กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 25-08-2011, 05:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จริตมี ๖ จริต แต่ผมรู้สึกว่าผมจะเกิน ๖ จริต
ตอบ : จริตที่ ๗ ก็มี ประเภทดัดจริตกับวิกลจริต..! จริตมีแค่ ๖ เท่านั้นแหละ ไม่ได้เกินหรอก

ถาม : อย่างนี้ผมต้องทำกรรมฐานทุกกองเลยหรือครับ ?
ตอบ : มีจริตครบทุกคนแหละ แต่จะมีจริตที่เด่นมากอยู่อันหนึ่ง ให้เลือกกรรมฐานที่เป็นคู่ศึกกับจริตนั้น แล้วก็ลุยไปเลย

ถาม : มโนมยิทธินี่ได้อาโลกกสิณแล้ว เวลาผมฝึก ผมไม่ได้กำหนดจับภาพพระนะครับ ได้โดยอัตโนมัติ
ตอบ : มโนมยิทธิเป็นของเดิม ถ้าคนไม่มีของเดิม (ของเก่า) ในชาติก่อน ฝึกไม่ได้หรอก เท่ากับเรามาฟื้นของเก่าเท่านั้น ถ้าให้ไปเริ่มฝึกจากกสิณนี่ไม่รู้ว่าอีกแสนชาติจะได้หรือเปล่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2011 เมื่อ 13:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 25-08-2011, 05:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมเครียดมากจนคิดฆ่าตัวตาย ตอนที่เชือดตัวเอง แล้วเลือดไม่ยอมไหล เป็นเพราะยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก..ยังไม่ถึงที่ตาย มีคนหนึ่งค่อย ๆ ซื้อยานอนหลับสะสมจนได้ ๘๐ เม็ดแล้วกินเข้าไปรวดเดียว กะจะให้ตาย หลับไปพักใหญ่ ตื่นขึ้นมาสดชื่นมาก ยังไม่ตาย เขาก็เลยเอาใหม่ ซื้อยาสะสมไปได้อีก ๕๐ เม็ด กินอีกทีหนึ่งก็หลับไปอีกตื่นหนึ่งเท่านั้น

สรุปว่าถ้ายังไม่ถึงวาระ ไม่ว่าบุญหรือกรรมย่อมรักษา จำไว้ว่าคนเรากว่าจะเกิดเป็นคนได้นั้นแสนยาก ถ้าหากว่ายังไม่ทำประโยชน์ให้สมกับที่เกิดมาเป็นคน แล้วดันไปฆ่าตัวตายนี่โง่กว่าควายตั้งเยอะ..! คุณเคยเห็นควายตัวไหนมันฆ่าตัวตายบ้างไหมเล่า ? มีแต่โดนบังคับให้เข้าโรงเชือด แถมยังหนีสุดชีวิตอีกต่างหาก

อยากประสบความสำเร็จใจคอต้องหนักแน่น ใจคอจะหนักแน่นได้สมาธิต้องดี เพราะฉะนั้น..คำตอบอยู่ที่สมาธิ กลับไปจัดการสร้างสมาธิให้เข้มแข็งไว้ ให้สังเกตว่าเวลาสมาธิทรงตัว ทุกอย่างจะดีหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2011 เมื่อ 13:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 25-08-2011, 06:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเลี้ยงปลาโลมาไหม ? อาตมางงมากเลยว่าสัตว์ที่ฉลาดขนาดปลาโลมาทำไมจึงไม่ครองโลก ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเพราะปลาโลมาฉลาดจึงไม่ครองโลก

เราทำอะไรเขารู้หมด แล้วเขารู้ด้วยว่าต้องอ้อนอย่างไรถึงจะได้กิน สุดยอดกว่าหมาเยอะเลย ต้องไปเจอด้วยตัวเองแล้วจะรู้ว่าเขาฉลาดแค่ไหน สรุปว่าปลาโลมารู้ว่าโลกนี้ยุ่งฉิบหาย ก็เลยไม่อยากได้ นั่นแหละ..เพราะความฉลาดของเขาจึงไม่ครองโลก

เวลาเขาร้อง คลิก..คลิก..คลิก เหมือนเขาหัวเราะ แต่จริง ๆ เขาพูด นั่นเป็นเสียงพูดของเขา เขาอาจจะบอกว่าพาไปเที่ยวข้างบนบ้างสิ เขามีความสุขที่ได้อยู่อย่างมีอิสระ

ลักษณะของการหากินของเขาอยู่ในลักษณะของโภชเนมัตตัญญุตา กินแล้วก็จบ ไม่มีการสะสมสำหรับมื้อต่อไป จะมีกินหรือไม่มีกินในมื้อหน้าเขาไม่ได้ห่วง กำลังใจอยู่เฉพาะหน้าเลย ถ้าเขามีปัจจุบันธรรมมากกว่านั้น คงได้เกิดเป็นคนหรือเป็นเทวดากันหมด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2011 เมื่อ 13:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 25-08-2011, 06:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูรู้สึกว่าเด็กเขาไม่ค่อยซาบซึ้งกับความรักความเมตตาของพ่อแม่ เวลาเขารับของจากพ่อแม่ เขาก็รู้สึกเฉย ๆ ชินกับการรับค่ะ หนูเลยบอกว่าต้องมองให้ลึกมากกว่านี้นะ ว่าทำไมเขาถึงเอามาให้เรา
ตอบ : คนอื่นเขาให้เราอย่างนี้บ้างไหมเล่า ?

ถาม : เขารู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องให้เขา
ตอบ : เข้าใจผิดแล้ว ถ้าเขาไม่ให้แล้วแกจะรอดไหม ? ตายไปตั้งแต่ไม่ทันจะรู้ภาษาแล้ว

ถาม : เขาไม่มองความรู้สึกคนอื่น ว่าทำไมต้องมาเอาใจเรา
ตอบ : เด็กสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะเข้าใจอย่างนั้น ในเมื่อเข้าใจอย่างนั้นก็เลยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พอไม่ได้อย่างใจก็อาละวาด เรียนมหาวิทยาลัยปี ๒-๓ แล้วกระโดดตึกตาย อยากให้พวกที่กระโดดตึกตกลงไปแล้วไม่ตายสักที จะได้รู้ว่ารสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร ต้องพิการไปตลอดชีวิต จะไปกระโดดใหม่ก็ไม่ไหว

ถาม : เด็กเป็นอย่างนี้เราต้องอาศัยการพูดบ่อย ๆ
ตอบ : จำเป็นมาก เพราะถ้าไม่ตอกย้ำบ่อย ๆ แล้วเขาจะไม่ซาบ ในเมื่อไม่ซาบ(ทราบ) โอกาสที่จะซึ้งก็ไม่มี ซาบกับซึ้งนี่ต่างกันนะ ซาบ(ทราบ)นี่รับรู้เฉย ๆ ซึ้งนี่เข้าใจเลย

ถาม : คิดไปคิดมา ก็เลยคิดว่าสิ่งที่พ่อกับแม่มีในชีวิตก็แค่เรา พ่อแม่มีแค่ลูกเท่านั้นที่เป็นดวงใจ ตระหนักขึ้นมาเอง เรามีความสุขจัง เราไปไหนเราก็มีความรักของพ่อแม่คุ้มครอง
ตอบ : เขาเรียกว่าบุญคุณของพ่อแม่ บุญคุณของพ่อแม่สามารถรักษาเราได้ โบราณเวลาเขาออกรบ เอาชายผ้าถุงแม่ไปชิ้นเดียวแล้วรอดกลับมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2011 เมื่อ 13:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 25-08-2011, 15:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คำว่า ปูชา จ ปูชนียานํ คือการบูชาบุคคลที่ควรบูชา กับ คารโว จ การเคารพต่อบุคคลที่ควรเคารพ มีความแตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : สักการะคือการกระทำสิ่งที่ดี ๆ ต่อกัน บูชาคือการแสดงความนอบน้อมเป็นอย่างสูง เคารพ คือการแสดงออกซึ่งการให้เกียรติต่อผู้อื่น

ถาม : แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ความหนักเบาต่างกัน

ถาม : แล้วการบูชาบุคคลซึ่งควรบูชา นี่รวมถึงการปฏิบัติบูชาด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ายึดพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ก็ถือเป็นปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าท่านเน้นตั้งแต่ต่ำสุดจนสูงสุด

ถาม : คำว่า อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ ?
ตอบ : อัตตสัมมาปณิธิ ก็คือเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฐิ เขาถึงเรียกว่า ตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ

ถาม : สิปฺปญฺจ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ที่ท่านเคยพูดอยู่เสมอ ๆ คือ ศิลปะในการดำรงชีวิต รวมถึงพวกวิชาชีพติดตัวด้วยไหมครับ ?
ตอบ : รวมถึงการงานทุกอย่าง แต่สำคัญที่สุดในส่วนของศิลปะในการดำรงชีวิต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 03:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 25-08-2011, 16:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การมีวินัยนี่เขาแปล วินโย จะ สุสิกขิโต มีวินัยที่ศึกษาอบรมดีแล้ว ผมอ่านก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ตอบ : ก็เพราะคุณไปเอาตามรากศัพท์ ความหมายคือ เป็นบุคคลที่พร้อมจะปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ หรือข้อกฎหมายทุกอย่าง ดังนั้น..ถ้าคุณไม่ฝืนระเบียบ ไม่ฝืนข้อบังคับ ไม่ฝืนข้อกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรที่คนอื่นเขาจะทำให้เราเดือดร้อนได้

ถาม : ข้อที่ ๑๖ ที่ว่า ธัมมะจะริยา คือการประพฤติธรรม ตรงนี้หมายถึง ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา

ถาม : ส่วน ๑๘ กับ ๑๙ คือ อะนะวัชชานิ กัมมานิ การทำงานไม่มีโทษ กับ อาระตี วิระตี ปาปา การงดเว้นกับการทำบาปทั้งปวง ต่างกันตรงไหน?
ตอบ : การทำงานไม่มีโทษ เขาให้เว้นจากมิจฉาวณิชชา ก็คืองานที่ผิดกฎหมายบ้านเมืองหรือศีลธรรม ส่วนการเว้นจากบาปทั้งปวงก็คือเว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต

กายทุจริต ก็คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย วจีทุจริต ก็คือเว้นจากการโกหก เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการส่อเสียด เว้นจากการพูดวาจาไร้ประโยชน์ มโนทุจริต ก็คือไม่โลภอยากจนเกินพอดี ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร มีความเห็นเป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเว้นได้ก็ไม่ต้องไปชั่วแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 03:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 25-08-2011, 16:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ส่วนคำว่า อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ คือความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลายนี่หมายถึงอะไรครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ต่ำสุดยันสูงสุดเลย ก็คือตั้งหน้าปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ

ถาม : อันหนึ่งที่ผมอ่านแล้วผมงงมาก คือ สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะ ในที่นี้หมายถึงการเห็นพระ แค่นี้ก็เป็นบุญ เป็นมงคลแล้วหรือครับ?
ตอบ : มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้เห็นพระพุทธเจ้าแวบเดียวก่อนตาย รอดนรกไปได้ จัดเป็นอุดมมงคลไหมเล่า ?

ถาม : มีข้อหนึ่งที่ใกล้เคียงกันมาก ผมหาความแตกต่างไม่เจอคือคำว่า ธมฺมจริยา การประพฤติธรรม กับอีกคำหนึ่ง พรหฺมจริยํ การประพฤติพรหมจรรย์
ตอบ : ประพฤติพรหมจรรย์ ต่ำสุดก็ต้องเป็นผู้ทรงสมาธิได้ทรงตัว เพราะคำว่า "พรหม" หมายถึง ผู้ใหญ่ พรัหมะจะริยา คือ จริยาของผู้ใหญ่

จริยาที่ทำให้เกิดเป็นพรหม ก็คือต้องทรงสมาธิ ต้องอยู่คนเดียว ต้องปฏิบัติในเนกขัมมะบารมี ดังนั้น..อย่างน้อย ๆ พรัหมมะจริยาจะต้องประพฤติอยู่ในลักษณะทรงศีล และปฏิบัติในเนกขัมมะบารมี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 03:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 25-08-2011, 17:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระพุทธเจ้าตรัสถึงมงคล ๓๘ ประการ หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีทุกข้อ แต่ถ้ามีข้อหนึ่งข้อใดก็ถือว่าเป็นมงคลแล้ว ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ แต่ถ้าทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกข้อ ก็ไปนิพพานแน่นอน

ถาม : สามข้อหลังนี่ใกล้เคียงกันมาก ผมหาความแตกต่างไม่เจอ อะโสกัง วิระชัง เขมัง
ตอบ : อะโสกัง..สภาพจิตที่ไม่มีความเศร้าโศก วิระชัง..สภาพจิตที่ผ่องใสปราศจากธุลี เขมัง..สภาพจิตที่มีแต่ความสดชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ถ้าทำถึงก็รู้เอง

ถาม : จริง ๆ สามตัวนี้แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกันอยู่ แต่ว่าเป็นความต่างกันโดยชื่อ บุคคลที่ทำถึงจะได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ว่าได้เฉพาะอย่าง

ถาม : อริยสจฺจานทสฺสนํ คือการเห็นอริยสัจ กับ นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ การทำพระนิพพานให้แจ้ง นี่ถึงพร้อมกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเห็นในอริยสัจ ก็จะทำพระนิพพานให้แจ้งไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 25-08-2011, 17:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในอภิสมาจารท่านกล่าวเอาไว้ว่า ภิกษุพึงกางร่มได้เฉพาะในอารามหรือในอุปจาระแห่งอารามเท่านั้น ในอารามก็คือในวัด อุปจาระแห่งอารามก็คือเขตวัด พ้นจากนั้นไปก็ไม่ใช่แล้ว

แต่ถ้าเห็นพระที่ไหนเขากางร่มก็อย่าไปว่าท่านนะ เพราะท่านมีอนุญาตว่า เพื่อป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบได้ แต่นั่นหมายถึงต้องป่วยอยู่นะ เพราะโดนฝนโดนแดดแล้วจะเป็นหนักขึ้น แต่ก็มีคนตีความเข้าข้างตัวเองว่า ป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบ คือป้องกันเป็นไข้ ว่าแล้วก็กางเลย"

ถาม : ถ้าโยมเห็นพระเดินบิณฑบาตตากฝน โยมขออนุญาตกางร่มให้ จะทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ควรจะเป็นโยมผู้ชาย ไม่ใช่เป็นโยมผู้หญิงกางร่มตาม ไม่อย่างนั้นเสียหายหลายแสน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 25-08-2011, 17:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เคยอ่านเรื่องสั้นของฝรั่งเรื่องหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งหัวค่อนข้างช้า รับกลอนจากอาจารย์บทหนึ่งไปท่องเป็นอาทิตย์ก็ยังท่องไม่ได้ พอถึงเวลาต้องไปท่องให้อาจารย์ฟังหน้าห้อง ท่องไม่ได้ก็โดนไล่ไปอยู่นอกห้อง จึงเอาตำราไปนั่งท่อง

ตรงที่เขานั่งพิงกำแพงอยู่ มีหอยทากค่อย ๆ กระดืบ ๆ ขึ้นกำแพง เขาก็เลยเกิดมานะว่า "หอยทากไปช้าขนาดนั้นยังไม่ท้อถอยเลย เพราะฉะนั้น..เราจะท่องกลอนบทนี้ให้ได้ก่อนที่หอยทากจะขึ้นถึงบนกำแพง" เกิดความมานะพยายามเพราะมีคู่แข่งแล้ว ก็เลยท่องกลอนได้จริง ๆ

เพราะฉะนั้น..ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ความพยายามอยู่ที่ไหนความพยายามก็อยู่ที่นั่น..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 03:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 26-08-2011, 05:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บารมีสิบที่คนสั่งสม มีการลดหรือเพิ่มในแต่ละวันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสั่งสมก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าทำความชั่วแล้วจิตใจเศร้าหมอง ทำให้ห่างจากความดี การทำความดีของบุคคลนั้นลดลง

จริง ๆ แล้วความดีไม่ได้ลดลงหรอก ดีกับชั่วต่างคนต่างอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราเกาะด้านไหน ถ้าหากว่าเราเกาะด้านดีก็พาเราขึ้น ถ้าเกาะด้านชั่วก็พาเราลง คราวนี้เวลาเราเกาะผิดด้าน ความดีก็เหมือนกับปรอทสองหลอดคู่ เทมาด้านไม่ดีเสียเยอะ จนกว่าเราจะมาสะสมเพิ่มก็ค่อยเพิ่มทางด้านดีมากขึ้นไปอีก

ถาม : ไม่ได้ลด ?
ตอบ : ไม่ได้ลดไปไหน

ถาม : ถ้าเป็นสาวกภูมิก็แค่..?
ตอบ : ไม่ว่าสาวกหรือว่าจะเป็นพุทธภูมิก็ตาม ก็ต้องสร้างบารมีลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ว่าระยะเวลาการสร้างมากน้อยกว่ากันเท่านั้น เหมือนกับสาวกเรียนจบปริญญาตรีก็พอแล้ว แต่ว่าพุทธภูมิอาจจะต้องเรียนเกินด็อกเตอร์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 26-08-2011, 05:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ?
ตอบ : กิเลสเป็นต้นตอทำให้เกิดตัณหา เพราะกิเลสเป็นความชั่วที่นอนนิ่งอยู่ในใจของเรา จะเป็นตัวบงการให้เราเกิดความอยากในเรื่องต่าง ๆ ก็คือตัณหา

เมื่อเกิดตัณหาขึ้นมาแล้วก็จะไปยึดมั่นถือมั่นว่า อันนี้เราชอบ อันนี้เราไม่ชอบ ก็จะเป็นอุปาทาน แล้วในส่วนของกิเลสกับตัณหาและอุปาทาน พอถึงเวลาหนึ่งจะชักจูงให้เราลงในทางที่ต่ำมากกว่า ก็คือจะไปสร้างอกุศลกรรมเหล่านั้น

พอไปสร้างอกุศลกรรมก็จะไปสั่งสมสร้างกองกิเลสนั้นให้พอกพูนมากขึ้น ๆ พวกนี้เท่ากับเป็นเชือกเส้นเดียวกัน เพียงแต่คนละเกลียวเท่านั้นเอง

ถาม : เราจะมีการทำอย่างไร ที่จะให้กำลังใจมุ่งไปทางฝ่ายดีตลอดเวลา?
ตอบ : รักษาศีลและสมาธิให้ทรงตัวไว้ อย่าให้หลุด ถ้าอย่างนั้นก็จะไปดีอย่างเดียว ถ้าหลุดเมื่อไรมีโอกาสลงไปชั่วได้

ถาม : จิตที่หลุดจากศีลและสมาธิ จะไหลไปสู่ที่ต่ำ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไหลไปสู่ที่ต่ำ แต่ "ตะเกียกตะกาย" ไปสู่ที่ต่ำ เราต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะต้อนให้กลับคืนมา แต่ท้ายสุดหลุดพ้นเหมือนกัน เพียงแต่ระยะเวลายาวนานมากน้อยต่างกันเท่านั้น

เราต้องคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราไม่เพียรพยายามแล้วจะไม่มีวันหลุดพ้น ไม่ใช่ไปรอว่าอีกเดี๋ยวเราก็หลุดพ้นแล้ว แค่รอแล้วไม่ทำอะไรเลยก็อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ได้ไปไหนเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 26-08-2011, 05:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาหลบความวุ่นวาย ก็อยากไปอยู่วัด พอไปอยู่วัด อยู่ที่สงบ ก็ดิ้นอยากเข้าเมือง เป็นเพราะอะไร ? เป็นเพราะกิเลสมารหรือเป็นเพราะกิเลสเราเอง ?
ตอบ : เป็นกิเลสเรานี่แหละ ก็คือ ยังไม่เข็ด..!

ถาม : รู้สึกเบื่อ อยากไปอยู่วัด พอไปอยู่วัด ก็เบื่ออยากออกข้างนอก
ตอบ : มีพระหลายรูปบอกกับอาตมาว่า "ท่านอาจารย์..ช่วยหาที่สงบ ๆ ให้ผมหน่อย" พอส่งไปจริง ๆ เตลิดเปิดเปิงกลับมาแทบไม่ทัน เพราะเงียบเกินไปเลยอยู่ไม่ได้

ถาม : พระก็เป็นเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : เป็น..พระก็ลูกชาวบ้านนี่ เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เปลี่ยนกติกาในการดำเนินชีวิตเท่านั้นเอง กิเลสก็เท่ากันนั่นแหละ

อยากจะสงบมาก อยากจะบวชชี บวชเข้าไปละดิ้นแทบตาย ตอนนี้แม่ชีที่วัดบางคนกำลังคลุ้มคลั่ง กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก

ระวังเอาไว้...อยู่ในที่ที่สงบ แต่ใจเราไม่สงบก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ในที่ที่วุ่นวายเพียงไหน ถ้าใจเราสงบก็สงบอยู่นั่นแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 26-08-2011, 05:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จิตที่ฟูขึ้นมา ?
ตอบ : เป็นเพราะสภาพจิตที่ปีติยินดีในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนเองชอบใจ เหมือนอย่างกับพองลมจะลอยไปได้ พอเวลาไปเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจก็เหี่ยว ร่วงไม่เป็นท่าอีก

ถาม : เป็นทั้งทางธรรมและทางโลกใช่ไหม ?
ตอบ : เป็นทุกทางเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาก็ฟูยินดี เพราะได้สิ่งที่ชอบใจ พอเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา ก็มีความทุกข์ ก็นั่งกลุ้มใจ

ถาม : ในทางธรรมและทางโลก จะเหมือนกันไหม ?
ตอบ : เหมือนกัน ในทางธรรมเราปฏิบัติธรรมไป ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัว เวลาเจออารมณ์กระทบก็ตกเหมือนกัน พอเวลาได้ในสิ่งที่ตัวเองชอบใจก็ฟูเหมือนกัน ต้องคอยระมัดระวังไว้เสมอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 26-08-2011, 05:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมัยนี้ได้ยินบ่อย ๆ เขาบอกว่าคนนี้ไปวิปัสสนา บางคนก็บอกว่าสมถะก็พอ
ตอบ : สำคัญว่าทำเป็นหรือเปล่า ? สมถะเหมือนกับคนที่มีร่างกายแข็งแรง เพาะกำลังไว้มาก วิปัสสนาเหมือนคนที่มีอาวุธที่มีความแหลมคมมาก

ถ้าร่างกายแข็งแรงแต่ไม่มีอาวุธ กว่าจะฟันฝ่าผ่านอุปสรรคไปได้ก็ลำบาก คนที่มีอาวุธแต่ร่างกายไม่แข็งแรง ยกอาวุธก็ยังไม่ขึ้น จะไปถากถางอุปสรรคขวางหน้าได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น..สองอย่างนี้ต้องทำรวมกัน พอทำรวมกันมีร่างกายที่แข็งแรง มีอาวุธที่คมกล้า ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ง่าย

คราวนี้การปฏิบัติแทบทั้งหมดจะจัดอยู่ในสมถภาวนา ในส่วนของวิปัสสนาภาวนาเป็นการใช้ปัญญา พิจารณาให้รู้เห็นความเป็นจริงว่าสภาพร่างกายนี้ โลกนี้ และสรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ถ้าเราไปยึดถือมั่นก็จะเกิดความทุกข์แก่เรา เพราะว่าไม่เหลืออะไรให้เรายึดถือเป็นตัวเป็นตนมั่นหมายได้ ท้ายสุดทุกอย่างก็พังสลายไปหมด

ถ้าเราเห็นจริง จิตใจยอมรับ ไม่ไปดิ้นรน ก็จะเกิดความสุข เพราะว่าการเกิดมาในโลกนี้ก็เหมือนกับคนติดคุก ถ้าเราไปดิ้นรนพุ่งชนประตูจะออกไปให้ได้ ไม่หัวแตกตัวช้ำก็อาจจะเสียชีวิตไปเลย แต่ถ้าเรารู้แล้วว่าไม่มีทางออกไปไหนได้ ถึงเวลาเขาก็มาเปิดประตูปล่อยเราไปเอง เราแค่นั่งเฉย ๆ ก็สบายดี การเปรียบว่านั่งเฉย ๆ หมายถึงสภาพจิตยอมรับ ไม่ไปดิ้นรน เพราะว่ามีปัญญารู้ว่าไม่ช้าก็จะพ้นไปแล้ว

ดังนั้น..ในเรื่องของวิปัสสนาก็คือการรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วยอมรับ เมื่อปัญญายอมรับก็ปล่อยวางทุกอย่างได้ ภาระที่แบกไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะร่างกายที่เป็นภาระหนัก ก็เท่ากับว่าไม่ได้แบกอะไรไว้ เพราะจิตใจปล่อยวางไปแล้ว

แต่ว่าในเรื่องของสมถะก็คือการที่เราเพาะร่างกายให้แข็งแรงพร้อมที่จะแบกภาระเหล่านั้น แม้ว่าจะแบกไหวแต่ก็ยังหนักอยู่ดี ดังนั้น..สองอย่างต้องทำด้วยกัน คือแข็งแรงแล้ววางภาระได้ยิ่งไปง่ายใหญ่เลย เพราะไม่มีอะไรให้แบกหนัก ตัวเราแข็งแรงอยู่แล้วก็ยิ่งเดินทางไปถึงจุดหมายได้ง่ายขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 26-08-2011, 11:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางคนบอกว่า ถ้าทำพวกสมาธิจะทำให้ยังตัดราคะโทสะไม่ได้..?
ตอบ : ถ้าหากสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะกดราคะโทสะให้ดับลงได้ชั่วคราว แต่ถ้าเผลอหลุดเมื่อไรก็เหมือนกับเก็บกดมานาน แล้วจะกำเริบมาก เหมือนกับเราเอาก้อนหินใหญ่ ๆ มาทับต้นหญ้าไว้ ถ้าทับไปนาน ๆ หญ้าก็ตาย แต่ถ้าหญ้ายังไม่ตายแล้วเรามาพลิกก้อนหินขึ้นมาอีก คราวนี้หญ้าจะงอกงามใหญ่เลย เพราะกลัวตายก็เลยต้องดิ้นรนขึ้นของเขาอย่างเต็มที่

ลักษณะของกิเลสก็เหมือนกัน ถ้าโดนกดเอาไว้นาน ๆ แล้ว ถ้าถึงเวลากำเริบได้ จะกำเริบหนักกว่าปกติ เหตุที่กำเริบหนักกว่าปกติเพราะได้กำลังจากเราไป ก็คือกำลังสมาธิที่เราทำนั่นแหละ

เราได้สร้างสมาธิเกิดขึ้นแล้ว เราไม่ได้ไปใช้พิจารณาในการตัดละกิเลส เราสร้างขึ้นมาเฉย ๆ แล้วก็ทิ้ง สร้างขึ้นมาเฉย ๆ แล้วก็ทิ้ง พอถึงเวลาตัวกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ก็เอากำลังตรงนั้นแหละไปฟุ้งซ่าน จะไปกันใหญ่เลย เพราะว่ากิเลสแข็งแรงเสียแล้ว กลายเป็นว่าเราเลี้ยงโจรให้แข็งแรงแล้วก็มาปล้นเราหนักขึ้น

ถาม : แล้วเราจะวิปัสสนาอย่างไร ?
ตอบ : พิจารณาให้เห็นจริงอย่างที่ว่ามานั่นแหละ พอเห็นแล้ววางลงให้ได้ พอเห็นแล้วว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์เป็นโทษจริง ๆ เบื่อเหลือเกินไม่เอาอีกแล้ว ถ้าใจบอกว่าไม่เอาอีกแล้ว วางลงได้ก็จบเลย

แต่ว่าถ้าหากเบื่อ ๆ อยาก ๆ อยู่ ถึงเวลาก็จะกำเริบใหม่อีก เพราะฉะนั้น..นักปฏิบัติที่เสียคนมาเยอะต่อเยอะก็คือว่า พอจิตเริ่มสงบก็จะมีคนมาคอยกวนอยู่บ่อย ๆ พอไม่มีเวลาปฏิบัติเป็นของตัวเอง สภาพกิเลสกำเริบขึ้นมาใหม่อีก คราวนี้ก็หงายท้อง เสียผู้เสียคนไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 26-08-2011, 11:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ด้านราคะเราใช้อสุภสัญญามาพิจารณา ถ้าเราทำถูกจะระงับราคะได้หรือไม่ ?
ตอบ : จะพิจารณาอย่างไรก็ตาม ถ้าปัญญายังไม่ยอมรับ ก็เพียงแค่ระงับได้ชั่วคราว แต่ถ้าเรายอมรับเพราะเห็นทุกข์เห็นโทษจริง ๆ ว่าเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วนก็เพราะร่างกายนี้ ขึ้นชื่อว่าการคบหากันแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก จบกันแค่นี้ ถ้ากำลังใจเห็นอย่างนี้จริง ๆ แล้ว กำลังสมาธิเพียงพอก็จะตัดขาดไปเลย แล้วจะไม่กำเริบอีก

ถาม : จะไม่กลับไปกลับมา ?
ตอบ : ไม่กลับไปกลับมา แต่ถ้าหากกำลังใจยังไม่เห็นจริง สมาธิพอขนาดไหนก็ยังตัดไม่ได้ เพราะว่าใจไม่ยอมรับ ได้แต่ป้องกันเอาไว้ชั่วคราว

ถาม : แต่เวลาตัดจะไม่ขาดทีเดียว จะค่อย ๆ ขาด ?
ตอบ : มีทั้งตัดทีเดียวขาดและค่อย ๆ ลด ขึ้นอยู่กับกำลังของเราว่าพอไหม ? ถ้ากำลังเราพอ สมาธิเราสูงพอ ปัญญาเราพอ ตัดทีเดียวขาดเลย แต่ถ้าสมาธิและปัญญาไม่สูงพอ ก็ยังไม่ขาด แต่สามารถทำได้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ กิเลสก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อยเช่นกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 17:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 26-08-2011, 11:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปีติยินดีมีทั้งทางธรรมและทางโลก ปีติเป็นกุศลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นกุศลก็จริง แต่ว่าก็เป็นแค่กามาวจรกุศล จิตที่ยังมียินดียินร้ายจะไม่มีทางหลุดพ้น

ถาม : ปีติเป็นกามาวจร ?
ตอบ : ใช่..กามาวจรไปได้แค่เทวดา แต่ถ้าหากว่าเป็นทางโลก เรายินดีได้ แต่ให้มีสติอยู่ในกรอบของศีล คือให้ได้มาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม อย่าถึงขนาดผิดศีลผิดธรรมด้วยการคอรัปชั่น ลักขโมย ช่วงชิง หลอกลวงเขามา ถ้าอย่างนั้นผิดศีลผิดธรรม จะพาให้เกิดโทษหนักทีหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 26-08-2011, 11:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างที่บอกว่าใช้ปัญญาในการพิจารณาตัด ก็คือ เราดูจากจุดนั้น เรายอมรับว่าจุดนั้นมีความรู้สึกอย่างไร และก็มองลงไป แล้วให้รู้สภาวะนั้นค่อย ๆ ดับลงไป ?
ตอบ : เอาอย่างนี้..ปัญญาที่เกิดขึ้นจริง ๆ จะรู้สาเหตุว่าความทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วก็จะไม่ทำเหตุอันนั้น (หยิบแก้วน้ำขึ้นมา) นี่คือแก้วน้ำ ถ้าหากว่าคนมีปัญญามอง จะหยุดอยู่แค่นั้น ก็สักแต่เป็นแก้วใบหนึ่ง ทำอะไรเราไม่ได้

แต่ถ้าคนที่ขาดปัญญามอง จิตจะเริ่มปรุงแต่งต่อว่า แก้วน้ำ..ใส่น้ำดื่มได้ ถ้าได้น้ำแช่เย็นสักหน่อยก็ดี นี่ออกไปทางโลภะแล้ว อยากมีอยากได้

วันนั้นไปกับสาว เขาสั่งน้ำปั่น นึกถึงสาวราคะเกิดอีกแล้ว วันนั้นเราแช่น้ำในตู้เย็นไว้ พรรคพวกกินจนหมดแล้วไม่เติมใหม่ เรากลับมาหิวแทบตาย ไม่มีน้ำเย็นกิน โทสะเกิดอีกแล้ว นี่แค่แก้วใบเดียว

ถ้าหากว่าปัญญาถึงก็จะเห็นเลยว่า แก้วนี้สักแต่ว่าเป็นธาตุ สักแต่ว่าเป็นรูป พอเห็นแล้วสภาพจิตจะหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ไปปรุงแต่งคิดต่อ รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดไม่ได้ ที่กิเลสเกิดเพราะเราไปคิดต่อ เปรียบเหมือนกับว่าเราซื้อก๋วยเตี๋ยวไว้ชามหนึ่ง เขาลวกเส้นเสร็จก็ใส่ชามมาให้ ไม่ได้ใส่เครื่องปรุง ไม่ได้เติมพริก ไม่ได้เติมน้ำปลา ไม่ได้เติมน้ำส้ม ไม่ได้เติมน้ำตาล เรากินไม่ลงหรอก เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า

สภาพจิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ไปช่วยปรุงแต่ง ก็คือ ไม่ไปปรุงรสให้ จิตก็ไม่อยากที่จะรับอารมณ์นั้นต่อไป เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า ก็จะปล่อยวางลงไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 26-08-2011, 12:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,781 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น..ถ้าเราสามารถหยุดได้ถือว่าดี แต่ถ้าหากว่าเราตัดได้ตั้งแต่ต้นเหตุด้วยปัญญาของเรา โดยไม่ปรุงแต่งต่อได้ ก็จะจบกันแค่นั้นเลย คราวนี้การที่เราจะหยุดการปรุงแต่งได้ กำลังของสมาธิต้องดี เหมือนอย่างกับม้าวิ่งไปถึงหน้าผาแล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะดึงม้าให้หยุด คือกำลังของเราต้องดี แต่ทำอย่างไรจะหันหัวม้าออกไปให้พ้นจากทิศนั้น จะได้ไม่ต้องวิ่งไปทางเหว นั่นปัญญาของเราต้องดี

ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาก็จะเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าหากว่าศีลทรงตัว สมาธิจะตั้งมั่นได้ง่าย เพราะเราต้องคอยระมัดระวัง อย่างน้อยศีล ๕ นี้เราต้องไม่ผิด สติสมาธิของเราจะอยู่ตรงนี้ ในเมื่อระวังบ่อย ๆ รักษาศีลได้ สมาธิจะทรงตัวได้ เมื่อศีลสมาธิทรงตัว สภาพจิตจะสงบ ปัญญาจะเริ่มเกิด

พอปัญญาเริ่มเกิด รู้ว่าอะไรเป็นโทษก็เริ่มเว้น รู้ว่าอะไรดีเราก็ทำ แล้วก็เอาปัญญาตรงนี้ไปคุมศีลกับสมาธิอีกที ว่าทำอย่างไรจะทำให้ศีลของเราไม่บกพร่อง ทำอย่างไรจะทำให้สมาธิเราทรงตัว เพราะยิ่งควบคุมศีลสมาธิยิ่งดี ปัญญาก็ยิ่งเกิด จะไล่ไปเรื่อย เหมือนกับเราไขน็อต ไขไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็สุด ทุกอย่างก็จะจบ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2011 เมื่อ 15:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:26



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว