตามคำวินิจฉัยของท่านด้วยกันหมด วาระการประชุมที่มีลักษณะเหมือนว่าจะหาที่จบลงได้โดยยาก ก็กลับกลายเป็นอันตกลงยอมรับตามนั้นได้อย่างรวดเร็วถึงใจ การประชุมสิ้นสุดลงได้ด้วยดี

ความเมตตาที่ท่านพ่อลีมีต่อองค์หลวงตาอีกเรื่องนั้น เป็นระยะที่สุขภาพของท่านพ่อลีเริ่มไม่ค่อยดีนัก ท่านพ่อลียังอุตส่าห์เมตตาเขียนจดหมายด้วยตนเองมาถึงท่าน มีใจความโดยย่อว่า
“ให้ท่านไปจำพรรษาที่วัดอโศการามด้วย”


แต่ในระยะนั้น ท่านเองก็เพิ่งเริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้นใหม่ ๆ เช่นกัน อีกทั้งพระเณรที่วัดก็มีไม่น้อย องค์ท่านจึงตอบกลับไปด้วยความเคารพว่า “ไม่สามารถไปจำพรรษากับท่านพ่อลีได้”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2020 เมื่อ 17:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (15-07-2020)
  #527  
เก่า 15-07-2020, 14:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นิสัยวาสนาเรื่องประสาน

การประชุมปรึกษาหารือกันในงานใดก็ตาม ไม่ว่าฝ่ายฆราวาสหรือสงฆ์ มักมีทางเลือกที่เหมาะสมหลายทาง การตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง ต้องกล้าหาญที่จะยกเหตุผลอันแน่นหนาและเป็นธรรม จะเป็นที่ลงใจแก่ทุกฝ่ายโดยง่าย ความกล้าหาญจริงจัง มีเหตุผล และเป็นธรรมเช่นนี้ เป็นคุณสมบัติเด่นขององค์หลวงตา จึงสามารถฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่นคราวหนึ่งมีการประชุมหารือที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี

เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเจ้าคุณธรรมเจดีย์ พระอุปัชฌาย์ของท่านถึงแก่มรณภาพแล้ว ที่ประชุมมีเรื่องปรึกษาปรารภเกี่ยวกับเรื่องเมรุ และบริขารเครื่องใช้ของเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ผู้ร่วมประชุมมีทั้งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด พระเถระหลายรูป ฝ่ายฆราวาสก็มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และตัวแทนหน่วยงานราชการอื่นเข้าร่วมประชุมด้วย ดังนี้
“... เช่นอย่างวัดโพธิฯ นี่ประชุมกัน ๒ วัน ไม่เสร็จ เจ้าคณะต่าง ๆ มา ไปไม่ได้สองวันเต็ม เอากันอยู่สองวัน มีแต่เขาโค้ง ๆ นะ โอ้.. พระทะเลาะกัน ไม่ใช่เล่น ๆ นะ เจ้าคณะฯ ทะเลาะกัน พอวันที่ ๓ ท่านเจ้าคุณเลยเอาจดหมายน้อยให้เณรถือมาแค่นี้ เพราะเป็นกันเองเรากับท่านเจ้าคุณ ตั้งแต่เป็นมหาเปรียญด้วยกันมา จนท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาคอะไร ๆ เรื่อยมา เราคงเส้นคงวาหนาแน่นเป็นหลวงตาบัวตามเดิม


คือแต่ก่อนไม่มีรถ รถมันลำบาก ทางรถไม่มี มีเป็นทางล้อทางเกวียนเสีย ถ้าเป็นหน้าแล้งก็มีแต่ทราย ต้องรถจี๊ปถึงจะไปได้ ถ้าเป็นหน้าฝนมีแต่ตมแต่โคลน เราก็เดินไปเลย วันนั้นเณรเอาจดหมายน้อยมาแค่นี้ เดินมานะ ไม่มีรถ ไม่มีทางรถมา ท่านเจ้าคุณส่งจดหมายมาถึงเราว่า
“ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ไปดับไฟวัดโพธิฯ ให้ด้วย เวลานี้ไฟกำลังโหมลุกไหม้วัดโพธิฯ จะแหลกหมดวัดแล้ว มองเห็นแต่ท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านั้น ขอนิมนต์ไปโดยด่วน”


เราไม่สบาย มีไข้เล็กน้อย เป็นไข้อยู่แต่เราก็ไป เพราะเราเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ ที่ว่าประชุมตั้ง ๒ วันไม่เสร็จนี้อย่างไรกัน สิ่งที่ควรจะลงกันได้ทำไมไม่ลง เพราะเหตุผลกลไกอะไร นี่ละ..เป็นน้ำหนักอันหนึ่ง เราจึงต้องไป สะพายบาตรไปเลย คนเดียวนะ แต่ก่อนไม่มีรถเดินถึงวัดโพธิฯ เลย จากนี้ถึงวัดโพธิฯ เลย

ฝ่ายอธิกรณ์เรียกว่าฝ่ายข้าศึกก็มีผู้ว่าฯ เป็นผู้นำมา ทางฝ่ายวัดก็ทั้งวัด เอากันเสีย ๒ วันไม่ลง เจ้าคณะภาคที่ไหนมาประชุมก็ไม่ลงกัน พอประชุมกันที่จะทำเมรุแล้วล้ม มีอยู่ ๒ – ๓ คนที่ว่าทำเมรุให้ล้ม ๆ อยู่เรื่อย เป็นอธิบดีศาลอยู่ในนั้นคนหนึ่ง เกี่ยวกับผู้ว่าฯ อีกคนหนึ่ง แล้วใครอีก ๓ คน มาทำให้เมรุล้มอยู่เรื่อย ๆ ถ้าว่าประชุมเท่านั้นล้ม ๆ ๓ คนทำให้ล้ม .. ไปวันนั้นก็ซัดกันใหญ่เลย เอาเจ้าคณะไหน ๆ มาชำระไม่ลง

เราก็เลยไป เลยตกลงมาเอาเจ้าคณะวัดป่าบ้านตาดไปเลย ๔๕ นาที เห็นไหมละ..เรียบ..! ยอมรับทั้งสองฝ่ายด้วยความพอใจ พอไปถึงก็เอากันเลย เราไม่ลืม ๔๕ นาที.. ใส่เปรี้ยง ๆ ดักนั้นดักนี้ ซัดนั้นซัดนี้ สุดท้ายยอมรับหมดเลย เป็นอันว่าหาที่ค้านไม่ได้แล้ว ยอมรับกันทั้งวัด ทั้งสองฝ่ายยอมรับด้วยเหตุผล นั่น..เห็นไหมล่ะ

นี่ล่ะ..ที่ว่าทำเมรุให้ล้ม ๆ ไปประชุมวันนั้นก็ซัดกันเลยกับเรา.. ไปทีไรไปขู่พระ สามกษัตริย์ใหญ่นี่ ในนั้นมีอธิบดีศาลคนหนึ่งด้วย ไม่ใช่น้อย ๆ ละ ไม่เคยโดนกันจังต่อจัง..ใส่กัน เข้าใจไหม ? บทเวลาเราเข้าประชุมขึ้นผางมา ทางนี้ก็ซัดกันเปรี้ยงเลย โอ๋ย.. ในที่ประชุมนี้เงียบกริบเลย เวลาได้ซัดกัน.. อย่างนี้ละ

ทางวัดรู้สึกว่าพร้อมกันหมดนะ เจ้าอาวาสพูดกับพระผู้ใหญ่ ๆ ในนั้น วันนี้ท่านอาจารย์มหาบัวจะมาชำระเรื่องนี้นะ เราเองไปนิมนต์ท่านมา ให้ฟังเสียงท่านนะทุกคน เท่านั้นละท่านสั่งเอาไว้ .. ไปก็เอาเลย ประชุมปึ๊บขึ้นมาเลยเป็นอย่างไร เหตุผลกลไกอย่างไร.. ไล่มาเรื่อย ๆ เข้าไป เราเอาหลักธรรมวินัยกางตลอด ไม่ได้นอกเหนือไปจากหลักธรรมวินัย เอากัน.. ซักกันไปซักกันมา เอาไปเอามามีแต่เราคนเดียววันนั้น เราเป็นคนซักคนนั้น เหตุที่ไม่ลงรอยเพราะใครเป็นต้นเหตุ.. ไล่เข้าไปหาผู้นั้น ซักกัน ๆ ๔๕ นาที

ผู้ว่าราชการจังหวัดไปกับฝ่ายนั้นละ ฝ่ายทำลาย.. ไม่ลง วันนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดก็มา ๆ ดูว่าเป็นฝ่ายนั้น เป็นลูกศิษย์ของฝ่ายนั้น ฝ่ายไม่ลงใคร ไปก็เอาเลยละ ทีนี้ใครก็คอยฟังเสียงเรา เพราะเรื่องอะไรมันก็ไม่เสร็จ ประชุมกันทีนี้ก็ฟังเสียงเรา เราก็ถามต้นเหตุเป็นอย่างไรไล่มา ๆ ๆ เอาธรรมวินัยเข้ากาง ๆ ซัดกันเลย มัดกันเข้าเลย เอา.. พูดง่าย ๆ อย่างนี้ละ ซัดกันเข้า มัดเข้า ๆ สุดท้ายแพ้ พอพูดอะไร
‘เอา.. ถ้าสงฆ์เห็นด้วยตรงไหนให้ยกมือขึ้น พรึบ ๆ ๆ เอา.. เจ้าของว่าอย่างไร เอ้า.. ค้านมา’


เจ้าของเงียบ เป็นอันว่ายอมรับโดยดุษณีภาพ นิ่ง ๆ เอาซักกันไป ๆ พอซักกันไปถึงจุดแล้วก็พอ เราลงจุดปึ๊บทางนี้ เอา.. นี้ผิดหรือถูก ถ้าถูกให้ยกมือขึ้น พรึบ ๆ เลย เอากัน ๔๕ นาทีเรียบร้อย ซักกันอย่างหนักนะ

นั่นละที่เจ้าคุณอุดร นิสัยท่านเรียบร้อย ท่านดุใครไม่เป็น ไอ้เรามันว่าหมาว่าแมวอยู่ในนี้หมด ทั้งกัดทั้งข่วน พอขึ้นเวทีก็ซัดกันเลย ผู้ว่าฯ ก็นั่งอยู่นั่น เราเป็นคนซัก ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายลงเลย เราสรุปเลยนะ เป็น ๔๕ นาทีนะนั่น ซัดกันมีแต่เรากับเจ้าของคดีที่ไม่ลง คือขวางกันอยู่นั่นเพราะเหตุใด เอา..ไล่มา ซัดกันไปซัดกันมา สุดท้ายลงทั้งฝ่ายนี้ฝ่ายนั้น เอา.. ถ้าไม่ลงตรงไหนให้ค้านมา เราไม่พูดถึงเรื่องราวที่ไม่ลงเพราะอะไรละ เราเอาธรรมวินัยเข้ากางกับเรื่องราวนั่น ใส่กัน ๆ เข้าไปเลย บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ยกมือพร้อม ๆ กันลงเรียบร้อยเลย

เราคนเดียว เราพูดกับคู่กรณีกันว่าอย่างนั้นเถอะ กรณีที่ให้แตกกระจาย ๆ ไม่ให้ลงได้นะนั่น มัดกันไป ซัดกันไปซัดกันมา มัดกันเข้า สุดท้ายก็เลยลงเรียบร้อย ๔๕ นาที เราไม่ลืมนะ ทีนี้พอเสร็จแล้ว เราเหนื่อยก็นอนแผ่สองสลึง พวกนั้นก็เลิกกันไป พวกพระก็เข้าไปนวดเส้นให้ เจ้าคุณอุดร.. นิสัยเรียบนะ เป็นนิสัยดุใครไม่เป็น พอนั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างนี้เงียบ ๆ ละ นิสัยของท่านนั่นแหละ พูดขึ้นอยู่คนเดียวข้าง ๆ หมู่เพื่อนนี่ละ
‘ถ้าใครอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเราให้มาดูเวลาขึ้นเวที’


พอว่าอย่างนั้นเราก็ขู่ว่า ‘ก็เรื่องราวมันเสร็จสรรพเรียบร้อยไปแล้ว.. มาอุ่นกินหาอะไร มันเน่าเฟะไปแล้ว ท้องเสียท้องบูดไปหมดนี่น่ะ มาอุ่นกินหาอะไร เรื่องแล้วไปแล้ว’

ทดลองดูท่านจะออกกิริยาไหน กิริยาเก่า ‘โอ๋.. มันก็น่าอุ่นน่ากิน กินทั้งวันก็กินได้สบาย เพราะมันมีรสชาติอยู่’

ท่านก็ว่าของท่านสบาย ขบขันนะ เราแหย่..เราขู่ท่าน นึกว่าท่านจะมีกิริยาอะไร เหมือนเดิม.. ดุใครไม่เป็น เราก็อดหัวเราะไม่ได้ โอ้..นิสัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ ดุคนไม่เป็น ไอ้เราเป็นฝ่ายดุ เจ้าคุณยังอยู่นี้ละ..ทุกวันนี้ ดุท่านนึกว่าท่านจะขึ้นแบบไหน.. ไม่ขึ้นนะ ขึ้นแบบเดิม .. ท่านเจ้าคุณอุดร ชื่อสวัสดิ์ บวชเป็นลูกวัดโพธิฯ มาแต่นู้น..จนกระทั่งป่านนี้.. ท่านดุใครไม่เป็นนะ นิสัยท่านเรียบมากทีเดียว ไม่เคยเห็นท่านดุใครเลย.. เรียบตลอด เราหาอุบายวิธีแหย่ให้ความโมโหท่านขึ้นบ้าง .. ไม่มี ท่านเรียบอยู่ตามเดิม

นี่ละ..ที่ว่าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเรา ให้ท่านมาดูเวลาขึ้เวที คือเวลาขึ้นเอาจริง ๆ นะเรา ไม่มีสูงมีต่ำ เอาธรรมกางเข้าเลย เอาธรรมกางเข้าไป ไล่เข้าหาธรรม หาวินัย.. ที่อื่นขัดกับธรรมวินัยซัดกันตรงนั้น ๆ นั่นละ..ยอมรับกันหมดทั้งวัดเลย คู่กรณีก็ยอมรับ ผู้ว่าฯ มาด้วยกันก็เงียบ ไม่มีว่าอะไรเลย คือเวลาขึ้นมันไม่มีสูงมีต่ำนะ เอาธรรมวินัยออกกางแล้วซัดไปตามนั้นเลย ทีนี้กิริยาอาการทุกอย่างมันก็ขึ้นนั่นละ อย่างที่ว่าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเราให้มาดูเวลาขึ้นเวที คือเวลาขึ้นเวทีมันซัดจริง ๆ เข้าใจไหมล่ะ เอาเปรี้ยง ๆ เลย

พูดเรื่องอธิกรณ์เรื่องอะไรนี้มักจะมีเสมอ มันจะเป็นนิสัยวาสนาอะไรไม่รู้นะ เราเข้าจุดไหนก็เป็นอันว่าเรียบลงไปทุกแห่ง ไม่ใช่ครั้งนี้.. มีทุกแห่งใหญ่ ๆ ทางภาคกลางก็เหมือนกัน.. มีใหญ่ ๆ ทั้งนั้น แต่ก็เดชะทุกครั้งไม่เคยพลาดนะ เรียบร้อยลงด้วยดี เป็นอย่างนั้นนะ มันคงจะมีนิสัยวาสนาอันหนึ่งประสาน ๆ ให้เรียบร้อยเป็นที่ลงใจกัน.. ยอมรับกัน ก็เรียบร้อยไปด้วยดีทุกแห่งที่.. เราเข้าประชุมทีไรเป็นอย่างนั้นละ ..

ไปที่ไหนมักจะเป็นนะเรา มันจะมีนิสัยวาสนาอย่างนั้นก็ไม่ทราบ คือส่วนยุแหย่ไม่มีเลย แต่ส่วนประสานนี้มีเต็มหัวใจ เต็มกิริยาอาการทุกอย่างตลอดมา คงเป็นอานิสงส์อันนี้ละมัง ? มันก็เหมือนว่าจะมีวาสนาไปทางเรื่องประสานนะ มักมีเสมอ เรามักจะไประงับได้ทุกงาน ไม่มีงานไหนที่เราได้เข้าแล้ว ได้ผ่านไปเฉย ๆ ไม่สำเร็จ ไม่เคยปรากฏ เข้าในงานไหนปั๊บ..เรียบร้อย ๆ ไป เรามักจะมีนิสัยวาสนาทางนี้ เพราะนิสัยของเราชอบประสานนะ ที่ยุแหย่ให้แตกไม่มีในเรา ...

ในวัดโพธิ์ .. นี้มีเรื่องอะไรต้องเอาเราไประงับนะ แต่เดชะนะ.. เรียบทุกที ไม่เคยข้ามหัวเราไป ไปตั้งก๊กใหม่ต่อสู้กับเราอีกอย่างนี้ไม่เคยมี พอลงแล้วหมอบ ยอมทั้งสองฝ่าย คู่กรณียอมเรา มันคงจะเป็นวาสนาอันหนึ่งอยู่ คืออะไรก็ตามระงับ อะไรเรียบหมด ๆ นะ อธิกรณ์ใหญ่ ๆ เราเข้าปั๊บ เรียบ .. ดี รู้สึกว่าสายศาสนานี้รู้สึกจะราบรื่นดีนะ ไม่เคยมีอะไรเลยนะ ตั้งแต่เริ่มบวชมาจนกระทั่งป่านนี้ ไม่เคยมีอะไรมาขัดมาข้อง หรือเรื่องราวใด ๆ มัวหมองไม่เคยมี มีแต่ระงับ.. ระงับเรื่องราวต่าง ๆ หรืออธิกรณ์ต่าง ๆ มักจะเด่นอยู่ เด่น.. อย่างวัดโพธิฯ นี้ เกิดเรื่องอะไรจะต้องมาเอาไป เอาเราไป เรียบเลยนะ ...

จิตนี้ไม่มีอับเฉา จ้าตลอดเวลา เรียกว่าภูมิใจ การตายของเราไม่มีวิตกวิจารณ์ ภูมิใจคือมันจ้าอยู่ในนี้ จึงว่าสมมรรคสมผลทางศาสนา ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ ขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยไม่สะดวก ๆ เราก็เป็นคนจะว่าทิฐิก็ถูก มันไม่ลงใครง่าย ๆ นะ ถ้าหากว่าเหตุผลไม่ลง ไม่ละนะนี่ นี่ถ้าเป็นทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยมา พอทางธรรมปั๊บติดเลย สะดวกจนกระทั่งป่านนี้

จนป่านนี้ไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรทางศาสนา นอกจากระงับดังเรื่องทั้งหลายเท่านั้น ที่จะให้เกิดเรื่องเกิดราวเราไม่เคยมี มีแต่ระงับดับเรื่องของสงฆ์ของพระมีเรื่อย ๆ ไปเลยมีมากนะ.. มันก็คงจะสายบุญสายกรรมไปทางนี้ละ ไปทางสายระงับดับเรื่องต่าง ๆ เพราะมันมากต่อมากนะเรา ใหญ่แทบทั้งนั้นละ ระงับได้เรียบ ๆ เลย ในตัวของเรารู้สึกจะทางด้านศาสนา ทางด้านธรรมะโล่งกว่ากัน ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ ตลอด ถ้าทางธรรมราบรื่นเรื่อยตั้งแต่บวชจนป่านนี้ ไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรที่จะได้รับความหนักใจจากเราไม่เคยมี นอกจากเราช่วย ๆ ยกตัวอย่างเช่น อย่างวัดโพธิฯ

เอ๊.. มันก็แปลกอยู่นะ เดชะอันหนึ่งอยู่ ไปเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์องค์ใดไม่ว่าฝ่ายปฏิบัติ ไม่ว่าฝ่ายปริยัติ รักทั้งนั้น..รักเรา เมตตามาก ทางฝ่ายปริยัติก็เมตตามาก ทางฝ่ายปฏิบัติก็เมตตามาก ยกตัวอย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นรักเมตตาอยู่ลึก ๆ นะ ไว้ใจ.. ทุกอย่างไว้ใจ ถามนู้นถามนี้อะไร ๆ ถ้าอะไรที่ยังไม่ลงกันแล้วท่านมหาว่าอย่างไร ท่านถามมาแล้วนะ เอาเราเป็นข้อสรุป ท่านมหาว่าอย่างไร ท่านว่าอย่างนั้น ๆ พอว่าอย่างนั้นเรียบ เอาล่ะ..ถูกต้องแล้วตามที่ท่านมหาพูด แน่ะ..อย่างนั้นนะ ไม่เคยค้าน ทางศาสนานี่โล่ง ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยไป ทางศาสนาปุ๊บเลย ทะลุ ๆ เลย ...

คบค้าสมาคมกับครูบาอาจารย์เรียกว่าเข้าขั้นดีมาก ทางฝ่ายปริยัติก็ตาม ครูบาอาจารย์รักทั้งนั้น ทางฝ่ายปฏิบัติเช่น พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไว้ใจเลยทุกอย่าง ก็ดี.. เป็นผู้น้อยคอยดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ท่านไว้ใจ ๆ ...”

บทสรุปของที่ประชุมคราวนั้นปรากฏว่าไม่มีใครคัดค้าน ทุกคนตกลงเห็นดีเห็นงาม และเซ็นรับรองข้อยุติร่วมกันด้วยความเรียบร้อย พร้อมนี้ยังขอให้ท่านร่วมเซ็นชื่อเป็นเกียรติด้วย แต่ท่านก็ไม่ได้เซ็นชื่อแต่อย่างใดด้วยเหตุผลว่า
“เราไม่ได้มาเพื่อการลงเอาชื่อ แต่มาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างหาก เมื่อวาระสงบเรียบร้อย เราก็พอใจแล้ว”


ด้วยอุปนิสัยของท่านที่มีเหตุมีผล และมีความจริงจังเด็ดขาด ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดหรือคนใดยิ่งกว่าธรรมนี้เอง องค์ท่านจึงมักถูกขอให้เป็นหลักในการประชุมสำคัญ ๆ อยู่เสมอ อีกทั้งการแสดงความคิดเห็นของท่าน จะพยายามหาจุดที่ถูกธรรมวินัย ดังนั้น..เรื่องที่เป็นปัญหาอยู่นั้นจึงมักไม่มีสิ่งกระทบกระทั่ง หากมีก็น้อยที่สุด แต่ก็ด้วยถือเอาเหตุผลและธรรมเป็นใหญ่ การประชุมครั้งสำคัญในที่ต่าง ๆ จึงยอมรับตกลงกันได้ง่าย และสงบเรียบร้อย

นอกจากการประชุมที่ท่านเข้าร่วมวินิจฉัยด้วยดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ท่านก็ยังมีโอกาสเข้าร่วมประชุมครั้งสำคัญ ๆ อื่น ๆ อีกมาก เช่น ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นต้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2020 เมื่อ 17:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (15-07-2020)
  #528  
เก่า 16-07-2020, 22:47
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ที่ปรึกษาแห่งวงกรรมฐาน

ในระยะต่อ ๆ มา องค์หลวงตามักได้รับคำร้องขอจากคณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาสอยู่เนือง ๆ ขอให้รับเป็นประธานให้คำปรึกษา แนะนำและตัดสินใจในงานสำคัญต่าง ๆ ที่มีแง่มุมปลีกย่อยมากมาย อันเป็นเหตุให้มีเรื่องต้องถกเถียงกันอยู่เนือง ๆ ครั้นเมื่อมีประธานที่ปรึกษาที่เด็ดขาดจริงจัง และประกอบด้วยเหตุผลอรรถธรรม เช่นองค์ท่านเป็นผู้ตัดสินใจร่วมอยู่ด้วยแล้ว งานนั้น ๆ มักผ่านไปได้อย่างราบรื่นทุกครั้งทุกคราไป เป็นที่อบอุ่นเย็นใจแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ด้วยความเมตตาและเห็นถึงความจำเป็นดังกล่าว ทำให้องค์ท่านยอมเหน็ดเหนื่อยแบกภาระที่มาเกี่ยวข้อง และรับผิดชอบในเรื่องสำคัญ ๆ เสมอ อาทิ

- เรื่องการจัดตั้งวัดกรรมฐานในจังหวัดต่าง ๆ ทุกภาค เพราะมีเจ้าศรัทธาอยากถวายที่ดินท่านเป็นจำนวนมาก

- เรื่องสุขภาพการเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลครูบาอาจารย์องค์สำคัญที่อาพาธหนัก

- เรื่องงานพระราชทานเพลิงศพของครูบาอาจารย์ท่านนั้น ๆ

- เรื่องการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์และเจดีย์สถานของครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์องค์สำคัญ ๆ

- ฯลฯ

จากศพครูบาอาจารย์ที่องค์หลวงตามีความจำเป็นต้องได้เข้าไปเกี่ยวข้องมีจำนวนมาก อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล ท่านพระอาจารย์สีทน ลีลธโน หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ฯลฯ และงานอื่น ๆ อีกหลายวาระด้วยกัน ขอยกตัวอย่าง เฉพาะงานศพหลวงปู่ฝั้นและหลวงปู่ขาวแต่พอสังเขป ที่เป็นเหตุให้องค์หลวงตาต้องได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนี้
“พูดถึงเรื่องหลวงปู่ฝั้นท่านเมตตา .. เมตตามากอยู่นะกับเรา เอะอะก็ต้องเกี่ยวกับเรา เกี่ยวกับเราอยู่เรื่อย ๆ ท่านคงเห็นว่าหมาตัวนี้มันกัดเก่ง มันเห่าก็เก่ง กัดก็เก่ง เลยยุมันเรื่อย.. ให้มันกัดเรื่อยซิท่า แล้วเรื่องศพของท่านก็เรียบร้อยไปทุกอย่าง ... ไม่มีอะไร


อันนี้ก็เอาเราไปเป็นหัวหน้าอีกเหมือนกัน เผาศพท่านเราเป็นคนจัดแจงทุกอย่าง คนมามากต่อมาก รถนี้ไปหาจอดตามอำเภอ ตามโรงร่ำโรงเรียน ตามสถานที่ว่าง เขาเปิดทางให้พวกอำเภอพรรณาฯ ทั้งอำเภอ เปิดทางให้หมดฯ ให้รถเข้าจอดได้หมดเลย เพราะรถมากต่อมาก นี่เราไปเป็นหัวหน้างานอยู่นั้น.. ไม่ใช่เล่นนะ หลวงปู่ฝั้น.. เรารู้สึกหนักมาก...

ออกจากนั้นมา หลวงปู่ขาวอีก อันนี้ก็มาโดนกันอีกแหละกับผู้ใหญ่ กับด็อกเตอร์เชาวน์จะเป็นใครไปมานี้ เขาก็มาขอให้เราเป็นประธานอีกแหละ เจดีย์หลวงปู่ขาว เราว่า ‘โอ๊ย.. เงินก็มีแล้วนี่นะ เงินไม่อดไม่อยาก พอแล้วทุกอย่าง.. จะให้เป็นประธานอะไร’

ทางด็อกเตอร์เชาวน์พูด ‘โอ้โห เงินไม่สำคัญนะท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าประธานนะ’

เราสะดุดกึ๊ก.. วิ่งไปหาทางเจดีย์ของท่านอาจารย์ฝั้น เราก็เลยนิ่งยอมรับ ...”

ระยะต่อมาต่อเนื่องยาวไป.. จนเกือบวาระสุดท้ายขององค์หลวงตา ยิ่งมีความจำเป็นต้องเข้าไปเป็นประธาน ในการดูแลอาการอาพาธและงานศพของพระสายกรรมฐานมากยิ่งขึ้น ดังตารางในท้ายบทนี้
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg IMG_20200713_015152.jpg (294.3 KB, 1 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2020 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (17-07-2020)
  #529  
เก่า 16-07-2020, 23:02
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ไม่เสริมมูลนิธิ มุ่งสงเคราะห์ช่วยเหลือ

องค์หลวงตาเห็นความลำบากของพระกรรมฐานอาพาธ เวลามารักษาตัวในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญเท่าที่ควร ท่านจึงยอมรับและสนับสนุน “มูลนิธิพระอาจารย์มั่น” ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ส่งเสริมให้มี “มูลนิธิ” อะไร หากไม่มีเหตุผลความจำเป็นจริง ๆ องค์ท่านให้เหตุผลว่า
“... เมื่อเร็ว ๆ นี้ พระก็มาปรึกษาหารือแล้ว มาขอเงินด้วย ปรึกษาหารือแล้ว.. ถ้าหากว่าเราเห็นด้วยก็จะขอเงินเรา แต่ตอนนั้นยังไม่ขอ.. รอไว้ก่อน จะทำบุญเลี้ยงพระแก่ว่าอย่างนั้น พระแก่ไม่มีใครเหลียวแล ขาดคนเหลียวแล ช่วยตัวเองไม่ได้ อยากทำมูลนิธิไว้สำหรับพระแก่ มาปรึกษาครูบาอาจารย์จะเห็นว่ายังไง แล้วเงินก็ไม่มี ขึ้นแล้วเรื่องเงินก็ไม่มี พอพูดออกมานั้นปั๊บ.. ถึงมีก็ไม่ให้ ตอบทันทีเลย มันถึงจุดที่จะตอบแล้วตรงนั้น


‘ถึงมีก็ไม่ให้ ผมไม่ส่งเสริม พระพุทธเจ้ามีมูลนิธิที่ไหน พระอรหันต์ท่านเป็นสรณะของพวกเรา ท่านมีมูลนิธิที่ไหน ทำไมถึงเก่งกว่าครูนัก ไม่มีใครอุปถัมภ์ดูแล ตายด้วยลำพังตนเองอัตโนมัติ หรืออัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตายด้วยตนเองนั้นมันเลิศ มันประเสริฐ ตายไม่ได้เหรอ ทำไมจึงต้องไปหาทำมูลนิธินิแธะ ต่อไปนี้มูลนิธิจะเต็มบ้านเต็มเมือง มือจะล้วงเข้าไปในบาตรไม่ได้นะ มูลนิธิจะตีข้อมือเอา มูลนิธิเป็นใหญ่กว่าแล้วเวลานี้’

ว่าอย่างนี้แหละ บอกเราไม่เห็นด้วยและไม่ให้ด้วย บอกตรง ๆ เลย ‘เอ้า มันจะตายจริง ๆ เพราะการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนี้ไม่มีใครเหลียวแล ให้เห็นเสียทีเถอะน่า.. เดี๋ยวนี้ไม่เห็น เห็นแต่ความอ่อนแอของพระเต็มบ้านเต็มเมือง เห็นเต็มไปหมดอย่างนี้น่ะ ความช่วยตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติ.. ตายลงไปแล้วเหมือนหนูตัวหนึ่งก็ตายให้มันเห็นวะ’

เราว่าอย่างนั้น นี่ก็ไม่ต้องการอยากจะตาย เกลื่อนกล่นวุ่นวายอย่างนี้นะ อยากตายแบบหนูตัวเดียว มันจะตายไม่ได้นะแบบนั้น พูดถึงขั้นจะพูดออกมาหาเจ้าของเสีย นี่อาจหาญมาก บอกตรง ๆ บอกว่ามากสุด มากสุดหัวใจ ไม่มีสะทกสะท้านเรื่องความเป็นความตาย มาเมื่อไร.. มาเราเรียนจบแล้ว บอกตรง ๆ อย่างนี้เลย ความเป็นก็เป็นอยู่ ธาตุขันธ์มันทรงตัวอยู่ ตายก็ธาตุก็ธาตุขันธ์มันสลายตัวลงไปหาธาตุเดิมของมันเท่านั้น ธรรมชาติที่เหนือกว่านั้นอยู่แล้ว ทรงไว้แล้วนี้ บกพร่องอันไหน ให้มันเป็นอย่างนั้นซี เป็นเมื่อไรตายเมื่อไร มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้เอะอะมูลนิธิ ๆ พวกบ้ามูลนิธิ เราว่าอย่างนี้แหละ เราไม่เห็นด้วย

วัดนี้เขามาขอตั้งมูลนิธิน้อยเมื่อไร หากไม่คุยนะ เขามาขอตั้งมูลนิธิ จะตั้งขึ้นโน้น.. ทางมหามกุฏฯ วัดบวรฯ ตั้งมูลนิธิไว้ เอาดอกผลมาเลี้ยงพระในวัด อย่ามาตั้งนะ พระหากินไม่ได้ให้มันตายเสีย อย่ามาตั้งให้มันยุ่งนะ ไม่ตั้งจริง ๆ ใครมาผ่านเราตัดปั๊วะทีเดียวเลย นี่ดูว่าเขาขโมยตั้งก็มีนะ อยู่กรุงเทพฯ วัดบวรฯ มหามกุฏฯ เขาบอกผลรายได้มาเราถึงรู้ อ๋อ.. นี่เขาขโมยตั้งแล้วนี่ เขาเอาดอกผลออกมาบอกเรา เราบอกว่ามอบคืนต้นมูลนิธินั่น

เราไม่เคยรับสักสตางค์ละ ส่งมาเท่าไรเราก็ส่งกลับคืน ๆ ให้เขาไปมอบนั้น แล้วพวกจะตายด้วยมูลนิธิให้ได้กินกัน เราไม่หวังกินละกับมูลนิธินิแธะนี่ นี่เราจะหวังกินกับพวกนี้ นี่มูลนิธิใหญ่ของเรานี่นั่งเต็มศาลานี้ นี่มูลนิธิใหญ่ จะไปหวังอะไรกับมูลนิธินิแธะนั่น เราเอามูลนิธิเหล่านี้มาเป็นชีวิตของเราเป็นประจำอยู่แล้ว เข้าใจหรือเปล่าล่ะ..พวกมูลนิธิน่ะ (หัวเราะ) ...”

ครั้นเมื่อองค์หลวงตายอมรับและเห็นประโยชน์ในมูลนิธินั้นแล้ว องค์ท่านก็เป็นธุระเอาใจใส่ดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันไว้จริง ๆ ดังนี้
“... การปฏิบัติธรรมมันกำลังจะล้มเหลวไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้น่ะ พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเราก็ล่วงไป ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือก็ค่อยร่วงโรยไป ๆ แล้วจืด ๆ ไป ในสิ่งที่ดีทั้งหลายจืดไป ๆ ในสิ่งที่เลวทั้งหลายแล้วเข้มข้นเข้ามา ๆ ปรากฏว่ามีรสชาติเข้ามาเรื่อย ดื่มด่ำเข้าไปเรื่อย ไม่รู้วันรู้คืนเข้าแล้วนะเวลานี้ มันจะเป็นกรรมฐานเป็นบ้านะ อันนี้ได้วิตกวิจารณ์มากทีเดียว มันจะเป็นกรรมฐานทันสมัย แล้วก็เอาชื่อครูบาอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินนะ เฉพาะอย่างยิ่งก็ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น สายท่านอาจารย์มั่นนี้สำคัญมากนะ นี่ละ..ที่ขายกินของพระโจร.. ผู้ร้ายในวงปฏิบัติเราเป็นอย่างนี้


เราอย่าเข้าใจว่า กรรมฐานนี้จะดีไปทุกรูปทุกนาม มันไม่ดีนะ ที่ดีมีน้อย ที่ชั่วเลวทรามมีมาก เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้ทำความเข้าใจเอาไว้กับตนเองว่า เราจะเป็นคนประเภทไหน พระประเภทไหน ประเภทลูกศิษย์มีครูจริง ๆ หรือประเภทแบบแหวกแนวอวดตัวดี เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ แซงหน้าแซงหลังไปอย่างนั้น มีแล้วนะเวลานี้ .. เราวิตกวิจารณ์

เพราะฉะนั้น เราจึงได้เข้าไปมูลนิธิหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด แต่เราไม่เคยบอกเลยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาดโดยสมบูรณ์แล้วในทางกฎหมาย เราไม่เคยบอกไม่เคยพูดเลย ไปมาเราก็ฟังไปฟังมา.. ยิ่งฟังเสียงมันมักจะมีผลลบขึ้นมาเรื่อย ๆ และเป็นผลลบขึ้นมาเรื่อย ๆ มันยังไงกันนี่ เพราะเราเป็นเจ้าของนี่ เราก็เข้าไปเท่านั้นซิ พอเข้าไปก็ทราบเรื่องทราบราวแล้วก็ใส่กันเปรี้ยงเลย
‘สถานที่นี้ เป็นสถานที่สำหรับพระป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเข้ามาพักผ่อนหย่อนตัวเป็นเวล่ำเวลา ก่อนที่จะเข้าไปติดต่อกับหมอและคลีนิกตลอดถึงโรงพยาบาล ให้ได้มาพักนี่สะดวกสบายต่างหากนะ และครูบาอาจารย์ที่มาด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม เพื่อจะแนะนำสั่งสอนประชาชน เป็นกาลเป็นคราวต่างหากนะ ไม่ใช่มาให้พวกกรรมฐานขี้หมูขี้หมาเรานี้มาปักกลดในเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ในกรุงเทพฯ นี้นะ แล้วก็เอาให้ทราบเสียด้วยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด ใครอย่ามาทำให้เลอะเทอะนะ นี่ยังจะหนักกว่านั้นถ้ายังเป็นอีก เรายังจะเอาหนักกว่านี้ จะได้เขียนประกาศติดไว้เลยชื่อ ชื่อมหาบัว ใส่ลงไปปึ๋งเลยแหละ..เป็นอะไรไป’


เอาขนาดนั้นนะวันนั้น เพราะเรารักษาความดีเอาไว้ ไม่งั้นมันจะเสียไปหมดนี่ จะเป็นกรรมฐานจำหน่ายขายกินไปหมดจะว่ายังไง ทั้ง ๆ ที่คนกรุงเทพฯ เขามีความเคารพนับถือวงกรรมฐานของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น.. เรานี้มากที่สุด เราจะไปขายขี้หน้าให้เขาเห็น เราไม่อยากเห็น อย่าว่าแต่เขาเลย ใครจะอยากเห็น นี่ละมันวิตกวิจารณ์ตรงนี้นะ มันเป็น.. จะไม่เป็นยังไง

สักกาโร ปุริสัง หันติ ว่าไง ลาภสักการะสำหรับคนโง่แล้วติดเร็วที่สุดเลยจะว่าไง นี่เราแปลทางภาคปฏิบัติ ถ้าแปลทางด้านปริยัติ สักกาโร ปุริสัง หันติ แปลว่า ลาภสักการะ ย่อมฆ่าบุรุษที่โง่เขลา...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2020 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (17-07-2020)
  #530  
เก่า 17-07-2020, 23:02
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระเพชรน้ำหนึ่ง.. ธาตุขันธ์ยามอาพาธหนัก

องค์หลวงตามักได้เกี่ยวข้องกับการดูแลอาการอาพาธ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ ๆ เกี่ยวกับธาตุขันธ์ยามอาพาธหนักของครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่างเช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพ จังหวัดสกลนคร เป็นศิษย์ผู้ใหญ่รูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ซึ่งองค์หลวงตาได้เกี่ยวข้องโดยการแนะนำให้ศาสตราจารย์ นพ.อวย และศาสตราจารย์ พญ. ม.ร.ว.ส่งศรี เกตุสิงห์ รู้จักหลวงปู่ฝั้น ทำให้คุณหมอทั้งสองมีโอกาสได้ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ฝั้นอย่างใกล้ชิด และไม่ย่อท้อโดยเฉพาะในยามอาพาธ แม้จะต้องเดินทางไปยากลำบากเพียงใดก็ตาม

หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ที่องค์หลวงตาได้เข้าไปอุปัฏฐากดูแลอาพาธในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งบรรยากาศในวัดช่วงเวลานั้นเหมือนมีงานวัด เพราะแออัดไปด้วยผู้คนหญิงชาย พระเณร และฆราวาสที่มาจากที่ต่าง ๆ จนวัดไม่อาจรับรองได้ทั่วถึง ทั้งที่พักหลับนอน อาหาร การบริโภคต่างให้รับผิดชอบตัวเอง องค์หลวงตาได้เล่าถึงการเข้ามาดูแลหลวงปู่ในครั้งนั้นว่า
“... เราก็มาอยู่กับท่านเป็นประจำ หลายวันจะกลับไปค้างวัดสักคืนสองคืน ก็ต้องรีบกลับมา ทั้งนี้เพราะเป็นห่วงท่านมาก และเพื่อความสงบเรียบร้อยในด้านอื่น ๆ แต่ก็เดชะบารมีของหลวงปู่ท่านคุ้มครองรักษา สถานการณ์ทุกด้านสงบเรียบร้อยดี สำหรับอาหารของท่านเมื่อขบฉันอะไรไม่ได้ ธาตุขันธ์ก็ยิ่งทรุดลงอย่างเห็นได้ชัดในสายตาทั่ว ๆ ไป


องค์หลวงตาบันทึกคำพูดตอนหนึ่ง เกี่ยวกับธาตุขันธ์ยามอาพาธหนักของหลวงปู่ขาว.. ลงในประวัติหลวงปู่ขาวซึ่งองค์หลวงตาเป็นผู้เรียบเรียงเองว่า
จะให้ผมแบกกองฟืนกองไฟไปหาอะไร โดยเข้าใจว่า ขันธ์นี้จะเอาของอัศจรรย์มาหยิบยื่นให้ ผมไม่สงสัยในขันธ์ทั้งที่กำลังครองตัวอยู่และสลายจากกันไป ผมเป็นผม ขันธ์เป็นขันธ์ จะให้คว้ายึดมาบวกกันหาอะไร การปล่อยขันธ์โดยสิ้นเชิงเท่านั้น อนาลโย จึงสมบูรณ์แบบ


ครั้นเวลาจวนตัวจริง ๆ ท่านได้เล่าเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้อย่างถึงใจว่า
“เรายังไม่ลืมหลวงปู่ขาวท่าน เวลาท่านกำลังเพียบ คือท่านไม่ให้ใส่ออกซิเจน ท่านไม่ให้เอาใส่ แล้วพวกนั้นก็เอาไว้ข้างนอก คือท่านห้ามไม่ให้เอาใส่ เราเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์.. ไปยุ่งกับท่านทำไม ทีนี้พอเอาเข้าไปจ่อไปถูกท่าน .. ทั้ง ๆ ที่ท่านก็เพียบอยู่แล้วนะ ท่ายังปัดมือปั๊บออกเลย ขนาดหลวงปู่ขาวแล้วท่านจะมีปัญหาอะไร ว่างั้นเลย จะตายท่าไหนก็ตายซิ ท้าทายก็ได้ เอหิปัสสิโก ท้าทายธรรมของจริงได้.. ตัดผึงเดียวไปเลย ว่าจะไม่อยู่แล้ว.. ไม่อยู่ มันก็หมดแล้วนะนี่ พระประเภทเพชรน้ำหนึ่ง ๆ หมดไป ๆ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2020 เมื่อ 15:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #531  
เก่า 19-07-2020, 23:07
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สำหรับครูบาอาจารย์พระกรรมฐานองค์สำคัญอื่น ๆ แม้ต่างนิกายกันก็ตาม องค์หลวงตาก็ยังได้เข้าไปเป็นธุระ เกี่ยวข้องด้วยความเคารพรักและลงใจในธรรมระหว่างกัน ดังนี้
“... พระลูกศิษย์หลวงปู่บุดดาได้ไปหาเราที่สวนแสงธรรม เราก็ได้ถามถึงอาการของหลวงปู่ท่านว่า..
‘แต่ก่อนธาตุขันธ์ของท่านเป็นคุณเป็นประโยชน์ ทำประโยชน์ให้โลกมามากต่อมาก นานแสนนานจนกระทั่งอายุถึงปูนนี้และได้เข้ามาอยู่ศิริราชแล้ว เวลานี้เพื่อจะลาขันธ์ไป เพราะขันธ์นี้ใช้ไม่ได้แล้ว นอกจากใช้ไม่ได้แล้วยังเป็นโทษรอบตัวอีก ไม่มีช่องว่างของขันธ์ที่จะไม่เป็นโทษต่อท่าน แล้วยังจะเอาท่านไว้อย่างนั้นอยู่เหรอ ? ... สมควรแล้วหรือ ? ให้ลูกหลานไปพิจารณานะ’


นี่..อาจารย์ชาก็เป็นอย่างนี้ละ เราบอกตรง ๆ เลย อาจารย์ชาก็เกี่ยวกับเราอีกเหมือนกัน คุ้นกันมาสักเท่าไหร่แล้ว แล้วนี่หลวงปู่บุดดาก็เหมือนกัน คุ้นกันมานาน สนิทสนมกันมากทั้งสององค์นี่กับเรานะ

หลวงปู่บุดดา ท่านเป็นเหมือนปู่เรานี่..จะว่าไง พอเราไปกราบที่ตักท่าน ท่านก็.. อู๊ย.. จับโน่นลูบนี้ จับนั้นจับนี่เรานะ ท่านทำด้วยความเมตตาจริง ๆ แหละ ... ท่านยังยกยอต่อลูกศิษย์ลูกหาของท่านเองด้วย เขาเอาเทปเราไปเปิดให้ท่านฟัง กัณฑ์ดี ๆ เสียด้วยนะ ... ลูกศิษย์มาเล่าให้ฟัง ท่านพูดเวลาเทศน์จบแล้วท่านว่า
‘ได้ยินชื่อท่านมานานแล้วแหละ ท่านมหาบัวนี่ คุ้นกันมาสักเท่าไรแล้ว ยังไม่รู้อยู่เหรอว่าคุ้นกัน... จะมาเล่าอะไรให้ฟังอีกล่ะ’


ทีนี้เมื่อพระมาหาเรา ... เราก็ฝากข้อคิดไปว่า ‘เวลานี้ขันธ์ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับท่านแล้ว ลูกศิษย์จะหวังชื่นชมยินดี.. เพราะไฟคือธาตุขันธ์เผาไหม้ท่านอยู่อย่างนี้ สมควรแล้วเหรอ ? .. เวลานี้ไฟขันธ์เผาตลอดไม่มีว่างเลย ... ให้ไปพิจารณานะ’

อาจารย์ชา เป็นลักษณะนี้มาหลายปี ถามทีไรก็เป็นอย่างนี้ ก็พอดีพระหนองป่าพงไปหาเราที่สวนแสงธรรม เอากันใหญ่เชียวคราวนั้น .. เปรี้ยงทีเดียว..อัดเทปเอาไว้เสร็จ พอเสร็จแล้วเขาก็เอาเทปไปเปิดเมืองอุบลฯ เลย เอาไปตั้งกึ๊กลงที่วัดหนองป่าพงเลย บรรดาลูกศิษย์ลูกหาท่านมารวมนั้นหมด ผู้ว่าฯ เป็นผู้นำเทปไปเปิด

'เอ้า.. ใครที่นี้ฟังนะ เทศน์นี่..เทศน์อาจารย์มหาบัว ท่านอาจารย์มหาบัวกับท่านอาจารย์ชาสนิทกันมานานสักเท่าไรแล้ว ฟังท่านจะพูดวันนี้นะ’

พอว่าอย่างนั้นก็เปิดทันที .. ได้เห็นผิว ๆ เผิน ๆ ได้เห็นท่านอยู่นั้นก็พอใจ ท่านจะมาห่วงอะไรในธาตุในขันธ์อันนี้ เมื่อเห็นว่าเป็นไฟพอแล้วยังจะมาห่วงอะไรอีก ห่วงไฟเผาเจ้าของนั้นมีอย่างหรือ .. ท่านพร้อมอยู่แล้วที่จะดีดตั้งแต่ระยะช่วยตัวเองไม่ได้แล้วนั่น.. ครูบาอาจารย์จะตายแล้วไม่ยอมให้ไป.. ไม่ให้ตาย เอาไฟจี้ไว้อย่างงั้น ระโยงระยางเต็มหมด ออกซิเจนช่วยลมหายใจ ช่วยลมหายใจอะไร ช่วยไฟเผา..ว่างั้นจึงถูกนะ

ถ้าเอาอันนี้ออกแล้วไฟก็หยุดเผา ท่านก็ดีดออกแล้ว นั่น..คุณก็เห็นอยู่อย่างชัด ๆ โทษก็เห็นอยู่ชัด ๆ อย่างงั้น ถ้าอันนี้จ่อไว้อยู่ตลอด ก็เผาอยู่ตลอดอยู่นั่น..จะว่าไง พอเปิดออกนี้ก็ดีดออกแล้ว เห็นชัด ๆ อยู่

ถ้าพูดถึงเรื่องของหมอ เขาก็ทำตามหลักวิชาของหมอ เหตุผลเรามียังไง อรรถธรรมมียังไง ปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ก็ควรชี้แจงให้เขาทราบ ควรปล่อยก็ปล่อยซี เอาไว้ให้ใครมันไม่เกิดประโยชน์ยังไม่แล้ว ยังเป็นโทษเอาอย่างหนักหนาทีเดียว ใครจะเอาไฟมาเผามาจี้ไว้อย่างนี้ทั้งวันได้เหรอ นี่ไม่ทราบว่าทั้งวันทั้งคืนทั้งปีอะไร จี้เผาหมด..รอบตัว ๆ

เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็รู้กันอยู่แล้ว ตั้งแต่ยังไม่ตายก็รู้แล้ว ก็เครื่องมือใช้เฉย ๆ มีจิตเป็นผู้บงการ พอจิตหดตัวเข้ามาเสียแล้ว.. สิ่งเหล่านี้ก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนไปเท่านั้น เกิดประโยชน์อะไร ก็เหมือนกับเครื่องมือเราทิ้งเกลื่อนอยู่รอบตัวนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เมื่อเจ้าของใช้การใช้งานอะไรไม่ได้แล้ว ... นั่นแหละ เรื่องจิตให้เห็นอย่างนั้นซิ เห็นชัดเจนแล้วจะถามใคร .. ประจักษ์อยู่ในหัวใจเจ้าของแล้ว พอทุกอย่าง ..

‘นี่เอาศพท่านกลับคืนไปโน่นนะ วัดกลางชูศรี ท่านเป็นเพชรน้ำหนึ่งนะนี่’

หลวงปู่บุดดานี่เพชรน้ำหนึ่ง อาจารย์ชาก็เหมือนกัน ท่านเหล่านี้เพชรน้ำหนึ่งแล้ว จะมาหวงมาห่วงอะไร ธาตุขันธ์เป็นไฟนั่น...

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2020 เมื่อ 01:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (20-07-2020)
  #532  
เก่า 19-07-2020, 23:15
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ที่องค์หลวงตาได้เข้าเยี่ยมอาพาธคือ หลวงปู่บุญจันทร์ โดยเฉพาะในยามอาพาธก่อนมรณภาพไม่นานนัก ท่านกล่าวกับหลวงปู่บุญจันทร์ว่า “ได้ทราบว่าไม่สบาย เลยตั้งใจมาเยี่ยม ไม่ใช่มาทรมานคนป่วยนะ เป็นอย่างไรบ้าง”

หลวงปู่ยกมือขึ้นประนมแล้วกราบเรียนว่า “ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หมอบอกว่าเป็นโรคไตรั่ว โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่หมอนิมนต์ให้เกล้ากระผมไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่เกล้ากระผมไม่ไป”

องค์หลวงตาจึงพูดขึ้นว่า “ถ้ามันครึ่งต่อครึ่งก็ไม่ไปล่ะ โรงพยาบาลก็ที่คนตายนั่นแหละ เตียงไหนคนไม่ตายใส่ไม่มีแหละ ถ้าเราไปหาหมอ หมอเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา เราก็เหมือนกับท่อนไม้ท่อนซุงนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเขาจะพลิกไปพลิกมาอย่างไร ทำไปอย่างไรบ้างตามเรื่องของเขา หมอเขาไม่มีธรรมอะไรหละ มันอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ปล่อยเท่านั้นหละ

สักพักหนึ่ง องค์หลวงตาก็กล่าวกับหลวงปู่ว่า “เอาละนะ จะกลับล่ะ ไม่มีอะไรจะเตือนกันหรอกนะ กรรมฐานใหญ่เหมือนกัน

จากนั้น ท่านหันไปพูดกับญาติโยมที่เข้ามากราบไหว้ท่านในขณะนั้นว่า
“ตั้งใจมาเยี่ยมอาจารย์บุญจันทร์ แต่ก่อนในคราวออกปฏิบัติ ท่านก็ออกปฏิบัติ เราก็ออกปฏิบัติ ได้เจอกัน ทุกข์ยากลำบากด้วยกัน เอาละกลับล่ะ เยี่ยมคนป่วยไม่รบกวนนานหรอก”


วาระสุดท้าย ขณะที่หลวงปู่ท่านจวนเจียนมรณภาพเต็มที่แล้ว เป็นเวลาเดียวกันกับที่องค์หลวงตาท่านเดินทางไปถึงพอดี ท่านไปอย่างรีบเร่งแล้วเข้าไปในห้องอาพาธของหลวงปู่ ท่านขยับไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ทางศีรษะ แล้วท่านเอามือเปิดผ้าที่ปิดหน้าผากหลวงปู่ออกดู พร้อมกับพูดว่า “วันนี้บวมมากกว่าวานนี้”

ในขณะนั้นหลวงปู่ได้หายใจเบาลงเหมือนกับจะขยิบตาเล็กน้อย แล้วหลวงปู่ก็หยุดหายใจ.. ละธาตุขันธ์ไปในที่สุด เมื่อเวลา ๑๐.๕๒ นาฬิกา ของวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘ จากนั้นท่านจึงถอยไปนั่งเก้าอี้แล้วมองดูหลวงปู่พร้อมกับพูดว่า “เอ้า..หยุดหายใจแล้ว”

ภายหลังต่อมา ท่านพูดถึงเรื่องนี้กับพระว่า
“ท่านบุญจันทร์คอยเรา พอเรามาถึง..เข้าไปเยี่ยม..ท่านก็ไปเลย”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2020 เมื่อ 01:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (20-07-2020)
  #533  
เก่า 20-07-2020, 13:01
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระกรรมฐานประสบอุบัติเหตุ

เหตุการณ์ครั้งสำคัญคราวหนึ่ง ยังความโศกสลดอาลัยอาวรณ์แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยเฉพาะแวดวงกรรมฐานอย่างมากคือ เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นเหตุให้พระกรรมฐานและประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องถึงแก่กรรม

คุณหญิงไขศรี ณ ศีลวันต์ ผู้ซึ่งเป็นศิษย์องค์หลวงตาคนหนึ่ง เป็นพระอาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และเป็นภริยา ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี ตลอดจนเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นต้น

ในหนังสืออนุสรณ์คุณหญิงไขศรี ณ ศีลวันต์ กล่าวถึงการเดินทางไปกราบนมัสการ และสนทนาธรรมกับพระเถระสายหลวงปู่มั่น เป็นครั้งแรกในชีวิตของคุณหญิงคือปี พ.ศ. ๒๕๑๒ และได้เข้ากราบองค์หลวงตาและพักอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดเป็นสถานที่แรก องค์หลวงตายังเมตตาพาไปพบหลวงปู่ขาว ที่วัดถ้ำกลองเพลอีกด้วย หลังจากนั้นองค์หลวงตายังเป็นพระกรรมฐานองค์แรก ที่เมตตามาฉันที่บ้านคุณหญิง องค์หลวงตาเมตตาอบรมธรรมะแก่คุณหญิงเสมอมา จวบจนวาระสุดท้ายก่อนจะประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินเสียชีวิต คราวเดียวกับพระอาจารย์บุญมา พระอาจารย์วัน อุตตโม พระอาจารย์จวน กุลลเชฏโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม

เหตุการณ์ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คุณหญิงได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งปกติระยะนั้น องค์หลวงตาท่านจะไม่ลงอบรมธรรมะแก่ฆราวาส เพราะธาตุขันธ์ไม่สู้จะสมบูรณ์นัก แต่ตลอดช่วง ๗ วันที่คุณหญิงมาพักอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ท่านได้เรียกคุณหญิงมาสนทนาธรรมะปฏิบัติที่กุฏิหลายครั้ง และแต่ละครั้งเป็นเวลานาน และเป็นการสนทนาโดยเฉพาะ ไม่มีผู้อื่นนอกจากมีเด็กชาวบ้านตาดมานั่งเป็นเพื่อนตามพระวินัย ยังความสงสัยและแปลกใจเป็นอันมากแก่บรรดาผู้มาพักปฏิบัติธรรมในช่วงนั้น เพราะมิใช่วิสัยปกติขององค์หลวงตาที่จะปฏิบัติเช่นนี้กับผู้ใด

และโดยเฉพาะในวันกลับคือ เช้าวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ องค์หลวงตาก็ยังมีเมตตาพูดคุยสนทนาธรรมกัน จนกระทั่งจวนจะถึงเวลาเครื่องบินออก.. การสนทนาจึงยุติ ซึ่งก็ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาก่อนเช่นกัน คือในระยะที่ผ่านมาองค์หลวงตามักให้ออกจากวัดมารอที่สนามบินก่อนเป็นเวลานาน แต่คราวนี้จวนเจียนเวลามาก ในเช้าวันนั้นคุณหญิงได้กราบเรียนถามองค์หลวงตาว่า “ถ้าคุณหญิงตายไปแล้ว จะมีโอกาสได้พบอาจารย์ดี ๆ อีกไหม ?

ท่านได้ตอบเป็นทำนองว่า “ในชาติปัจจุบันนี้ เราได้ภาวนามุ่งทำแต่ความดี ฉะนั้น ความดีนี่แหละ จะเป็นครูบาอาจารย์ของเราในวันหน้า

และคำกล่าวนี้เป็นธรรมครั้งสุดท้ายขององค์หลวงตาที่มอบให้แก่คุณหญิง เนื่องจากการเดินทางในวันนั้นมีทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวย เกิดพายุฝนจนเป็นเหตุให้เครื่องบินตกที่บริเวณทุ่งนารังสิต จังหวัดปทุมธานี อุบัติเหตุร้ายแรงนี้.. ทราบถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงมีพระกรุณาธิคุณและพระกตัญญูกตเวทิตาคุณ เสด็จมาทอดพระเนตรศพพระอาจารย์ให้แน่พระทัยด้วยพระองค์เอง

ในครั้งนั้น ทูลกระหม่อมทรงยกมือของคุณหญิงขึ้นมาทอดพระเนตรอย่างใกล้ชิด แล้วรับสั่งว่า “ใช่อาจารย์แน่” จากนั้นทรงจัดการศพด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นพระอิริยาบถที่อ่อนโยนมิได้ทรงแสดงความรังเกียจเลย ทรงปฏิบัติเยี่ยงศิษย์ถึงกระทำต่อครูบาอาจารย์เป็นที่น่าซาบซึ้ง และประทับใจแก่บรรดาผู้อยู่ในที่นั้นเป็นยิ่งนัก ทุกคนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2020 เมื่อ 17:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (20-07-2020)
  #534  
เก่า 20-07-2020, 13:17
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อุบัติเหตุครั้งนั้น นับเป็นการสูญเสียศิษย์คนสำคัญขององค์หลวงตา.. ที่เป็นกำลังสำคัญของพระศาสนาทั้งฝ่ายพระ และฆราวาสไปพร้อม ๆ กันเลยทีเดียว องค์หลวงตากล่าวถึงพระอาจารย์สิงห์ทอง และพระอาจารย์สุพัฒน์ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดของท่านไว้ ดังนี้
“... ท่านจวนก็เหมือนกัน มีอยู่สององค์ ท่านจวนตกเครื่องบิน ท่านสิงห์ทองตกเครื่องบิน .. อัฐิกลายเป็นพระธาตุสององค์ ตกเครื่องบินไปงานอะไรไม่รู้ อุปคุต (พระอาจารย์สุพัฒน์) ท่านฝันแม่นยำมากนะ ที่ท่านจะไปตายคราวนี้ คือท่านฝันกลางคืนนี้จนตื่นเต้นตกใจ เสียใจ ‘แล้วกัน ทำไมถึงฝันร้ายขนาดนี้ ไปเกาะไหนก็พัง ไม่เคยฝันอย่างนี้เลย ฝันร้ายกาจไม่มีชิ้นดีเลย ไม่ใช่จะเอาเราไปตกเครื่องบินตายเหรอ’


ท่านพูดอย่างนั้นเลย แล้วเขามานิมนต์ให้ไปในงานนี้.. กับความฝันมันเข้ากันได้แล้ว.. ท่านเลยหาที่เกาะ ไปนิมนต์อาจารย์สิงห์ทอง ถ้าท่านสิงห์ทองไปเราถึงจะไป เกาะตรงนั้นนะ ถ้าท่านไม่ไปเราก็ไม่ไป เขาไปนิมนต์ท่านสิงห์ทอง ท่านสิงห์ทองรับเขาแล้วก็พังไปเลย
ถ้าหากว่าท่านสิงห์ทองไม่ไป ท่านจะไม่ไป ชีวิตท่านก็จะยังอยู่


เลยตายในระยะนั้น ท่านฝันแปลกประหลาดมาก พอตื่นขึ้นมานี้ ดูอาการโศกเศร้าเหงาหงอย มันฝันร้ายเหลือเกิน ท่านว่าอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่พูดเรื่องฝันร้ายว่าเป็นอย่างไร ๆ แต่มันฝันร้ายไม่มีชิ้นดีเลย ท่านบอกอย่างนั้น มีแต่ล้มพังทั้งนั้น

พอดีเขาก็มานิมนต์ท่านก็ไปเกาะท่านสิงห์ทอง ท่านสิงห์ทองไปเราก็จะไป พอดีไปนิมนต์ท่านสิงห์ทอง ท่านก็รับเขา.. เรียกว่าเกาะแล้วพังเลย ตายด้วยกันทั้งสอง

ท่านอุปคุตนี่สำคัญ ท่านฝันไม่ดีเลยท่านว่า เขามานิมนต์โดยลำพังท่าน ท่านจะไม่รับ.. ท่านบอกทีนี้เพราะความเคารพกัน เกี่ยวกับท่านสิงห์ทองท่านรับ แล้วท่านเลยต้องรับไปด้วย แล้วก็ไปตายด้วยกัน...”

เกี่ยวกับลักษณะการนิพพานของพระอรหันต์นั้น องค์หลวงตากล่าวไว้ ดังนี้
“... จิตที่ทำลายสมมุติหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว อะไร.. เวทนาไหนจะไปแทรก นี่เราถึงได้กล้าพูดว่าพระอรหันต์ตาย ตายเมื่อไร ตายที่ไหน ตายเรื่องอะไร ด้วยเหตุผลกลไกอะไรก็ตาม ก็จิตพระอรหันต์ล้วน ๆ ว่างั้นเลย ท่านไม่มีปัญหาอะไรกับสมมุติคือการตาย กิริยาแห่งการตายต่างๆ นั้น.. เป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด ความบริสุทธิ์เต็มภูมิ จึงไม่วิตกวิจารณ์เรื่องการเป็นการตาย ...


แล้วคำว่าบริสุทธ์แล้วนั้น จะมีกาลสถานที่ เวล่ำเวลาที่ไหนเป็นกำหนดกฏเกณฑ์ เป็นที่ให้เกิดสัญญาอารมณ์กับท่าน นิพพานท่าไหนจะดี หรือนิพพานท่าไหนจะเสียที หรือตายท่าไหนดี ท่าไหนไม่ดี.. ท่านไม่มี ตายท่าไหนก็คือพระอรหันต์ตาย เอ้า.. เราพูดเรื่องตาย จะตายด้วยอุบัติเหตุอะไรก็ตาม ตายด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็ตาม จะเข้าสมาธิสมาบัติหรือไม่เข้าก็ตาม ไม่มีสิ่งใดสำคัญทั้งนั้น ไม่มีอันใดที่จะลบล้างความบริสุทธิ์นั้นได้เลย ท่านเป็นพระอรหันต์อยู่เต็มตัว.. ทุกกาลสถานที่อิริยาบถ...

เพราะการตายนี้เป็นไปตามวิบากขันธ์ บางองค์ก็จะตายด้วยความสงบของธาตุขันธ์ บางองค์ก็จะไม่สงบ .. จะดีดจะดิ้นเป็นประเภทต่าง ๆ ตามวิบากกรรมที่เป็นมาต่าง ๆ กัน แต่จิตนั้นบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ขันธ์จะตายแบบไหนก็ตาม จะตายดิ้นเหมือนหมาบ้าก็ตาม เรื่องขันธ์มันดิ้นของมันต่างหาก จิตที่บริสุทธิ์แล้วไปดิ้นหาอะไร นั่นมันเป็นคนละฝั่งละฝาอยู่นั่น เห็นกันชัด ๆ อย่างนั้น

อำนาจแห่งวิบากกรรมมีมาอย่างไร ที่เคยสร้างเคยเป็นมาแล้ว บางท่านบางองค์ก็สงบไปธรรมดา ๆ บางท่านบางองค์ก็มีดีดมีดิ้นเป็นไปธรรมดา เพราะวิบากกรรมอันนี้แก้ไม่ตกในเรื่องกรรม เกี่ยวกับเรื่องวิบากขันธ์สมมุติอันนี้ แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ตามได้แค่ขันธ์เท่านั้น ไม่ตามไปในหัวใจที่บริสุทธิ์ได้นี่นะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่มีได้มีเสียกับสิ่งเหล่านี้...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2020 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (20-07-2020)
  #535  
เก่า 20-07-2020, 23:32
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อัฐิกลายเป็นพระธาตุ

เกี่ยวกับอัฐิของพระอรหันต์ ที่ต่อมาได้กลายเป็นพระธาตุนั้น องค์หลวงตาได้แสดงธรรมไว้อย่างละเอียดลออ ดังนี้
“... เวลาท่านผู้สิ้นกิเลสท่านมรณภาพ เอาศพไปเผา อัฐิก็คือกระดูกเหมือนกันกับเรา ๆ ท่าน ๆ แต่กลายเป็นพระธาตุได้ยังไง อันนี้จะเป็นองค์ท่านเองรู้ชัดในธาตุขันธ์ของท่านเอง.. คนอื่นไม่รู้ เวลามีชีวิตอยู่จิตของท่านสง่างาม จ้าครอบธาตุขันธ์อันนี้ ครอบธาตุขันธ์นี้แล้ว เราก็บอกชัดเจนแล้วว่า จิตตั้งแต่บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาแล้ว


นี่ละ..ที่ว่าฟอกธาตุขันธ์ที่เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์นั้น ฟอกมาโดยลำดับ กระแสของจิตที่บริสุทธิ์นี้กระจายออกทั่วสรรพางค์ร่างกาย เรียกว่าฟอกธาตุขันธ์.. ที่เป็นส่วนหยาบเหมือนคนทั่ว ๆ ไปนี้ ให้กลายเป็นส่วนละเอียดเข้าไป ๆ ท่านรู้ของท่าน จิตของท่านผู้ที่หลุดพ้นแล้วท่านรู้

คือร่างกายนี้เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์ ทีนี้เวลาจิตบริสุทธิ์แล้วนั้น การฟอกจิตนี้..ฟอกโดยหลักธรรมชาติตั้งแต่วันบรรลุมา ฟอกนี่เรียกว่าหลักธรรมชาติอย่างละเอียดลออเรื่อย ๆ ซักฟอกอยู่ธรรมดา ยืน เดิน นั่ง นอน ซักฟอกอยู่นั้นเป็นหลักธรรมชาติ ที่เด่นที่สุดก็คือ เวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติภาวนาของท่าน นั่นละ กระแสของจิตเข้ามานี่หมด

ทีนี้พอเข้ามานี่หมด.. กระจายฟอกธาตุขันธ์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้ท่านมองดูธาตุขันธ์ของท่าน ถ้าพูดเทียบกับโลกนี้เรียกว่าเป็น “ทองทั้งแท่ง” อยู่ในนี้ แต่สายตาของเราก็เป็นคนเหมือนท่าน ๆ เรา ๆ แต่สายตาของธรรม ท่านเห็นของท่านเอง เป็นเหมือนทองคำทั้งแท่ง ๆ พากันเข้าใจเสียนะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2020 เมื่อ 16:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (21-07-2020)
  #536  
เก่า 20-07-2020, 23:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นี่ละ..เรื่องธรรมที่บริสุทธิ์ ดูเรือนร่างของตัวเอง เป็นส่วนหยาบก็รู้ชัด ๆ เป็นโดยลำดับอย่างนี้ละ เวลาท่านมรณภาพไปแล้วจะไม่กลายเป็นพระธาตุได้ยังไง ก็กระจายอยู่ภายในตั้งแต่ท่านยังไม่ตายอยู่แล้ว ธาตุขันธ์ถูกซักฟอกเป็นธาตุขันธ์ที่ละเอียดลออ จนกลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ของพระอรหันต์ แต่สายตาของโลก ก็เป็นธาตุขันธ์ธรรมดาเหมือนเรา แต่สายตาของธรรมที่เป็นผู้รับผิดชอบ คือจิตที่บริสุทธิ์ของท่านครองร่างอยู่นี้ ท่านดูกระจ่างของท่านอยู่ตลอดเวลา เห็นชัดเจนหมด...”

สำหรับอัฐิพระอรหันต์แต่ละองค์ จะเป็นพระธาตุเร็วหรือช้าอย่างไรนั้น องค์หลวงตาอธิบายไว้ ดังนี้
“... คำว่าเป็นพระธาตุนี้ก็ต่างกันอีกนะ คือถ้าจิตผู้ใดได้บำเพ็ญธรรม บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็วแล้วตายไปเสีย ผู้นี้ก็เป็นพระธาตุได้..แต่เป็นช้า เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้ยังไม่ได้ซักฟอกธาตุขันธ์ โดยทางความพากเพียรตามอัธยาศัยของท่านไปนาน..แล้วมาตายเสีย ธาตุขันธ์นี้ยังไม่บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน บริสุทธิ์ตามส่วนของธาตุขันธ์ที่เป็นส่วนหยาบนะ ส่วนจิตบริสุทธิ์แล้ว


แต่องค์ไหนถ้าบำเพ็ญไปนาน ตั้งแต่สมาธิปัญญาค่อยเริ่มไปเรื่อย ซักฟอกไปเรื่อยถึงขั้นอรหันต์แล้ว ท่านนิพพานหรือตายไปเสีย..อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เร็ว คือความช้าความเร็วอยู่กับการบรรลุ แล้วทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ ถ้าทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ไปนาน จิตธรรมชาติของท่าน..ไม่ใช่ท่านตั้งใจซักฟอกนะ จิตที่บริสุทธิ์นี้ต่างหากที่ซักฟอกร่างกายนี้ ธาตุขันธ์นี้ซึ่งเป็นส่วนหยาบให้เป็นของละเอียด ๆ ๆ ไปตามส่วนหยาบของธาตุขันธ์ เวลาท่านมรณภาพไปแล้ว.. อัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ เพราะจิตซักฟอกไว้เรียบร้อยแล้ว มันเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ

ไม่ใช่พอตายไปจะเป็นพระธาตุทันที มันต่างกัน การครองขันธ์อยู่นานหรือไม่นานตั้งแต่วันสำเร็จแล้ว ถ้าครองขันธ์ไม่นาน.. กลายเป็นพระธาตุก็ช้า ถ้าครองขันธ์อยู่นานนี้ กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว มันต่างกัน เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้อยู่กับขันธ์ มันเป็นการซักฟอกขันธ์อยู่ในหลักธรรมชาติ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม หากเป็นหลักธรรมชาติที่คอยซักฟอกอย่างละเอียดลออของจิตที่บริสุทธิ์ครองขันธ์อยู่นั้นแล

ถ้ายิ่งท่านเข้าสมาธิภาวนาด้วยแล้วนี้ จิตเข้ามานี่ล้วนๆ แล้วเป็นการซักฟอกหนักเข้าไป ท่านไม่ได้เจตนาว่าจะซักฟอกธาตุขันธ์นะ ท่านมีเจตนาเกี่ยวกับอรรถกับธรรมที่ท่านจะพิจารณาของท่านต่างหาก แต่มันเกี่ยวโยงกับธาตุขันธ์ เลยเป็นการซักฟอก อันนี้หนักแน่นเข้าไปอีก มากเข้าไปอีก นั่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปอย่างนั้น เวลาท่านมรณภาพแล้วกลายเป็นพระธาตุ ๆ อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ดูเหมือนจะได้ ๔๐ กว่าปีแล้วมั้ง ท่านผ่านไปเรียบร้อยแล้ว อัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ...

ผู้หนึ่งค่อยดำเนินไป ๆ จิตค่อยสม่ำเสมอหลุดพ้นปั๊บ จะนิพพานไปในไม่ช้า.. อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว บางองค์พอพิจารณาปุบปับ.. บรรลุธรรมปึ๋งแล้วก็นิพพานไปเสีย นี้อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุช้า .. ถ้าความบริสุทธิ์อย่างขิปปาภิญญา คือรู้อย่างรวดเร็วนี้ก็ไม่แน่นะ ว่าจะเป็นพระธาตุได้ง่ายดาย เพราะรู้ได้เร็วแล้วก็ (หาก) ตายเร็ว จิตนี้ไม่ครองขันธ์อยู่นาน ก็ยังไม่ได้ฟอกเต็มที่..นี่อาจจะช้า

แต่อัฐิของสามัญชนแม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน ส่วนจิตผู้เป็นเจ้าของเต็มไปด้วยกิเลส ไม่มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นของบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตนได้ อัฐิจะกลายเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร ก็ต้องเป็นสามัญธาตุไปตามจิตของคนมีกิเลสอยู่ดี ๆ หรือจะเรียกไปตามภูมิของจิต ภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยธาตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงจะได้ เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนต่างกัน อัฐิจำต้องต่างกันอยู่โดยดี...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2020 เมื่อ 16:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (21-07-2020)
  #537  
เก่า 20-07-2020, 23:52
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระอรหันต์ทุกองค์ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทุกองค์หรือไม่ องค์หลวงตาได้แสดงธรรมอีกเช่นกันว่า
“... พระธาตุนี้ตีตราแล้วนะ ถึงจะบอกไม่บอกก็ตาม ถ้าลงอัฐิเป็นพระธาตุแล้ว.. ตีตราปึ๋งเลย ในตำราก็บอกไว้อย่างชัดเจนมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้นที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้ บอกไว้แล้ว ถ้าลงเป็นพระธาตุแล้วเห็นไม่เห็นก็ตามเถอะ นี่คือพระอรหันต์..ว่างั้นเลย นอกจากนั้นต้องได้ศึกษาปรารภ ถ้ามีญาณก็หยั่งดูกันซิ นอกจากนั้นก็สนทนา แย็บออกมาจับได้ทันที.. เรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วปิดไม่อยู่ เวลาไปที่ไหน ๆ เห็นมาแล้วนี่ ใครพูดที่ไหนมันก็รู้หมดล่ะซี เห็นด้วยตาเนื้อเรานี่ ไปที่ไหนเห็นด้วยตาเนื้อ ได้ยินด้วยหูของเรา มันก็ชัดเจนตามหูตามตาของเรา ในขั้นนี้เรายังไม่สงสัย ทำไมหัวใจยิ่งจ้ากว่านั้นอีก จะเอาอะไรมาสงสัยอีก สู้ตาฝ้าตาฟางนี้ไม่ได้เหรอ


แต่ก็ยังมีข้อแม้ข้อหนึ่งอยู่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคำอธิษฐานของท่านด้วย.. มีด้วยนะ ถ้าสมมุติท่านอธิษฐานให้อัฐิของท่านเป็นยังไง ๆ หรือจะไม่ให้เป็นพระธาตุนี้ก็อาจเป็นไปได้.. อย่างนั้นอาจไม่เป็นพระธาตุ แต่จะเป็นอย่างอื่นอย่างใดให้เห็นแปลก ๆ อยู่นั้นแหละ เรื่องจิตที่บริสุทธิ์จึงไม่ใช่ธรรมดา...”
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg IMG_20200720_025801.jpg (303.9 KB, 2 views)
ชนิดของไฟล์: jpg IMG_20200720_025851.jpg (293.6 KB, 2 views)
ชนิดของไฟล์: jpg IMG_20200720_113350.jpg (285.2 KB, 1 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2020 เมื่อ 16:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (21-07-2020)
  #538  
เก่า 21-07-2020, 14:06
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ผู้ควรแก่เจดีย์

องค์หลวงตากล่าวถึงบุคคลและสถานที่ซึ่งควรก่อเจดีย์ ตลอดถึงความเกี่ยวข้องของท่านกับบรรดาพระกรรมฐานในเรื่องการก่อเจดีย์ ดังนี้
“... ในครั้งพุทธกาล ท่านผู้ที่จะควรก่อเจดีย์เป็นปูชนียบุคคลขึ้นมา หรือปูชนียสถาน ... ผู้ที่จะควรก่อเจดีย์กราบไหว้บุชาของสัตว์โลก..ว่างั้นเลยนะ แสดงไว้ ๔ ประเภท ก็คือ พระพุทธเจ้า ๑ คำว่าพระพุทธเจ้า หมายถึงทุกพระองค์เลย พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ พระอรหันต์ ๑ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑ ทั้ง ๔ องค์นี้สมควรแก่การสร้างเจดีย์สำหรับจิตใจประชาชนให้กราบไว้บูชา


สถานที่ก่อท่านก็แนะไว้ เป็นสถานที่ชุมนุมชน เช่น ถนนสามแพร่ง สี่แพร่ง หรือที่ชุมนุมชน เขามาจะได้กราบไหว้บูชา พอเห็นเจดีย์ปั๊บ.. จิตเขาจะพุ่งถึงองค์วิเศษคือองค์ศาสดา จากนั้นรองลงมาก็พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่สามก็คือพระอรหันต์ท่าน จิตใจของประชาชนจะมุ่งจุดสูงมากทีเดียว จากนั้นก็พระเจ้าจักรพรรดิ คำว่าพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นผู้ทรงบุญญานุภาพ บุญญาบารมีกว้างขวาง เพราะฉะนั้น จึงควรได้รับการชมเชยจากพระพุทธเจ้า ไม่ปรากฏว่าพระองค์ใดจะคัดค้านนะ เป็นผู้สมควรก่อเจดีย์ให้เช่นเดียวกันกับทั้งสามพระองค์นั้น..

การทำอะไร เราก็จึงควรมีหลักมีเกณฑ์ที่จะก่อในที่ชุมนุมชน เราจึงควรคำนึง อย่าได้ก่อสุ่มสี่สุ่มห้า ซึ่งผิดกับเจตนารมณ์ของผู้ที่ได้พบได้เห็นและกราบไหว้บูชา มุ่งจิตใจไปในทางอันเลิศเลอ ... เวลาเห็นแล้วก็ให้เป็นขวัญตาขวัญใจ ตรงกับความมุ่งหมายของผู้กราบไหว้บูชาด้วยความระลึกนึกน้อมถึงองค์วิเศษท่าน

สำหรับในวงกรรมฐานนี้ พูดตรงไปตรงมาเลย ก็ส่วนมากจะมาปรึกษาหารือเรานี้แหละ เราก็ให้ข้อแนะนำอย่างที่ว่า ก่อเจดีย์ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสมควร ๆ เราเป็นผู้แนะให้ทั้งนั้นแหละ คือให้เหมาะสมกับจิตใจของผู้มุ่งธรรมอันเลิศเลอ เวลากราบไหว้บูชาให้เป็นขวัญตาขวัญใจ เป็นมหามงคลแก่จิตใจอย่างมากทีเดียว...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2020 เมื่อ 16:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (21-07-2020)
  #539  
เก่า 21-07-2020, 14:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

รักสงวนพระกรรมฐานฝ่ายมหานิกาย

การพบปะสนทนาพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในที่ต่าง ๆ ขององค์หลวงตานั้น มิได้จำกัดอยู่แต่ฝ่ายธรรมยุติด้วยกันเท่านั้น แม้พระกรรมฐานฝ่ายมหานิกาย.. เมื่อได้มีโอกาสอันเหมาะสมท่านก็เข้าหาเช่นกัน ดังนี้
“... เราเคยไปกราบมนัสการหลวงปู่มี โคราช โอ๋ย..ท่านดีใจ เมตตามากมาย ‘ท่านมหา ด้นดั้นมายังไง’ คึกคักเลย..เหมือนอายุยังหนุ่มเลยนะ


เราก็ว่า ‘ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหนก็มาที่นั้นแหละ พ่อแม่ญาติพี่น้องเราอยู่ที่ไหน เราก็ต้องไปหาพ่อแม่ญาติพี่น้องของเรา อันนี้ครูบาอาจารย์อยู่นี้ก็ต้องมา’ ‘เหอ ๆ’

อู๊ย.. คึกคัก ๆ อยู่ในถ้ำนะ เราจำไม่ได้ว่าเป็นมวกเหล็กหรือเป็นอะไร หากเป็นแถวนั้น ท่านเคยไปพักอยู่เป็นประจำ หลวงปู่มีเราเรียก ‘ครูจารย์ ๆ’ เลยแหละ

เราไปพักกับท่านอยู่ที่สูงเนินก็ไป (วัดป่าสูงเนิน) นั่นแล้ว พักวัดป่าสูงเนินเราก็ไป ท่านอยู่แถวมวกเหล็กหรืออะไรเราจำไม่ได้ แต่ว่าแถวนั้น ท่านมาอยู่เป็นประจำ เราไปเราก็บุกเข้าไปหาเลย อู๊ย.. ท่านดีใจ เมตตามากจริง .. รู้สึกท่านเมตตามากจริง ๆ นะ เป็นพิเศษเลย คึกคัก วัยท่านแก่ ๆ โอ๋ย.. กิริยาท่าทางไม่แก่เลย คักคัก ๆ ก็นาน ๆ จะเจอกันทีหนึ่ง พอมาเห็นบอกพระเณร
‘นี่ท่านมหาบัวนะ ลูกศิษย์ผู้โปรดท่านอาจารย์มั่น’


‘อู๊ย.. อย่าพูดอย่างนั้นเถอะ’

‘ขอพูดบ้างเถอะ นาน ๆ ได้พบกัน มันไม่ได้พูดสักที’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ

แล้วท่านก็พูดเอาอย่างเต็มปากของท่านเลย เราก็หมดท่า ท่านก็พูดกับพระกับเณรนั่นละ คุยกัน โฮ้.. สนุกสนาน

ที่ท่านพักอยู่สูงเนินก็ดี วัดป่า.. ท่านอยู่วัดป่าของท่าน เรารักเราเคารพท่านมากจริง ๆ นะ เรียกท่านเรียกว่าครูจารย์เลยแหละ คือมันติดปากมาแต่ดั้งเดิม เรียกแต่ครูจารย์ ๆ สนิทติดปาก ไปหาท่าน.. ท่านอยู่ในเขานะ ท่านแก่ ๆ อย่างนั้น อู๊ย.. คึกคัก ๆ คุยกันตั้งนานกว่าจะได้กลับ เพราะไม่ได้ค้าง เราไป..เราทราบว่าท่านอยู่ที่นั่น เราก็เข้าแวะเลย เข้าไปหาท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงออกมาแล้วก็ไปกรุงเทพฯ เป็นอย่างนั้นละ ท่านอยู่ที่ไหนเราไปหา อยู่ที่สูงเนินเราก็ดั้นไปพักกับท่านเลย มาจากกรุงเทพฯ ก็เข้าไปพักกับท่าน ไม่ได้มากน้อยก็เอา นาน ๆ ได้พบท่านทีหนึ่ง.. ได้กราบท่านพอแล้ว เพราะฉะนั้น วัดสูงเนินถึงได้ไปพักที่นั่น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2020 เมื่อ 16:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (21-07-2020)
  #540  
เก่า 21-07-2020, 22:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เรากับท่านเจอกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่นู้นน่ะ ท่านก็เรียนหนังสือ คุ้นกัน..สนิทสนมกันกับท่านมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ พอเรียนแล้วก็ออกปฏิบัติ พอหลังจากนั้นก็มาพบกับท่านเรื่อย ๆ เพราะการที่เคยพบกันอยู่เสมอ ๆ เรานาน ๆ ทีหนึ่ง

คราวนี้ที่ไปหาท่าน บุกเข้าไปในป่า ท่านถึงยิ่งเมตตาดีใจมาก อู๊ย.. เราไม่ได้พบกันเลย คุยกันนานนะ นี่ละลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์.. องค์นี้องค์หนึ่ง ที่ท่านเล่าให้ฟังเราจำได้หมดนั่นแหละ องค์ไหนชื่อว่ายังไง.. สมัยนั้นนะ เวลานี้ท่านก็ล่วงลับไปหมด

แม้แต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรายังล่วงลับไป ท่านบอกลูกศิษย์ของท่านฝ่ายมหานิกายที่ท่านบอกเองไม่ให้ญัตติ อาจารย์มีนี้ท่านห้ามไม่ให้ญัตติ ท่านพูดเองนี่ เมื่อท่านพูดเองแล้ว แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ฯ ท่านพูดด้วยความเมตตาสงสารมากนะ

อาจารย์ทองรัตน์ อาจารย์กินรี อาจารย์มี เท่าที่เราจำชื่อได้นะ แล้วอาจารย์ไหนบ้าง ท่านเล่าไปหมดนั่นแหละ แต่เราจำไม่ได้ ท่านแนะนำสั่งสอนตลอดมา ท่านก็เลยกระจายออกมาว่า
เมื่อไม่ให้ท่านเหล่านี้ญัตติแล้ว เพื่อนฝูงก็ได้มาก ทำประโยชน์ได้มากมายก่ายกอง จึงไม่อยากให้ท่านเหล่านี้ญัตติ เพราะธรรมดาโลกเราต้องถือสมมุติ คณะนั้นคณะนี้ เมื่อท่านเหล่านี้มาญัตติเสียแล้ว บรรดาเพื่อนฝูงที่เป็นสายเดียวกันก็จะเข้าหาลำบาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ญัตติ เพื่อจะเปิดทางให้บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเข้ามาแล้วได้ประโยชน์อันกว้างขวาง


ท่านว่าอย่างนั้นก็เป็นจริง ๆ เห็นไหม..สายอาจารย์ชากว้างขนาดไหน อาจารย์ชาก็เคยไปอยู่วัดหนองผือด้วยกันนี่นะ ตอนที่ท่านไปศึกษาอบรมเราก็อยู่ที่นั่น ถึงคุ้นกันมาตั้งแต่โน้นละกับอาจารย์ชานะ ที่นี่ท่านก็มา.. อาจารย์ชาที่หนองป่าพงเราก็ไป ไปเวลาไหนเราไปพักหนองป่าพง เราไม่พักที่อื่นนะ ไปทีไรเราไปพักหนองป่าพง วัดอาจารย์ชานั่นแหละ เป็นอย่างนั้นตลอดมา

ทางอุบลฯ ไปหมดแหละ สายกรรมฐานอยู่ที่ไหน ๆ เราไปหมด จนกระทั่งถึงเขื่อนสิรินธร ที่ไหน ๆ วัดป่าเป็นสายของหนองป่าพง เราไปพักหนองป่าพงแล้วก็ให้พระที่วัดหนองป่าพงพาไป สำนักไหน ๆ ไป ๆ พอแนะยังไงเราก็แนะ ๆ เพราะเราสงวนกรรมฐานมาก คือกรรมฐานนี้ละเราแน่ใจ.. จะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลแทนองค์ศาสดาและสาวกทั้งหลายเรื่อยมา.. ด้วยภาคปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้นเราจึงสงวนมาก พระกรรมฐานอยู่ที่ไหนนี้คือกองแห่งธรรมจะอยู่ที่นี่ ธรรมจะงอกเงยขึ้นที่นี่ เพราะฉะนั้นเราถึงไป ถ้ากรรมฐานอยู่ที่ไหน อย่างไปทางกรุงเทพฯ ก็เหมือนกัน อยู่ทางด้านตะวันออกทางเมืองชลฯ ก็เหมือนกัน.. เราไปเรื่อยนะ พอไปถึงกรุงเทพฯ แล้วเราก็ไปเขาฉลาก แล้วก็แถวนั้น.. เขาเขียวเขาอะไร

พอเราบอกข่าวไป โทรศัพท์ไปบอกว่าเราจะไป ทางโน้นก็นัดแนะกันมารวม ๆ อยู่ที่วัดเขาฉลาก เราก็ไปให้โอวาททั้งสอนที่ตรงนั้นเพราะขาดครูขาดอาจารย์ เหมือนลูกเต้ามีหลายคน พ่อแม่ไม่มี โหย.. อะไรจะเป็นกองทุกข์ยิ่งกว่าลูกแตกกับพ่อกับแม่ใช่ไหมล่ะ แตกกระสานซ่านเซ็นไปก็มี อันนี้เราก็ไปเวลาว่าง ๆ ไปเราก็จี้เลย เทศน์ธรรมล้วน ๆ ให้ฟังเลย ถ้าเป็นสำนักกรรมฐานอยู่ที่ไหน เราจะเข้าถึงทันทีเลย ไม่สนใจว่าธรรมยุตมหานิกาย เราไม่สนใจจริง ๆ นะ มันเรื่องชื่อเฉย ๆ ธรรมต่างหากว่างั้น

อยู่คณะเดียวกันก็ลองดูซิ อย่างวัดป่าบ้านตาด.. ใครมาปฏิบัติขัดข้องหรือขัดขวางต่อหลักธรรมหลักวินัย เราไล่หนีทันที ถ้าหนหนึ่ง สองหนไม่ฟังนะ.. มากกว่านั้นไล่เลย อย่างหนึ่งไล่ทันทีก็มีนะ หลายแบบนะ ควรจะไล่ทันทีก็ไล่ทันที ควรจะขู่เสียก่อนก็มี มันหลายแบบ ตั้งแต่วัดเดียวกัน ชื่อเดียวกัน ธรรมยุตเดียวกันก็ตาม เราไม่ได้เอาอันนั้น เราเอาหลักธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง..ใช่ไหม ? ทีนี้เมื่อธรรมวินัยตั้งอยู่ที่ไหน ๆ เข้ากันได้หมด นั่นเราเอาตรงนั้น

พูดถึงอาจารย์มี เรารัก เราเคารพท่านมากนะ ตั้งแต่เรียนหนังสือ โอ๋ย.. ท่านเป็นพระที่สุขุมละเอียดมาก สมชื่อสมนามว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริง ๆ แต่ก่อนเรายังไม่เคยไปเห็นหลวงปู่มั่น ท่านไปเห็นมาก่อนแล้ว อยู่มาก่อนแล้ว ทีนี้พอไปอยู่กับหลวงปู่มั่นกลับมาแล้วจึงได้เข้ามาหาท่าน คราวนี้ยิ่งสนิทกันใหญ่โตเลยเทียวนะ เรียกว่าลูกพ่อแม่เดียวกันไปเลยทีเดียว กลมกลืนทันทีเลยนะ...

ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เราไม่ได้ไปงานศพท่าน ตอนนั้นเรามีอะไรนั่นแหละที่ไปไม่ได้ ที่ไหนก็เหมือนกัน เช่นอย่างศพอาจารย์ใช่ อยู่ที่เขาฉลากก็เหมือนกัน อันนั้นจะมานิมนต์มาวันเดียวกันอีกแหละ ทางนี้ก็รับนิมนต์เขาแล้วจะไปเทศน์ที่วัดถ้ำผาปู่ อาจารย์สีทน อันนั้นก็วันเดียวกัน ตกลงก็อย่างนี้แหละ รับนิมนต์ทางนี้ก่อน.. เลยตกลงก็ต้องไปทางนี้ ถ้ารับทางโน้นก่อน.. ทางโน้นต้องมีความหมายทันที อันนี้ปัดทันทีเลย คือก่อนหลังนั่นละ

นี่พูดถึงเรื่องอาจารย์มี โอ๋ย.. เราดีใจนะ พูดถึงเรื่องอาจารย์มี สูงเนิน เราเคยไปพักแล้วนี่ ไปพักกับท่านนั่นแหละ ถ้าไม่มีท่านอาจจะไม่ได้พักก็ได้ เพราะท่านเป็นแม่เหล็กใหญ่อยู่นั้น พอทราบว่าท่านอยู่ที่นั่นก็บึ่งเข้าหาเลย พักกับท่าน นั่นอย่างนั้นแล้ว โอ๊ย.. ท่านเมตตามากจริง ๆ กับหลวงตานะ รู้สึกเมตตามากจริง ๆ เหมือนหนึ่งว่าเป็นกรณีพิเศษนะ ..."

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2020 เมื่อ 03:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว