กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-02-2015, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ในการปฏิบัติของพวกเรานั้น พูดง่าย ๆ ว่าต้องทำทุกวัน เหมือนกับที่เราต้องกินอาหารทุกวัน การที่ตัวเราต้องปฏิบัติธรรมทุกวัน ก็เพื่อเป็นการให้อาหารแก่ใจของเรา ส่วนใหญ่แล้วพวกเราให้แต่อาหารทางกาย อาหารทางใจไม่ค่อยได้ให้ สภาพจิตใจของเราจึงขุ่นมัว เศร้าหมอง จำเป็นจะต้องให้อาหารทางใจด้วยการปฏิบัติในสมาธิภาวนา ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ การตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา

เอาแค่หายใจเข้า ให้กำหนดความรู้สึกไหลตามเข้าไป ตั้งแต่ต้นจนสุดปลายของลม หายใจออกให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมาจนสุดกองลม ถ้าเผลอสติคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้สึกตัวก็ดึงความรู้สึกมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ กำหนดดู กำหนดรู้อย่างนี้ สมาธิก็จะค่อย ๆ ทรงตัวตั้งมั่น

อันดับแรกเลย ก็คือ สามารถหายใจเข้าและออกโดยรู้ตลอดกองลมได้ ลมหายใจของเราจะแรงหรือเบา จะยาวหรือสั้น ก็สามารถที่จะรู้อยู่ คำภาวนาอย่างไรก็รู้อยู่เช่นนั้น โดยที่สภาพจิตปราศจากนิวรณธรรมทั้ง ๕ คือห่างจาก กามฉันทะ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย หรือสัมผัสระหว่างเพศ

เว้นจากพยาปาทะ คือความโกรธเกลียด อาฆาตแค้น มุ่งร้ายจองเวรต่อผู้อื่น อุทธัจจะกุกกุจจะ ความหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ ถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน ตลอดจนกระทั่งชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ และวิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ไม่มั่นใจในคุณพระรัตนตรัย ว่าการที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนี้ จะมีผลดีจริงหรือไม่ เป็นต้น

ถ้าอารมณ์ใจของเราทรงตัว นิวรณธรรมทั้ง ๕ นี้จะโดนขับไล่ให้ห่างออกไป สภาพจิตของเราจะมีความผ่องใส สามารถรู้ลมหายใจเข้าออกได้โดยอัตโนมัติ สิ่งที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ไม่สามารถที่จะแทรกเข้ามาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-02-2015 เมื่อ 15:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-02-2015, 17:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,739 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านทั้งหลายทำมาถึงตรงจุดนี้ ก็ให้กำหนดสติคอยเฝ้าดูลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาของเราเอาไว้ แล้วท่านทั้งหลายจงกำหนดจิต แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ ด้วยจิตที่หวังดีปรารถนาดีว่า อยากให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นพ้นจากกองทุกข์ มีแต่ความสุขความเจริญ

ให้กำหนดจิตแผ่เมตตาของเราไป จนกระทั่งกำลังใจของเราชุ่มเย็นด้วยอำนาจของเมตตาแล้ว ก็หันมาพิจารณาให้เห็นสภาพเป็นจริงว่า ร่างกายของเรามีสภาพความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

มีความทุกข์เป็นปกติ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป เราดำเนินชีวิตอยู่บนกองทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นต้น และท้ายที่สุดสภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้

สักแต่ว่าเป็นรูปที่ประกอบขึ้นมาจากธาตุทั้ง ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพัง คืนให้กับโลกไป ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนได้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว การเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมมีความสุขเพียงชั่วคราว พลาดเมื่อไรก็ลงมาทุกข์อีกเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ ก็ให้รักษากำลังใจ พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาของเราไว้ ถ้าท่านใดชำนิชำนาญในการกำหนดภาพพระ ก็เอาจิตใจจดจ่ออยู่ภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรารักเราชอบ ว่านั่นเป็นตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้พระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน

ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเราไว้อย่างนี้ จนกว่าจะเป็นที่พอใจของเรา เมื่อสมาธิคลายตัวออกมาก็หันมาพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำอย่างนี้สลับไปสลับมา ก็จะค่อย ๆ มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ต่อจากนี้ไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา



พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 06-10-2019 เมื่อ 00:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:50



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว