กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 26-09-2012, 08:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรื่องการเกิดขึ้นใหม่ของดวงจิต ?
ตอบ : "พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึง พระองค์ท่านบอกว่าผู้ที่คิดมีส่วนของความเป็นบ้า จริง ๆ ก็คือถ้าไม่มีอะไรจะทำแล้ว ก็พอศึกษาเพื่อรู้ได้ แต่ถ้ายังมีเรื่องอื่นทำอยู่ แล้วมัวไปคิด เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะมีแต่ความฟุ้งซ่าน

อาตมาเคยอธิบายไปหลายครั้งแล้ว ขี้เกียจพูดใหม่ เพราะดันไปอธิบายในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ควรคิด แต่ศาสนาของเราในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ฝรั่งเขาต้องการคำอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพราะพระพุทธศาสนาไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นจิตศาสตร์ มาผิดช่องตั้งแต่แรก ก็เลยพิสูจน์ได้ไม่ชัดเีสียที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 26-09-2012, 08:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเวลาเราต้องการไปหาใคร แค่รู้ว่าเขาอยู่ตำบลไหน หมู่บ้านไหน ไปถึงก็ไปถามหา ถามคนบ้านเดียวกันเขาบอกได้หมด บอกได้ขนาดว่าเป็นลูกใครหลานใคร สมัยนี้ต่างจังหวัดยังพอพึ่งพาอาศัยได้ แต่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่แล้วประตูรั้วติดกันก็ไม่รู้จักกัน

ยิ่งมายุคนี้ยิ่งหนักขึ้น เพราะแต่ละคนจะก้มอยู่กับไอแพ็ดหรือแบล็กเบอร์รี่ในมือตัวเอง แล้วก็หันหลังให้กัน ส่งข้อความถึงกัน ไม่รู้จักกันสักที แทนที่จะดีขึ้นก็มีแต่อาการหนักขึ้น แล้วอีกอย่างก็คือ ความเจริญที่เข้ามา ทำให้คนเดินทางได้สะดวกขึ้น ดังนั้นบุคคลที่อาศัยในพื้นที่มักจะเป็นคนที่มาใหม่ ไม่ใช่บุคคลที่อยู่กันมานาน ๆ เมื่อไม่ได้อยู่กันมานาน ๆ ก็ไม่สามารถที่จะสืบสาวประวัติได้เหมือนก่อน


ก่อนนี้พอตั้งรกรากลงไปก็อยู่กันไปชั่วลูกชั่วหลาน สมัยนี้ย้ายที่อยู่กันเป็นว่าเล่น อย่างที่มีคนเขาบอกว่า
"อ๋อ..มหาวีระนะหรือ ? อยู่ใกล้บ้านผมเอง" หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ถ้าได้ยินอย่างนั้น อย่าไปเชื่อโคตรแม่มันนะ..!" อาตมากราบเรียนถามว่า "ทำไมครับ ?" ท่านบอกว่า "ตำบลสาลี พี่น้องทางพ่อ ๖ คน ครองที่ดินเกือบทั้งตำบล แล้วเขาจะมาสร้างบ้านใกล้บ้านข้าได้อย่างไร ? " ก็แปลว่า คนที่จะอยู่ใกล้ต้องเป็นญาติกันจริง ๆ ไม่ใช่มาหลับหูหลับตาโม้ว่าอยู่ข้างบ้านผมเอง แล้วเราก็ไปเชื่อ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 03:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 26-09-2012, 08:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เหมือนกับสมัยนี้ที่เกจิอาจารย์หลายท่านบอกว่าศึกษามาจากหลวงปู่ปาน อาตมาได้ยินแล้วก็ทึ่ง หลวงปู่ปานมรณภาพปี ๒๔๘๑ มาถึงตอนนี้ก็ ๗๔ ปีแล้ว ถ้าเกจิอาจารย์ท่านนั้นอายุ ๗๔ ปี ก็แปลว่า ตอนที่หลวงปู่ปานมรณภาพเขาเพิ่งจะเกิด แล้วจะไปเรียนวิชาได้อย่างไร ? แต่คราวนี้คนอื่นเขาไม่ค่อยแม่นเรื่องตัวเลขเหมือนอาตมา พอเขาได้ฟังว่าเรียนวิชาจากหลวงปู่ปาน ก็ให้ความเคารพเลื่อมใสว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน

หลวงปู่ปานท่านมรณภาพไวไปหน่อย ถ้ามรณภาพช้า อยู่นานแบบหลวงปู่จงนี่เป็นเรื่องแน่เลย เพราะจะดังกว่านี้อีกหลายเท่า หลวงปู่ปานมรณภาพแล้วหลวงปู่จงอยู่มาอีก ๓๐ กว่าปี หลวงปู่จงมรณภาพตอนอาตมา ๖ - ๗ ขวบแล้ว

หลวงปู่จงท่านแข็งแรงมาก สมัยก่อนเวลามีกิจนิมนต์ส่วนใหญ่ท่านเดินข้ามทุ่งข้ามจังหวัดกัน ด้วยความที่เมตตา ใครนิมนต์ที่ไหนก็ไป บางทีหายไปจากวัดตั้งครึ่งค่อนปี ชาวบ้านต้องเอาเกวียนออกตามหา นิมนต์ให้กลับวัดเสียที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 26-09-2012, 09:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : กรณีที่เรา..... คิดให้อภัยทานเขาและขอขมาเขา ถือว่าเราทำผิดไหมครับ ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่แรกแล้ว ถึงคุณจะตั้งใจอย่างไร ถ้ากรรมนั้นก็ยังไม่หมด แรงกรรมก็ยังส่งไปเรื่อย มีอยู่ทางเดียวคือวางอุเบกขา สงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ สงเคราะห์ไม่ได้ก็ปล่อยไป ยกเว้นว่าคุณจะไปทำพิธีขออโหสิกรรมซึ่งหน้ากัน ถ้าเขาเอ่ยปากอโหสิแล้วกรรมถึงจะขาดลง ถ้ากระแสกรรมยังไม่ขาด กรรมนั้นก็ตามส่งผลไปเรื่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 03:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 26-09-2012, 10:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนได้พระเครื่องของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ไป (พระผงพรายกุมาร) เห็นหลวงปู่ท่านบอกว่าเป็นเมตตามหานิยม พอออกจากวัดเดินสวนกับแม่ลูกอ่อน ก็ลองขอลูกเขา ปรากฏว่าแม่ยกลูกให้เลย ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงไม่กล้าใช้อีก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 27-09-2012, 12:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเป็นสมัยนี้ กองอาทมาตก็คือทหารรักษาพระองค์ แต่ทหารรักษาพระองค์สมัยก่อนจะใกล้ชิดพระองค์จริง ๆ ถ้าออกรบก็ต้องล้อมองค์เหนือหัวไว้เลย

สมัยนั้นถ้าไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต จะไม่สามารถพกอาวุธได้ หน่วยนี้ก็เลยต้องฝึกวิชามือเปล่าสู้อาวุธ ซึ่งตอนหลังก็ดัดแปลงไปเป็นพาหุยุทธ์ ก็คือต้นตำรับมวยไทยโบราณ เราไม่ได้พกอาวุธแต่ผู้ที่จะลอบปลงพระชนม์เขาไม่ฟังหรอก ถ้าเขาบุกเข้ามาถึงก็ต้องต่อต้าน จึงต้องฝึกวิชามือเปล่าสู้อาวุธ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 16:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 27-09-2012, 13:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มนุษย์ต่างดาวเขามีโอกาสบรรลุมรรคผลไหมคะ ?
ตอบ : บรรลุยากกว่ามาก มนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่มีอายุยืน และเทคโนโลยีช่วยให้ความสุขสบายของเขามีมากกว่า ในเมื่ออายุยืน พอไปบอกว่าอนิจจัง ไม่เที่ยง เขาก็เห็นไม่ชัด ไปบอกเขาว่าทุกข์ สิ่งบำรุงบำเรอความสุขทุกอย่างเขามีหมด อยากได้อะไรก็ไปหาจากเครื่อง

ตอนสมัยวัยรุ่น อาตมานั่งคิดว่าบ้านเราเมืองเราทำไมไม่มีคนคิดค้นเครื่องมือทำหญ้าให้เป็นนม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเลี้ยงวัว ปรากฏว่าต่างดาวเขาทำได้จริง ๆ ความคิดของอาตมาก็คือ เอาหญ้าบดเข้าไปในห้องเครื่องห้องหนึ่ง แล้วหญ้านั้นก็ไปผสมกับเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง ผ่านการกลั่นออกมาเป็นน้ำนม ปรากฏว่าต่างดาวเขาทำได้จริง ๆ

ต้องยอมรับว่าเขาแน่ แล้วเขาทำมากกว่าที่อาตมาคิดด้วย เขาเปลี่ยนโปรตีนพืชเป็นโปรตีนสัตว์ ถึงเวลาอยากกินเนื้อสัตว์อะไร ตั้งโปรแกรมเสร็จก็เอาผักเอาหญ้ายัดเข้าไปในเครื่อง เครื่องก็ทำออกมาเอง ต้นอะไรก็ได้ขอให้มีวัตถุดิบยัดเข้าไปเดี๋ยวก็เครื่องจัดการให้

ในเมื่อเขาสะดวกสบายขนาดนั้น ก็เลยไม่รู้ว่าทุกข์คืออะไร และมีอายุยืนอีกต่างหาก อายุยืนเป็นหมื่นปี พระพุทธเจ้าท่านเลือกลงมาตรัสรู้ที่โลกของเรา นับว่าเป็นสุดยอดบุญของพวกเราแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่รู้เกิดอีกเท่าไรกว่าจะได้เจอ ถ้าหลงไปเกิดที่ดาวอื่นก็ไม่ได้พบ หรือจะมีโอกาสพบก็เข้าถึงธรรมได้ยาก เพราะว่ามองเห็นธรรมไม่ชัด ขนาดเราอยู่ในโลกของเรานี่ทุกข์อย่าบอกใครเลย เกิด ๆ ตาย ๆ ให้เห็นอยู่ทุกวัน เรายังไม่ค่อยจะเชื่อเลย

ถาม : แล้วพระอรหันต์ท่านไม่ไปสอนที่ดาวดวงอื่นบ้างหรือคะ ?
ตอบ : ก็ไป..พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์สาวกสำคัญ ๆ ก็ดี ไปสงเคราะห์เขาเช่นกัน ถ้าคนได้มโนยิทธิถอดจิตไปเที่ยวดาวดวงอื่นอาจจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้าที่กำลังเทศน์อยู่ด้วย

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 16:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 27-09-2012, 13:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยเมายาครั้งหนึ่งนาน ๓๐ กว่าวัน พอใกล้จะหายจึงเห็นนิมิตว่า สมัยออกรบเอาเหล้าไปกรอกช้างซะหลายไห เพื่อให้ช้างดุเดือดหน่อย จะได้ปะทะข้าศึกได้ ถ้าช้างเมาแล้วมักจะมุทะลุ ไม่ค่อยกลัวใคร กรรมนั้นก็เลยเล่นเอาอาตมาเมาไปเดือนกว่า

การที่รู้เห็นว่าตัวเองทำอะไรมา ตอนนี้ตัวเองต้องรับอะไร ก็เลยทำให้รับได้ว่า “อ๋อ..ที่แท้เป็นเพราะเราไปทำเอาไว้เอง”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 16:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 27-09-2012, 14:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พุทธภูมิต้องเกิดอีกนานหรือครับ ?
ตอบ : นานจนนับไม่ถูก..ยิ่งเกิดนานยิ่งทุกข์มาก เพราะฉะนั้น..ปัญญาธิกะถือว่าท่านฉลาด รีบจบดีกว่า อาตมาเรียนจบเร็ว อาจารย์บางท่านยังบ่นเลยว่า "บ่มแก๊ส"

ถาม : พุทธภูมิต้องทุกข์หนักหรือครับ ?
ตอบ : หนักอย่างไรก็ทุกข์เท่ากับพวกเรา ไม่ได้เกินนั้นหรอก เพียงแต่ว่าเจอมากกว่าเรา ๔ เท่า ๘ เท่า ๑๖ เท่า เราเจอนานแบบนั้นก็แย่

พุทธภูมิท่านไม่กลัวความลำบากหรอก ถ้ายังกลัวนี่เป็นของปลอม ต้องฟังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “เมื่อปรารถนาพระโพธิญาณมา ในวัฏสงสารอันยาวไกลไม่เห็นต้นเห็นปลายนี้ ขึ้นชื่อคำว่าท้อแม้แต่น้อยเดียวไม่เคยปรากฏขึ้นในดวงจิตเลย” นั่นปัญญาธิกะที่สร้างบารมีมาน้อยที่สุดนะ

ด้วยความที่เคยมีเชื้อสายพุทธภูมิเก่ามา ถ้าถามว่าเคยกลัวอะไรไหม ? หลายสิ่งที่ไม่คุ้นเคยก็ต้องยอมรับว่ามีกลัว แต่กลัวแบบสู้ ไม่มีถอย อย่างตอนที่เรียนวิชาทหารอยู่ เป็นปีแรกที่อาวุธต่อสู้อากาศยานเข้าไปสู่กองทหารราบ ซึ่งปกติไม่มี ต้องเป็นทหารอากาศเหล่านาวิกโยธินเท่านั้น พวกนายทหารช่างอาวุธไม่มีใครรู้จักเลย อาตมาเรียนเก่งที่สุดในรุ่น นายทหารช่างอาวุธประจำกองร้อยก็กวักมือ “มึงมานี่..กูอ่าน..มึงถอด” เขาเป็นคนอ่านคู่มือแล้วอาตมาถอด แถมมีการขู่ด้วย “ใส่คืนให้ได้นะมึง ไม่อย่างนั้นกูซ่อมตายห่..เลย” อาตมาก็ได้แต่นึกในใจว่า “ไม่ใช่ของพ่อของแม่กูสักหน่อย มึงยังไม่กลัวเจ๊งเลย แล้วกูจะกลัวทำไมวะ ?” ว่าแล้วก็รื้อกระจายเลย

ไม่ได้มั่นใจหรอก แต่ว่าไม่หนี...สู้ งานครั้งนั้นทำให้ตัวเองต้องลำบากไปเป็นปี พอทำได้ หน่วยอื่นเขาไม่มีใครรู้เรื่อง เขาก็ต้องส่งอาตมาไปสาธิตให้เขาดู เวรกรรมจริง ๆ เฉพาะลำกล้องอันเดียวหนัก ๓๐ ปอนด์ แล้วลองนึกดูว่าพอประกอบพร้อมขาทรายจะหนักขนาดไหน ?

หมู่ปืน ปตอ. มีแค่ ๓ คน เพื่อนคนหนึ่งชื่อเสน่ห์ ตัวสูงใหญ่ น้ำหนัก ๙๐ กว่ากิโลกรัม ส่วนอาตมาเปรียบกับเพื่อนแล้วผอมกะหร่อง น้ำหนักแค่ ๖๓.๕ กิโลกรัม ต้องแบกคนละข้าง ปืนมีขาทราย ๓ ขา แบกคนละขา คนตัวเล็กก็ต้องแบกเท่าตัวใหญ่ พอเสน่ห์แบกน้ำหนักปืนก็เทมาทางอาตมาหมด เพราะตัวเขาสูงกว่า อาตมาก็รับไปคนเดียว ของบางอย่างนี่เก่งผิดจังหวะก็แย่เหมือนกัน..เพราะเหนื่อยไปนาน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2012 เมื่อ 16:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 28-09-2012, 07:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่..ยิ่งรู้มากยิ่งต้องระวังตัวมาก เวลาญาณเครื่องรู้ปรากฏขึ้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นการทดสอบทั้งนั้น ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่าเขาทำให้เราคิดแล้วเข้าใจทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องตัดกิเลสอย่างเดียว ฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี

ไม่ว่าคิดอะไร มองอะไร จะเห็นความสัมพันธ์หมด เกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรประเภทนั้น สิ่งนี้กับสิ่งนี้ควรจะมีความสัมพันธ์กันอย่างนี้ จะต้องดำเนินไปอย่างนี้ ให้เราคิดออกทะเลกว้างไปเรื่อย ๆ แล้วหาฝั่งไม่เจอ มัวแต่ไปเพลิดเพลินกับความฉลาดของตัวเอง ที่รู้เห็นในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็น แต่ลืมไปว่าสิ่งนั้นไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลสเลย กลายเป็นเพิ่มกิเลสเพราะ “กูรู้มากกว่า” เข้ามาอีก

เรื่องของมโนยิทธิเป็นเรื่องของคนฉลาด เป็นเรื่องของคนมีปัญญา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมโนยิทธิ เพราะท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ท่านฉลาดพอที่จะใช้ถูก ขนาดนั้นอาตมายังเห็นใช้ผิดเกินร้อยละ ๘๐ แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าท่านบอกว่าล้านคนรู้จักพระนิพพานสักคนหนึ่งก็คุ้มแล้ว นึกถึงพระพุทธเจ้าเวลาเทศน์ก็เจาะเอาคนเดียวใช่ไหม ? ถ้าคนนั้นได้มรรคผล คนอื่นก็ถือเป็นผลพลอยได้ ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ระมัดระวังสุดชีวิต สิ่งใดที่ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์อย่าไปแตะต้อง รับรู้ไว้ด้วยความเคารพเฉย ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วคุณจะได้สนุกอีกหลายปี อาตมาโง่มาแล้ว แต่ก็แปลก..ต่อให้บอกไปตรง ๆ ก็เถอะ เหมือนกับคนกำลังคัน ขอเกาสักหน่อยเถอะ บอกว่าอย่าเกาไม่ค่อยมีใครฟังหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2012 เมื่อ 09:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 28-09-2012, 07:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ด้วยความเคยชิน อาตมาไปไหนก็จะติดหนังสือไปด้วยตลอด จะประชุม จะสัมมนา มีเวลาว่างก็นั่งอ่าน จึงติดจนกลายเป็นนิสัย ในขณะที่คนอื่นเขาเห็นอาตมาไม่มีเวลา ความจริงมีเวลาอ่านตั้งเยอะ โดยเฉพาะตอนที่ได้น้ำได้เนื้อที่สุดคือตอนนั่งรถ

รถแท็กซี่หลายคันบอกว่า
“หลวงพ่อเก่งนะครับ อ่านหนังสือบนรถได้ ผมเองมองไม่กี่บรรทัดก็อ้วกแตกแล้ว” ส่วนใหญ่ที่อ่านหนังสือบนรถแล้วเมา เพราะสายตามองเห็นภาพข้าง ๆ ด้วย ถ้าใจจดจ่ออยู่จุดเดียวจะไม่เมา แต่คราวนี้การที่จะจดจ่ออยู่จุดเดียว ต้องผ่านการฝึกกำลังใจมาให้พอที่จะไม่ไปสนใจข้างนอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2012 เมื่อ 09:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 28-09-2012, 08:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของผมมีตำรากล่าวไว้หลายอย่างด้วยกัน คนที่มีทรงผมเหมือนใส่หมวก ทรงผมเหมือนมงกุฎ เขาบอกว่าบารมีถึงขนาดเป็นฮ่องเต้ได้ อาตมาเคยเจอเด็กคนหนึ่งเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

มีผมแบบประเภทที่เรียกว่า เกล้านางนี ผมจะม้วนขึ้นไปเป็นกรวยลักษณะเหมือนทรงเจดีย์ เป็นเองโดยธรรมชาติ แก้ไม่ตกด้วย ต่อให้พยายามหวีเป็นอย่างอื่นก็จะกลับเป็นอย่างเดิมอีก เขาเชื่อว่าพวกนี้สร้างบารมีมา จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นปรมัตถบารมีแล้ว ลักษณะก็เลยแสดงออกคล้าย ๆ กับเป็นเปลวเกศพระ โบราณเขาเรียกเกล้านางนี เหมือนกับผมแม่ตานีอย่างนั้นแหละ

อีกพวกเขาเรียกว่า ผมผีมัด ลักษณะจะโดนมัดเป็นกระจุกเล็ก ๆ ประมาณหัวไม้ขีดทั้งหัวเลย ต่อให้แกะออก สางออก หวีอย่างไรถ้านอนตื่นหนึ่งขึ้นมาก็จะเป็นเหมือนเดิม อันนั้นก็ต้องยอมให้ผีเปิดร้านทำผมต่อไป เขาไม่รู้จะไปมัดใครก็ต้องมัดคนที่เนื่องกับผีนั่นแหละ ต้องถามเขาดูว่าถ้ารักษาศีลจะหายหรือเปล่า ? "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2012 เมื่อ 09:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 28-09-2012, 08:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาอ่านนิยายแล้วบางทีเราจินตนาการ ?
ตอบ : จินตนาการเมื่อไรจะเกิดรัก โลภ โกรธ หลง ทันที เราต้องอ่านไปแล้วก็เห็นว่า ตัวละครนั้นเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด มีแต่ความทุกข์เหมือนกัน..ใช่ไหม ? ถ้าสามารถมองอย่างนี้ได้ก็อ่านไปเถอะ ถ้ามองไม่ได้ อ่านไปจินตนาการตามเมื่อไรก็รัก ชอบ เกลียด ชัง ตามเขาไป

ถาม : อ่านเพชรพระอุมา..
ตอบ : ถ้ารพินทร์ ไพรวัลย์ นี่ยกให้เรื่องหนึ่ง ประเภทอ่านแล้วไม่เอามันก็ไม่รู้ว่าจะอ่านทำไม ? ลุ้นจนกว่าไอ้แหว่งจะยอมอโหสิกรรมให้

ถาม : คนแต่งยังอยู่ ?
ตอบ : คนแต่งยังอยู่ แข็งแรงอีกต่างหาก อายุ ๗๑ - ๗๒ ปีเอง ท่านเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่เรียน ม.๒ เรื่องแรกคือเห่าดง ต่อมาก็จุฬาตรีคูณ จุฬาตรีคูณได้เป็นละครทีวี เจ้าของบทประพันธ์ไปดูละครเวทีโดนเขาไล่ออกมา หาว่าเด็กนักเรียนหาเรื่องเข้าไปดูฟรี ตอนนั้นท่านยังเรียนอยู่ชั้น ม.๒

จุฬาตรีคูณ ปฐพีเพลิง ศิวาราตรี จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องของทางด้านชมพูทวีป เรื่องตระกูลพวกนี้ศิวาราตรีจะสนุกที่สุด สมัยก่อนต้องบอกว่าพวกบรรดานิยายดี ๆ มาเป็นหนังเป็นละครทำให้เกิดเพลงดี ๆ เยอะ อย่างเพลงใต้ร่มมลุลี ก็มาจากจุฬาตรีคูณ นักแต่งเพลงเขาเก่ง ต้องแต่งเพลงประกอบการแสดง อย่างน้ำตาแสงไต้ก็มาจากตอนที่พันท้ายนรสิงห์กำลังสั่งเสียศรีนวล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2012 เมื่อ 09:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 28-09-2012, 08:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนดูคลิปวีดีโออันหนึ่ง มีคนส่งมาให้ ชื่อว่า “ถ้าแม่ฟังอยู่” แม่ต้องทำงานส่งลูกเรียน ลูกอยากได้อะไรก็เรียกร้องจากแม่ ไม่ได้ดูว่าแม่ต้องทำงานเหนื่อยแค่ไหน

ลูกไปบอกแม่ว่า “หนูอยากได้โทรศัพท์ใหม่” แม่บอกว่า“ของเก่ายังใช้ได้นี่ลูก” ลูกขว้างโทรศัพท์เปรี้ยงลงกับพื้นเลย บอกว่า “พังแล้วแม่..!” อีกไม่กี่วันจะวันเกิดตัวเอง พอไปโรงเรียนเพื่อนก็มาแฮบปี้เบิร์ธเดย์ คนนั้นให้ของ คนนี้ให้ของ สักพักหนึ่งครูวิ่งตาลีตาเหลือกมา “แม่เธออยู่ห้องไอซียูโรงพยาบาล รีบไปเร็ว"

พอไปถึงเจ้าหน้าที่บอกว่าแม่ยังอยู่ห้องฉุกเฉินครับ ไม่สามารถจะเยี่ยม แต่หมอเก็บของนี่ได้จากแม่ ก็ส่งกล่องของขวัญให้ แกะออกมาเป็นโทรศัพท์ใหม่ แม่ไปทำงานพิเศษหาเงินซื้อโทรศัพท์ให้ลูก แล้วไปหลับอย่างไรไม่รู้ ตกจากรถเมล์ คงเหนื่อยจนยืนหลับ

จากนั้นมีคุณหมอเดินออกจากห้องไอซียู “ขอแสดงความเสียใจด้วย หมอไม่สามารถจะช่วยชีวิตคนไข้ได้” ลูกร้องไห้โฮไปสารภาพว่าหนูรักแม่ เรื่องเขาถึงได้บอกว่า “ถ้าแม่ฟังอยู่” เพราะตอนนี้แม่ไม่ได้อยู่ฟังแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2012 เมื่อ 09:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 28-09-2012, 08:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านอาจารย์จำนง ทองประเสริฐ ท่านเล่าให้ชาวมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฟังว่า เมื่อตอนที่ท่านบวชอยู่ได้เป็นพระกวีวรญาณ คือเป็นเจ้าคุณแล้ว จบประโยค ๙ ด้วย ท่านถือดอกไม้ธูปเทียนไปพร้อมกับพระมหาเกี่ยว (สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ)ไปขอลาสิกขากับสมเด็จพระสังฆราช

ปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) รับเฉพาะพานของท่าน แต่ไม่ยอมรับพานของพระมหาเกี่ยว ท่านบอกว่า “ถ้าพระมหาเกี่ยวอยู่ต่อจะเจริญรุ่งเรืองในพุทธศาสนา” ท่านอาจารย์จำนงบอกว่า "แหม..ผมได้ยินแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อกเลย ผมอยู่ต่อนี่หาความรุ่งเรืองไม่ได้ ผมเลยสึกดีกว่า"

อาตมาก็ถามว่า "แล้วถ้าท่านอาจารย์ไม่สึก ?" ท่านบอกว่า “ถ้าไม่สึกหรือ ? ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ องค์ปัจจุบันนี้ ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสหรอก ผมนี่แหละที่เป็น..!” อาตมาก็ถามต่อว่าแล้วท่านอาจารย์สึกทำไม ? ท่านบอกว่า “อ้าว..ก็สึกให้ท่านมหาเกี่ยวได้เป็นนะสิ” ลื่นเป็นปลาไหลเหมือนกัน

อาตมาฟังดูแล้วรู้สึกว่าหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) ท่านรู้จริง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2012 เมื่อ 09:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 28-09-2012, 09:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ท่านอาจารย์จำนง ทองประเสริฐ สึกออกมาแบบไว้ลายอดีตเจ้าคุณเปรียญธรรม ๙ ประโยค รักษาศีล ๕ มาตลอด ไม่เคยยอมละเมิดศีล ก็เลยกลายเป็นปูชนียบุคคลของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพราะว่าท่านเป็นนิสิตมหาจุฬาฯ รุ่นแรก

ส่วนหลวงพ่อสมเด็จฯ ของเรารับหน้าที่คล้ายกับเลขาฯ มหาวิทยาลัย ตอนนั้นท่านรับภาระทุกอย่างเลย รับงานจนกระทั่งงานทางคณะสงฆ์มากเข้า จึงต้องสละตำแหน่งให้คนอื่น ยุคที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านรับหน้าที่ ขนาดองค์ดาไลลามะมาขอดูงานของมหาจุฬาฯ ว่าทางเราจัดการศึกษาแบบไหน เพราะทางด้านทิเบตต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาใหม่

การเรียนของทางด้านทิเบต เมื่อคุณบวชเข้าไป พระอาจารย์ท่านจะตรวจดูอดีตชาติ ว่าคุณเรียนมาถึงระดับไหนแล้ว จากนั้นก็จะส่งไปให้พระอาจารย์ระดับนั้นทวนความรู้รอบหนึ่ง แล้วมาเรียนต่อเลย ฉะนั้น..เขาไม่ต้องเรียนซ้ำนาน สมมติว่าคุณบวชเป็นเณรเล็ก ๆ เข้าไป เขาส่งไปเรียนกับพระอาจารย์ระดับไหน คนอื่นจะรู้เลยว่าในอดีตคุณมาระดับนี้ระดับนั้นแล้ว แต่บ้านเราต้องเริ่ม ก. ไก่ใหม่อยู่เรื่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2012 เมื่อ 09:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 29-09-2012, 11:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นั่นเป็นพิธีกรรมในศาสนาของเขา พูดง่าย ๆ ก็คือไปเน้นเอาส่วนเปลือกที่เห็น ไม่ได้ไปเน้นเอาแก่น

"มีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้าว่า “ครูทั้ง ๖ ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีสำนักไหนที่เป็นพระอรหันต์จริงบ้าง ?” พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถามเรื่องพวกนั้นไม่ได้ประโยชน์หรอก มาฟังธรรมดีกว่า แล้วพระองค์ท่านก็เปรียบว่า
บุรุษต้องการแก่นไม้ แต่ตัดไปแต่กิ่งไม้ใบไม้ก็มี ถากไปแต่เปลือกไม้ก็มี ถากไปแต่กระพี้ก็มี กว่าจะไปถึงแก่น

ท่านเปรียบว่าลาภ ยศ สักการะ ชื่อเสียง เหมือนกับกิ่งไม้ ใบไม้ พอบวชเข้ามาแล้วมีลาภสักการะเข้ามา ก็ยินดีพอใจอยู่แค่นั้น ไปดูถูกคนอื่นว่าไม่มีลาภสักการะเหมือนเรา เท่ากับว่าได้แต่กิ่งไม้ใบไม้ไป บางคนรักษาศีลเคร่งครัด ก็ยินดีพอใจแค่นั้น ไปดูถูกคนอื่นว่าไม่มีศีลเหมือนเรา ก็เท่ากับได้เปลือกไม้ไป บางคนทำสมาธิจนกระทั่งทรงตัว แล้วก็ไปภูมิใจดีใจแค่นั้น ว่าคนอื่นทำไม่ได้อย่างเรา ก็เท่ากับได้กระพี้ไป กว่าจะไปถึงญาณทัศนะที่เป็นแก่นว่ากันหลายยก

กลายเป็นว่าส่วนของพิธีกรรมจะเป็นส่วนที่คนเห็นง่ายและเข้าถึงได้ง่าย แต่ปัจจุบันนี้พวกพิธีกรรมของเราคลุมเรื่องของแก่นธรรมไปเยอะแล้ว คลุมจนจะหาแก่นไม่เจออยู่แล้ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2012 เมื่อ 13:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 29-09-2012, 11:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนกันยายนมีวันเยาวชนแห่งชาติ พวกวันสำคัญต่าง ๆ ที่ไม่มีกิจกรรมเป็นหลักเป็นฐาน คนจะไม่ค่อยจำกัน อย่างวันภาษาไทยแห่งชาติ เมื่อไม่มีกิจกรรมคนก็เลยไม่ได้จำใส่ใจ

เดือนกันยายนเป็นเดือนพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ ๕ และในหลวงรัชกาลที่ ๘ ทรงครองราชย์ก่อนจะบรรลุนิติภาวะทั้งคู่ เขาก็เลยเลือกวันพระราชสมภพ คือวันที่ ๒๐ กันยายนเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ถ้าเยาวชนทุกคนประสบความสำเร็จแบบนั้นก็ดีนะ


แบกภาระแทนคนไทยทั้งชาติ.........รอยพระบาทก้าวย่างทุกเขตขันธ์
เพื่อประชาอยู่สุขทุกคืนวัน...........ใต้มิ่งขวัญบุญญาพระบารมี
แปดสิบสี่พรรษาล่วงมาแล้ว...........ร่มโพธิ์แก้วทรงงานหนักเหลือที่
ขอน้อมคุณพระไตรรัตน์สวัสดี..........รักษาพ่อหลวงนี้เพื่อลูกไทย


ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก อาตมาแต่งเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2014 เมื่อ 05:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 29-09-2012, 12:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การล้างพิษด้วยวิธีสวนกาแฟ ?
ตอบ : "เรื่องนี้ต้องคุยกับท่านกอล์ฟ ท่านบอกว่า “เดี๋ยวนี้กินกาแฟแล้วสยองทุกที เพราะว่าสมัยนี้เขากินด้วยตูด..!”

จริง ๆ แล้วอันตรายมากนะ เพราะกาแฟเข้าสู้เส้นเลือดดำโดยตรงเลย เท่ากับฉีดเข้าเส้นเลือด ถ้าหัวใจไม่ดีมีสิทธิ์ช็อกตายได้ ความจริงไม่จำเป็นต้องไปใช้กาแฟก็ได้ เพราะท้องที่จะถ่ายก็เพราะลำไส้เคลื่อนไหว เรากินแต่น้ำอุ่นอัดเข้าไปอย่างเดียวก็พอแล้ว

อะไรก็ตามที่พอดีถึงจะมีผลดี ถ้ามากเกินพอดีก็จะมีผลเสียมากกว่า ขอให้เชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงมัชฌิมาปฏิปทา หลักการนี้ใช้ได้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นคุณจะไปทำดีท็อกซ์ กินกาแฟทางก้นอะไรก็ตาม ถ้ามากเกินพอดีก็มีโทษ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ใช้ได้ทุกกาลทุกสมัย ฉะนั้น..ถ้าใครแหกข้อธรรมของท่านแล้วเกิดผลร้ายกับตัวเอง ก็ไม่รู้จะโทษใคร

เดี๋ยวนี้นอกจากทำดีท็อกซ์แล้วต้องไปฉีดโบท็อกซ์ ถ้าฉีดโบท็อกซ์นี่เอาผึ้งต่อยดีกว่า หน้าเหี่ยว ๆ โดนไปสัก ๓-๔ ทีก็ตึงเป๋ง ที่ง่ายที่สุดก็คือยอมรับเถอะ แก่คือแก่ละวะ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2012 เมื่อ 13:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 29-09-2012, 12:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,155 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนเราป่วยเพราะธาตุไม่สมดุล หากเราปรับธาตุเองได้ ก็รักษาตัวเองได้ ?
ตอบ : บรรดาธาตุอาหารต่าง ๆ มาจากดิน น้ำ ไฟ ลม คราวนี้ท่านดึงจากรอบข้างเข้ามาได้ ไม่เหมือนกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จะต้องเปลี่ยนจากอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีน้อยก็เปลี่ยนได้น้อย มีมากก็เปลี่ยนได้มาก แต่นี่ต้องการเท่าไรก็ได้ตลอด เหนือกว่ากันไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

อย่างหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา พวกชาวบ้านไปตีกบเท่าไรก็ไม่ได้ มาผิงไฟหนาวสั่นอยู่ใต้ถุนกุฏิท่าน ท่านก็ถามว่า “เฮ้ย พวกมึงไปทำอะไรกันมาวะ ?” พวกชาวบ้านก็บอกว่า “ไปตีกบครับหลวงพ่อ” ท่านก็ถามว่า “ได้หรือเปล่า ?” พวกนั้นก็บอกว่า “ไม่ได้เลยครับ” ท่านบอกว่า “ทุด..! พวกมึงมันไม่ได้เรื่อง ทำมาหากินได้อย่างไรวะ ? เดี๋ยวกูตีให้เอง”

พอคว้าไม้กับตะข้องได้ก็ตีป้าบ ๆ ๆ พักเดียวท่านหิ้วกบมาเป็นตะข้องเลย ท่านก็บอกว่า “เอ้า..เอาไปแบ่งกัน” ญาติโยมนั่งปากอ้าตาค้าง อะไรวะ..พระตีกบ ? คราวนี้เขาหิวกัน กลางคืนหนาวก็หนาว หิวก็หิว ตกลงต้มกบกินกัน เสร็จแล้วก็นอนใต้ถุนกุฏินั้นแหละ ตอนเช้าจะไปลาหลวงปู่ เขาก็เสียดายกบที่เหลือ พอเปิดกาละมังที่ครอบเอาไว้ดู ที่ไหนได้มีแต่ใบสะแก เพิ่งจะรู้ว่ากบที่ท่านตีให้ ความจริงเป็นใบไม้ทั้งนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-10-2012 เมื่อ 14:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:39



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว