กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 07-12-2013, 19:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาพระเจริญสมาธิ เวลาท่านเห็นร่างกายคนอื่นเป็นอสุภะ ท่านเห็นตลอดเวลาหรือเฉพาะเวลาท่านเจริญกรรมฐานครับ ?
ตอบ : ก็ต้องไปถามท่านเอง ว่าท่านทรงอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า ? เพราะในลักษณะนั้นเป็นการทรงฌานในอสุภกรรมฐาน ถ้าคลายสมาธิลงก็จะไม่เห็น ถ้าทรงสมาธิอยู่ก็จะเห็น ต้องถามท่านว่าทรงอยู่ตลอดหรือเปล่า ถ้าทรงเป็นระยะก็เห็นเป็นระยะ ถ้าทรงเฉพาะตอนปฏิบัติก็เห็นแค่ตอนนั้น

ถาม : เวลาเห็นอสุภะต้องพิจารณาเพศตรงข้ามหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามตำราจริง ๆ ท่านบอกว่า ให้พิจารณาร่างกายของเพศเดียวกัน เพื่อป้องกันกามราคะกำเริบ เพราะถ้าไปคิดถึงเพศตรงข้าม เผลอเมื่อไรเดี๋ยวจิตจะปรุงแต่งไปเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง แต่สมัยนี้ที่ชอบเพศเดียวกันก็มี เพราะฉะนั้น..ให้ไปพิจารณาเพศที่เราไม่ชอบก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2014 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 07-12-2013, 19:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างไรครับว่า ตอนไหนควรพิจารณาเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะเราต้องรู้ว่าคันนี้เป็นรถวอลโว่ คันนี้เป็นรถเบนซ์ นี่เป็นหญิงชื่อคนนั้นคนนี้ ?
ตอบ : แสดงว่าเรายังคุมกำลังใจไม่ได้ ถ้าตราบใดที่การรับรู้เริ่มขยายมากขึ้น จิตจะปรุงแต่งมากขึ้น กิเลสก็จะกินเราได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ในตอนฝึกใหม่ ๆ จะเหมือนกับคนไม่เอาใคร เพราะจะเอาแต่รักษากำลังใจตัวเอง จะเข้าสังคมกับเขายาก จนกว่าจะเกิดความคล่องตัว สามารถตั้งกำลังใจเมื่อไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นจึงจะกลับไปเป็นคนปกติอีกทีหนึ่ง

ถาม : เราจะรู้ว่าเป็นธาตุ เราต้องรู้ว่าเป็นหญิงชายก่อนไหมครับ ?
ตอบ : เขาเห็นจนกระทั่งจิตยอมรับจริง ๆ ว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมา ในเมื่อเห็นในลักษณะนั้นก็เลยสักแต่เห็นว่าเป็นรูป เห็นว่าเป็นธาตุ การปรุงแต่งของใจจะไม่มี แต่ก่อนที่จะถึงระดับนั้น เผลอเมื่อไรก็ปรุง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2013 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 07-12-2013, 20:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สุภสัญญา ของที่ไม่สวยงามกลายเป็นของสวยงาม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วในความหมายของเขา สุภสัญญาจัดเป็นวิปลาสอย่างหนึ่ง คำว่าวิปลาสก็คือความเห็นผิด สภาพทั่ว ๆ ไปของร่างกายของบุคคลชายหญิง ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ มีเลือด มีน้ำเหลือง น้ำหนอง มีความสกปรกเป็นปกติ แต่ปัญญาเราไม่พอ เลยไปเห็นว่าสวยงาม

ในเมื่อเราไปเห็นว่าสวยงามขึ้นมา ก็เลยทำให้เราไปยึดไปเกาะ ในเมื่อเกิดความยึดเกาะในร่างกายของตนเอง เกิดความยึดเกาะในร่างกายของคนอื่น ก็ไม่สามารถจะพ้นไปได้ เขาเรียกว่าวิปลาสในอสุภสัญญา ว่าเป็นสุภสัญญา คือเห็นของไม่สวยงามเป็นของที่สวยงาม ต้องแก้ไขโดยการให้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือให้ไปเจริญอสุภกรรมฐาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2013 เมื่อ 03:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 07-12-2013, 20:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในกรณีที่ว่าพระไปบิณฑบาตแล้วได้ของกินที่ดูไม่ได้ ท่านทำใจอย่างไรให้บริโภคอาหารเข้าไปได้ ?
ตอบ : พิจารณาว่าเรากินเพื่อรักษาอัตภาพร่างกายนี้ไว้ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ถึงจุดหมายที่ตัวเองต้องการเท่านั้น เพราะว่าอาหารจะอร่อยหรือไม่อร่อย ประณีตหรือไม่ประณีตก็ตาม ถึงเวลากินลงไปแล้วก็ย่อยสลายออกมา กลายเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดเหมือน ๆ กันหมด ในเมื่อมองในลักษณะนั้น ท้ายสุดก็ฝืนกินลงไปจนได้

ต้องดูที่พระพุทธเจ้าบิณฑบาตครั้งแรก พระองค์ท่านเห็นอาหารแล้ว เหมือนกับลำไส้จะปลิ้นออกมาทางด้านนอก ก็คือจะอ้วก เพราะว่าอยู่ในวังเคยเจอแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น ไปเจออาหารชาวบ้านจึงฉันไม่ได้ ท้ายสุดก็ตัดใจว่า ถ้าเราไม่สามารถที่จะละสิ่งทั้งหลายแค่นี้ได้ เราก็ไม่สามารถจะไขว่คว้าหาโมกขธรรมที่เราต้องการได้ ในเมื่อการเจตนา ตั้งใจหาโมกขธรรมของเรา เพื่อช่วยเหลือคนหมู่มาก ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ พระองค์ท่านก็ฉันลงไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2014 เมื่อ 03:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 07-12-2013, 20:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อานาปานสติยกขึ้นสู่อรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : อานาปานสติจริง ๆ เป็นส่วนของอรูปฌานอยู่แล้ว เพราะว่าอรูปฌานไปจากรูปฌานนั่นแหละ เพียงแต่อาศัยกสิณกองใดกองหนึ่ง ที่ไม่ใช่อากาสกสิณ ถึงเวลาแล้วก็เพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วก็หันไปพิจารณาแทน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของอานาปานสติต้องมีอยู่เป็นปกติ แต่มีอยู่ในลักษณะเข้าถึงความชำนาญ อยากได้ระดับใดก็เข้าถึงระดับนั้นแล้ว แล้วถึงไปจับเรื่องอรูปฌานได้

ถาม : ที่บอกว่าอานาปานสติมีอรูปฌานอยู่แล้วในตัว ?
ตอบ : อรูปฌานเป็นอานาปานสติอยู่ในตัวอยู่แล้ว

ถาม : ลมหายใจนี่เป็นรูป ?
ตอบ : เป็น..สามารถสัมผัสได้ สามารถกำหนดได้ ถึงเวลาเขาก็จะเข้าไปตามระดับของเขาเลย ในเมื่อเข้าตามระดับของเขาเลย จึงไม่ไปตามขั้นตอนของรูปฌานตามปกติ เพราะว่าเราทำรูปฌานตามปกติจนคล่องตัวระดับเข้าออกเมื่อไรก็ได้แล้ว ก็อาศัยกำลังนั้น พอไปเพิกภาพเสีย ก็เข้าไปตามระดับสมาธิที่ตนเองต้องการ พูดง่าย ๆ ว่าแทบไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นลมหายใจเลย กระโดดข้ามบันไดไปที่ละขั้นตามที่ตนเองต้องการได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2013 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 09-12-2013, 20:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "พุทธาภิเษก ๒ ครั้งหลัง อาการหนักหน่อย พอนั่งลง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็นั่งทับกองวัตถุมงคลเลย ท่านนั่งเคี้ยวหมาก "บอกพระครูองอาจด้วย อะไรที่ไม่ใช่พระ..เสกยาก อย่าใส่เข้ามามากนัก" อาตมาเลยถามหลวงพี่องอาจว่าหลวงพ่อว่าอย่างนี้ หลวงพี่ท่านก็..แหะ ๆ "ก็มีบ้าง" ก็มีบ้างนี่คงเป็นคันรถแล้ว

ปรากฏว่าไปงานหลวงพ่อสิงห์เหมือนกันเลย ช้างเต็มคันรถ เจอไปเป็นชั่วโมง ลืมโลกไปเลย เพราะเสกของที่ไม่ใช่พระให้มีอานุภาพเหมือนพระ..ยากมาก ถ้าเป็นรูปพระอยู่จะเสกง่ายกว่า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 09-12-2013, 21:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติออกพรรษาแล้ว อาตมาจะไปไหว้พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และวัดปฐมเจดีย์ ตอนนี้ยังขาดพระพุทธชินสีห์อยู่ เพราะหาจังหวะไปไม่ได้ คนเยอะ ปกติจะเปิดทุกวันพระ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 09-12-2013, 21:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าสมมติเป็นลูกยาเธอ เป็นเจ้าฟ้า พอบวชได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า จะใช้ฉัตรสามชั้นหรือฉัตรตามยศตัวเองครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วก็แค่ ๓ ชั้น อยู่ที่ว่าจะได้รับพระราชทานพิเศษหรือเปล่า ? ในอดีตมายังไม่มีเจ้าฟ้ามาบวชจนถึงระดับพระสังฆราช มีแต่ระดับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 09-12-2013, 21:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไร...เดี๋ยวค่อยชวน เดี๋ยวเขาใจอ่อนก็มาเอง สมัยฆราวาสอาตมาใช้เวลา ๗ ปี พาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเข้าวัด แรก ๆ อาตมาเขียนบทความเกี่ยวกับการสะสมดวงตราไปรษณียากรหรือแสตมป์ เขียนไปเขียนมา ก็มีการแจกแสตมป์ เขาก็ติดต่อมา หลังจากนั้นก็เห็นว่าบ้านใกล้กัน เลยไปมาหาสู่กัน

คราวนี้เวลาไปไหนเขาก็ไปด้วย เพราะเขายังไม่มีเพื่อนผู้ชาย จะไปกินไปเที่ยวไปดูหนังฟังเพลงอะไรก็ไป แต่ถ้าถึงเวลาวัดท่าซุงมีงาน หรือว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาบ้านสายลม อาตมาจะบอกเขาว่า ช่วงนี้ไม่ไปด้วย เพราะต้องไปวัด เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขอตามมา ปีหนึ่งก็แล้ว ๒ ปีก็แล้ว ๓ ปีก็แล้ว ๗ ปีผ่านไป เขาถามว่าวัดมีอะไรดี ถึงได้ไปทุกเดือน เลยบอกเขาว่าถ้าอยากรู้ให้มาเอง เขาก็ตามมา ปรากฏว่าเอาเขาไปฝึกมโนมยิทธิแล้วได้เลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ต้องเสียเวลาชวน เขามาเอง

ต้องบอกว่าบางทีกว่าวาระเขาจะเปิดให้ก็นาน แรก ๆ ถ้าอยู่ ๆ เราไปนำเสนอ ถ้าเขาไม่สนใจก็ไม่ว่า แต่ถ้าอาจจะมีการปรามาสแล้วจะเกิดโทษกับตัวเอง ก็เลยใช้วิธีนี้แหละ ถึงเวลาไปไหนไปด้วย แต่ถ้าตรงกับบ้านสายลมหรืองานที่วัดก็ทิ้งเขาไปงานที่วัด เลยเป็นการวัดความอดทนว่าใครทนกว่า อาตมาไม่ได้ทนหรอก เพราะทำเป็นปกติอย่างนี้อยู่แล้ว

แต่ฝ่ายที่ต้องทนก็คือเขา เพราะปกติไปไหนไปด้วย พอมีงาน..ก็ไม่ไป ๆ ในที่สุดเขาแปลกใจ เอ่ยปากถามเอง กว่าจะถามผ่านไป ๗ ปีเต็ม ๆ ตั้งแต่อาตมาอายุ ๑๘ ปี จนถึงอายุ ๒๕ ปี แล้วหลังจากนั้น ๒ ปี เขาเข้าวัดเอง พอปีที่ ๓ อาตมาก็บวช สรุปว่า ๘ ปี ถ้าอาตมาบวชเสียก่อนเขาคงไม่ได้เข้าวัด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 09-12-2013, 22:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางคนอาจจะสงสัยว่า อายุแค่ ๑๗ - ๑๘ ปี เขียนบทความลงนิตยสารให้เขาได้ อาตมาเขียนหากินตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ...(หัวเราะ)... เขียนบทความ เขียนเรื่องสั้น เขียนสารคดี สารคดีเขียนยากที่สุดเพราะว่าต้องมีการอ้างอิง มีการค้นคว้าข้อมูลที่ชัดเจน บทความไม่หนักขนาดนั้น

เรื่องสั้นนี่โม้ได้เลย แรก ๆ ก็ได้ค่าเขียนหน้าละ ๕๐ บาท อยากได้เงินเยอะก็เขียนเยอะหน่อย ไป ๆ มา ๆ มีคนติดตามมากขึ้น ๆ เขาเพิ่มให้หน้าละ ๗๕ บาท แต่อาตมาเสียท่าเขาเพราะว่าต้นฉบับเขียนด้วยลายมือ แล้วลายมือตัวเล็ก คนลายมือตัวใหญ่เขาได้เปรียบ รับหน้าละเท่ากัน สมัยนั้นกระดาษเอสามด้วย ไม่ใช่เอสี่ ได้ยินทีหลังว่า บก.ต้องเอาไปพิมพ์ดีดให้อีกที แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่อเขาไม่ได้ว่าอะไร อาจเป็นเพราะดูลายมือแล้วสบายตา ก็ปล่อยเลยตามเลย เขียนไปเรื่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 09-12-2013, 22:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นในเว็บต่าง ๆ เขาเอาวัตถุมงคลของอาตมาไปออกกันเป็นที่ครึกครื้นรื่นเริง ต่างคนต่างก็อ้างว่าเป็นสายตรง ใกล้ชิด บอกเขาไปเลยว่า กระทู้ไหนที่ไม่มีพระขรรค์โสฬส ๘๔ ปีธรรมิกราช มาออกก็ไม่ใกล้ชิดจริงหรอก หรือถ้าจะให้ใกล้ชิดจริง ๆ ต้องเอาไม้ครูมาออก ไม้ครูทำเลียนแบบได้ แต่ลายมือเลียนแบบไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 10-12-2013, 19:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ส่วนใหญ่เวลาเจ้าใหญ่นายโตไปตามหาถึงวัดท่าขนุน ถามหาวัตถุมงคลรุ่นนั้นรุ่นนี้ เรียนท่านไปว่าขนาดคนทำยังไม่มีเลย..!

ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙ ท่านมาหา ส่วนใหญ่แล้วข้าราชการที่ย้ายมาจากที่อื่น พอถึงเวลาย้ายเข้าพื้นที่ตรงไหน ก็ให้ลูกน้องไปเสาะหาว่ามีครูบาอาจารย์อะไรที่ชาวบ้าน
แถวนั้นเขานับถือ แล้วไปกราบ ก็ถือเป็นนโยบายที่ดี โดยเฉพาะนายอำเภอทุกท่านที่ย้ายเข้าทองผาภูมิ ต้องเข้าวัดท่าขนุนก่อน ...(หัวเราะ)...

นายอำเภอบางท่าน อย่างท่านเลิศพรชัย ชัยฤทธิ์ ตัวเล็กนิดเดียว ขยันอย่าบอกใคร วัน ๆ ไม่ได้อยู่เฉยเลย เป็นนายอำเภออยู่ ๒ - ๓ ปี เข้าวัดนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่กิจกรรมรวมชาวบ้านก็มักจะอาศัยวัดเป็นหลัก ท่านเองก็ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย เวลาไปร่วมงานส่วนใหญ่ก็ประกาศเชิญท่านเป็นประธานฝ่ายฆราวาสอยู่แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 10-12-2013, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาไปดูในเว็บไซต์ต่าง ๆ เขาเขียนถึงบรรดาครูบาทางเหนือ ใช้คำว่า "ครูบาเจ้า" ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะคำว่าครูบาเจ้ามีที่มาที่ไปชัดเจน อันดับแรกคือบุคคลที่มีเชื้อสายเจ้า ๗ ตนของทางเหนือบวชเข้ามา ชาวบ้านจะเรียกว่าครูบาเจ้า อย่างเช่น ครูบาเจ้าเกษม เขมโก วัดสุสานไตรลักษณ์ ท่านเป็นเชื้อเจ้าลำปาง

อีกส่วนหนึ่งก็คือ เขาทำพิธียกขึ้น เป็นพระที่ได้รับความเคารพจากชาวบ้านมากเป็นพิเศษ ทำพิธีสวดยกขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ให้ยกขึ้นเป็นครูบาเจ้า อย่างเช่น ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง ถ้าไม่ได้อยู่ใน ๒ ฐานะนี้ เรียกว่าครูบาเจ้าไม่ได้

ปัจจุบันนี้เชื้อสายเจ้า ๗ ตนก็หายากมาก โอกาสแทบไม่มี ครูบาเจ้าที่ได้รับการสวดยกขึ้น ปัจจุบันนี้ได้ยินอยู่ท่านเดียว ก็คือครูบาเจ้ามนตรี ธมฺมเมธี วัดสุโทนมงคลคีรี ที่จังหวัดแพร่ ทางด้าน ๑๒ ปันนาทำพิธีสวดยกขึ้น เพราะว่าท่านไปสร้างคุณประโยชน์ให้กับเขามาก

บางทีหนังสือพิมพ์บางแห่งเขาใช้คำว่าครูบาบ่มแก๊ส เร่งให้โตเร่งให้สุก เพราะปกติส่วนใหญ่สมัยก่อนจะบวชกันมา ๒๐ - ๓๐ พรรษา สร้างคุณประโยชน์ให้กับชาวบ้านมาก เขาถึงได้เรียกว่าครูบา ซึ่งมาจากครูบาอาจารย์นั่นแหละ อย่างสมัยก่อนเรียก บาจารี ก็คืออาจารย์ผู้เป็นแบบอย่าง เป็นทั้งครู เป็นทั้งอาจารย์เขา ก็เลยเรียกสั้น ๆ ว่าครูบา

ปัจจุบันนี้ในเมื่อต่างคนต่างเรียกกันเป็นปกติ ก็เรียกกันไปตามนั้น แต่ถ้าถึงขนาดครูบาเจ้า อาตมาซึ่งรู้ที่มาที่ไป รู้สึกค่อนข้างจะเกินไป คือคนเรียก ๆ ด้วยความเคารพแต่ไม่รู้ที่มา คนรับก็ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ทักท้วงบ้างหรือเปล่าว่าไม่ถูกต้อง เลยจะทำให้ไปกันใหญ่ จำเป็นที่จะต้องคอยเตือนสติกันไว้หน่อย ถ้าไม่รู้ธรรมเนียมเก่า ๆ แล้วไปทำผิด ก็จะผิดต่อไปเรื่อย ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 10-12-2013, 20:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การสวดยกพระภิกษุสงฆ์ขึ้นไปสู่ตำแหน่งอันเป็นที่เคารพ ถ้าว่าตามแบบพวกเราก็จะมีพิธีมหาสมณุตมาภิเษก คือการยกสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีอยู่แค่ ๓ พระองค์เท่านั้น ที่เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เพราะว่าได้รับพิธีมหาสมณุตมาภิเษกยกขึ้นให้เป็น และทั้ง ๓ พระองค์นี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระปรมานุชิตชิโนรส สังกัดมหานิกายอยู่พระองค์เดียว

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปัจจุบันนี้ยังมีพระราชาฐานานุกรมของท่านอยู่ ยังมีพระปลัดซ้าย ปลัดขวา ปลัดกลาง

ปกติในสมัยปัจจุบันจะมีแค่พระครูปลัด ถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชจะมีพระมหานายก พระจุลนายก แต่ว่าในสมัยโบราณจะมีพระปลัดซ้าย ปลัดขวาอยู่ จะมีพระทักษิณคณิสร พระอุดรคณารักษ์ เป็นปลัดซ้ายขวา ปลัดกลางเขาเรียกว่า พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ พระราชาคณะปลัดกลาง มีวัดเดียว เป็นพระราชาคณะสถาปนาคอยดูแลพระอัฐิ ฉะนั้น ๓ ตำแหน่งนี้เป็นของวัดโพธิ์อย่างเดียวเลย วัดอื่นมีไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 10-12-2013, 20:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เชือก ๓ ปม ของวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่าเชือกสงคราม สมัยก่อนหลวงปู่รอด นครสวรรค์ ท่านถ่ายทอดวิชานี้สืบต่อกันมา แต่เวลาขอดเชือกต้องกลั้นหายใจว่าคาถา การกลั้นหายใจว่าคาถาบังคับให้สมาธินิ่ง พอถึงเวลาหลวงพ่อท่านออกมานั่งรอเวลาฉันเพล มาถึงท่านก็ม้วนดึง ม้วนดึง ม้วนดึง หายใจเฮือก "เฮ้อ..ตอนหนุ่ม ๆ ไม่เห็นเหนื่อยอย่างนี้วะ ตอนแก่แล้วกลั้นหายใจนาน ๆ ไม่ไหว"

ความจริงหลวงพ่อทำตามตำรา ตรงไปตรงมา ถ้าเป็นอาตมาเองแหกคอกกระจายไปแล้ว ในเมื่อต้องการสมาธิ ก็เข้าสมาธิให้สูงไปเลย หมดเรื่องหมดราว แต่ก็ว่าไม่ได้..วิชาของโบราณนี่แปลก อาตมาเคยแหกคอกมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ถึงจะรู้ว่าเข้าสมาธิระดับนั้น แต่ถ้าไม่ทำตามเคล็ดของเขาก็ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ประเภทแหกคอกกระจายอย่างอาตมาไม่ค่อยจะสำเร็จหรอก

หลวงพ่อท่านเรียนวิชาขอดเชือกนี้มาตั้งแต่ก่อนจะบวช แสดงว่าได้รับการถ่ายทอดมานานมาก สมัยที่ท่านเป็นทหารอยู่แล้วต้องไปรบในสงครามมหาเอเชียบูรพา ท่านทำเชือกให้ทหารในหมวดของท่าน ถึงเวลาขอดเสร็จก็วางให้ยิงเลย ยิงออกแต่ไม่ถูกสักนัด จ่อยิงเลยก็ไม่ถูกอีก เขาถึงได้ต้องการ ท่านเลยต้องไปขอดให้
ลูกน้องทั้งหมวด อย่างไม่มี ๆ ก็หมวดละ ๓๐ กว่าคน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 11-12-2013, 12:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถระ) พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่มหาอำพัน ท่านไปสร้างวัดไว้ ๓ วัด คือวัดจุฬามณี วัดตรีรัตนาราม วัดสนามรัตนาวาส หลวงปู่มหาอำพันท่านเห็นว่าวัดสนามรัตนาวาสทรุดโทรมมาก ท่านจึงไปบูรณะให้

ปัจจุบันหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ท่านก็สร้างวัดพุทธานุภาพ วัดธรรมานุภาพ วัดสังฆานุภาพ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 11-12-2013, 12:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เตียงนอนที่คนอื่นเขานอนสบายกัน แต่ผมนอนทีไรปวดหลังทุกที เป็นเพราะว่าเป็นกรรมอะไร ?
ตอบ : พวกกรรมกรเก่าเหมือนอาตมา อาตมาก็นอนเตียงไม่ได้ นอนเตียงทีไรปวดหลังแทบตาย ขนาดไปยุโรป ค่าห้องคืนหนึ่ง ๗๐๐ ยูโร ประมาณ ๒๘,๐๐๐ บาท อาตมายังต้องไปนอนกับพื้นเลย..!

ถาม : เป็นนิสัยเก่าที่ติดมาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่รู้..อาตมาคงทำทาสทานมา ให้ของไม่ดีคนอื่นไว้เยอะ ถึงเวลาใช้ของดีไม่ได้ ต่อไปถึงเวลาจะทำอะไร ต้องให้แต่ของดี ๆ

หลวงปู่มหาอำพันเวลาจะทำบุญท่านประณีตมาก คัดแล้วคัดอีก รองเท้าต้องซื้อที่ร้านนี้ ร่มต้องซื้อร้านนี้ ผ้าไตรจีวรต้องซื้อร้านนี้ ย่ามต้องซื้อร้านนี้ คนที่เหนื่อยที่สุดคือพี่พรทิพย์กับพี่รุ่งเรือง ท่านจะเน้นเลยว่าร้านนี้ของอย่างนี้คุณภาพดี ต้องร้านนี้เท่านั้น บางร้านอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ ท่านก็ยังตามเป็นลูกค้าอยู่เพราะเขาขายของมีคุณภาพ เขารักษาชื่อเสียง ยังดีที่หลวงปู่มหาอำพันไปพระนิพพานแล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดใหม่คงมีของประณีตทุกชิ้น พวกเราทำทาสทานไว้เยอะ จงยอมทนต่อไปเถอะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 11-12-2013, 12:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าทำกรรมฐานแต่ไม่พิจารณา กิเลสจะดึงกำลังไปนาน ประเภทเอาไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ถ้าจะแงะกิเลสตัวนั้นออกได้ต้องเข้าถึงสมาธิระดับเดิมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงระดับเดิมก็ได้ แต่ให้ถึงปฐมฌานขึ้นไปจะกดกิเลสได้ชั่วคราว

เวลากิเลสพาเราเตลิดไปแล้ว จะเอาคืนยากมาก หลายวันเชียวกว่าจะได้คืน ฉะนั้น..อย่าเผลอปล่อยให้เป็นทีของเขา ต้องพยายามให้เป็นทีของเราไว้เสมอ ถ้าไม่สามารถรักษาอารมณ์ให้หลับกับตื่นรู้ตัวเท่ากันได้ ก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาหาความดีใส่ใจให้เร็วที่สุด เพราะว่าความดีความชั่วเข้ามาในใจของเราได้อย่างเดียว ไม่สามารถจะชั่วกับดีปนกันได้ ถ้าให้ความชั่วเข้ามาก่อน เราก็ฟุ้งซ่านเดือดร้อนทั้งวัน ถ้าให้ความดีเข้ามาก่อน ความชั่วเข้าไม่ได้ เราก็มีความสุข เย็นกายเย็นใจไปทั้งวัน แต่ถ้ากำลังไม่พอ อาจจะได้ชั่วโมงเดียว ก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 11-12-2013, 12:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น อาตมาจะถือเรื่องเรียนเป็นใหญ่ พอดีว่าเพื่อนร่วมกลุ่มทำโครงร่างวิทยานิพนธ์เสร็จช้า ทางมหาวิทยาลัยไม่มีวันให้สอบ แล้วอยู่ ๆ ก็แจ้งด่วนมาถามว่า จะสอบร่วมกับทางรัฐประศาสนศาสตร์ไหม ? ก็เรียนท่านไปว่า ถ้าสอบได้ก็เอา ปรากฏว่าวันสอบของรัฐประศาสนศาสตร์ตรงกับวันตักบาตรเทโว ไปถึงแล้วอาจารย์เพิ่งนึกได้ ท่านบอกว่า "ผมลืมไปจริง ๆ ครับว่ามีวันตักบาตรเทโว ห่างวัดไปหน่อย" อาตมาบอกว่า "ไม่เป็นไรครับอาจารย์ อย่างเก่งผมขาดรายได้ไป ๑๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้นเอง" คนทั้งอำเภอเตรียมมาตักบาตร ทาง ททท. เตรียมกล้องมาถ่ายสารคดี แต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ เสียท่าเลย จะเห็นว่างานสำคัญระดับ ททท. จะยกเป็นแหล่งเที่ยวของจังหวัดก็ยังต้องทิ้ง เอาเรื่องเรียนไว้ก่อน

จากที่ไม่มีวันสอบ คาดว่าต้องหลุดถึงปีหน้าแน่ ๆ กลายเป็นสอบก่อนเพื่อนเลย เพื่อนฝูงเขาโวยวายว่าแซงทางโค้งเขาไปเมื่อไร อาตมาก็รู้สึกดีใจที่ได้สอบก่อนเพื่อน ตอนแรกก็คิดว่าผลสอบออกมา ๒ อย่าง อย่างแรกคือโดนอาจารย์สับเละเป็นโจ๊ก อย่างที่สองก็คือ อาจจะไปสร้างมาตรฐานใหม่จนเพื่อนเดือดร้อน แต่ก็ดีใจที่ได้สอบก่อน เพราะว่าท่านที่หัวข้อวิทยานิพนธ์ใกล้เคียงกัน อาจจะโดนอาจารย์เปลี่ยนหัวข้อ พวกสอบก่อนจึงได้เปรียบ

พอเข้าไปสอบเข้าจริง ๆ ปรากฏว่า ตัวประธานคณะกรรมการสอบ คือท่านเจ้าคุณพระเมธาวินัยรส ของมหามกุฏราชวิทยาลัย การสอบของพวกเราอาจารย์ที่ปรึกษาไม่มีสิทธิ์เลย เขาเอาอาจารย์ข้างนอกมาลุยเรา

อยากให้การสอบทุกครั้งเป็นแบบนี้ ท่านอาจารย์จะนั่งปรึกษากันว่า ลูกศิษย์จะทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ท่านมีความเห็นว่าเป็นไปได้ไหม ? มีอะไรต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างไร ? ท่านอาจารย์ตกลงกันได้แล้ว ค่อยมาบอกเราทีละข้อ ๆ อะลุ้มอล่วยดีมากจนกระทั่งคิดไม่ถึง ไม่นึกว่าจะมีการสอบในลักษณะนี้ เพราะว่าของรัฐประศาสนศาสตร์สอบอาตมาก็ฉวยโอกาสไปนั่งดู เห็นว่าโดนท่านอาจารย์สับเละเป็นโจ๊กไปเลย

อาจจะเป็นไปได้ว่า พอเห็นเขาสับทางด้านโน้นอยู่ อาตมาก็นั่งภาวนา พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต ไปเรื่อยเปื่อย พอถึงเวลาตัวเองเข้าไปสอบกลายเป็นหนังคนละม้วน สรุปว่าใช้คาถาให้เป็น ปกติเขานึกถึงหน้าอาจารย์แล้วค่อยภาวนา นี่ไม่ต้องนึก ท่านอยู่ตรงหน้าเลย

ลูกศิษย์มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเป็นอย่างนี้ มีท่านใดเห็นเป็นอื่นบ้างไหมครับ ? มีท่านใดเห็นว่าควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงตรงไหน ? ท่านอาจารย์นั่งเถียงกันเป็นสิบ ๆ นาที ตกลงกันได้แล้วว่าจะเอาอย่างนี้นะ ให้นิสิตเปลี่ยนตามนี้ ๆ สรุปว่าท่านอาจารย์เขียนให้ทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเขียนผ่านมือของพวกเราเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 11-12-2013, 12:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ในหลวงรัชกาลที่ ๕ คบหาสมาคมกับต่างประเทศมาก พระองค์ท่านเสวยพระสลา (หมาก) พระทนต์ (ฟัน) ก็ดำ คราวนี้พอชาวต่างประเทศมา ก็ต้องไปขัดพระทนต์ให้ขาว ไม่สนุกเลย เพราะว่ายางหมากเวลาจับฟันจะดำ ถ้าอยากรู้ว่าดำอย่างไรต้องดูหนังเรื่องแม่นาค ดำแบบนั้นแหละ แต่หนังเรื่องแม่นาคตั้งใจย้อมจนเกินไป ของจริงไม่ดำสม่ำเสมอแบบนั้น ถ้าเด็ก ๆ ไปดูหนังเรื่องแม่นาค แล้วปากอาจจะจัดขึ้น แต่ละคนด่าไฟแลบเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว