กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 14-03-2014, 09:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การชุมนุมเขาเอาเรื่องในหลวงมาเป็นประเด็นว่าอีกฝ่ายคิดจะล้มล้าง ?
ตอบ : ปล่อยเขา อย่าไปยุ่งเรื่องนี้ ด้วยความที่พวกเรารักในหลวงเกินไป รักสมเด็จพระเทพฯ เกินไป ทำให้คนเขาเอาไปหากินเป็นปกติ ยกเว้นหน้าด้านอย่างผม มหาโรจน์ชวนเข้าวังผมยังไม่ไปเลย เพราะวังไม่ใช่ที่ของเรา

ถึงเวลาพระองค์ท่านเสด็จมาเอง จึงรู้สึกว่ามีคุณค่า ผมไปนึกถึงพระเถระบางรูป ต้องไปนั่งรออยู่ครึ่งค่อนวันเพื่อที่จะได้เข้าเฝ้า ก็เลยเกิดความรู้สึกว่า เราต้องขวนขวายขนาดนั้นเลยหรือ ? แต่ที่ขำที่สุดก็คือตอนรับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักร ซักซ้อมกันอย่างดีขนาดไหนก็ตาม อยู่ต่อหน้าท่านก็ลืมหมด พระท่านประหม่า พอเห็นผมทำตามขั้นตอนได้ไม่ผิดพลาด ก็มาสงสัยว่าเพราะอะไรถึงทำได้ จึงบอกไปว่า คุณก็อย่าไปฟุ้งซ่านสิ จำขั้นตอนไว้แล้วเข้าไปทำก็หมดเรื่อง ถึงเวลาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้วประหม่า ทำผิดทำถูก ผมดูแล้วขำก็ขำ สงสารก็สงสาร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2014 เมื่อ 10:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 14-03-2014, 09:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนนี้ทองคำที่จะหล่อพระได้เท่าไรแล้วครับ ?
ตอบ : ประมาณ ๒๐ กิโลกรัม มาครึ่งทางแล้ว กำลังหาเงินไปคืนบัญชี เพราะซื้อเกินไป ๔ ล้านกว่าบาท ไปซื้อตอนทองถูก ถ้าจับจังหวะดี ๆ จะได้ ตอนนั้นซื้อที่ราคา ๑๘,๓๐๐ บาท อย่างกับฝันไป ต้องบอกว่าเอาเปรียบชาวบ้านเขานิด ๆ ที่เขาบอกว่า มีวิชาอยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ไปแอบซื้อ พอรุ่งขึ้นราคาก็พุ่งพรวดเลย เจ็บใจตรงที่ว่าซื้อของแพงมาหลายทีแล้ว เพราะฉะนั้น ๒ งวดหลังนี่เอาตอนที่ถูกสุด

ตอนที่หล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทองคำองค์ใหญ่ ตอนนั้นทองราคา ๒๐,๐๕๐ บาท แล้วก็ขึ้นพรวด ๆ ไป ๒๗,๐๐๐ กว่าบาท ก็แสดงว่าจังหวะที่ซื้อจริง ๆ ก็เป็นจังหวะที่ใช่นะ แต่ถ้ามาเปรียบกับปัจจุบันนี่คือขาดทุน

รายการนี้กำลังทำตะกรุดพระแม่ธรณีรุ่น ๒ เนื้อทองคำอย่างเดียว เขามาเบิกทองคำเพิ่มไปอีก ๑๐ บาท ใครต้องการเตรียมเงินไว้คนละหมื่นบาทก็แล้วกัน เอาไว้ทำบุญกฐิน จะได้ไม่ต้องไปประมูลในเว็บแพง ๆ ในเว็บชุดทองคำราคาไป ๒๓,๐๐๐ บาทแล้ว

ช่างเขาทำผิดแล้วเป็นผลดีกับคนใช้ เพราะว่าเขารีดทองมาหนากว่าที่เราสั่ง ก็เลยเปลืองทองคำเพิ่มไปอีก ๑๐ บาท รวม ๆ แล้วใช้ทองคำไป ๙๕ บาท เพราะฉะนั้น..อย่าบ่นเป็นอันขาดเชียวนะว่าแพง อาตมาออกราคาไป โรงงานโวยกันให้ขรมเลยว่าออกถูกขนาดนั้นได้อย่างไร ก็เลยบอกว่า เผื่อให้พวกเอาไปลงขายกันในเว็บ จะได้รวยบ้าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2014 เมื่อ 10:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 14-03-2014, 09:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเรายิ่งห่วงใยสุขภาพ ร่างกายก็ยิ่งแสดงความไม่เที่ยงกับความทุกข์ให้เห็น เหมือนกับยิ่งรักษาก็ยิ่งป่วย ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้ นอนกลางดินกินกลางทราย จะไม่ค่อยเป็นอะไร

๒-๓ วันที่ผ่านมานี่อาตมาตากแดดจนตัวไหม้เลย ไปคุมงาน เป็นช่วงเทคอนกรีตพื้นชั้น ๒ ของศาลา คราวที่แล้วเท ๒ ใน ๕ คนงานใช้เวลาเกือบทั้งวัน ครั้งนี้เท ๓ ใน ๕ ก็เลยต้องไปดูเอง โดยให้สัญญากับคนงานไว้ว่า เสร็จเมื่อไรเอ็งเลิกได้เลย รับค่าแรงไปเต็มวัน บ่ายสองก็เสร็จแล้ว สมควรตายจริง ๆ..! เมื่อให้ค่าแรงรายวัน เขาก็แค่ทำให้ได้วัน แต่คราวนี้พอรู้ว่าเสร็จแล้วเลิกได้เลย พักเดียวก็เสร็จ

วันก่อนไปโค่นต้นมะม่วง เทพื้นเสร็จ รุ่งขึ้นทดสอบเลย ต้นมะม่วงใหญ่เป็นโอบ ช่างเขาไม่ยอมให้โค่น เขาบอกว่าเทพื้นแล้วพื้นยังไม่แห้ง ฟาดลงไปพื้นจะแตกหมด อาตมาก็เลยบอกว่าวิศวกรกับอาตมาคนละทฤษฎีกัน ของอาตมานี่พื้นยังไม่แห้งย่อมยืดหยุ่นได้ ฟาดลงไปเถอะ แต่ถ้าแห้งแล้วฟาดลงไป ยืดหยุ่นไม่ได้พื้นจะแตก ว่าแล้วก็ทดสอบให้ดูด้วยการโค่นใส่ไปเลย ปรากฏว่าทฤษฎีของอาตมาถูก ของเขาผิด

เพราะฉะนั้นพวกวิศวกรโครงสร้างต้องไปเรียนทฤษฎีใหม่ เรียนตำรามาหัวจะผุ เขาต้องให้คอนกรีตเซ็ตตัว ๒๐ วัน โอ้โฮ...แล้วอีก ๒๐ วัน เราทำงานได้ตั้งเท่าไร กิ่งมะม่วงใหญ่ขวางอยู่ ต้องขอยืนยันว่าไม่ใช่ต้นนะ แต่ใหญ่เป็นโอบเลย ก็ต้องเอาลง ฟาดลงไปตูม..! แผ่นดินไหวเลย พวกช่างไม่มีใครกล้ายืนดูสักคน คงคิดว่ายับเยินแน่ ๆ เพราะโรงพยาบาลรามาธิบดีเพิ่งพัง แล้วอีกวันก็อ่างเก็บน้ำพัง แค่เขาทดสอบครั้งแรกก็พังเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2014 เมื่อ 10:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 14-03-2014, 09:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาสร้างศาลาผ่านไป ๑ ปี หมดเงินไป ๑๗,๖๓๐,๐๐๐ กว่าบาท ยังเห็นแค่ซี่โครงอยู่เลย ๑๒ เดือน จ่ายไป ๑๗ ล้านกว่าบาท ก็ตกเดือนละล้านกว่าโดยเฉลี่ย มีคนถามอยู่เรื่อยว่าตีราคาไว้เท่าไร เมื่อ ๓-๔ ปีก่อนตีไว้ ๔๐ ล้านบาท แต่อาตมาคิดไว้ว่าน่าจะถึง ๑๐๐ ล้านบาท

ศาลาหลังนี้ตั้งใจจะทำให้เหมือนถ้ำ ก็เลยใช้อิฐก้อนใหญ่ก่อ แล้วใช้วิธีก่อแบบขวาง จะใช้อิฐมากกว่าปกติประมาณ ๔ เท่า แล้วอิฐน่าถึง ๑๐-๑๒ นิ้ว พูดง่าย ๆ ก็คือกำแพงหนาเป็นฟุต อากาศจะเย็น เพราะความร้อนเข้าไม่ถึง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2014 เมื่อ 10:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 14-03-2014, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หมอฉลองเขามาฉีดยากันบาดทะยักให้ เขาสงสัยว่าทำไมอาตมาต้องเอาน้ำลายแตะแล้ววน ๆ อาตมาบอกถ้าไม่ได้วน หมอก็ไม่ต้องฉีด อาตมาต้องเอาของออกก่อน เดี๋ยวค่อยอาราธนาใส่ใหม่ ขนาดหมอผลัดกันจิ้มแล้วไม่เข้า เขาก็น่าจะรู้แล้วว่าเกิดจากอะไร แต่เข็มแทงไม่เข้านี่เจ็บกว่าเข้าเยอะเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2014 เมื่อ 10:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 14-03-2014, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่มาขอเอากุมารไปเข้าพิธีเสาร์ห้า "อะไรที่ไม่ใช่พระจะเสกยาก แต่เอาไปเถอะ..อย่างดีอาตมาก็แค่ทนนั่งนานหน่อย ระวังไว้อย่างหนึ่งว่า งานบางอย่างจะมาอยู่เรื่อย ๆ จนเราไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม เป็นการโดนหลอกอย่างหนึ่งเหมือนกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2014 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 15-03-2014, 19:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมปฏิบัติไปแล้วถึงยิ่งมีกิเลส ?
ตอบ : นักปฏิบัติส่วนใหญ่พอทำไปก็จะมีลักษณะเดียวกัน คือรู้สึกว่ากิเลสมากขึ้น ความจริงแล้วกิเลสมีเท่าเดิม แต่เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ ก็คือ เราเก็บกดไว้ด้วยอำนาจของสมาธิ พอถึงเวลากิเลสมีโอกาสแสดงออก ก็ต้องดิ้นรนเต็มกำลังของเขา เลยเหมือนกับมีกิเลสมากขึ้น

อีกสาเหตุหนึ่งก็คือสภาพจิตละเอียดขึ้น เห็นหน้ากิเลสชัดขึ้น ก่อนหน้าอาจจะเห็นแค่เล็กน้อย ตอนนี้อาจจะเห็นมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันมีมากกว่านั้นอีก แต่ใจเราละเอียดขึ้น จึงรับสัมผัสได้มากขึ้น เห็นหน้ากิเลสชัดเจนขึ้น

ดังนั้น..กิเลสมีเท่าเดิม เพียงแต่เราเห็นชัดขึ้น จึงระมัดระวังให้มากขึ้น ประคับประคองกำลังใจเราอยู่ในด้านดีไว้ อย่าให้รัก โลภ โกรธ หลงกินใจของเราได้

ถาม : แล้วควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนเดิม พังก็ตั้งต้นใหม่ พังก็ตั้งต้นใหม่ เดี๋ยวก็ดีไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2014 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 15-03-2014, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เครื่องรางรูปลิง เขาถือเคล็ดว่าหนุมานไม่มีวันตาย โดนหนักแค่ไหนพอลมพัดมาก็ฟื้นใหม่ ส่วนองคตเขาก็ถือว่า ทำหน้าที่ของทูตได้อย่างเด็ดขาด ในประเทศไทยของเรา สำนักที่สร้างเครื่องรางรูปลิง หลัก ๆ ก็มี หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน จังหวัดนนทบุรี หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จังหวัดฉะเชิงเทรา หลวงพ่อเชย วัดบางกระสอบ จังหวัดสมุทรปราการ หลวงพ่อเชยนี่ไม่ได้สร้างหนุมาน ท่านสร้างองคต

หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ท่านบรรจุผงพรายกุมารด้วย นอกนั้นที่สร้างกันหลาย ๆ สำนักก็ไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือ รุ่นหลังสุดเลยที่ได้รับความเชื่อถือก็เห็นจะมี ลูกอมหนุมานครองเมืองของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม

โดยเฉพาะการสร้างของโบราณ เคล็ดวิธีเยอะมาก พระเกจิอาจารย์จะสร้างลิงทีหนึ่งต้องปลูกต้นไม้ก่อน ปลูกต้นรักซ้อน ปลูกต้นพุด เสกน้ำรดทุกวัน พอโตได้ที่ก็ขุดหารากที่อยู่ทิศตะวันออกเท่านั้น แล้วก็ทำพิธีพลีกรรมเพื่อขอเอารากมาตากแห้ง แล้วก็ให้ช่างแกะเป็นรูปหนุมานหรือรูปลิง ช่างก็จะต้องบังคับว่าให้ถือศีล ๘ หรือศีล ๕ นุ่งขาวห่มขาวก่อนแกะกี่วัน เสร็จแล้วก็ต้องหาฤกษ์หายามที่เหมาะสม โดยเฉพาะหนุมานส่วนใหญ่ก็รบราฆ่าฟันกับพวกยักษ์ ต้องใช้ฤกษ์วันแข็งที่สุด ประมาณว่าต้องเสกเจ็ดเสาร์ เจ็ดอังคารอะไรอย่างนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2014 เมื่อ 02:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 16-03-2014, 09:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสักครู่นี้ไปส่งฎีกานิมนต์หลวงพ่อวัดใหม่ยายนุ้ย ว่าจะทำบุญบ้านวิริยบารมีวันที่ ๓๐ มีนาคม งานนี้จะขนพระไพรีพินาศ ขนาด ๑ เซนติเมตร เนื้อชุบทองพ่นทรายมาให้บูชาองค์ละ ๕๐๐ บาท แบบไม่จำกัดจำนวน ให้ตีกันให้ตายไปเลย

ข้างวัดใหม่ยายนุ้ย ตรงที่เคยเป็นฟาร์มจระเข้โดนรื้อกระจายไปแล้ว ถามหลวงพ่อว่าเขาจะทำอะไรกัน ท่านบอกว่าเขาจะทำคอนโดมีเนียม ๒ หลัง หลังหนึ่งสูง ๓๕ ชั้น อีกหลังสูง ๔๑ ชั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2014 เมื่อ 18:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 16-03-2014, 09:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเห็นลิงปริศนา ๓ ตัวของนิกายเซนไหม ? ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นรับข่าวสารบ้านเมืองเข้าไปมาก ๆ แล้วเครียด โดยเฉพาะข่าวพวกนี้อยู่ลักษณะตอกย้ำเข้าไปใต้จิตสำนึก แล้วเราเองก็จะเกิดความรักชอบเกลียดชังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นอะไรกันมาเลย แต่เขาย้ำว่าคนนี้เลว ๆ เราก็เชื่อเขาไปโดยอัตโนมัติ แบบเดียวกับการหาเสียง เขามีการทำวิจัยเชิงจิตวิทยามาแล้ว “เบอร์หนึ่ง ๆ” กรอกหูไปเรื่อย เดี๋ยวก็ชิน ถึงเวลาเข้าคูหาก็เผลอกาเบอร์ ๑ ไป

เพราะฉะนั้น..อะไรที่รับเข้ามาแล้วร้อนหูร้อนตา รวมไปถึงร้อนใจ ก็ทิ้ง ๆ ไปบ้างเถอะ อาตมาไม่ได้ดูโทรทัศน์มา ๓๐ ปีพอดี รู้สึกมีความสุขมากเลย ไม่ต้องไปรับรู้อะไร เสียอย่างเดียวเวลาเขาแนะนำว่าคนนั้นเป็นดารา คนนี้เป็นดารา ไม่รู้จัก วันก่อนอนันดาไปวัดท่าขนุน เขาวิ่งไปดูกันตีนพลิก อาตมาก็ไม่รู้จัก เขาบอก “รถเมล์มา ๆ” อาตมาก็ว่า “ไอ้บ้า...รถเมล์เพิ่งไปเมื่อครู่นี้เอง” ไม่รู้หรอกว่าดาราเขาชื่อรถเมล์ รถเมล์ทองผาภูมิออกชั่วโมงละคันแน่ ๆ อยู่แล้ว เพิ่งผ่านไป แล้วมาโวยวายอะไรว่ารถเมล์มา

ดารารุ่นหลัง ๆ นี่น่าสงสารมาก อาตมาไม่รู้จักหรอก คนดังรุ่นหลังที่พอรู้จักก็มี น้องป๊อบ อารียา ดาราคนสุดท้ายที่รู้จักจริง ๆ นางเอกชื่อจารุณี ตอนนี้น่าจะไปเล่นเป็นคุณยายทวดได้แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2014 เมื่อ 18:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 16-03-2014, 09:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลังคนนิมนต์มากขึ้น แต่อาตมารับนิมนต์เขาได้น้อย เพราะว่าปกติถ้ารับรายไหนไว้แล้ว ใครมานิมนต์ซ้ำก็ไม่ไป แล้วถ้านิมนต์เป็นการเฉพาะ อย่างไปฉันเพลที่บ้านนี่ไม่ไปหรอก กินข้าวมื้อหนึ่งต้องวิ่งผ่าน ๓ - ๔ จังหวัด เหนื่อยจะตาย เอาไว้แก่เท่าอาตมาแล้วจะรู้ว่าเหนื่อยขนาดไหน

โดยเฉพาะเวลารถเขย่า ๆ อวัยวะภายในของเรา โดนเขย่าเหมือนกับวิ่งอยู่ตลอดเวลา จะเหนื่อยมากเลย จะเห็นว่าพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เลือกนั่งรถเบนซ์กัน เพราะวิ่งแล้วนิ่มกว่า จะได้เหนื่อยน้อยหน่อย อาตมานั่งไม่ไหว ขนาดเขาถวายมายังบอกคืน ไม่เอา..กินน้ำมัน ๔ กิโลเมตรต่อลิตร
..เลี้ยงไม่ไหว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2014 เมื่อ 18:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 16-03-2014, 09:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่ได้สัมภาษณ์ ดร. สันติ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม จึงได้บอกไปว่าการเรียนปริญญาเอก ต่อให้ไม่ต้องรับปริญญาก็ไม่เป็นไร เพราะว่าประสบการณ์ที่ได้จากผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่าน เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องไปศึกษาเอง ๒๐ – ๓๐ ปี ถาม ๆ แล้วก็ได้ข้อมูลมา

จากประสบการณ์มุมมองของหลาย ๆ ท่านโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติ ระยะเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนความพร้อมของสถานที่ อย่างเมื่อครู่นี้ ดร.สันติท่านสรุปว่า “สำคัญที่สุดคือตัวครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์โอเค อย่างอื่นถือเป็นส่วนประกอบที่ทนได้” มิน่า..วัดท่าขนุนหาความพร้อมไม่ได้เลย แต่โยมก็ไปกันจัง อย่างอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้นเอง

ตรงมุมนี้เราต้องอาศัยมุมมองของคนข้างนอกที่เป็นกระจกสะท้อนเข้ามา โดยเฉพาะว่าการปฏิบัติในช่วงเช้า อาตมาเองหวังจะซักซ้อมให้ญาติโยมมีความคล่องตัวในการเข้าออกฌานและทรงฌานใช้งาน แต่โยมส่วนใหญ่นั่งกรรมฐานเสร็จขยับมาจะทำวัตรก็มักจะหลุดเกือบหมดแล้ว

อย่างที่ดร. สันติท่านว่ามาก็ใช่ คือว่าการปฏิบัติช่วงเช้าสำคัญ ถ้าปฏิบัติแล้วรักษาอารมณ์ไว้ได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองไปทั้งวัน กะว่าถ้าจะปรับปรุงก็คือทำวัตรเสร็จแล้วก็
เจริญกรรมฐานซ้ำอีกสัก ๑๕ – ๒๐ นาที ไม่อย่างนั้นพวกเราลุกขึ้นก็หล่นหายหมด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2014 เมื่อ 19:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 16-03-2014, 19:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "พระพุทธเจ้าทรงประกอบพุทธกิจ ๕ ประการตลอดชีวิต ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพาน ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เช้าขึ้นมาเสด็จออกบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ บางครั้งกว่าจะกลับก็เลยเพลแล้ว ส่วนใหญ่พระองค์ท่านก็ฉันมื้อเดียว สายณฺเห ธมฺมเทสนํ ตกบ่ายแดดเริ่มคลายร้อนลง ถ้าเป็นบ้านเราเรียกว่า "บ่ายควาย" เริ่มต้อนควายกลับคอกแล้ว เวลาบ่ายพระองค์ท่านแสดงธรรมโปรดญาติโยม

เขาบอกว่าตอนเย็น ๆ ญาติโยมจะถือดอกไม้ธูปเทียน ถือน้ำปานะ ตรงไปเพื่อฟังธรรมจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงเป็นช่วงบ่าย แต่ว่าเป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ ประมาณ ๔ - ๕ โมงเย็น ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ พอค่ำลงก็ให้โอวาทแก่พระภิกษุ คาดว่าน่าจะอยู่ประมาณ ๑ - ๒ ทุ่ม อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ครึ่งคืนก็คือเที่ยงคืน แก้ปัญหาของพรหมเทวดาที่มาถาม ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ พอใกล้รุ่งก็ตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลก เตรียมที่จะเสด็จไปโปรดตอนออกบิณฑบาตอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอด ๔๕ ปี

เที่ยงคืนพระพุทธเจ้าทรงแก้ปัญหาพรหมเทวดา คาดว่ากี่ชั่วโมงดี ? สองชั่วโมงก็พอนะ ถ้าปัญหายาวก็หยุด ก็ตีว่าพระองค์ท่านได้จำวัดตอนตีสอง ปจฺจูเสว คเต กาเล เวลาใกล้รุ่ง ตีเสียว่าตีห้า ตีห้าต้องลุกขึ้นตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกแล้ว แปลว่าพระองค์ท่านจำวัดคืนละ ๓ ชั่วโมงตลอด ๔๕ ปี นี่ยังดีนะ..พระอนุรุทธตลอด ๕๕ ปี ไม่เคยนอนเลย นั่งอย่างเดียว ท่านบอกว่า ๒๕ ปีแรกของท่าน ไม่เคยหลับทั้งกลางวันและกลางคืน ๓๐ ปีให้หลังยอมหลับตอนยามสุดท้าย แต่ว่านั่งหลับ พออายุเริ่มมากแล้วร่างกายก็ชักจะไม่ไหว

พวกเรามีบ้างไหมที่นั่งตลอดทั้งคืน ? ไม่ใช่
เข้าอินเตอร์เน็ตแล้วนั่งเล่นคอมพิวเตอร์นะ นั่งธรรมดา ถ้าลูกสาวเข้าอินเตอร์เน็ตถึงตีสี่หรือว่าเล่นเกมถึงตีสี่แสดงว่าฉันทะเพียงพอแล้ว เพียงแต่ว่าใช้ผิดเท่านั้น ตัวฉันทะก็คือความพอใจ ความต้องการที่จะกระทำมีเต็มที่แล้ว เพียงแต่ว่าเอาไปใช้ผิดด้าน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-03-2014 เมื่อ 02:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 16-03-2014, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระอนุรุทธองค์หนึ่ง พระมหากัสสปะองค์หนึ่ง ท่านชอบดูอุปนิสัยสัตว์โลก พระมหากัสสปะไม่มีปัญหา เพราะว่าท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านถึงได้ไปดู ส่วนพระอนุรุทธะท่านดูตั้งแต่ยังไม่บรรลุธรรม ก็เลยเพลินอยู่อย่างนั้น เพราะว่าอยู่ในสมาธิตลอด กิเลสไม่เกิด ในเมื่อกิเลสไม่เกิดจึงไม่ได้ดิ้นรนขวนขวายอะไรเพิ่มขึ้น จนกระทั่งพระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปตรัสบอก จึงได้เร่งปฏิบัติจนกระทั่งได้อรหัตผล

แต่ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือพระอานนท์ พระอานนท์เป็นเสขบุคคลคือเป็นพระโสดาบัน พระอานนท์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าตลอด ๒๕ ปีสุดท้ายท่านบอกว่าไม่เคยเกิดกามสัญญาขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยเกิดปฏิฆสัญญาขึ้นเลยแม้แต่น้อย สมาธิทั้งหมดทุ่มเทอยู่กับงานตรงหน้า จะไปแวบคิดถึงเพศตรงข้ามแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ทั้ง ๆ ที่ทำหน้าที่อยู่ตรงนั้นมีสารพัดคนที่จะต้องผจญกับเขา โทสะจะเกิดสักนิดก็ไม่เคยมี

ตอนนี้ถือว่าอัศจรรย์..เพราะท่านเป็นแค่พระโสดาบัน ก็แปลว่าพระอานนท์เริ่มอุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้าตอนที่พระอานนท์อายุ ๕๕ ปี พระอานนท์ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ๒๕ ปีเต็ม ไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อมรรคผลของตัวเอง เพราะว่าบางทีท่านเดินอยู่รอบคันธกุฎีแทบทั้งคืน ท่านใช้คำว่าจุดคบไฟอันใหญ่เดินวนอยู่อย่างน้อยคืนละ ๔ รอบ

๔ รอบนี่หมายถึง ๔ ครั้ง ไม่ใช่หมายถึงเดินรอบกุฏิ ๔ รอบ แต่ละครั้งบางทีอาจจะเดินไปครึ่งค่อนชั่วโมง เพราะท่านเกรงว่าถ้าพระพุทธเจ้าตื่นบรรทมเวลาไหนแล้วตรัสเรียก ท่านอาจจะไม่ได้ยิน พอพระพุทธเจ้าท่านไปพระนิพพาน ท่านจึงเร่งปฏิบัติธรรม ได้เป็นพระอรหันต์ก่อนสังคายนาแค่ชั่วข้ามคืน ก็คือบรรลุตอนใกล้รุ่ง รุ่งเช้าก็เริ่มสังคายนา ท่านบรรลุธรรมตอนอายุ ๘๐ ปี ก็แปลว่าเริ่มถวายการรับใช้พระพุทธเจ้าตอนอายุ ๕๕ ปี บวก ๒๕ ปีก็เป็น ๘๐ แล้วยังอยู่มาจนอายุ ๑๒๐ ปีถึงได้ไปพระนิพพาน

ปรากฏว่าตอนจะไปพระนิพพานมีปัญหา เพราะว่าพอสิ้นพระพุทธเจ้า บรรดาญาติเขามายึดพระอานนท์กัน เพราะพระอานนท์เป็นผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า พระญาติทั้ง ๒ ฝั่ง ทั้งฝั่งศากยวงศ์และฝั่งโกลิยวงศ์ คือญาติข้างพ่อและญาติข้างแม่ ยกทัพมารอว่าท่านจะไปพระนิพพานเมื่อไร เตรียมจะแย่งอัฐิธาตุกัน พระอานนท์ก็เลยต้องเหาะขึ้นไปกึ่งกลางแม่น้ำโรหิณี แม่น้ำที่พระญาติแย่งน้ำกันจนพระพุทธเจ้าต้องไปห้าม ที่เรียกว่าปางห้ามญาติ พระอานนท์อธิษฐานเตโชธาตุเผาตัวเอง แล้วให้อัฐิหล่นลงไปฝั่งละซีก ทำให้ไม่ต้องทะเลาะกัน

การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าประกอบไปด้วย โลกัตถจริยา กระทำเพื่อโลก ญาตัตถจริยา กระทำเพื่อญาติ พระอานนท์ก็เลียนพุทธจริยานี้มา ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวญาติได้ฆ่ากันตาย เพราะต่างคนต่างจะเอาอัฐิไปบูชา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-03-2014 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 16-03-2014, 19:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ได้ยินแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ? ไม่นอนเลย ๕๕ ปี พวกเราเอาแค่ ๕ ปีพอไหม ? อย่างพระอนุรุทธท่านก็นั่งหลับ หลังจาก ๒๕ ปีไปแล้ว ๓๐ ปีให้หลัง หลับตอนยามสุดท้าย แปลว่านั่งหลับ ๒ – ๓ ชั่วโมง ที่เหลืออยู่คือการปฏิบัติธรรมโดยตลอด

คราวนี้ทิพยจักขุญาณของพระอนุรุทธประณีตที่สุด นับจากพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครเลิศไปกว่าท่าน ท่านก็เลยดูอุปนิสัยสัตว์โลกเพลิดเพลินเจริญใจ แต่พระมหากัสสปท่านดูอุปนิสัยสัตว์โลก เพราะตั้งใจจะแบ่งเบาภาระพระพุทธเจ้า ถ้าสงเคราะห์ใครได้ จะไปสงเคราะห์แทน ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีปรากฏเฉพาะหน้า ตรัสว่า “กัสสปะ ดูก่อน..กัสสปะ งานนี้เป็นงานของตถาคตโดยเฉพาะ ไม่ใช่งานของสาวกอย่างพวกเธอ” ดังนั้น..ตรงนี้ไม่ต้องช่วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-03-2014 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 19-03-2014, 19:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "พระเรวัตตะอายุ ๗ ขวบ พ่อแม่ก็บังคับให้แต่งงานแล้ว คนอินเดียเขาแต่งกันแบบนี้ แม้กระทั่งปัจจุบันอายุน้อย ๆ ก็จับแต่ง รอเวลาเป็นผู้ใหญ่แล้วค่อยส่งตัวเข้าหอ แต่ปรากฏว่าหลายคนอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบก็เป็นหม้ายเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายหนึ่งตาย

พระเรวัตตะท่านเห็นคุณยายอายุ ๑๒๐ ปีมาให้พร ยายขอให้อายุยืนเหมือนยาย พระเรวัตตะถามว่าอายุยืนแล้วภรรยาผมจะหน้าตาเหมือนยายหรือเปล่า ? ยายบอกว่า
คนแก่ก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ พระเรวัตตะเผ่นเลย คนสั่งสมบุญมาดี อายุแค่ ๗ ขวบ มีปัญญาขนาดนั้น ทำอุบายหนีไปวัด ไปถึงก็ขอบวช พระท่านก็บอกว่าถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาต บวชให้ไม่ได้หรอก พระเรวัตตะบอกว่า "พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ พี่ชายผมคืออุปติสสะ" เขาไม่รู้จักกัน "ที่พวกท่านทั้งหลายเรียกว่าพระสารีบุตร" "ถ้าเป็นพระธรรมเสนาบดีก็บวชได้ เพราะท่านสั่งไว้แล้ว พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าน้องชายหนีมาบวช ถือว่าท่านเป็นผู้อนุญาต"

ส่วนพระนันทะไม่อยากบวช แต่พระพุทธเจ้าให้บวช ท่านอยากสึกวันสึกคืน พระพุทธเจ้าเลยพาไปดูนางฟ้า บอกว่าอยากได้ไหม ? ถ้าอยากได้ก็ให้เร่งปฏิบัติสมณธรรม ถ้าตั้งใจปฏิบัติ ตถาคตรับรองว่าจะได้นางฟ้าแน่นอน คราวนี้ท่านทำเกินจนกลายเป็นพระอรหันต์ไป ก็เลยบอกว่าเรื่องนางฟ้าไม่เอาแล้ว พระท่านไปพูดกันว่า พระนันทะตั้งใจปฏิบัติธรรมเพราะต้องการนางฟ้า สามารถยังมรรคผลให้เกิดขึ้นจากการฟังคำสอนเพียงครั้งเดียว แต่จะว่าไปแล้วเหตุที่ท่านปฏิบัติธรรมเพราะถูกล่อด้วยมาตุคาม คือเอาผู้หญิงมาหลอกให้ทำ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่าท่านไม่ได้หลอกพระนันทะด้วยเรื่องผู้หญิงแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อน ๆ ก็หลอกด้วยวิธีนี้แหละ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2014 เมื่อ 19:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 19-03-2014, 19:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ท่านก็เล่าว่าสมัยที่พระนันทะเกิดเป็นลา สามารถบรรทุกของได้มาก เดินทางได้ครั้งละ ๗ โยชน์ ก็น่าจะประมาณ ๑๑๒ กิโลเมตรสมัยนี้ เมื่อขนสินค้าไปขาย พ่อค้ายืนขายสินค้าอยู่ เอาสินค้าลงหมด ลาก็เดินหากินอยู่แถวนั้น ไปเจอลาตัวเมียเข้า ก็ชวนคุยตามประสาลา ท้ายสุดก็เกิดชอบใจขึ้นมา พ่อค้าขายของหมด จะเดินทางกลับ ลาบอกว่าไม่ไปแล้ว พ่อค้ามองซ้ายมองขวา เห็นนางลาตัวเมียเข้าเลยบอกว่า ถ้าไม่ไปจะแทงด้วยปฏัก

ลาอดีตพระนันทะบอกว่า "ถ้าท่านแทงด้วยปฏักเราก็จะตอบโต้" พ่อค้าถามว่าตอบโต้แบบไหน "เราจะยกขาหน้าขึ้นยืน ให้สินค้าตกลงมาให้หมด" พ่อค้าเลยบอกว่า "ถ้าเจ้ายอมเดินทางกลับ เราก็จะหานางลาที่สวยกว่านี้มาให้" พอได้ยินอย่างนั้น ลาอดีตพระนันทะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเดินทาง ๑๔ โยชน์ก็ไหว ไม่ต้องแค่ ๗ โยชน์หรอก พอกลับไปก็ทวงสัญญาพ่อค้า "ไหนว่าตกลงเรื่องนางลา ว่าจะหามาให้ ?"

"หามาให้ได้ แต่เราจะให้อาหารเจ้าแค่ส่วนเดียวตามปกติ ส่วนนางลาที่เป็นภรรยาของเจ้าจะมีกินหรือเปล่าเราไม่รู้ แล้วถ้าเจ้ามีลูกมีหลาน เราจะให้อาหารเจ้าแค่ส่วนเดียวเท่าเดิม ส่วนพวกตัวเล็กของเจ้าจะมีกินหรือเปล่าเราไม่รับผิดชอบ เพราะเราสัญญาว่าจะหาเมียมาให้เท่านั้น" เสร็จ...ชาตินั้นหมดอยากที่จะมี ส่วนชาตินี้เป็นพระอรหันต์ไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2014 เมื่อ 19:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 19-03-2014, 19:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องที่แขกเขาแต่งงานกันตั้งแต่อายุน้อย ๆ ไม่ใช่แค่อินเดียนะ แขกอิสลามบ้านเราก็แต่งตั้งแต่อายุน้อย ๆ สมัยก่อนอาตมาอยู่ท้ายซอยอ่อนนุช ที่เรียกว่าประเวศ หนองจอก-ประเวศ ครอบครัวอิสลามหน้าบ้านเขาแต่งงานกัน ผู้ชาย ๑๗ ปี ผู้หญิง ๑๔ ปี ยังขอเงินแม่ใช้ทั้งคู่ อายุแค่นั้นจะทำมาหากินอะไรได้ แต่ก็ให้แต่งแล้ว เพราะเขาต้องการคนเยอะ ๆ

สมัยนั้นมีเพื่อนอิสลามเยอะแยะเลย ถึงเวลาเดือน ๔ ก็ไปกินบุญบ้านนั้นบ้าง บ้านนี้บ้าง ข้าวหมกไก่ ซุปหางวัว กินจนเบื่อไปเอง แต่งานบุญของอิสลาม กินเสร็จแล้ว เจ้าของงานต้องจ่ายเงินให้แขก ช่วยค่ารถกลับ งานของเราต้องเอาเงินไปช่วยเจ้าภาพ งานของอิสลามไปกินเฉย ๆ ไม่พอ ต้องให้ค่ารถกลับด้วย

อิสลามไม่ว่าผู้หญิงแต่งกับฝั่งโน้นก็ดี หรือผู้ชายแต่งกับฝั่งโน้น ต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามทั้งคู่ ในประเทศพม่าเขาเลยยื่นเสนอกฎหมายในประเทศพม่าว่าใครแต่งงานกับคนพุทธ ต้องเปลี่ยนมานับถือพุทธ เห็นว่าประธานาธิบดีเต็งเส่งจะเริ่มพิจารณากฎหมายนี้ในอีกไม่กี่วัน คาดว่าคงจะผ่านไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าฝ่ายพิจารณาเป็นพุทธทั้งนั้น คนที่เป็นต้นคิดกฎหมาย ให้คนที่แต่งงานกับฝ่ายพุทธต้องเปลี่ยนมาถือศาสนาพุทธก็เป็นพระ ก็ถือว่าเป็นหัวหน้าม็อบ ชื่อหลวงพ่อวีรสุ ไม่ได้ชื่อพุทธะอิสระ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2014 เมื่อ 19:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 19-03-2014, 19:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมมีความเห็นว่าพระควรจะยุ่งกับการเมืองไหม ? สมัยก่อนมีพระยุ่งกับการเมืองคือ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนทำยุทธหัตถี กองทัพตามไม่ทัน สมเด็จพระนเรศวรชนะพระมหาอุปราชแล้ว จะประหารแม่ทัพนายกองที่ตามไม่ทันทั้งหมด สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ก็เลยต้องเข้าวัง กราบทูลสมเด็จพระนเรศวร ขอชีวิตแม่ทัพนายกองไว้

พระนเรศวรท่านให้เหตุผลว่า "ในเมื่อพวกนี้กลัวข้าศึกมากกว่าโยม ก็สมควรที่จะโดนประหารแล้ว" สมเด็จพระพนรัตน์ท่านบอกว่า ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนั้น อาจเป็น
เพราะว่าอำนาจของเทพยดาบันดาล อยากจะแสดงให้เห็นซึ่งกฤษฎาอภินิหารของพระองค์ ก็เลยบันดาลให้กองทัพตามไม่ทัน เหมือนอย่างกับสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผจญพญามาร บรรดาพรหมเทวดานับแสนนับล้านมีเยอะแยะ ถ้าหากว่ามาช่วยก็สามารถจะสู้กับกองทัพมารได้อยู่แล้ว แต่ว่าด้วยพุทธบารมีก็เลยทำให้บรรดาพรหมเทวดาเกิดความหวาดเกรงแล้วก็หลีกหนีไปทั้งหมด ให้พระองค์ท่านผจญอยู่เพียงผู้เดียว เมื่อชนะได้จึงเป็นพุทธานุภาพอย่างแท้จริง ไม่ได้ชนะเพราะผู้อื่นช่วย

ดังนั้น..สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็เช่นเดียวกัน ถ้าชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยกองทัพ ก็จะมิได้ปรากฏกฤษฎาอภินิหารเป็นที่เลื่องลือ แต่นี่กลายเป็นว่าลุยเดี่ยวเข้าไปในกองทัพแล้วชนะได้

พอสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฟัง ก็รู้สึกชอบพระทัยบอกว่า "ตรัสไปแล้ว ถ้าคืนคำ..เดี๋ยวต่อไปคนจะไม่เชื่อถือ ถ้าเว้นชีวิตก็
ให้ไปตีมะริด ทวาย ตะนาวศรี คืนมา" พูดง่าย ๆ คือทำคุณไถ่โทษ ตกลงว่าแม่ทัพนายกองทั้งหมดออกศึกอีกรอบหนึ่ง ไปยึดเอามะริด ทวาย ตะนาวศรี คืนมา

สมเด็จพระพนรัตน์บอกว่า เรื่องของการรบ ไม่ใช่วิสัยของสงฆ์ ที่ท่านมาเพื่อขอชีวิตแม่ทัพนายกองไว้ เมื่อได้ดั่งใจแล้วก็ขอลากลับวัด จะเห็นว่าสมเด็จพระพนรัตน์ท่านมาแบบพอดี ก็คือช่วยชีวิตเสร็จแล้วก็กลับ ไม่ได้อยู่ต่อ เขาประกาศยุบเวที กูก็ไม่ยุบ จะเห็นว่าคนละอย่างกัน ถ้าพระสงฆ์จะไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ต้องเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แล้วต้องมีความพอดีของตัวเองอยู่ ไม่ใช่ว่าไปนำม็อบเสียเอง ถ้าไปทำในลักษณะนั้นก็ต้องรอวันแตกดับไปเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2014 เมื่อ 19:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 19-03-2014, 19:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านสร้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ปกติแล้วสมัยนั้น พระมหากษัตริย์สร้างวัดในรัชกาลที่ ๔ ถึงที่ ๙ จะสร้างถวายฝ่ายธรรมยุต แต่รัชกาลที่ ๕ สร้างวัดเบญจมบพิตรฯ ให้ฝ่ายมหานิกาย แต่ความจริงก็ตั้งใจให้ธรรมยุต

ช่วงนั้นศึกเสือเหนือใต้รอบด้าน เสียดินแดนไปเรื่อย พระองค์ท่านก็ปรึกษามหาเถระฝ่ายธรรมยุตว่า ถ้าศึกมาประชิดบ้านเมือง พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นชายฉกรรจ์จำนวนมาก จะขอให้สึกมาช่วยป้องกันบ้านเมือง พระมหาเถระจะมีความเห็นว่าอย่างไร ทางฝ่ายธรรมยุตท่านตอบว่า เรื่องของการรบราฆ่าฟันไม่ใช่วิสัยของพระ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบ้านเมือง พระมหาเถระฝ่ายมหานิกายว่า ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระองค์ท่านก็ยินดีปฏิบัติตาม พระองค์ท่านเห็นว่าทางมหานิกายตอบได้ถูกพระทัยมากกว่า จึงยกวัดเบญจฯ ถวายให้มหานิกายไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2014 เมื่อ 19:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:56



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว