กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 06-12-2018, 22:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

ให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ เป็นการปฏิบัติธรรมวันแรกของช่วงเดือนธันวาคมของเรา วันนี้จะขอกล่าวถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ แต่ว่าบางคนก็ไม่รู้ว่าจะจัดการจะแก้ไขอย่างไร

ช่วงระยะนี้มีคนมาโอดครวญ มาคร่ำครวญในเรื่องกำลังใจตก โดยเฉพาะท่านที่กำลังใจทรงตัวต่อเนื่องมาเป็นปีแล้วกำลังใจตก เกิดความรู้สึกอยากจะทำความชั่ว อยากจะพูดชั่ว อยากจะคิดชั่วทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นตอนกำลังใจทรงตัว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีเลย อาตมาขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ แม้แต่ตัวของอาตมาเองสมัยที่ปฏิบัติใหม่ ๆ ก็กำลังใจตก สมาธิตก กรรมฐานแตกแบบนี้ บางวันเป็น ๑๐๐ ครั้ง หกล้มหกลุก ต้องบอกว่าใครที่เป็นนักปฏิบัติ ถ้าไม่เจอประสบการณ์โหดตรงนี้ถือว่ายังทำไม่จริง

ขอให้รู้ว่าเรื่องของการที่จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา เป็นปกติของนักปฏิบัติทุกคน เพียงแต่ว่าหลายท่านก็วางท่าไม่กล้าบอกใครเพราะอายเขา หลายท่านก็ไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไม เพราะว่ารู้วิธีแก้ไขอยู่แล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาหกล้มหกลุกกันต่อไป

ความจริงการที่จิตตกสมาธิตกนั้น เกิดจากสติของเราหลุดจากการภาวนา ก็คือหลุดไปจากอารมณ์เฉพาะตรงหน้า จากลมหายใจเข้าออก ถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไร กิเลสจะพยายามสอดแทรกเข้ามาทันที แล้วถ้ากิเลสเข้ามาได้ บางทีก็รู้สึกเหมือนกับฟ้าถล่มดินทลายเลย แม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เคยเล่าให้อาตมาฟังว่า ทั้ง ๆ ที่ท่านทรงสมาบัติ ๘ คล่องตัว ถึงระดับจะเข้าเมื่อไรก็ได้ภายในวินาทีเดียวเท่านั้น ท่านบอกว่าขนาดนั้นยังมีอยู่วันหนึ่ง ไม่ทราบว่าสมาธิหลุดไปตอนไหน เหลือแค่อุปจารสมาธิเท่านั้น ท่านบอกว่า "แกเอ๋ย...เกือบตาย..!"

กราบเรียนถามว่า "เกือบตายอย่างไรครับ ?" ท่านบอกว่า "ลองนึกดูว่าบ้านมีเสาค้ำอยู่ ๘ ต้น อยู่ ๆ เหลือแค่ครึ่งต้น แล้วจะค้ำบ้านไหวไหม ?" นี่คือบุคคลที่เราเห็นว่าสุดยอดแล้วอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็ยังเจอในสภาพอย่างนี้มาแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2018 เมื่อ 08:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-12-2018, 09:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนของอาตมาเองไม่ต้องพูดถึง หกล้มหกลุกมานับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งบอกกับญาติโยมหลายท่านว่า ล้มแล้วลุก ลุกแล้วไปต่อ อย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่กับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ถ้าหากว่าคน ๒ คนเดินมาพร้อมกัน ล้มลงพร้อมกัน คนหนึ่งลุกแล้วเดินต่อเลย ขณะที่อีกคนหนึ่งนั่งคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น ว่าเจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาตั้งนาน ไม่น่าพลาดล้มเลย ฯลฯ ทั้งสองคนใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็ต้องเป็นคนที่ล้มแล้วลุกเดินต่อเลย อาตมาก็สรุปแบบของอาตมาว่า การทำความดีต้องหน้าด้าน อย่าไปจิตตกง่าย รู้ตัวว่าพลาดให้เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทันที

ส่วนอีกรายหนึ่งก็มาคร่ำครวญในเรื่องของการปรามาสพระรัตนตรัย แก้ไม่ตก กลัวลงนรกมาก ขอยืนยันว่าสิ่งที่คุณกลัวคือสิ่งที่เขาต้องการ เพราะว่าเรื่องของการปรามาสพระรัตนตรัยนั้น เกิดจากการดลใจของกิเลสมารล้วน ๆ บุคคลที่ตั้งใจประพฤติดีปฏิบัติชอบ ไม่มีใครที่ไม่โดน ทุกคนต้องโดนทั้งนั้น ถือเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของนักปฏิบัติเช่นกัน

ทันทีที่จิตใจของเราเริ่มสงบ เข้าสู่ระดับของอุปจารสมาธิ มารจะรู้ว่าถ้าขยับเกินกว่านี้นิดเดียว คือทรงเป็นปฐมฌานขึ้นไป เราจะพ้นมือเขาแล้ว เพราะว่าทันทีที่เราทรงฌาน รัก โลภ โกรธ หลง โดนกดดับหมดชั่วคราว มารจะไม่เหลือเสนามารเอาไว้ตามติดตัวเรา เพราะว่าตายหมด พระพุทธเจ้าถึงขนาดตรัสว่า บุคคลที่ทรงฌานได้ มารจะมองไม่เห็น

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นมารก็ต้องตั้งใจก่อกวนเราอย่างเต็มที่ ให้เราคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเอาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่พ้นมือเขา โดยเฉพาะให้เราคิดปรามาสพระรัตนตรัย ดังนั้น..การที่พวกเราทั้งหลายตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติธรรม การที่จะโดนหลอกให้ปรามาสพระรัตนตรัยด้วย การคิด การพูด การทำ จะมีเป็นปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2018 เมื่อ 14:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-12-2018, 18:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาขอสรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นก็อย่าได้หวั่นไหว สิ่งที่เขาต้องการคือให้เราหวั่นไหว ให้เรากลัดกลุ้ม ให้เราเครียดอยู่ตรงนั้น จะได้ปฏิบัติต่อไม่ได้ ขอให้ทุกคนตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย ขอขมาตอนไหน ? ตอนก่อนทำความดี ก่อนสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนเจริญกรรมฐาน

บางคนสมาทานศีลเป็นปกติก็ขอขมาก่อนสมาทานศีล ขอขมาพระรัตนตรัยก่อน ขอขมาในลักษณะที่ว่า ถ้าตัวเราสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราย่อมไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในเมื่อโดนกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ชักนำให้เราคิด เราพูด เราทำในสิ่งไม่ดีเช่นนั้น เราก็ตั้งใจขอขมา ต่อให้เราไม่ได้คิดเองทำเอง ในเมื่อทำผ่านตัวเราไป เราก็เต็มใจขอขมา กราบขอขมาบ่อย ๆ อย่างน้อยก็เช้าเย็น ถ้าหากมารเขาเห็นว่าไม่สามารถจะก่อกวนให้
เราแกว่งได้ กวนให้ใจเราขุ่นไม่ได้ เขาก็จะเลิกไปเอง

เพียงแต่ว่าระยะแรกต้องสู้กันก่อน ก็คือเราขอขมา ส่วนเขาก็ชวนเราปรามาส อาตมาเจอมาขนาดว่ากำลังกราบขอขมาพระ เขาชวนให้ยกฝ่าเท้าลูบหน้าพระเฉยเลย นี่คือลักษณะที่เขาตั้งใจทำ แต่อาตมาก็หน้าด้านหน้าทน เอ็งทำได้ข้าก็ขอขมาใหม่ จนกระทั่งท้ายสุดแล้วเขาเห็นว่าไม่สามารถที่จะก่อกวนได้ เขาก็เลิกไปเอง

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติเป็นธรรมดา ใครทำแล้วไม่พบไม่เจอ แปลว่ายังไม่ใช่นักปฏิบัติที่แท้จริง ดังนั้น..ขอให้ทุกคนตั้งใจขอขมาพระ และโดยเฉพาะต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก อย่าให้หลุดไป หลุดเมื่อไรสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะแทรกเข้ามาทันที ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2018 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 09-12-2018, 18:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(หลังเสร็จกรรมฐาน)

นั่งนิ่ง ๆ ก่อน ๓ นาที เมื่อครู่มีนักเลงโตท่านมา ท่านฝากถามว่า หลายคนในที่นี้นอกจากกินข้าวเย็นแล้ว สามารถรักษาศีล ๘ ได้ แล้วทะลึ่งกินข้าวเย็นไปทำอะไร ? กลัวความดีจะมากเกินไปใช่ไหม ? หลวงเตี่ยของอาตมาเอง ท่านเจ้าคุณพระเทพประสิทธินายก หรือ หลวงปู่นาค วัดระฆังของหลาย ๆ คน พระระดับนั้นถามนี่โปรดตัดสินใจรักษาศีล ๘ ไปเถอะ อย่าเสียเวลาไปกินข้าวเย็นอยู่เลย ทุกอย่างที่ทำเป็นศีล ๘ อยู่แล้ว ยกเว้นกินข้าวเย็นเท่านั้น

ท่านถามว่าเราจะกินไปทำอะไร ? กลัวความดีจะเยอะเกินไปใช่ไหม ? ท่านแวะมาเยี่ยม เห็นพวกเราปฏิบัติธรรมกันท่านก็โมทนาด้วย หลวงเตี่ยวัดระฆังรูปนี้ อาตมาเรียกไม่เหมือนชาวบ้านเขา เรียกแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ในช่วงปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ ก็เคยไปกราบขอความรู้ท่านมาหลายวาระ อาตมาไม่ทันท่านตอนมีชีวิตอยู่ แต่ทันท่านตอนตายแล้ว

อีกรูปหนึ่งก็คือหลวงลุงเสงี่ยม วัดสุทัศน์ฯ ตำแหน่งนั้นท่านจริง ๆ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ หลวงลุงเสงี่ยมก็เป็นพระอรหันต์ระดับเดียวกันกับหลวงเตี่ยนั่นแหละ แต่พวกเราไม่จะค่อยรู้กัน หลวงลุงนี้อาตมาทัน เรียกท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านบอกว่ามากไป ท้ายสุดเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงเรียกท่านเป็นหลวงพี่ อาตมาก็เลยเรียกหลวงลุง เพราะฉะนั้น..ในเมื่อท่านฝากมา ก็ไปพิจารณาตัวเองว่ายังจะเกรงใจโลกด้วยการกินอยู่อีกมื้อหนึ่งไหม ? ถ้าอดได้ก็อดไปเลย เพื่อการปฏิบัติของเราจะได้ก้าวหน้ามากขึ้น เอ้า...เท่านี้แหละ พวกเราเรียกหลวงปู่ก็ได้ แต่อาตมาเรียกไม่เหมือนชาวบ้านเขาหรอก เรียกท่านว่า "หลวงเตี่ย"


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2018 เมื่อ 03:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว