กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 25-09-2013, 09:52
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๑.ร่างกายของเราหรือร่างกายของใครก็ไม่มีคำว่าจีรังยั่งยืน มีเกิดเมื่อไหร่ก็มีตายเมื่อนั้น อย่าไปฝืนกฎธรรมดาของร่างกาย ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็บำรุงรักษาไปตามหน้าที่ แต่จิตจักต้องไม่ลืมความจริงว่า ร่างกายนี้ต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา อารมณ์ของจิตอันเนื่องด้วยเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เช่นกัน เกิดแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดาเช่นกัน จิตเพียงแต่กำหนดรู้ว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา แล้วพยายามรักษาอารมณ์วางเฉยเข้าไว้ ให้เห็นทุกอย่างไม่เที่ยงเป็นของธรรมดา

อย่าไปกังวลกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้มากนัก ให้ใช้เวลาพิจารณาจิตของตนเองจักดีกว่า ได้ประโยชน์มากกว่า พยายามรักษาอารมณ์พิจารณาขันธ์ ๕ ให้เข้มแข็งเข้าไว้.. ความเป็นพระอรหันต์เป็นของไม่ไกล ถ้าหากมีสติกำหนดรู้และทำจิตให้วางเฉยให้ได้ในเหตุการณ์ทั้งหมด จุดสำคัญคือ พยายามรักษาอารมณ์ให้เยือกเย็น จิตจักมีความเบาโปร่งสบาย ๆ พรหมวิหาร ๔ อย่าทิ้งไปจากจิต

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2013 เมื่อ 10:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 01-10-2013, 09:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๒. ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ให้จงหนัก จิตจึงจักตัดราคะกับปฏิฆะได้ ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาของโลก มีลาภ – เสื่อมลาภ มียศ - เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเราได้ ก็ด้วยเรามีร่างกายหรือขันธ์ ๕ เป็นเครื่องรองรับ จึงต้องพิจารณาละตัดให้ได้ซึ่งขันธ์ ๕ เท่านั้น (ว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา) ก็จักพ้นทุกข์จากอารมณ์พอใจและไม่พอใจ เมื่อโลกธรรม ๘ ประการเข้ามากระทบจิต จงพยายามกำหนดรู้ทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยง ยึดเมื่อไหร่เกิดทุกข์เมื่อนั้น ให้ชำระจิตปล่อยวางสภาวะโลกที่ไม่เที่ยงไปเสียดีกว่า จุดนั้นจักทำให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2013 เมื่อ 10:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 02-10-2013, 09:51
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๓. อย่าห่วงใยเรื่องในอนาคต ให้รักษาอารมณ์จิตอยู่ในปัจจุบันเป็นดีที่สุด เช่น เตรียมเสบียงไว้เมื่อยามมีน้ำท่วมวัด หรือยามมีสงครามนั้น ก็พึงทำไปเป็นเพียงแต่หน้าที่ เตรียมได้ก็พึงเตรียมแต่พอดีในทางสายกลาง เพราะชีวิตจัดอยู่ถึงช่วงนั้นหรือไม่ก็อย่าไปคำนึง ทำปัจจุบันให้ดีพร้อม คือดีที่สุดเท่าที่จักทำได้ พยายามสงบใจ สงบปาก สงบคำให้มาก อย่าตำหนิบุคคลอื่นว่าเลว ให้ดูกาย วาจา ใจของตนเอง อย่าให้เลวกว่าเขาเอาไว้เสมอ อย่ามองโทษ (เพ่งโทษ) บุคคลภายนอก ให้มองโทษอันเกิดขึ้นแก่กาย วาจา ใจของตนเองเป็นสำคัญ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2013 เมื่อ 11:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 08-10-2013, 10:28
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๔.ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง หากมุ่งจักไปพระนิพพาน จักต้องรู้จักขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง รู้ว่ารูปมีลักษณะอย่างไร ให้รู้จริง ๆ มิใช่สักแต่ว่ารู้แค่สัญญา ให้รู้ด้วยการพิจารณารูปด้วยปัญญา และรู้จักการละรูปละนามนั่นแหละ จึงจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ แล้วให้หมั่นตรวจสอบจิตดูว่า บกพร่องในเรื่องบารมีหรือกำลังใจตรงไหนบ้าง ต้องให้รู้ต้องให้เห็นจุดบกพร่องจริง ๆ แล้วจึงจักแก้ไขได้ การแก้ไขก็จักต้องเอาจริง แก้ไขจริง ๆ ด้วย ความตั้งใจจริงจุดนั้นนั่นแหละ กำลังใจจึงจักเต็มได้ (วิริยะ - ขันติ – สัจจะโดยมีปัญญาคุม)

การปฏิบัติธรรมอย่าให้ได้แค่คำพูด.. นั่นไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงแค่สัญญา จักต้องสอบจิตให้ลึกลงไปโดยไม่เข้าข้างตนเอง แล้วจักเห็นความบกพร่อง คือจุดบอดของการปฏิบัติของตนเอง จุดนั้นเห็นแล้วให้รับความจริงแล้วจึงจักแก้ไขได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-10-2013 เมื่อ 19:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 10-10-2013, 11:07
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๕. ข่าวใครว่าอย่างไรปล่อยให้เป็นเรื่องของข่าว อย่าไปสนใจกรรมของใครมากไปกว่าสนใจกรรมของตนเอง เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่จักต้องเร่งรัดปฏิบัติเอาจริงกัน เพราะฉะนั้น จักต้องสำรวมกาย วาจา ใจของตนเองให้เต็มความสามารถ ใครจักนินทา – สรรเสริญใครที่ไหน หรือใครจักนินทา – สรรเสริญเรา ก็จงอย่าหวั่นไหวไปตามคำเหล่านั้น.. ปล่อยวางเสียให้หมด มามุ่งปฏิบัติเอาจริงกันเสียที ให้สอบจิตดูว่า ที่แล้ว ๆ มาเอาดีกันไม่ได้ เพราะความไม่เอาจริงคือขาดสัจจะบารมีกัน

เพราะฉะนั้น หากต้องการมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ให้ตรวจสอบบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วน ว่าขาดตกบกพร่องตรงไหนบ้าง ? แก้ไขจุดนั้นนั่นแหละจึงจักไปได้ การสำรวจจิต สำรวจบารมี ๑๐ จงอย่าหลอกตนเอง มรรคผลอันใดได้หรือไม่ได้ให้ตอบตัวเองอย่างจริงจัง แล้วมุ่งแก้ไขอย่างจริงจัง ก็จักสำเร็จในมรรคผลนั้น อย่าทิ้งกรรมฐานแก้จริตทั้ง ๖ และอย่าทิ้งสังโยชน์ อย่าบกพร่องในบารมี ๑๐ เดินจิตอยู่ในศีล – สมาธิ – ปัญญา แล้วจักเข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2013 เมื่อ 17:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 11-10-2013, 11:17
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๖. ร่างกายของคนเรามีอายุขัยกันทุกรูป - นาม และต้องแตกดับทุกรูป – นาม อย่าประมาทในชีวิต อย่ามัวเมากับลาภ – ยศ – สรรเสริญ – สุขให้มากจนเกินไป หมั่นสร้างความดีในทาน – ศีล – ภาวนา ตัดโลภ – โกรธ – หลง ไปสู่พระนิพพานกันดีกว่า

อย่าไปมีอารมณ์ขุ่นมัวกับการกระทบ พยายามลงกฎธรรมดา กฎของกรรมให้มาก ๆ แล้วอย่าไปกำหนดลิขิตชีวิตของใคร เพราะแม้แต่ชีวิตร่างกายของตนเองก็ยังกำหนดไม่ได้เลย ทุกชีวิตมาตามกรรมแล้วก็ไปตามกรรม เพราะฉะนั้น อย่าไปยุ่งกับกรรมของใคร ให้มุ่งชำระกรรมของกาย วาจา ใจของตนเองให้บริสุทธิ์ ตัดกรรมให้เร็วที่สุด เพื่อเตรียมจิตเตรียมใจไปพระนิพพานดีกว่า

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-10-2013 เมื่อ 11:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 15-10-2013, 09:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๗. ให้ใช้เวลาพิจารณาร่างกาย อาการ ๓๒ ธาตุ ๔ ให้มาก รวมทั้งเวทนาที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ของจิตด้วย จุดนี้จักได้ประโยชน์ของการปล่อยวางดับทุกข์ได้ และการพิจารณาจักต้องต่อเนื่อง นอกจากใช้อานาปานุสติคุมจิตแล้ว ให้ใช้สัจจานุโลมิกญาณย้อนไปย้อนมา พิจารณาธรรมภายนอกน้อมเข้ามาเป็นธรรมภายในบ้าง ทบทวนอารมณ์ตั้งแต่สมัยยังเป็นโลกียชนเข้ามาสู่อารมณ์ของพระโสดาบันบ้าง คือทบทวนสังโยชน์ไล่มา ตรวจสอบดูกาย วาจา ใจว่าบกพร่องตรงไหนบ้าง ตรวจบารมี ๑๐ ไล่มาตามลำดับบ้าง ตรวจสอบพรหมวิหาร ๔ บ้าง อย่าหยุดการพิจารณา ถามให้จิตตอบ ยังบกพร่องจุดไหนแก้ไขจุดนั้น แล้วจิตจักมีกำลังไปได้เร็ว

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2013 เมื่อ 14:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 18-10-2013, 17:53
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๘. ให้พิจารณาร่างกายนี้เป็นทุกข์ การละได้ซึ่งร่างกายนี้เป็นสุข สุขที่สุดคือ ทำให้แจ้งถึงซึ่งพระนิพพาน เหตุการณ์ภายนอกจักเป็นอย่างไร.. รู้แค่ให้รู้ไว้ แต่ให้พิจารณาธรรมภายใน คือการละซึ่งสักกายทิฏฐิ และละจากอุปาทานขันธ์ของตนเองเข้าไว้ให้ดี เห็นความสำคัญของการละได้ซึ่งกิเลสแห่งตนเป็นใหญ่ อย่าให้เหตุการณ์ภายนอกเข้ามาทำลายมรรคผลนิพพาน การเตรียมตนเพื่อความอยู่รอดแห่งภัยพิบัติ จักจากอุทกภัยก็ดี จากภัยสงครามก็ดี เตรียมได้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ถ้าหากยังอยู่ได้ก็เป็นการบรรเทาทุกขเวทนากันไป แต่ถ้าหากชีวิตจักสิ้น ก็ยังจิตให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เหตุการณ์ข้างหน้าไม่เที่ยง เพราะกฎของกรรมย่อมลิขิตชีวิตของคนแต่ละคนเข้าไว้แล้วอยู่เสมอ เรื่องนี้พึงทำจิตเข้าไว้อยู่รอดก็ได้ ตายไปก็สบายดี
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 21-10-2013, 10:24
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๙. ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ปล่อยวางขันธ์ ๕ ให้เห็นทุกอย่างเป็นของธรรมดา เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีสาระอันใดที่จักเกาะยึดเอามาเป็นสรณะได้ ให้พิจารณาจนจิตยอมรับความจริง จนจิตนิ่ง และเกิดความสุขอันเกิดขึ้นจากการยอมรับความจริงในการพิจารณานั้น ๆ ให้จำไว้เสมอว่า ร่างกายนี้มิใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย กายนี้เป็นเพียงธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ เข้ามาประชุมกัน เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่กับความสกปรก ความเสื่อม แล้วในที่สุดก็ดับไป อย่าลืมทุกสิ่งทุกอย่างในไตรภพ มีเกิดขึ้นก็ต้องมีดับเป็นธรรมดา มีอยู่ที่เดียวเท่านั้นที่ไม่เกิดไม่ดับคือพระนิพพาน จงรักษากำลังใจอยู่จุดเดียวคือพระนิพพาน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2013 เมื่อ 17:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 24-10-2013, 14:04
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๒๐. ไม่ต้องดิ้นรนถึงความตาย (อยากตายเร็ว อยากตายช้า) เพราะจักอย่างไรการมีร่างกายก็มีความตายไปในที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่กำหนดรู้ความเกิดความดับตามความเป็นจริง เตรียมพร้อมที่จักไปพระนิพพานให้ได้ทุก ๆ ขณะ แล้วสำรวมจิตอย่าให้มีความห่วงหรือกังวลในสิ่งใด ๆ ทั้งปวง พยายามตัดความกังวลออกไปให้ได้ ทุก ๆ ขณะจิตให้จำไว้ว่า ห่วงหรือกังวลด้วยเหตุใดแม้แต่นิดเดียว ก็ไปพระนิพพานไม่ได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2013 เมื่อ 16:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 25-10-2013, 13:54
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๒๑. ร่างกายเวลานี้มีทุกขเวทนา ก็ให้กำหนดทุกขเวทนานี้มิใช่ของจิต มันสักแต่ว่ามีอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเท่านั้น พยายามรักษาอารมณ์ของจิตอย่าให้ปรุงแต่งไป ให้ตั้งมั่นเห็นสภาวะของขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง พิจารณาให้มากจักเกิดปัญญา หลีกเลี่ยงการคบกับคนมาก เพราะคุยกับคนมีกิเลส มักจูงจิตให้หวั่นไหวไปตามกิเลส แม้กระทั่งจักสนทนากันด้วยธรรมะ ก็ยังมีกิเลสเป็นเครื่องนำหน้า ให้ดูวาระจิตของตนเองเอาไว้ให้ดี

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2013 เมื่อ 15:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 28-10-2013, 09:32
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๒๒. ให้หมั่นพิจารณาร่างกายโดยเอนกปริยาย รวมไปถึงการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ชอบใจและไม่ชอบใจ โดยอาศัยร่างกายนี้เป็นต้นเหตุ ให้แยกส่วนอาการ ๓๒ ออกจักได้เห็นชัด ๆ ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีในเรา ไม่มีในใครทั้งหมด เพราะในที่สุดก็อนัตตาเหมือนกันหมด ดังนั้น จักมานั่งติดอยู่กับอารมณ์ชอบใจ ไม่ชอบใจ โดยอาศัยร่างกายเป็นต้นเหตุจักได้ประโยชน์อะไร

ให้ถามและให้จิตตนเองตอบตามความเป็นจริง แล้วในที่สุดจักละหรือตัดได้ ปล่อยวางได้ เหตุการณ์ของชีวิตประจำวันทั้งหมด ให้พิจารณาลงตรงทุกข์ตัวเดียว ยิ่งเห็นความเหนื่อยมากจากการทำงาน ก็จักเห็นความทุกข์เบียดเบียนจิตมากขึ้น จิตก็จักดิ้นรนหาทางออกมากขึ้นเท่านั้น อย่าลืม ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นอริยสัจ ผู้ใดเห็นอริยสัจ ผู้นั้นเห็นพระธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ร่างกายของตถาคตมิใช่พระพุทธเจ้า ความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธรรม หรือจิตผู้ทรงธรรม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2013 เมื่อ 10:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 29-10-2013, 09:07
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๒๓. ร่างกายไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ให้พยายามพิจารณารูปขันธ์นามขันธ์ให้มาก พยายามตัดกังวลให้ได้เป็นระยะ ๆ แม้จักตัดไม่ได้เด็ดขาดก็ให้เพียรพยายาม ถามจิตตนเองดูเสมอ ถ้าละไม่ได้จักไปพระนิพพานได้อย่างไร ? การไปพระนิพพาน.. จักต้องละหมดในรูปในนามที่จิตของตนเองอาศัยอยู่นี้ และหมั่นกำหนดรู้รูปนามไม่มีในเรา เราไม่มีในรูปนาม พยายามตัดให้ได้ วางอารมณ์ให้ถูก แล้วความหนักใจในการตัดกิเลสก็จักเบาใจลงได้มาก เพราะเห็นช่องแนวทางจักพ้นทุกข์ได้อย่างชัดเจน เพียงแต่จักต้องฝึกตัวสติคือตัวรู้ให้ทรงตัวเข้าไว้ ใหม่ ๆ ก็เป็นสัญญา หนักเข้าพิจารณาให้จิตมันชิน ก็จักเกิดเป็นปัญญา.. ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้เอง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2013 เมื่อ 16:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 30-10-2013, 09:10
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๒๔. ร่างกายนี้ไม่ใช่เราและไม่มีในใครด้วย ถ้าคลายห่วงร่างกายของตนเองได้ ก็จักพลอยคลายห่วงร่างกายของบุคคลอื่นได้เช่นกัน ให้พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง บางครั้งแม้จักเผลอไปบ้าง ลืมไปบ้างก็เป็นของธรรมดา เรื่องของวจีกรรมก็เช่นกัน เผลอบ้าง ลืมบ้าง ก็ขอขมาแล้วพยายามตั้งต้นใหม่ ฝึกจิตควบคุมวาจาให้จงได้ ถ้าไม่ทิ้งความเพียร กาย วาจา ใจ ก็เรียบร้อยลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักตัดสิ่งไหนก็จักมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางอยู่เสมอ เรื่องนี้ต้องให้เห็นเป็นของธรรมดา เพราะถ้าไม่มีข้อสอบ จักรู้ได้อย่างไรว่าสอบผ่าน จำเอาไว้ให้ดี

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2013 เมื่อ 11:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 01-11-2013, 11:25
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระธรรม ในเดือนมีนาคม ๒๕๔๐

สมเด็จองค์ปฐมฯ ทรงตรัสสอนปกิณกธรรม ในเดือนนี้ มีความสำคัญดังนี้

๑. ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ เข้ามาประชุมกันเท่านั้น อย่าไปคิดการมุ่งหวังอยู่รอดปลอดภัยของร่างกาย ให้หวังความอยู่รอดปลอดภัยของจิต กล่าวคือจิตที่ละความกังวลได้แล้วจากร่างกายนั่นแหละ.. เป็นความปลอดภัยของจิต

ร่างกายที่เห็นอยู่นี้สักเพียงแต่ว่ารูปเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานรูปนี้ก็หมดไป ตายไป สลายไป หากจิตยังกำหนัด ตัดรูปไม่ได้ เมื่อร่างกายนี้มันพังแล้ว จิตก็จักแสวงหาภพหาชาติเป็นแดนเกิดต่อไป

รูปเก่าดับไป.. รูปใหม่เกิดมา ก็ทุกข์เหมือนเก่า
คือเกิดแล้วก็แก่ ก็เจ็บ มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง แล้วก็มีความตายไปในที่สุด แล้วจิตที่ยังตัดรูปไม่ได้ การเกิดมากเท่าไหร่ก็พบกับความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น พิจารณาให้ดี ๆ รักษากำลังใจให้ตั้งมั่น อย่าท้อแท้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2013 เมื่อ 12:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 06-11-2013, 10:15
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๒.ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา.. จุดนี้จักต้องย้ำและพิจารณาให้หนัก จักได้ไม่มีความหวั่นไหวเมื่อมรณภัยมาถึงร่างกาย การให้รู้การเกิดการดับของร่างกาย เห็นธาตุ เห็นสิ่งปฏิกูลของร่างกาย ก็เพื่อให้จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ที่มีร่างกายเกิดขึ้นอย่างนี้ เสื่อมอยู่อย่างนี้ แล้วในที่สุดก็ดับไปอย่างนี้

ขันธ์ ๕ อายตนะ สัมผัส เกิด เสื่อม ดับ อยู่ตลอดเวลา เห็นได้ด้วยตาปัญญาตามความเป็นจริง จิตไม่ต้องไปปรุงแต่งตามสังขาร จักเห็นได้ว่ามันเกิดแล้วมันก็ดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา ให้จิตอยู่เฉย ๆ ตามรู้ก็จักเห็นสภาวะของขันธ์ ๕ ได้ตามความเป็นจริง กายจักทำงานอะไรก็ช่าง ให้จิตคอยดูอารมณ์ของจิตของตนเองอยู่ทุก ๆ ขณะจิต แล้วในที่สุดจิตก็จักเข้มแข็งขึ้นมาตามลำดับ คำว่าไม่เผลอก็จักเกิดขึ้นได้ที่ตรงนี้ แล้วคำว่าจบกิจในพระพุทธศาสนาก็จักเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2013 เมื่อ 16:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 08-11-2013, 09:01
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๓. เรื่องของร่างกายมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีใครเป็นที่พึ่งของใครในแง่ของร่างกายไปได้ตลอดกาลตลอดสมัย เพราะในที่สุดก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายกันทั้งสิ้น อย่าไปหวังพึ่งอันใดกับร่างกาย ให้พิจารณาร่างกายของตนเองให้ดี แล้วจักเข้าใจตามความเป็นจริงว่า แม้แต่ร่างกายของตัวเราเองก็ยังหวังพึ่งอันใดมิได้ พิจารณาไปเถอะ จักพบว่าร่างกายที่อาศัยอยู่นี้พังแน่นอน แม้โลกนี้ทั้งโลกก็พังหมด ไม่มีอะไรเหลือ ให้พิจารณาตามความเป็นจริง จักเห็นความยึดถืออะไรไม่ได้เลย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2013 เมื่อ 15:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 11-11-2013, 09:23
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๔. คนเรียนมากรู้มาก มิใช่ว่าจักตัดกิเลสได้มากหรอกนะเจ้า เพราะการเรียนการรู้ คือการจำวิชาต่าง ๆ ด้วยสัญญา.. ยังมิใช่ปัญญา คือการคิด พิจารณาใคร่ครวญ.. เรื่องของร่างกายหรือขันธ์ ๕ ไปตามความเป็นจริง แล้วละ ปล่อยวาง ตัดได้ซึ่งกิเลส นั่นแหละจึงจักปฏิบัติได้จริง

ถ้าได้แต่ความรู้.. จำเอาไปพูด เอาไปคุย นั่นยังไม่ใช่ของจริง รู้ตามปริยัติหรือผู้เรียนพระไตรปิฎก รู้มากแต่ไม่นำไปปฏิบัติ เอาแต่ความรู้ไปพูด ก็ไม่เกิดผลประโยชน์กับจิตของตนแม้แต่นิดเดียว การรู้มากโดยไม่ปฏิบัตินี่แหละ ทำให้บุคคลผู้นั้นมีมานะกิเลสมาก การรู้นั้นเป็นของดี แต่ต้องนำการรู้นั้นไปปฏิบัติให้เกิดในกาย วาจา ใจของตนด้วย จึงจักเป็นของจริง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2013 เมื่อ 15:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 14-11-2013, 09:44
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๕. เรื่องสุขภาพร่างกายพึงระมัดระวังเอาไว้บ้าง เพราะชีวิตยังไม่สิ้น จิตยังจักต้องอาศัยร่างกายนี้อยู่เพื่อประกอบความดี เพื่อยังจิตให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานให้ได้ในชาติปัจจุบันนี้ ในขณะที่ยังมีร่างกายนี้อยู่ ก็พึงไม่เบียดเบียนร่างกายของตนเองด้วย และไม่มัวเมาในความสุขความทุกข์อันเกิดขึ้นแก่ร่างกายของตนเอง หรือสุข – ทุกข์ของบุคคลอื่นด้วย โจทก์จิตตนเองไว้เสมอ เตรียมพร้อมที่จักวางทุกสิ่ง ลด ละ เพื่อจุดสุดท้ายของชีวิตเข้ามาถึงร่างกาย อย่าให้จิตติดกังวลแม้แต่นิดหนึ่งในสิ่งหนึ่งสิ่งใด จิตตั้งมั่นอยู่ที่เดียวคือพระนิพพาน จุดนั่นแหละเจ้าจักได้ที่พึ่งของจิตอย่างแท้จริง ไม่ต้องไปเกิดไปตายที่ไหนอีก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2013 เมื่อ 11:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 15-11-2013, 11:43
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๖. ร่างกายนี้เมื่อวิญญาณไปปราศแล้ว (จิตวิญญาณออกจากร่างกายแล้ว) ก็เสมือนหนึ่งท่อนไม้ที่ถูกทับถมลงพื้นปฐพี บุคคลใดจักให้จิตเป็นสุข ก็จงพิจารณาร่างกายอันยังมีลมหายใจอยู่นี้ ให้มีความรู้สึกเสมือนซากศพอยู่ตลอดเวลา (แต่จิตไม่เศร้าหมอง) เพราะโดยนัยแล้ว ร่างกายนี้ทำการสลายตัว.. ทรุดโทรมไปสู่ความตายทุก ๆ ขณะจิต แต่ที่ยังเห็นอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยสันตติที่สืบเนื่องต่อกันไม่ขาดสาย

บุคคลใดเห็นความเกิดตายของร่างกายอยู่อย่างนี้ บุคคลนั้นย่อมจักมีความไม่ประมาทในชีวิต และพยายามทรงจิตอยู่ในความดี จงสังวรไว้ว่า การมีร่างกายอยู่นี้เป็นการอยู่กับความตายทุก ๆ ขณะจิต ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง และความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย อย่าคิดไปว่าเบื้องหน้าในอนาคตเราจึงจักตาย ให้รู้สึกไว้เสมอว่าเราอาจจักตายเดี๋ยวนี้เข้าไว้เสมอ เพราะคนที่ตายก็ตายอยู่ในขณะจิตนี้ คือในปัจจุบันธรรมเท่านั้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2013 เมื่อ 14:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว