กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 19-04-2011, 23:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไม่ใช่เราอุปาทานไปเองว่าจะต้องเห็น..?
ตอบ : ถ้าเราเอาอุปาทานไปปน เราจะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเรารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ถ้าเคยฝึกมโนมยิทธิมา จะต้องเคยได้ยินหลวงพ่อฤๅษีบอกอยู่เสมอว่า ให้กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการ เพราะโลกอื่นเขาไม่มีการปรุงแต่งหลอกกัน ถ้าเราขอให้เห็นตามจริง ท่านก็จะแสดงให้เห็นตามจริง ถ้าไม่ขอให้เห็นตามจริง บางทีด้วยความที่เคยผูกพันกันมา อาจจะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก เป็นปู่เป็นตา เป็นย่าเป็นยายกันมา ท่านก็มาในลักษณะธรรมดา ๆ แบบที่อาตมาไปเจอลุงกำนันสูบบุหรี่อยู่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เพราะเคยเป็นลูกเป็นหลานท่านมา ท่านก็ทำท่านั้นให้ดู

ถาม : ไม่ได้เกิดจากจิตของเราเอง ที่เราเห็นก็คือเห็นจริง ๆ ?
ตอบ : ถ้าเราคิดไว้ก่อน ก็จะเห็นตามที่จิตปรุงแต่งไว้ เขาเรียกว่าอุปาทาน ถ้าเราไม่คิดไว้ก่อน ก็จะเห็นตามสภาพความเป็นจริง

แต่ถ้าเราไปได้อย่างแท้จริง ต่อให้คิดไว้ก่อนขนาดไหน ก็จะเห็นตามที่ตัวเองเห็นแบบนั้น อย่างที่อาตมาตั้งใจเต็มที่ว่าจะไปดูพระอินทร์ตัวเขียวปี๋ ขึ้นไปก็เจอลุงกำนันนั่งสูบบุหรี่เฉยเลย

ถาม : แต่ถึงคิดไว้เองก็ไม่เป็นไร ?
ตอบ : ก็ใช่..แต่การที่เราคิดไปเองและยึดถือของเดิม จะทำให้กลายเป็นรู้เห็นแบบฟุ้งซ่าน มีโอกาสถูกหลอกได้ง่าย ฉะนั้น..อย่างไรเสียก็พยายามวางกำลังใจตัดร่างกายให้ดี แล้วค่อยไป จะเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเมตตาสงเคราะห์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 19-04-2011, 23:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การถวายหนังสือธรรมะที่ถวายทั่วไป กับถวายหนังสือคำสอนพระพุทธเจ้าโดยตรง เช่น หนังสือภิกขุปาฏิโมกข์ มีอานิสงส์เหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นอานิสงส์ธรรมทานเหมือนกัน แต่ว่าผลที่ได้รับจะได้ต่างกัน การถวายหนังสือทุกชนิดจัดเป็นธรรมทานทั้งนั้น แต่สิ่งใดที่เป็นเรื่องของธรรมะโดยตรง สิ่งนั้นจะมีอานิสงส์มากกว่า

ถาม : การได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงตามหาบัว ได้สังฆานุสติ และได้ความรู้สึกว่าเรานี่น่าเสียดาย ตอนท่านมีชีวิตอยู่ไม่ได้สนใจจะทำบุญกับท่าน เมื่อท่านสิ้นแล้ว จึงเห็นว่าโอกาสทำบุญกับพระอรหันต์หลุดลอยไปแล้ว ผู้ที่อยู่ภายหลัง ยังไม่ตาย ควรจะพิจารณาอย่างไร เพื่อที่จะมีหลักยึดในพระธรรม จะได้ไม่ยึดในสังขารของพระที่ละสังขารไปแล้ว ?
ตอบ : ก็แค่คิดว่าแม้แต่ท่านก็ยังตาย เพราะฉะนั้น..เราต้องตายแน่ ๆ เป็นสังฆานุสติและมรณานุสติด้วย ในเมื่อเราตายแน่ เราก็อย่าประมาท เร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2019 เมื่อ 08:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 20-04-2011, 07:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าบารมีเราจัดอยู่ในระดับใด ? และจะฝึกอย่างไรให้บารมีเกิดขึ้นได้ สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองยังบารมีอ่อน ยังไม่เข้มแข็ง เวลาโดนกระทบจะทำกำลังใจตก แล้วบารมีเสื่อมได้ไหม ?
ตอบ : บารมีก็คือกำลังใจ มีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน คือ สามัญบารมี (บารมีขั้นต้น), อุปบารมี (บารมีขั้นกลาง), ปรมัตถบารมี (บารมีขั้นสูงสุด) ในแต่ละขั้นก็ยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด รวมเป็น ๓ ระดับ ๙ ขั้น อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในบารมีระดับไหน ก็พิจารณาดูได้

ถ้าเป็นสามัญบารมีขั้นต้นนี่ เรื่องของทาน ศีล ภาวนา ไม่รู้เรื่องเลย สามัญบารมีขั้นกลาง บอกให้ทานก็รู้สึกเสียดาย ให้ไปก็เสียดายแทบจะขาดใจ แต่ถ้าสามัญบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ แต่ถ้าบอกให้รักษาศีลหรือเจริญภาวนา ก็จะไม่รู้เรื่องเลย

อุปบารมีขั้นต้นให้ทานได้ บอกให้รักษาศีลร้อยวันพันปีจึงจะเข้าใจเสียที ส่วนใหญ่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อุปบารมีขั้นกลางให้ทานได้ รักษาศีลยังขาดตกบกพร่องไปเรื่อย ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกให้เจริญภาวนา ฟังยังไม่เข้าใจ เหมือนตักน้ำรดหัวตอ

ปรมัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้เจริญภาวนา ก็ด่าชาวบ้านเขามากกว่า ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ภาวนาบ้างด่าชาวบ้านเขาบ้าง ถ้าเป็นปรมัตถบารมีขั้นปลาย จึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ ภาวนาได้ตามปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-04-2011 เมื่อ 12:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 20-04-2011, 07:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราต้องดูตัวเราเอง ส่วนใหญ่ที่กำลังใจตก เกิดจากสมาธิตก ที่สมาธิตกเพราะปัญญาไม่พอ พิจารณาไม่ตลอดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นธรรมดา การเกิดมาในโลกนี้ต้องมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา

ในเมื่อปัญญาไม่พอ สมาธิไม่พอ ถึงเวลาโดนกระทบก็กำลังใจตก รีบตะกายใหม่ทันทีที่รู้ว่าตก อย่าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เพราะถ้าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เปิดโอกาสให้กิเลสครอบงำเราได้ ก็จะชักจูงเราไปไกล และพาให้คืนได้ยาก เคยเปรียบเอาไว้ว่า คนสองคนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกขึ้นได้ก็เดินต่อไปเลย แต่อีกคนเอาแต่นั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาได้ตั้งไกลไม่น่าจะล้มเลย ถามว่าสองคนนี้ใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็คือคนที่ล้มแล้วลุกเดินต่อเลย

ฉะนั้น..เรื่องการปฏิบัติก็เหมือนกัน รู้ว่าพลาดเมื่อไร ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มที่ต่อไป ถ้าเราไม่หวั่นไหว สามารถที่จะไปต่อได้เลย ต่อไปเรื่องที่จะกระทบให้เราหวั่นไหวได้ ก็จะมีน้อยลงไปตามลำดับ ยิ่งกำลังใจสูงมากเท่าไร การกระทบก็จะน้อยลงมากเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 08:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 20-04-2011, 12:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางทีก็เหมือนมีปัญหา รู้สึกว่าเบื่อ ทุกข์ก็ไม่เอา ไม่อยากได้อะไรเลย แล้วทำไมคนเราถึงต้องเกิดมาตั้งแต่แรก ? จุติเกิดมาเป็นดวงวิญญาณเลยหรือคะ ? ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าต้นไม้มีเมล็ด เมล็ดก็จะงอกต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีเมล็ด คือสิ้นเชื้อแล้วก็งอกต่อไม่ได้ อย่างเรางอกมาถึงปัจจุบันนี้แล้ว ทนไปอีกสักชาติหนึ่งไม่ได้หรือ ?

ตั้งใจว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน แล้วกติกาความเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไร เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป โดยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว

ถ้ากำลังใจเราเกาะมั่นคงอย่างนี้ได้ สักเช้าวันละ ๑๐ นาที เย็น ๑๐ นาที ตายแล้วไปพระนิพพานได้แน่นอน เพราะเท่ากับว่าเราตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่าเราต้องการอย่างนั้น แบบเดียวกับจองตั๋วรถไว้ พอเราขึ้นรถ รถก็จะไปส่งยังจุดหมายเอง

ถาม : แต่หนูรู้สึกว่า กำลังใจของหนูจะไปตกร่องตรงอรูปพรหมเสียก่อน
ตอบ : ไม่มีปัญหา เราก็ไปอรูปพรหมก่อน แล้วก็ตั้งใจว่าตายจากตรงนี้เราจะไปนิพพาน ใจสุดท้ายเอาเกาะนิพพานไว้ เราแค่เอานิพพานต่อท้ายไว้นิดเดียว กำลังอรูปพรหมสูงมากอยู่แล้ว แค่ต่อท้ายด้วยนิพพานก็พอ

ถาม : หนูรู้สึกว่าพวกรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าคนถึงฌานจึงจะละได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ต้องเป็นตั้งแต่พระสกทาคามีหรือเป็นพระโสดาบันละเอียดที่เรียกว่าเอกพีชีขึ้นไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้ รัก โลภ โกรธ หลงแทบจะไม่ปรากฏแล้ว แต่ว่ารัก โลภ โกรธ หลงที่ยังมีอยู่นั้น เป็นรัก โลภ โกรธ หลงที่ละเอียด เป็นกิเลสที่ลึกอยู่ในใจ

อย่างเช่น เราตั้งความปรารถนาว่า เราจะเกิดเป็นเทวดาชั้นนั้นชั้นนี้ ยังตั้งความปรารถนาว่า เราจะเป็นพรหมชั้นนั้นชั้นนี้ หรือยังต้องตะเกียกตะกายเพื่อความหลุดพ้นต่อไป สภาพจิตยังมีงานที่ต้องทำอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ แต่ถ้าเราก้าวพ้นจากตรงนั้นแล้ว งานทุกอย่างไม่มี ก็จะปล่อยวางไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2019 เมื่อ 08:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 20-04-2011, 12:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่หวังจะไปพระนิพพาน ก็ต้องละรัก โลภ โกรธ หลง ได้ก่อน ?
ตอบ : จำเป็นต้องละให้ได้ก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องละตามลำดับ จากบุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอรหันต์เลยก็ได้ บุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอนาคามีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังสติ สมาธิ ปัญญาของตนว่ามีขนาดไหน

ดังนั้นว่า..ในความเป็นพระโสดาบันละเอียดหรือพระสกทาคามี รัก โลภ โกรธ หลงก็เหลือน้อยมากแล้ว ยกเว้นว่าเราขาดสติ ก็จะโผล่มาหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี รัก โลภ โกรธ หมดเกลี้ยงแล้ว เหลือแต่ตัวหลงอยู่นิดเดียว

ตัวหลงที่เหลืออยู่ก็ไม่มีอะไร เป็นส่วนละเอียดที่ยังเห็นว่า บางทีบุญกุศลก็ยังเป็นความดีอยู่ เราต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้มากไว้ ก็ถือว่าเป็นตัวหลงเหมือนกัน เป็นการหลงในด้านดี ก็คือยังเกาะความดีอยู่

จำไว้ว่าถ้าต้องการหลุดพ้น ต้องปล่อย แต่ตอนแรกก่อนที่จะปล่อย เราต้องเกาะในด้านที่ถูกไว้ คือเกาะดีไว้ก่อน ถ้าเราไม่มีอะไรเกาะ เราก็จะไม่มีให้ปล่อย อย่าทำข้ามขั้นนะ ทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำดีถึงที่สุดแล้วก็จะปล่อยดีไปเอง

ถาม : อย่างศาสนาเซน เขาก็ละรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ได้หวังนิพพาน ในเมื่อละรัก โลภ โกรธ หลงก็ยากกับพอ ๆ ไปนิพพานเหมือนกัน ทำไมเขาไม่ไปนิพพาน ?
ตอบ : ที่เขาไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ท่านเหล่านั้นมาทางสายพระโพธิสัตว์ กำลังใจของพระโพธิสัตว์จริง ๆ ต้องทำละเอียดกว่าพระอรหันต์เสียอีก แต่ว่ายังมีงานสุดท้ายที่หวังอยู่คือ เพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกต่าง ๆ ทำให้กำลังใจสุดท้ายไม่ตัด

แต่ความละเอียดของใจท่าน สามารถทำได้เหมือนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เหมือนพระอรหันต์

ถาม : อย่างเราจะแซงโค้งสุดท้าย แก่ไปสัก ๖๐ ปี ยังละไม่ได้ ยังโกรธอยู่ ยังหลงอยู่ สุดท้ายเราจะตาย เราแซงโค้งตอนสุดท้ายได้ไหม ?
ตอบ : โค้งสุดท้ายเป็นตอนที่เรานอนตะแหงก ๆ อยู่ เรารักไหวไหมเล่า ? หามไปตีกับเขาไหวไหมเล่า ? ก็ไม่ไหว..ใช่ไหม ?

ในเมื่ออย่างนั้นเท่ากับ รัก โกรธ ก็หายไปอัตโนมัติอยู่แล้ว ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่า ร่างกายที่แก่กำลังจะตายชักอยู่นี้ เรายังเห็นว่าดีอยู่ไหม ? ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว ตายแล้วเราไปพระนิพพานดีกว่า ตอนนั้นก็จะไปแซงโค้งปาดหน้าเข้าพระนิพพานได้เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 18:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 20-04-2011, 12:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนนี้เรายังไม่เดือดร้อน ถ้าเรายังละไม่ได้ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ละได้ไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าไม่ได้ก็คอยไปแซงโค้งสุดท้ายเอาตอนนั้น

ถาม : อย่างหนูไม่ได้ทำอะไรมากมาย เริ่มรู้สึกว่าอยากอ่านเว็บมากขึ้น เข้าใกล้ความดีมากขึ้นนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าเจ็บที่หัวใจ หายใจขัด แล้วหงุดหงิด พาลทุกคนที่ขวางหน้า แล้วกลายเป็นทุกข์ขึ้นมา
ตอบ : นั่นแหละจำไว้ว่า สิ่งนั้นเป็นมาร คือ เครื่องขวางความดี เขาเรียกว่าขันธมาร ถ้าเราหัวหกก้นขวิดไปเรื่อย เราก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเราตั้งใจทำความดี เขาก็จะเอาร่างกายนี้มาขวางให้เราเกิดมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด คิดว่าเพราะทำความดีถึงเป็นอย่างนี้ เรากลับไปทำความชั่วเหมือนเดิมดีกว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็จะพลาดไปจากความดีที่เราควรจะได้

ขอให้เราดีใจว่า ถ้าเขาทำการขวางเรามากเท่าไร แปลว่าเราเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่จะหลุดพ้นมากเท่านั้น เพราะถ้าเราทำเมื่อไรก็จะพ้นมือเขา เขาจึงต้องขวาง ถ้าคนทำแล้วยังไม่พ้น เขาไม่ขวางให้เสียเวลาหรอก ของเราที่เกิดเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขึ้น ให้รู้เลยว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่เขาจะทดสอบเราแล้ว ก็แปลว่าเรามีสิทธิ์ที่จะสอบได้แล้ว

ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป โดยที่คิดว่าอย่างดีก็แค่ตาย ถ้าตายตอนนี้สิดี เราจะได้พ้นจากร่างกายที่มีความทุกข์นี้ เราจะได้ไปพระนิพพาน

ถาม : แต่ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับใจ ไม่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายนะคะ คือจะหงุดหงิด
ตอบ : เขาให้พิจารณาต่อไปเลยว่า บุคคลที่ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างเรา ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ขนาดนี้ คนอื่นที่ไม่ทุกข์นั้นไม่มี ความทุกข์มีสภาพปกติอย่างนี้ เป็นสมบัติของร่างกายนี้ เอ็งอยากจะทุกข์ก็จงทุกข์ต่อไปเถอะ ข้าอยู่กับเอ็งอีกเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

เพราะถ้านับจริง ๆ ชีวิตนี้เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในใจก็พอเพียง เราหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว เราหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว ในเมื่อจะตายลงไปอยู่แล้ว เอ็งจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ข้าจะไปพระนิพพาน

ยิ่งเราเห็นทุกข์มากเท่าไรยิ่งดี เพราะเราจะได้รู้สึกว่าร่างกายนี้น่ากลัว เราจะได้ไม่ต้องการอีก เพราะฉะนั้น..บอกให้มาเยอะ ๆ พวกนี้ท้าแล้วมักจะหนี ไม่สู้หรอก เขากลัวคนบ้า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 18:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 20-04-2011, 12:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมเวลาผมฝึกกสิณดิน ผมหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรก ตอนเริ่มเราไปเริ่มเลย บางทีก่อนภาวนาทุกครั้ง ถ้าทำได้ ให้หายใจยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด แล้วค่อยมาภาวนา ไม่อย่างนั้นพอจิตเริ่มละเอียดขึ้น ลมหยาบยังเหลืออยู่ จะดันแน่นอยู่ข้างใน ทำให้หายใจไม่ออก

ประการที่สอง ขันธมารมาแกล้ง เขาอยากรู้ว่าเราแน่สักแค่ไหน หายใจไม่ออกแทบจะตายแล้ว เรายังกลัวอยู่ไหม ? แบบคราวที่แล้วที่มาแกล้งคุณจนสติแตก ในเมื่อมีบทเรียนแล้ว ก็ระมัดระวังด้วยว่าจะโดนอีก

ถาม : จะฝึกอย่างไรให้จิตปล่อยวางในความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นครุฑ ?
ตอบ : จริง ๆ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็คือตัวกูของกูนั่นเอง ถ้าเราเห็นในสิ่งที่ดีกว่า เราก็จะไม่ต้องการอย่างนั้น คราวนี้เราลองพิจารณาดูว่า โลกของครุฑนั้นทุกข์ขนาดไหน ? เพราะว่าอยู่ในภพของสัตว์เดรัจฉาน ถึงแม้ว่าอยู่ในภาวะกึ่งทิพย์ก็จริง แต่ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตามภพภูมิต่าง ๆ เป็นปกติ

โดยเฉพาะว่าไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล เป็นการเสียชาติเกิดจริง ๆ..! ดังนั้น..ถ้าหากเรายังไปเกิดในลักษณะนั้นอีก โอกาสที่จะหลุดพ้นของเราก็ไม่มี เราเกิดในภพภูมิมนุษย์สูงกว่าตั้งเท่าไร โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมาก เราควรปฏิบัติให้พ้นไปเลยดีกว่าที่จะไปติดอยู่แค่นั้น ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้ ใจก็จะค่อย ๆ ปลดออกมาเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 18:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 20-04-2011, 12:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกลัทธิต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนกว่าจะเป็นศาสนานั้น มีอยู่จำนวนมากด้วยกัน ที่ให้คุณค่าให้ความสำคัญต่อเพศพ่อและเพศแม่มาก เพราะถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต

อย่างศาสนาฮินดูก็มีการบูชาศิวลึงค์ ศิวลึงค์จะตั้งอยู่บนฐานโยนีที่ถือว่าเป็นอวัยวะของพระอุมา ถือว่าเป็นจุดกำเนิดชีวิต เป็นศูนย์รวมของพลังทั้งหมด พอเป็นศาสนาขึ้นมาแล้ว ตอนหลังก็ลามมาในศาสนาพุทธ กลายเป็นพุทธตันตระ

มีการกล่าวถึงพลังของเพศแม่ที่จะมาเสริมเต็มในความเป็นพ่อ คือ ความเป็นพ่อจะมีแต่ความแข็งแกร่ง ความเป็นแม่จะมีความอ่อนโยน แข็งอ่อนผสมรวมกันก็จะสมดุลพอดี ดังนั้น..ในทาง พุทธตันตระนี้ พระพุทธเจ้าของเขา ก็จะมีนางตาราที่เป็นศักติ คือคู่บารมี เป็นส่วนเสริมเต็มในบารมีของพระพุทธเจ้าท่านอยู่

เพราะฉะนั้น..ระยะหลัง ๆ เราไปเห็นรูปว่ามีผู้หญิงกอดเอวพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ไปว่าเขาสร้างรูปลามกอนาจาร แต่ความจริงเราไม่ได้เข้าใจปรัชญาศาสนาของเขาว่าคืออะไร เขาถือว่าผู้หญิงกับผู้ชายต้องอยู่ด้วยกัน ความสมดุลถึงจะมี ไม่อย่างนั้นแล้วพลังจะหนักไปข้างเดียว ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้งานได้อย่างเต็มที่ คือขาดความสมบูรณ์นั่นเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 18:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 20-04-2011, 13:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วนหนึ่งในปฐมสมโพธิกถา ท่านกล่าวถึงนางผุสดีที่ขอพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์ แล้วจุติลงมาเกิดเป็นพระนางสิริมหามายา พร ๑๐ ประการนั้น มีอยู่ประการหนึ่งว่า ตั้งท้องจนถึงเดือนสุดท้ายจะคลอด ก็อย่าให้ท้องนูนออกมาจนมองเห็น

พระนางสิริมหามายาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ไม่มีใครสวยกว่านั้นอีกแล้ว เพราะนอกจากจะสมบูรณ์ด้วยเบญจกัลยาณีแล้ว ยังมีอิตถีลักษณะอีก ๖๔ ประการที่คู่ควรที่จะเป็นพระพุทธมารดา

เราเคยชินกับการทำนายลักษณะของสิทธัตถะราชกุมาร ที่พราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ ท่าน ลงความเห็นไป ๑๐๗ ท่านว่า ถ้าหากไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลก ก็จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลก ยกเว้นโกณฑัญญะพราหมณ์ พราหมณ์หนุ่มที่สุด ฟันธงอย่างเดียวเลยว่า จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลกโดยสถานเดียวเท่านั้น

นี่เราเคยชินกับคำทำนายนี้ แต่ถ้าเราไม่ได้ศึกษาให้ลึกลงไป เราไม่เคยชินกับคำทำนายของพระนางสิริมหามายา พราหมณ์ที่มาทำนายในลักษณะที่ฟันธงว่าจะเป็นพระพุทธมารดา เขาเอาคำว่าพระพุทธมารดามาจากไหน ? แสดงว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องมีจารึกอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์อยู่แล้ว

อย่างเรื่องมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ เขาก็บอกว่าท้าวมหาพรหมลงมาชี้แจงลักษณะเหล่านี้ให้แก่ผู้นำศาสนาของเขา แล้วได้บันทึกไว้เป็นคัมภีร์ เพื่อที่ถึงเวลาเมื่อมีมหาบุรุษปรากฏขึ้น ก็จะได้รู้ว่านี่ใช่แล้ว เพราะตรงกับตำรา

แต่ทางด้านของพระนางสิริมหามายาที่จะเป็นพระพุทธมารดา เราไม่รู้ว่าตำรานี้มาจากไหน เพราะว่าไม่ได้เขียนเอาไว้ อาตมาก็ไม่อยากจะมั่วว่าก็คงจะมาแบบเดียวกัน

พระนางสิริมหามายานอกจากที่จะสวยงามสมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นพระพุทธมารดาแล้ว ยังมีความมหัศจรรย์ส่วนตัวอยู่อีก ๑๒ ประการด้วยกัน ความมหัศจรรย์ส่วนตัว ๑๒ ประการนี้ ในบาลี เรียกว่า อัจฉริยธรรม คำว่า อัจฉริยะ แปลว่า มหัศจรรย์ เหนือมนุษย์ ไม่เหมือนคนอื่นเขา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 19:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 20-04-2011, 16:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ความอัศจรรย์ประการแรกก็คือ ถ้าหากพระพุทธมารดาจะให้ทานโดยอาหารที่บรรจุไว้ในถาดทองคำ บาลีเขาบอกไว้ละเอียดเลยว่า ต่อให้ผู้คนมาขอรับอาหารทั่วทั้งชมพูทวีป อาหารนั้นก็ไม่ได้พร่องลง ลักษณะคล้าย ๆ ท่านเมณฑกเศรษฐี ที่ตักข้าวออกไปเลี้ยงคนทั้งเมือง ก็แหว่งไปแค่ทัพพีเดียว

แต่กรณีของพระพุทธมารดาไม่ได้เลี้ยงคนทั้งเมือง หากแต่เลี้ยงคนทั้งชมพูทวีป ซึ่งสมัยนั้นเขาหมายถึงโลกมนุษย์ คือเลี้ยงคนทั้งโลก..!

ความอัศจรรย์ประการที่ ๒ ของพระนางสิริมหามายา ก็คือ ใครเจ็บไข้ได้ป่วย แค่ท่านยกมือแตะคนป่วยก็หาย ฟังแล้วคุ้น ๆ ไหม ? มีใครอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลมาบ้าง ? พระคริสต์ก็คือพระเยซู..ใช่ไหม ? สัมผัสตัวคนป่วยก็หาย แสดงว่าเรื่องแบบนี้ มีอยู่ในทุกศาสนา ขึ้นอยู่กับว่า บุคคลนั้นประกอบด้วยบารมีธรรมระดับไหน ดังนั้น..ใครที่เป็นมะเร็ง รีบไปหาพระพุทธมารดาโดยด่วน ขอให้พระองค์ท่านช่วยจับให้หน่อย

ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๓ อยากให้ท่านมาช่วยจับแถว ๆ นี้หน่อย ท่านบอกว่า จับต้องใบของติณชาติ (หญ้า) หรือรุกขชาติ (ต้นไม้) ก็จะกลายเป็นสุวรรณ (ทองคำ) ทั้งหมด นี่ดีกว่าพระราชาไมดาส

พระราชาไมดาสขอพรจากเทพเจ้า เพราะว่าท่านชอบทองคำมาก ขอพรว่าทุกอย่างที่พระองค์จับต้องขอให้กลายเป็นทองคำ จับอาหารก็เลยเสวยไม่ได้เพราะว่ากลายเป็นทอง เผลอหน่อยเดียว ลูกที่รักวิ่งเข้ามา จับเข้าก็กลายเป็นทองไปอีก นั่นท่านขอพรแบบไม่รอบคอบ แต่ว่าของพระนางสิริมหามายา จับต้นไม้ใบหญ้า ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นจะกลายเป็นทอง แต่อย่างอื่นไม่เป็น

ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๔ ก็คือ ถ้าพระองค์ท่านปลูกต้นไม้ จะโตทันตาและออกดอกออกผลให้เดี๋ยวนั้นเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2019 เมื่อ 19:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 20-04-2011, 18:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าเราอ่านพุทธประวัติในช่วงพรรษาที่ ๗ ที่นายคัณฑะนำผลมะม่วงมาถวายพระพุทธเจ้า ความจริงนายคัณฑะเป็นนายอุทยานอยู่ ปลูกผลมะม่วงแล้วออกลูกสุกเหลืองอร่าม มีหน้าที่ต้องเก็บไปถวายพระราชา แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ถวายพระพุทธเจ้าได้บุญมากกว่า จึงตัดสินใจนำไปถวายพระพุทธเจ้า ถ้าพระราชาจะประหารชีวิตเราก็ยอม

พอพระพุทธเจ้าเสวยผลมะม่วงแล้ว จึงสั่งให้นายคัณฑะขุดหลุม หย่อนเม็ดมะม่วงลง กลบดิน เอาน้ำล้างพระหัตถ์รดลง พอรดด้วยน้ำล้างพระหัตถ์เท่านั้น ก็งอกขึ้นมากลายเป็นต้นมะม่วงโตทันทีเลย เพราะพระองค์ท่านบอกว่า จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิชาเหล่านี้ทางด้านศาสนาอื่น ๆ เขาทำกันได้เป็นปกติ เรียกว่า ตัชชารีวิชา ถ้าหากว่าเป็นเราสมัยนี้เรียกว่า "เล่นกล" แต่ของพระองค์ท่านนั้นเกิดด้วยบุญญาบารมีจริง ๆ

คนสมัยก่อนทำได้เป็นปกติ จนกระทั่งทุกวันนี้ แขกก็เล่นกลหลอกเราเป็นปกติ ตัชชารีวิชาจัดเป็นมายาการอย่างหนึ่ง มายาการนี่จะต้องประเภทหลอกชาวบ้านเขาได้ ไม่อย่างนั้นหากินไม่ได้หรอก

ความมหัศจรรย์ประการที่ ๕ ก็คือ ถ้าหากว่าพระนางเสด็จไปที่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งขึ้นไปบนยอดเขาที่ไม่มีน้ำ ถ้ากระหายน้ำขึ้นมา ท่านบอกว่าก็จะมีน้ำผุดขึ้นมาโตเท่าลำตาล จะเสวยหรือจะสระสรงอย่างไรก็ได้

ให้เราสังเกตว่า เนื้อหาเหล่านี้ต่อเนื่องกันมาในลักษณะเดียวกัน ก็คือ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นจากบารมีที่พระองค์ท่านสั่งสมมา จนกระทั่งเหมาะสมที่จะเป็นพระพุทธมารดา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 21-04-2011 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 20-04-2011, 19:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ความอัศจรรย์ประการที่ ๖ ของพระพุทธมารดา ก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน ก็ไม่ต้องเตรียมอาหารไป ถึงเวลาเทวดาจะนำโภชนะอันเป็นทิพย์มาถวาย ไม่ได้ถวายคนเดียวนะ ถวายมากพอที่จะเลี้ยงบริวารของพระนางทั้งหมดได้ด้วย

ความอัศจรรย์ประการที่ ๗ ของพระพุทธมารดาก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสสระสวนอุทยานที่ไหน ก็ไม่ต้องเตรียมเครื่องแต่งตัวไป จะสระสรงสนานอย่างไร เทวดาจะนำเครื่องทิพย์ของหอมและนำพัสตราภรณ์ต่าง ๆ มาถวายให้ได้ใช้ทุกครั้ง

พวกเราอย่าเผลอนะ อยากเป็นพระพุทธมารดาเดี๋ยวได้เป็นจริง ๆ เพราะเท่ากับว่าเราได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ ฉะนั้น..เป็นเรื่องที่เราต้องคอยระมัดระวังด้วยว่า จิตของเราจะคล้อยตามหรือเปล่า ?

ความอัศจรรย์ประการที่ ๘ ก็คือ เมื่อพระนางเข้าที่บรรทม ท่านใช้คำว่า ยักขราชา ๘ ตน คือ บรรดาหัวหน้าเทวดาที่เป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณทั้งหลาย จะถือวชิราวุธแวดล้อมคอยป้องกันอันตรายให้ตลอดคืน แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีเทวดาระดับมหาอำมาตย์ขึ้นไปมาให้การดูแลอยู่

ความอัศจรรย์ประการที่ ๙ คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ไหนก็ตาม บรรดาอสูรราช ก็คือราชาของอสูร น่าจะเป็นระดับท่านท้าวเวปจิตตาสูร ท่านอสุรินทราหู จะแปลงกายเหมือนกับเป็นนักแสดงมหรสพติดไปกับขบวน เพื่อคอยแวดล้อมระมัดระวังอันตรายต่าง ๆ ให้

พูดง่าย ๆ ว่า กลางวันก็มี รปภ.ส่วนตัวขบวนหนึ่ง กลางคืนก็ขบวนหนึ่ง แบ่งสรรหน้าที่กันเสร็จสรรพเลย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พวกเราฟัง ๆ แล้วก็ต้องมาคิดว่า บุญคนนี่ส่งให้เป็นไปถึงขนาดนั้นเลยหรือ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-04-2011 เมื่อ 07:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 21-04-2011, 06:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรามานึกดูว่า ตอนก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ กาลนาคราชและบริวารทั้งหลายก็ขึ้นมาแสดงมหรสพต่าง ๆ ถวายเป็นปกติ

อย่าลืมว่ากาลนาคราชหลับไปงีบเดียวพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อีกหนึ่งองค์แล้ว นอนงีบเดียวแต่นานเป็นพุทธันดรเลย นอนยังไม่ทันจะหายง่วง ถาดทองคำตกลงมาอีกใบหนึ่งแล้ว

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะมีพระพุทธประเพณีอย่างหนึ่งก็คือ ก่อนจะตรัสรู้จะลอยถาดทองคำ เพื่อเสี่ยงบารมีว่าสามารถที่จะตรัสรู้ได้หรือไม่ ? เมื่อลอยถาดทองแล้ว ก็ไม่ใช่ลอยตามน้ำ แต่จะลอยทวนน้ำไปประมาณ ๘๐ ศอกแล้วก็จะจมลงไปที่บาดาลซึ่งกาลนาคราชนอนหลับอยู่ ก็ไปซ้อนกับใบเดิม ได้ยินเสียงดัง "แกร๊ก..!" พ่อเจ้าประคุณก็ลืมตาดู "จะตรัสรู้อีก ๑ องค์แล้วหรือ ?"

แสดงว่ากาลนาคราชนี่บุญดีจริง ๆ นะ เพราะว่าคนอื่น ๆ รอกัน ชาติแล้วชาติเล่า อย่างเมื่อวานที่พูดถึง เอรกปัตตนาคราชก็รอแล้วรอเล่า ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เมื่อไร แต่กาลนาคราชนั้น พระพุทธเจ้ากี่พระองค์จะตรัสรู้ กาลนาคราชรู้ก่อนเพื่อนเลย จะบอกว่าท่านบุญดีหรือกรรมหนักก็ไม่รู้นะ นอนเพลินเหลือเกิน เรามีโอกาสนอนอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า ?

พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงบุรพกรรมของคน ๔ คน มีอยู่คนหนึ่งที่พระองค์ท่านเทศน์ขนาดไหนก็ตาม หลับลูกเดียว ในอดีตชาติท่านนั้นเคยเกิดเป็นงูใหญ่ ชินกับการพาดหัวบนขนด แล้วก็หลับติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติ พอเกิดเป็นคนก็มีนิสัยเหมือนเดิม อยู่ที่ไหนก็หลับที่นั่น

พระอานนท์ก็สงสัย ทูลถามว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมประดุจมหาเมฆที่บันลือขึ้น เราฟังอย่างนี้ก็แปลไม่ออก ต้องบอกว่าเหมือนพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเหมือนฟ้าผ่าลงมาข้างหู เขายังหลับได้..!

มหาเมฆบันลือขึ้นก็เหมือนกับฟ้าร้อง..ใช่ไหม ? เปรี้ยงปร้างโครมครามขนาดนั้น ยังหลับอย่างเดียวไม่รับรู้อะไรเลย พระอานนท์ถึงได้ทูลถามว่าเกิดจากกรรมอะไร ? พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ฟังถึงบุรพกรรมว่า เขาเคยเกิดเป็นงูใหญ่ติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติ มีใครบ้างที่นั่งที่ไหนหลับที่นั่น ถ้ามีก็คงจะเป็นอย่างนั้นแน่เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 11-04-2022 เมื่อ 22:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 21-04-2011, 07:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๐ ก็คือ ถ้าเป็นฤดูร้อน เหล่าเทวดาจะนำน้ำทิพย์จากสระอโนดาต บรรจุในหม้อทองคำ มาถวายให้สรงทุกวัน

ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๑ ก็คือ ถ้าเป็นหน้าหนาว เทวดาจะนำผ้าทิพย์จากต้นกัลปพฤกษ์ในป่าหิมพานต์ มีความยาว ๘๐ ศอก มาถวายเป็นผ้าห่มกันหนาว

ความเชื่อเรื่องต้นกัลปพฤกษ์ บางคนก็ตีความว่า ประเทศชาติอุดมสมบูรณ์ถึงขนาดว่าไปทางไหนก็ตาม พวกเครื่องใช้ไม้สอย ข้าวปลาอาหารไม่ขาดแคลน คือท่านที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ ก็ไปตีความอีกอย่าง

ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๒ ของพระพุทธมารดา คือ ถ้าพระองค์ท่านต้องการให้ทานต่อบรรดาสมณชีพราหณ์ หรือคนยากจนเข็ญใจเมื่อไร ฝนจะตกลงมาเป็นแก้วแหวนเงินทอง เก็บไปให้ทานได้เดี๋ยวนั้นเลย

ดังนั้น..รวมความแล้วว่า นอกจากพระองค์ท่านจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดแล้ว ยังประกอบไปด้วยบารมีอันเป็นอัศจรรย์ ๑๒ ประการด้วยกัน บาลีเรียกว่า อัจฉริยธรรม ธรรมอันน่ามหัศจรรย์ แต่ก็มหัศจรรย์สำหรับบุคคลที่ไม่เข้าใจเรื่องการส่งผลของกรรมเท่านั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พุทธวิสัย ๑ ฌานวิสัย ๑ กรรมวิบาก ๑ โลกจิณไตย ๑ บุคคลทั่วไปไม่ควรคิด ถ้าหากว่าคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า พึงมีส่วนของความเป็นบ้า แปลมาจากบาลีว่า อุมฺมตฺตกภาโค แต่ถ้าหากเป็นเราพูดภาษาไทยชัด ๆ ก็คือ คิดไปก็บ้าเสียเปล่า ๆ คิดไม่ออกหรอก

พุทธวิสัย ก็คือความสามารถของพระพุทธเจ้า บุคคลที่สร้างบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บุคคลทั่ว ๆ ไปแค่ ๑ อสงไขยก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว บุคคลที่ทำงานมากกว่า ๔ เท่า ย่อมรวยกว่าไม่รู้เท่าไร ไม่ต้องไปคิดหรอก เสียเวลาเปล่า ๆ

ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌานสมาบัติ เขาจะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์อย่างไร ก็ทำได้อยู่แล้วเป็นปกติ เราทำไม่ได้แล้วไปคิดว่าเขาทำอย่างไรหนอ ? คิดให้หัวแตกก็คิดไม่ออก เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะคิดได้ หากแต่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้

กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรม จะพิลึกพิลั่นอัศจรรย์ขนาดไหน แค่พระนางสิริมหามายา ทรงความอัศจรรย์ ๑๒ ประการ ก็ว่ามากแล้ว พระพุทธเจ้าของเราประกอบไปด้วยพระพุทธลักษณะอีกมากมายมหาศาล แต่ละอย่างเกิดจากกรรมในอดีตที่พระองค์ท่านสร้างมาทั้งสิ้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-04-2011 เมื่อ 01:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 21-04-2011, 07:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"โลกจิณไตย ความเป็นไปของโลก ทำไมภาคเหนือถึงแผ่นดินไหว ? ทำไมภาคกลางจึงหนาว ? ทำไมภาคใต้ถึงน้ำท่วม ? คิดแค่ประเทศเราก็จะบ้าแล้ว ถ้าหากคิดไปว่า ทั้งโลกทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็จะประสาทกินเสียเปล่า ๆ

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเอาไว้ เพราะว่าวิบากคือการส่งผลของกรรมนั้น เป็นไปตามผลที่ตนเองทำมา แต่ว่าผลมหัศจรรย์นั้น ถ้าได้ทำในส่วนที่เป็นบุญกุศลในเขตของพุทธศาสนา จะส่งผลให้มากกว่าที่ทำจนประมาณไม่ได้

ความจริงในทักขิณาวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า การได้ทำบุญกับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด มีบุญมากประมาณไม่ได้ นั่นแค่นอกศาสนานะ

ถามว่านักบวชนอกศาสนาที่เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด หมายถึงว่าเขาเป็นพระอนาคามีหรือเปล่า ? ไม่ใช่..หากแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ฝึกฌานสมาบัติเสียจนมีความคล่องตัว สามารถกดรัก โลภ โกรธ หลงให้นิ่งสนิทลงได้ ไม่ใช่ดับกิเลส แต่กดกิเลสให้ดับลงชั่วคราว อย่างบรรดานักบวชอเจลกต่าง ๆ อย่างศาสนาเชนที่เป็นนักบวชแก้ผ้า

ถ้าหากว่าฝึกไม่ถึงระดับจริง ๆ เขาไม่ให้ออกไปข้างนอกเพื่อเผยแพร่ศาสนาหรอก ขายหน้าชาวบ้านเขา เพราะว่าเขาแก้ผ้าอยู่ ถ้าหากเกิดกามราคะจริง ๆ ผู้ชายเราจะปรากฏเห็นชัดเลย ดังนั้นว่า..ถ้าหากไม่ฝึกแล้วฝึกอีกจนมั่นใจแล้ว อาจารย์ก็ไม่ปล่อยออกไปให้ขายหน้าหรอก

ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ทำบุญกับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่ปราศจากความกำหนัด ยังมีอานิสงส์ประมาณไม่ได้ เราก็ต้องมาคิดถึงที่พระองค์ท่านเปรียบเทียบว่า ทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน มีผลเป็น ๑๐๐ ส่วน ทำบุญกับบุคคลที่ไม่มีศีลมีผลมากกว่าอีกเป็น ๑๐๐ ส่วน ไล่ขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งเป็นบุคคลที่มีศีล บุคคลที่ทรงฌานสมาบัติเป็นปกติ

นักบวชนอกพระพุทธศาสนาเขาทรงฌานสมาบัติกันเป็นปกติ เราจะมาภูมิใจว่าเรามีหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ เราดีกว่าเขา วิเศษกว่าเขา แต่เรากระทั่งปฐมฌานเราก็ทรงไม่ได้ เราขายหน้าเขาบ้างไหม..?!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2019 เมื่อ 08:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 21-04-2011, 07:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาเคยไปท้ารบกับพวกโยคี ยังเผ่นแน่บเลย สู้เขาไม่ได้หรอก ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าที่ไหนที่สร้างพระรอด แต่อาตมาต้องไปที่วัดมหาธาตุ เห็นเขาเชิญโยคีมาปลุกเสก อาตมาก็ตะหงิด ๆ ใจ "ไอ้ห่..พระตั้งเยอะแยะไม่นิมนต์มาเสก เอาโยคีมาเสก เห็นกูเป็นอะไรวะ..?!" กิเลสขึ้นหน้า ไหน..ขอลองหน่อย..คุณจะแน่สักแค่ไหน ?

โยคีเขาก็เก่งจริงเหมือนกัน เขานอนตะแคงข้าง มือวางตามยาวแนบพื้น แล้วบอกให้อาตมาขึ้นไปเหยียบบนมือได้เลย ถ้าเราลองนอนตะแคงเอามือเหยียดแนบติดพื้น มีคนเอาของใส่มือเรายกได้ไหม ? นี่อาตมาขึ้นไปยืนทั้งตัว เขายกลอยเฉยเลย..! ก็แสดงว่าเรื่องพวกนี้เขาทำกันได้เป็นปกติ

อาตมาก็ขี้โกง ตัวกูหนักไม่พอใช่ไหม ? เอาแผ่นดินไปด้วย ว่าแล้วเหยียบติดพื้นไปเลย เขาเห็นว่าแหกคอกนี่หว่า เล่นโกงแบบนี้เขาก็เอาด้วย เขาก็อธิษฐานเตโชธาตุจะเผา แล้วเรื่องอะไรตูจะอยู่ให้เผา โกยแน่บเดี๋ยวนั้นเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2011 เมื่อ 04:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 21-04-2011, 08:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงดอกบัวครรภ์รักษาว่า "ดอกบัว ๕ ดอก เขียนอักขระทุกกลีบ เสกด้วยบทอาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มหาสมยสูตร จตุรัปปมัญญา จตุปัจจยเมตตา ยะโตหังฯ โพชฌงค์ฯ

รับประกัน ถ้าหากว่าไม่แม่นในมนต์คาถา ๓ ชั่วโมงครึ่งเสกไม่จบหรอก ถึงได้บอกว่าไม่ได้ยากตรงเขียน แต่ยากตรงเสก เป็นวิชาประจำตระกูลของหลวงปู่มหาอำพัน ท่านอุตส่าห์เมตตาถ่ายทอดให้

อาตมาทำครั้งแรกก็เจอลองของเลย เพราะว่าเด็กที่จะคลอดออกมาน้ำหนัก ๘ ปอนด์กว่า ประมาณ ๔ กิโลกรัม แค่ ๒ กิโลครึ่งก็ตัวใหญ่เบ้อเร่อแล้ว นี่ตั้ง ๔ กิโล หมอจะผ่า แม่เด็กเขายืนยันว่าไม่ผ่า "กินดอกบัวหลวงพ่อไปแล้ว อย่างไรก็คลอดได้แน่นอน" เล่นเอาหมอประสาทกลับไปเลย วิทยาศาสตร์เจอไสยศาสตร์เข้าเต็ม ๆ..!

ปรากฏว่าเขาคลอดได้จริง ๆ ปลอดภัยด้วย การทดสอบจึงถือว่าผ่าน เพราะถ้าเด็กตัวใหญ่ขนาดนั้นแล้วยังคลอดได้ ขนาดอื่นก็ไม่มีปัญหาหรอก ถึงได้กล้าทำต่อมาเรื่อย ๆ ถ้าไม่เจออย่างนั้นเข้า ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้ผลจริงหรือเปล่า ?

ดอกบัวครรภ์รักษา ท่านบอกว่า เด็กที่เกิดมาจะฉลาดทุกคน แต่ให้ทำใจไว้เลยว่า โคตรซนเลย หลวงปู่ท่านบอกว่า เด็กฉลาดต้องซนเป็นธรรมดา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2019 เมื่อ 08:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 21-04-2011, 10:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีใครคิดร้ายท่าน ?
ตอบ : อาตมาสร้างบุญไว้เยอะ ก็เลยมีแต่คนคิดร้าย แต่ก็เป็นธรรมชาตินะ โบราณเขาว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เราแปลความออกไหม ? หนังของเราก็ใหญ่แค่หุ้มตัวเอง แต่เสื่อสามารถหุ้มเราทั้งตัวไปได้อีกชั้นหนึ่งเลย เพราะฉะนั้น..อยู่ที่ไหนก็ตาม คนเกลียดมีมากกว่าคนรักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขามีโอกาสที่จะแสดงออกหรือไม่เท่านั้น

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ว่า ถ้าแกไปอยู่ที่ไหนแล้วรู้สึกว่าคุ้นเคย สุขสบาย ให้รู้ว่าสถานที่นั้นเราเคยอยู่มาก่อนในอดีต แต่ให้ระมัดระวังด้วยว่า ถ้าเราเคยอยู่มาก่อนในอดีต ศัตรูตั้งแต่อดีตก็มีอยู่ด้วย

และอาตมาอยู่มาทั่วประเทศไทย ไม่เคยรู้สึกว่าที่ไหนแปลกที่เลย ขนาดกลางดงเสือดงช้าง ก็หลับสนิทอย่างเดียวเลย แสดงว่าเคยอยู่มาแล้วทุกที่

ในเรื่องของศัตรูโดยตรงไม่มี แต่มีหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่นว่า พอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา จะมีบุคคลบางประเภทอยากลองว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? สมัยก่อนอ่านนิยายจีนกำลังภายใน ทำไมจอมยุทธ์ถึงมีคนมาท้าสู้อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ตูรู้แล้ว..ยังไม่ทันจะเป็นจอมยุทธ์เลย เขาก็ยังเอาเป็นเป้าอยู่เรื่อย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2011 เมื่อ 04:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 21-04-2011, 10:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการต่อไปก็คือว่า สายงานการปกครองคณะสงฆ์ คนอื่นเขาไม่เหมือนลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงพ่อทำงานต่าง ๆ ไม่ได้หวังยศหวังตำแหน่ง ก็ทำเต็มที่ หวังแต่ในเรื่องบุญกุศล หวังสงเคราะห์คนหมู่มาก แต่เพราะว่าทำเต็มที่ ผลงานจึงออกมาดี ก็ทำให้คนที่หวังยศหวังตำแหน่งกลัวว่าเราจะเกินหน้าเกินตาเขา ก็มีรายการเตะสกัดเป็นปกติ

เพราะฉะนั้น..บางเรื่องดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่อง ก็เป็นขึ้นมาได้ ต้องบอกว่ากิเลสคนพาให้เป็นอย่างนั้น เมื่อกิเลสคนพาให้เป็นอย่างนั้น เราก็ได้แต่แผ่เมตตาให้เขาไป ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะตาสว่างและก้าวพ้นจากจุดนั้นมาเสียที

เราเห็นข้อบกพร่องของเขา แสดงว่าเราเคยมีข้อบกพร่องอย่างนั้นมาก่อน เราถึงรู้ว่านั่นคือข้อบกพร่อง ในเมื่อเราเคยมีข้อบกพร่องมาก่อน เขารับช่วงในข้อบกพร่องของเราไป เขาก็คือทายาทที่รับมรดกจากเรา คนที่เป็นทายาทรับมรดก ถ้าไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน ก็คือคนที่เรารัก เราถึงให้มรดกแก่เขา

เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเขารับมรดกจากเรา ก็เปรียบเหมือนกับลูกกับหลาน เหมือนคนที่เรารัก เราอย่าไปโกรธไปเกลียดเขาเลย แผ่เมตตาให้เขาไปเถอะ ฟังดูเป็นคนดีจริง ๆ เลยนะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2011 เมื่อ 04:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว