กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 31-05-2018, 20:43
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default เทศนาวันวิสาขบูชา วันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑

เทศนาวันวิสาขบูชา วันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

เย ธัมมา เหตุ ปัพพะวา เตสัง เหตุง ตถาคะโต
เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวัง วาที มหาสมโณ ติ

ณ บัดนี้อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชนาในธรรมกถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ของบรรดาธนิสราทานบดีทั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันวิสาขบูชานั้นเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งในพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ประสูติ คือ เกิด ได้ตรัสรู้ คือศึกษาจนเจนจบทั้งทางโลกและทางธรรม และปรินิพพาน คือได้สิ้นชีวิตลงในวันเดียวกัน คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เพียงแต่ว่าต่างกันหลายปี

ก็คือเมื่อประมาณ ๒,๖๔๑ ปีที่ผ่านมา พระองค์ท่านได้ประสูติ และขณะเดียวกันได้ตรัสรู้ในอีก ๓๕ ปีถัดมา และปรินิพพานหลังจากตรัสรู้แล้ว ๔๕ ปี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ที่ต่างกรรมต่างวาระกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถึงแม้ว่าเราอาจจะเห็นว่า เป็นการบังเอิญประจวบเหมาะก็ตาม แต่ว่าเรื่องของการประจวบเหมาะในลักษณะนี้มีน้อยมาก ดังนั้นเราอาจจะเห็นว่าเป็นความอัศจรรย์อย่างหนึ่งในบวรพุทธศาสนาก็ได้เหมือนกัน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 31-07-2018 เมื่อ 09:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 31-05-2018, 20:45
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น เมื่อพระองค์ท่านประสูติขึ้นมาก็เกิดอยู่ใต้พระมหาเศวตฉัตร ภายในกรุงกบิลพัสดุ์ ใต้บัลลังก์แห่งสมเด็จพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช แต่เพียงแต่ว่าด้วยความที่องค์พระบรมโพธิสัตว์ เกิดมาเพื่อตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สร้างบุญกุศลมาเป็นที่ยิ่ง ไม่มีบุคคลอื่นที่ควรจะร่วมท้องเดียวกัน ดังนั้นจึงมีเหตุให้พระมารดา คือนางสิริมหามายาบรมราชเทวี ต้องสวรรคตลงหลังจากมีพระประสูติกาลได้เพียง ๗ วันเท่านั้น

หลังจากนั้นแล้วนางมหาปชาบดีผู้เป็นพระน้านาง ก็ได้ทำการอภิบาลเลี้ยงดูราชกุมารจนกระทั่งเติบโตขึ้นมา และได้ศึกษาจนจบศิลปศาสตร์ต่าง ๆ ทั้ง ๑๘ ประการ ในขณะที่พระชนมายุ ๑๖ พรรษาเท่านั้น ซึ่งในลักษณะนี้ถ้าเปรียบกับบุคคลในปัจจุบันก็คือ พระองค์ท่านจบปริญญา ๑๘ ใบด้วยกันตอนอายุแค่ ๑๖ ปี

ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า ด้วยความที่พระองค์ท่านมีความเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน ท้ายที่สุดเมื่อเห็นสิ่งที่เรียกว่าเทวทูต ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้เป็นของคู่กัน ถ้าหากว่ามีการเกิดก็ต้องมีการตาย แต่ถ้าหากมีการตายก็ต้องมีการไม่ตายอยู่ด้วย เราจึงควรที่จะออกบวช เพื่อแสวงหาหนทางแห่งความไม่ตายดีกว่า

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 01-06-2018 เมื่อ 08:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 31-05-2018, 20:47
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

ดังนั้นในกลางคืนของขณะที่พระองค์ท่านทรงพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ก็ได้ขี่ม้ากัณฐกะออกจากเมืองไปพร้อมกับนายฉันนะมหาดเล็ก ไปถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมาก็ได้ปลดเอาเครื่องประดับทั้งหลายส่งให้นายฉันนะ ตรัสว่าให้นำกลับไปทูลพระราชบิดาว่าเราออกบวชแล้ว หลังจากนั้นพระองค์ท่านก็ตัดพระเมาลี (มวยผม) ด้วยพระขรรค์ แล้วอธิษฐานเพศเป็นนักบวช ซึ่งในกาลครั้งนั้นตำรากล่าวว่า ฆฏิการพรหมผู้เป็นใหญ่ ได้นำบริขาร ๘ ประกอบไปด้วย บาตร และจีวร เป็นต้น มาถวายให้กับเจ้าชายสิทธัตถะ

เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลที่เป็นนักบวชใหม่ บวชขึ้นมาแล้วก็พยายามไปศึกษาค้นคว้าตามสำนักครูต่าง ๆ และสามารถที่จะเรียนรู้จนมีความสามารถเท่ากับครูทุกสำนัก แต่ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นทางหลุดพ้น โดยเฉพาะ ๒ สำนักสุดท้ายคือ อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตรนั้น พระองค์ท่านสามารถศึกษาได้จนถึงสมาบัติ ๘ ซึ่งถือว่าเป็นกำลังสมาธิสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้

แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ คือ ผู้แสวงหาหนทางในการตรัสรู้นั้น ก็ยังเห็นว่านี่ก็ยังไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ พระองค์ท่านจึงออกไปอยู่เพียงผู้เดียว เพื่อที่จะบำเพ็ญตบะ ซึ่งในสมัยนั้นนิยมด้วยการทรมานกาย เป็นต้น ก็มีปัญจวัคคีย์ คือ ฤๅษี ๕ ตน เป็นผู้เลื่อมใสในการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะ ปวารณาตนคอยดูแลถวายการรับใช้อยู่
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 31-05-2018, 20:47
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระบรมครูในยุคนั้น ได้ทรมานตนอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ มีหลายคนกล่าวว่าเป็นการเสียเวลาเปล่าไป ๖ ปี แต่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้วตรัสว่า พระองค์ท่านไม่ได้เสียเวลาเปล่า เพราะว่าฝึกฝนมาทุกอย่างแล้ว จะได้ยืนยันกับเขาว่า พระองค์ท่านที่ผ่านการฝึกฝนตามหลักวิชาการต่าง ๆ มาทุกอย่าง และทำยิ่งกว่าต้นตำรับ เมื่อทำถึงขนาดพระองค์ท่านแล้วไม่สามารถจะบรรลุได้ ก็ย่อมทำให้คนอื่นไม่สามารถจะถกเถียงได้ว่า สิ่งที่พระองค์ท่านกล่าวนั้นเป็นเรื่องไม่จริง ดังนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า พระองค์ท่านไม่ได้เสียเวลาเปล่า แต่เป็นการยืนยันว่า แนวทางปฏิบัติสายอื่นนั้นใช้ไม่ได้

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนั้น จึงได้เปลี่ยนจากการทรมานพระวรกาย มาเสวยพระกระยาหารพอให้มีกำลัง แล้วพอดีตรงกับคืนขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ หลังจากที่พระองค์ท่านทรมานกายมา ๖ ปีเต็ม ๆ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งลงยังโคนต้นอัสสัตถพฤกษ์ ซึ่งมาภายหลังจากตรัสรู้แล้วเขาเรียกกันว่า “ต้นโพธิ์” ทรงอธิษฐานว่า แม้เลือดเนื้อร่างกายนี้จะเหือดแห้งลงไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์นี้จะดับสิ้นลงไป ถ้าหากไม่บรรลุธรรมที่ปรารถนาแล้วไซร้ เราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้เลย แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บำเพ็ญจิตด้วยกำลังสมาธิให้ผ่องแผ้ว พยายามพิจารณาดูเหตุดูผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ของหมู่สัตว์ต่าง ๆ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 01-06-2018 เมื่อ 08:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 31-05-2018, 20:49
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

จนกระทั่งปฐมยามพระองค์ท่านก็บรรลุในปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกชาติได้มากจนประมาณไม่ได้ พระองค์ท่านทรงเห็นชัดเจนว่า ทุกชาติที่เกิดขึ้นมานั้นล้วนแล้วแต่หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ ท้ายที่สุดไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราช หรือว่าเกิดเป็นขอทานก็ตาม ก็ต้องล้มหายตายจาก ไม่อาจยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้

พอถึงยามที่สอง พระองค์ท่านก็บรรลุใน จุตูปปาตญาณ คือมีญาณที่รู้เห็นว่า คนและสัตว์นั้นก่อนเกิดนั้นมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหนทำให้พระองค์ท่านเล็งเห็นซึ่งภัยในวัฏสงสารที่หาต้นหาปลายสิ้นสุดไม่ได้ ทรงหาทางปลดกำลังใจของพระองค์ท่านออกจากร่างกาย เพราะว่าไม่พึงปรารถนาการเกิดที่มีแต่ความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้อีกแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ตรัสรู้อภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ในยามที่สามของวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ คือวันวิสาขบูชาปีนั้นนั่นเอง หลังจากนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงเสด็จออกสั่งสอนสัตว์โลกด้วยความยากลำบากมาตลอด ๔๕ ปีเต็ม ๆ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 01-06-2018 เมื่อ 08:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 31-05-2018, 20:53
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

ทั้ง ๔๕ ปีนั้น ในแต่ละวันพระองค์ท่านบำเพ็ญพุทธกิจดังนี้ บาลีกล่าวไว้ว่า

ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ แปลว่า เช้าขึ้นมาพระองค์ท่านก็เสด็จออกบิณฑบาต เพื่อโปรดสัตว์โลก

สายณฺเห ธมฺมเทสนํ แปลเป็นใจความว่า เมื่อเย็นลงมา อากาศคลายความร้อนลงแล้ว ก็ทรงเทศนาสั่งสอนประชาชน

ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ แปลว่า เมื่อค่ำลงก็ให้โอวาทแก่ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี เป็นต้น

อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ เมื่อเที่ยงคืนไปแล้วก็แก้ปัญหาให้แก่พรหม เทวดา ที่มาทูลถามข้อธรรมต่าง

ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ เมื่อถึงเวลาใกล้รุ่งก็พิจารณาดูอุปนิสัยสัตว์โลก ว่าผู้ใดเหมาะแก่การที่จะไปสงเคราะห์ แล้วเสด็จไปโปรดในการบิณฑบาตช่วงเช้า
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 31-05-2018, 20:55
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

ญาติโยมจะเห็นได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านในแต่ละวันแต่ละคืนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลย เพราะว่าเที่ยงคืนแก้ปัญหาให้แก่พรหมเทวดา ถ้าตีว่าสัก ๒ ชั่วโมง ก็แปลว่าพระองค์ท่านต้องบรรทมตอนเวลาตี ๒ “ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล” ก็คือ เวลาใกล้รุ่ง “ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ” ทรงพิจารณาอุปนิสัยของสัตว์โลก ถ้าเราตีว่าใกล้รุ่งเป็นเวลาตี ๕ แปลว่าพระองค์ท่านบรรทมตี ๒ ตื่น ตี ๕ อยู่ทุกคืนตลอด ๔๕ ปีเต็ม ๆ ด้วยความที่พักผ่อนน้อย กำลังพระวรกายก็ลดน้อยถอยลงไปตามพระชนมายุที่มากขึ้น ๆ จนกระทั่งพระชนมายุครบ ๘๐ ปี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จสู่พระปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 31-05-2018, 20:56
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านบำเพ็ญประโยชน์ทั้งที่เป็นประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ตลอดจนประโยชน์ทั้งสองส่วน ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ชนิดที่ไม่มีใครสามารถทำได้

อัตตัตถะ” คือ ประโยชน์ส่วนพระองค์นั้น พระองค์ท่านก็สามารถศึกษาและบำเพ็ญเพียรจนกระทั่งบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปรัตถะ” คือ ประโยชน์ที่บำเพ็ญเพื่อผู้อื่นนั้น พระองค์ท่านก็เทศนาสั่งสอนสัตว์โลกอยู่ ๔๕ ปีเต็ม ๆ จนสามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นของใหม่ จนกระทั่งมั่นคงสืบเนื่องมาจน ๒,๕๖๑ ปี

อุภยัตถะ” คือ ประโยชน์ทั้งสองส่วน ได้แก่ ทั้งประโยชน์ของพระองค์เองและประโยชน์ของผู้อื่น ก็คือการที่พระองค์ท่านได้บำเพ็ญกรณียกิจแล้ว ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเลื่อมใส กราบไหว้บูชาและประพฤติปฏิบัติตาม จนกระทั่งได้รับประโยชน์ ทั้งที่เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์” คือเป็นบุคคลที่มีศีล เมื่อมีศีลทรงตัว ก็ย่อมมีพื้นฐานของความดีอยู่กับตัวกับตน ไปไหนก็มีแต่ผู้ชื่นชม มีชื่อเสียงเกียรติยศว่าเป็นคนดี

ในส่วนของทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ปัจจุบันแล้ว ก็ยังมีในส่วนของ สัมปรายิกัตถประโยชน์” คือประโยชน์ในอนาคต ซึ่งก็คือในส่วนของการที่ทรงสมาธิทรงตัวได้ เมื่อถึงเวลาสิ้นชีวิตลงก็ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป ในขณะเดียวกันก็ทรงมี ปรมัตถประโยชน์” คือประโยชน์สูงสุด ได้แก่การก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 31-05-2018 เมื่อ 21:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 31-05-2018, 20:59
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านเป็นตัวอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกพระองค์ท่านก็บำเพ็ญหน้าที่จนสมบูรณ์บริบูรณ์ คือไปสงเคราะห์พระราชบิดา สงเคราะห์พระราชมารดา สงเคราะห์นางพิมพาราชเทวีและราหุลราชกุมาร สงเคราะห์หมู่พระญาติต่าง ๆ ในประโยชน์ส่วนอื่น ๆ ก็คือการที่เทศนาสั่งสอนสัตว์โลก และทิ้งหลักธรรมอันวิเศษสุดทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เอาไว้ ให้พวกเราทั้งหลายได้ศึกษาและปฏิบัติตาม ดำเนินตามรอยที่พระองค์ท่านได้ทิ้งเอาไว้มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งบุพการีของเรา ก็นำมาประพฤติปฏิบัติเป็นแนวทางจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายได้กระทำตามมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างเช่นในวันนี้ที่ท่านทั้งหลายมาร่วมบุญวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ ก็ได้นำเอาข้าวปลาอาหาร เครื่องสังฆทาน มาถวายต่อหมู่พระภิกษุสงฆ์ แล้วก็ยังมีการถวายผ้าป่าเพื่อช่วยกิ่งกาชาดทองผาภูมิด้วย ขณะเดียวกันเมื่อท่านมาแล้วก็ตั้งใจสมาทานศีล แปลว่าในส่วนของทานแล้ว เรายังมีศีลครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะวันนี้ ท่านทั้งหลายสมาทานศีล ๘ ซึ่งถ้าสามารถรักษาเอาไว้ได้ จะมีผลานิสงส์ยิ่งกว่าศีล ๕ หลายเท่า แต่ถ้าท่านรักษาไม่ได้ ให้รักษาศีล ๕ เอาไว้ ในส่วนของศีล ๘ เราก็รักษาแค่ชั่วขณะที่ทำบุญอยู่ ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ก็แล้วกัน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 01-06-2018 เมื่อ 08:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 31-05-2018, 21:00
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

แล้วในส่วนของสมาธินั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนา ท่านทั้งหลายตั้งใจเงี่ยหูฟัง และการเจริญพระพุทธมนต์ ท่านทั้งหลายก็น้อมจิตน้อมใจตั้งใจฟัง จิตก็ย่อมทรงสมาธิไปในตัว ส่วนด้านปัญญานั้น เมื่อฟังพระธรรมเทศนาเห็นว่าส่วนใดส่วนหนึ่งเหมาะสมแก่ตน แล้วเราเลือกนำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม ก็จะเกิดประโยชน์แก่ตน

เพราะว่าเราเป็นผู้มีปัญญา จึงรู้จักเลือกสรรสิ่งที่ดี ที่เหมาะ ที่ควรแก่ตัวเองไปใช้งาน ก็แปลว่าองค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันวิสาขบูชา แม้ว่าจะล่วงเลยมาถึง ๒,๕๖๑ ปีแล้ว สิ่งที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วได้ทิ้งเอาไว้ให้แก่เราทั้งหลาย ก็ยังคงเป็นประโยชน์ ทั้งเป็นประโยชน์ส่วนตน เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น และเป็นประโยชน์สูงสุด ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติปฏิบัติแล้ว สามารถปล่อยวางทุกอย่างลงได้ รู้จักดำรงชีวิตอยู่โดยพอเพียง ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แล้วน้อมนำเอาไปก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตตนอย่างแท้จริง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 31-05-2018 เมื่อ 21:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 31-05-2018, 21:01
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,523
ได้ให้อนุโมทนา: 317
ได้รับอนุโมทนา 73,848 ครั้ง ใน 3,669 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชนามาในธรรรมกถา ก็พอสมควรแก่เวลา ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีธรรมของหลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนี้เป็นที่สุด ขอได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลาย เป็นผู้ประสพความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้งสี่ประการ มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดถึงปฏิภาณและธรรมสารสมบัติอันเป็นที่พึงใจทั้งปวง

รับหน้าที่วิสัชนามาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์วันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยหยาดฝน)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 31-05-2018 เมื่อ 21:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:19



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว