กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-09-2020, 10:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,042 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๓

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ เป็นการเจริญกรรมฐานต้นเดือนวันสุดท้ายของเรา ระยะนี้ก็ยังอยู่ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งหลายท่านที่เดินทางท่องเที่ยวไปกับครอบครัว ก็กำลังเดินทางกลับ ซึ่งการเดินทางของเรานั้น ถ้าหากว่ามีสติ ใช้ยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง ก็ยังอาจจะมีคนขาดสติ ทำให้เราประสบพบกับอุบัติเหตุได้

ดังนั้น...แม้กระทั่งเรื่องในชีวิตประจำวันของเรายังหาความแน่นอนไม่ได้ แล้วในเรื่องของโลกหน้า ตลอดจนถึงเรื่องของการพ้นทุกข์ ก็ยิ่งหาความแน่นอนไม่ได้เข้าไปใหญ่ ถ้าหากว่าเราประมาท แม้เป็นผู้ที่ตั้งใจว่าจะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็คือเพื่อพระนิพพาน แต่ตัวเราไม่ได้กระทำให้สมควรกับสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ ก็ได้ชื่อว่าเราเป็นผู้ประมาท

การประมาทในทางโลกนั้น เราอาจจะเกิดอุบัติเหตุ ทรัพย์สินเสียหาย ได้รับบาดเจ็บ หรือว่าถึงแก่ชีวิต แต่การประมาทในทางปฏิบัติธรรมนั้น เราอาจจะต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างมหันต์ เพราะว่าอาจจะพลาดลงสู่อบายภูมิ ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือว่าถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นบุคคลที่ต้องลำบากยากจน พิกลพิการ มีแต่ความทุกข์ยากมากกว่าคนอื่นเขา ดังนั้น...สิ่งที่เราตั้งใจไว้กับสิ่งที่เรากระทำ จึงจำเป็นอย่างยิ่งว่าต้องเป็นเหตุเป็นผลกัน คือเราต้องสร้างเหตุให้เพียงพอ ถึงจะเกิดผลอย่างที่เราต้องการได้

คราวนี้ในส่วนของการสร้างเหตุนั้น ก็อยู่ในกรอบของ ศีล สมาธิ และปัญญา อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสรุปว่าไตรสิกขา คือหลักการที่ต้องศึกษาและปฏิบัติ ๓ ประการด้วยกัน ซึ่งได้ย่อมาจากมรรคมีองค์ ๘ ก็คือ

สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ส่วนนี้เป็นปัญญา
สัมมาวาจา การพูดดีพูดเพราะ สัมมากัมมันตะ การมีความประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง สัมมาอาชีวะ การหาเลี้ยงชีพในทางที่ถูกต้อง นี่อยู่ในส่วนของศีล
สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง สัมมาสติ การตั้งสติไว้ถูกต้อง และสัมมาสมาธิ การปฏิบัติสมาธิได้ถูกต้อง ในส่วนนี้จัดอยู่ในสมาธิ

ก็แปลว่า สิ่งที่เราจะต้องพึงปฏิบัติอย่างเต็มที่ ให้สมควรกับความตั้งใจของเรา ว่าต้องการปฏิบัติธรรมเพื่อให้หลุดพ้นจากกองทุกข์คือพระนิพพาน ก็คือการที่ปฏิบัติอยู่ในหลักของศีล ของสมาธิ ของปัญญานั่นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2020 เมื่อ 17:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-09-2020, 10:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,042 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้การที่เราปฏิบัติในศีลและในปัญญานั้น มีความเนื่องด้วยสมาธิอย่างสูงยิ่ง ก็คือบุคคลที่ระมัดระวัง รู้จักรักษาศีลไม่ให้บกพร่อง ก็ย่อมทรงสมาธิได้โดยอัตโนมัติ บุคคลที่ทรงสมาธิได้มั่นคง สภาพจิตสงบเยือกเย็น ก็จะมีปัญญามองเห็นความเป็นจริง ว่าสภาพของร่างกายนี้ก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี หรือว่าโลกนี้ก็ตาม เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้

ระหว่างที่ดำรงขันธ์คือชีวิตนี้อยู่ ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบใจ ทุกข์ของความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น

จนกระทั่งท้ายสุด ก็คือทุกข์จนกระทั่งบีบคั้นร่างกายนี้แตกสลาย ที่เรียกว่าทุกข์ของความตาย และโดยเฉพาะอัตภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เป็นเพียงองค์ประกอบขึ้นมาจากธาตุทั้ง ๔ คือดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ ให้เราได้อาศัยอยู่เพียงชั่วคราว พร้อมที่จะเสื่อมสลายตายพังไปอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ต้องเรียกว่าไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเราได้

ถ้าหากว่าเราสามารถมองเห็นชัดเจนมาถึงตรงนี้ กำลังใจของเราก็จะคลายจากความยึดมั่นถือมั่น เพราะเห็นชัดว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา สักแต่ว่าเป็นเครื่องให้อาศัยเท่านั้น สภาพจิตก็จะถอนออกจากการยึดถือในร่างกายนี้ ถอนออกมาจากการยึดถือในร่างกายคนอื่น ถอนมาจากการยึดถือในร่างกายของสัตว์อื่น ถอนมาจากการยึดมั่นถือมั่นในโลก ไม่มีความปรารถนาในการเกิดอีก ถ้าอย่างนั้นเราก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2020 เมื่อ 17:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 30-09-2020, 08:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,042 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...การที่เราจะกระทำให้สมควรแก่ความตั้งใจของเรา ก็คือทุกวันต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้แน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการพูด การคิด การทำ อย่าให้มีการล่วงเกินพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง และให้รู้สึกตัวอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ก้าวเข้าไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าชีวิตนี้เสื่อมสลายตายพังลงไป ที่เดียวที่เราต้องการคือพระนิพพาน

ให้ทุกคนพยายามประคับประคองรักษาอารมณ์ในการรักษาศีล ประคองศีล ตลอดจนกระทั่งความรู้สึกเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ละเมิดล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง รู้ตัวอยู่ว่าลมหายใจของเราจะสิ้นสุดลงไปเมื่อใดก็ไม่แน่ ถ้าหากว่าตายลงไปเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้าท่านสามารถรักษาอารมณ์อย่างนี้ให้ต่อเนื่องไว้ได้ วันหนึ่งสัก ๑๐ นาที ๑๕ นาที ทั้งในตอนเช้าและก่อนนอน โอกาสที่ท่านจะล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ก็จะมีขึ้น สมกับความตั้งใจทุกประการ

ลำดับต่อไปก็ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๓
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย น้องผักชี)

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2020 เมื่อ 10:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:03



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว