กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 18-10-2009, 07:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default การเผยแผ่พุทธศาสนา

หลวงพ่อเล็กหยิบหนังสือเย็นหิมะในรอยธรรม ของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ขึ้นมา แล้วกล่าวว่า "อ่านแล้วเราจะได้เห็นชัด ๆ เลยว่า ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กับไม่มีวิสัยทัศน์ต่างกันอย่างไร จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ถ้าเป็นไปได้ต้องซื้อแจกพระสังฆาธิการทุกรูป

อย่างที่คุยกับท่านสมปองเมื่อเช้านี้ว่า ก่อนที่จะออกมาจากวัดท่าซุง อาตมาอยู่ในลักษณะหัวแข็ง ยึดตามหลักเนติศาสตร์เป๊ะ ๆ ซึ่งไม่ใช่ ที่ไม่ใช่เพราะว่าในเรื่องของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต้องมีการผ่อนสั้นผ่อนยาว เพียงแต่ว่าอย่าให้หลุดออกจากกรอบพระธรรมวินัย ส่วนวิธีการคุณต้องไปพลิกแพลงเอาเอง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตามสถานที่ เวลาและบุคคล

ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านส่งพระอรหันต์ ๖๐ รูป ประกอบไปด้วยปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พระยสะพร้อมกับสหายอีก ๕๕ รวมเป็น ๖๐ รูป ออกประกาศพระศาสนา โดยใช้คำว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ ทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย..เธอเที่ยวจงไป เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย.." นั่นถือว่าเป็นนโยบายครั้งแรกในการประกาศศาสนาเลย แต่มีจุดต่างมหาศาลอยู่ตรงที่ว่า พระทั้งหลายที่ออกเผยแผ่พุทธศาสนาในยุคนั้น ท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด แต่ในยุคของเรานี่เป็นพระอรหันต์ "เกือบหมด" ก็คือ เกือบจะไม่มีพระอรหันต์..ต่างกันมากเลย

ในเมื่อต่างกันมากตรงจุดนี้ อาตมานึกถึงท่านเจ้าคุณมงคลเทพโมลี คือเจ้าคุณพูลทรัพย์ วัดสุทัศน์ฯ เนื่องจากโยมที่ซานดิเอโกจะนิมนต์อาตมาไปจำพรรษาที่นั่น ๑ พรรษา ก็ไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณ ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณซึ่งเป็นหัวหน้าคณะธรรมทูตสายนั้นไม่ให้ไป ท่านบอกว่าท่านกำลังปวดหัวอยู่ เพราะว่าท่านส่งพระธรรมทูตไปสองชุด ชุดละ ๔๐ รูป รวมแล้ว ๘๐ รูป ขณะนี้สึกไปแล้ว ๗๖ รูป อีก ๔ รูปโดนฟ้องร้องเรื่องการเงินทั้งหมด

พอไปดูคุณสมบัติของบุคคลที่เป็นธรรมทูตของท่าน
๑. ต้องจบนักธรรมเอก ๒. ต้องจบเปรียญธรรม ๕ ประโยคหรือพุทธศาสตรบัณฑิต ๓. ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ๔. ผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษข้อเขียนด้วย อาตมาดูเสร็จ ก็กราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อส่งไปอีก ๑๐๐ รูป ก็เสร็จไปอีก ๑๐๐ รูป เพราะคุณสมบัตินั้นเป็นพระนักเรียนล้วน ๆ ไม่มีพระปฏิบัติเลย จะมีพระปฏิบัติสักกี่คนที่หลุดไปได้ เพราะส่วนใหญ่พระปฏิบัติก็ไม่ได้ศึกษามาก เหตุที่ไม่ได้ศึกษามากเพราะวิสัยทัศน์ไม่เหมือนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ...

หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านยืนยันว่า การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ถ้าพูดภาษาเขาไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปบอกเขา แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ศึกษาแต่ทางโลก พูดภาษาเขาได้ เอาหลักธรรมไปบอกเขาได้ แต่ไม่รู้ว่าตีความถูกหรือเปล่า ? เพราะไม่เคยปฏิบัติ ในเมื่อไม่เคยปฏิบัติ ไปถึงก็นำเอาพระพุทธวจนะไปเผยแผ่ อย่าลืมว่านั่นเป็นธรรมะที่แท้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งพิสูจน์ได้ในทุกกาลสมัย ฝรั่งได้ยินแล้วชอบใจ แต่คราวนี้ฝรั่งสาว ๆ ได้ยินแล้วชอบใจด้วย ในเมื่อฝรั่งสาว ๆ ได้ยินแล้วชอบใจเขาก็ขอแต่งงานด้วย ก็เลยไม่เหลือพระเอาไว้ ท่านบอกว่า ๘๐ รูปสึกไปแล้ว ๗๖ รูป อีก ๔ รูปที่เหลือโดนฟ้องร้องเรื่องการเงินอยู่ เลยคาราคาซังสึกไม่ได้ ต้องให้คดีถึงที่สุดก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2013 เมื่อ 10:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-10-2009, 07:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้เรามาดู สมัยที่อาตมาเรียนบาลี หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านยืนยันชัดเจนมาก "ท่านเล็ก..อย่าทิ้งการปฏิบัตินะ เรียนบาลีถ้าสมาธิไม่ดีเราจะท้อ แล้วถ้าเราท้อก็หมดอารมณ์ที่จะเรียน" หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ท่านปฏิบัติสมาธิภาวนาควบกับการศึกษา จบประโยค ๙ มา ท่านก็ไม่ได้เก็บตัวปฏิบัติ แต่ท่านทำหน้าที่ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระควบกันไป ท่านไปเป็นเลขานุการ มจร. อยู่นานมากเลย จนกระทั่งเขาตั้งให้เป็นรองอธิการบดี และเมื่อท่านเห็นว่าภาระในการสงฆ์มาก ท่านจึงวางมือให้บุคคลที่เหมาะสมกว่าขึ้นไปเป็นแทน ดังนั้น..วิสัยทัศน์ในเรื่องการศึกษาของหลวงพ่อท่านจึงชัดเจนมาก แนวทางทุกอย่างที่ท่านว่ามานั้น..ใช่เลย

แต่ทำอย่างไรที่พวกเราซึ่งเป็นพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตอนนี้ภิกษุณีไม่มี ก็ถือว่าพุทธบริษัททั้ง ๓ ก็คือ พวกเราทั้งหมดในที่นี้ จะนำธรรมะของพระพุทธเจ้าไปเผยแผ่ให้กว้างไกลมากกว่านี้ได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือปฏิบัติให้เห็นผลก่อน ถ้าปฏิบัติให้เห็นผลเมื่อไร เราบอกใครเขาก็เชื่อ ก็คนบอกทำได้แล้ว บอกใครก็ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น แต่ถ้าหากคนบอกยังทำไม่ได้ ไปบอกแล้วใครเขาจะเชื่อน้ำยาเรา หรือถ้าหากว่าเชื่อ เขาปฏิบัติแล้วได้ผล คนบอกก็กลายเป็นเถรใบลานเปล่า กลายเป็นพระโปฏฐิลเถระ ก็คือ ตัวเองไม่ได้อะไรเลย แต่อาศัยว่าบอกพระพุทธจนะตรง ไม่ดัดแปลง ทำให้คนปฏิบัติได้ผล

ในสมัยปัจจุบันนี้ วาจาบางประโยคที่ได้ยินแล้วรู้สึกชอกช้ำระกำใจมาก ก็คือ อยากรู้คอมพิวเตอร์ให้ถามพระ ถ้าอยากรู้ธรรมะให้ถามโยม มีญาติโยมที่เป็นนักปฏิบัติจำนวนมาก ทั้งฆราวาสและแม่ชี เปิดสำนักสอนอย่างเป็นทางการ มีลูกศิษย์กันมาก โดยเฉพาะยุคนี้รู้สึกว่าจะเป็นยุคของแม่ชี แม่ชีที่มีชื่อเสียงอยู่ในยุทธจักรอย่างแม่ชีศันสนีย์ แม่ชีทศพร แม่ชีมโนรา ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ สามารถเผยแผ่ธรรมและเป็นที่ศรัทธา ส่วนหนึ่งเพราะว่าท่านเป็นเพศหญิง ผู้หญิงจะเข้าไปพูดคุยและระบายความทุกข์ได้สะดวกกว่าพระ

ตอนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่สถานปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ที่ปากช่อง ตลอดระยะเวลา ๑๐ วัน แม่ชีทศพรไปเป็นแม่ครัวเลี้ยงพระอยู่ตลอด และโดยเฉพาะคืนก่อนวันสุดท้าย แม่ชีมากราบขออนุญาตพระ "พรุ่งนี้ดิฉันขออนุญาตเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระที่ออกจากสมาบัติทุกรูป" เล่นกวาดหมด ไม่เหลือให้ใครเลย ปรากฏว่าในแต่ละวัน หลังจากทำครัวมื้อเพลเสร็จ แม่ชีต้องต้อนรับแขกอีกหลายคันรถ แต่ละคนล้วนแต่แบกความทุกข์ไปหาทั้งนั้น แล้วด้วยความที่ท่านเป็นผู้หญิงทำให้ใกล้ชิดได้มากกว่า ประเภทจับเข่าคุยกันได้ คนไหนร้องไห้มาก็สามารถที่จะกอดปลอบใจเขาได้ หน้าที่นี้พระทำไม่ได้

ถ้าพวกเราทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ เอาสิ่งที่ปฏิบัติได้ ถึงแม้ว่าเราไม่มั่นใจว่าถูกต้อง ก็ให้เอาหลักตามพระไตรปิฎกหรือคำสอนหลวงปู่หลวงพ่อที่เรามั่นใจไปเผยแผ่ จะเป็นหนังสือหรือซีดีก็ได้ หรือลอกคำพูดไปบอกต่อก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2013 เมื่อ 10:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-10-2009, 08:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างเช่นอิสลาม ศาสนาอิสลามเผยแผ่ศาสนาได้เร็วมาก กว้างขวางมาก เพราะว่าทุกคนเป็นนักเผยแผ่หมด เขาไม่ได้มีนักบวชที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะ แต่ว่าทุกคนของเขาทำหน้าที่นี้ แต่ศาสนาพุทธของเรา ถ้ารอนักบวชอย่างเดียวทำหน้าที่ จะมีสภาพอย่างที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบอก คือ ท้ายสุดจะไม่เหลืออะไรเลย

ศาสนาพุทธเสื่อมสูญจากอินเดีย เพราะว่านักบวชแต่งกายอย่างนี้ (ห่มผ้าเหลือง) แยกตัวออกจากชาวบ้าน มีสถานที่อยู่เฉพาะของตน ถึงเวลาข้าศึกยกทัพไปล้อม กวาดพระจนราบ แต่พวกพราหมณ์อยู่กับครอบครัว ทุกคนมีสภาพเหมือน ๆ กัน แยกไม่ออก เพราะฉะนั้น..หลังจากมุสลิมหมดอำนาจในอินเดีย ศาสนาพราหมณ์จึงฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ศาสนาพุทธเงียบ..

เพราะเราไปฝากความหวังไว้กับนักบวชอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าฝากความหวังไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ หลวงปู่ขอม วัดไผ่โรงวัว ท่านสร้างรูปพระสงฆ์เดินนำ โดยมีภิกษุณีที่อยู่ในสภาพนักบวชหญิง หรืออาจจะเป็นแม่ชีก็ได้ และก็มีฆราวาสทั้งชายและหญิงช่วยกันเข็นธรรมจักรตามหลัง นั่นคือสิ่งที่หลวงปู่แสดงให้เห็นชัด ๆ ว่าพระพุทธเจ้าฝากกิจการพระศาสนานี้ไว้ในมือของพุทธบริษัททุกบริษัท ไม่ใช่เฉพาะภิกษุบริษัทเท่านั้น

นอกจากนี้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาสมัยก่อนและสมัยนี้ต่างกันมหาศาล ก็เพราะว่าพระสมัยก่อนท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง เป็นผู้ปฏิบัติที่ได้ผลอย่างแท้จริงแล้ว สามารถบอกหลักการตั้งแต่ต้นยันปลายได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด ไม่มีสิ่งใดให้เคลือบแคลงในความบริสุทธิ์ของ กาย วาจา ใจ ของท่าน คนก็ศรัทธาง่าย แต่สมัยนี้ อย่างที่โยมเขาถามเมื่อตอนบ่าย ว่าเขามาบอกบุญแล้วผมไม่ทำบุญ ก็เพราะว่าหวาดระแวง ไม่รู้ว่าพระเอาเงินไปทำบุญอย่างที่บอกหรือไม่ มาหลอกลวงเราหรือไม่ อันนั้นเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่บอกบุญเสียกำลังใจ อุตส่าห์ลงทุนลงแรงเข้าไปหา แต่เขาไม่ทำบุญด้วย ส่วนฝ่ายที่ไม่ทำบุญ เสียโอกาสในการสร้างบุญของตัวเองไป ถ้าหากตายเสียตั้งแต่ตอนนั้น โอกาสที่จะทำบุญให้มากกว่านี้ก็ไม่มี

ในเมื่อภิกษุบริษัทซึ่งเป็นผู้เผยแผ่พุทธศาสนาในปัจจุบันของเรา ยังไม่สามารถที่ประกอบความดีเป็นที่ไว้ใจได้อย่างทั่วถึง ทำอย่างไรที่จะให้โยมเขาเชื่อว่าสิ่งที่เราบอกนั้นเป็นความดี ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเรากำลังเร่งทำความดี ต่อให้ยังไม่สำเร็จก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจทุ่มเทจริง ๆ ให้คนเขาเห็น...เขาก็ศรัทธาแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2013 เมื่อ 10:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 19-10-2009, 08:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพียงแต่ว่าสภาวะในแวดวงนักบวชของเราแปรเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตรงที่ว่ากลายเป็นการแข่งกันในเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อย่างที่เมื่อเช้าพูดกับพระวัดท่าซุง บอกว่าคุณจะเลือกเอาลูกศิษย์รวย ๆ ก็ได้ แต่คุณแน่ใจหรือว่าเขาจะให้เราพึ่งได้ตลอด ถึงเวลาเขาทำบุญหนัก..ใช่ ขณะที่คนจนทำบุญก็ ๕ บาท ๑๐ บาท แต่พอถึงเวลาคุณจะก่อสร้าง ใครเป็นคนแบกอิฐ แบกปูน ใครเป็นคนแบกเสาให้เรา พวกคุณหญิงคุณนาย นายพลนายพันท่านจะมาแบกให้คุณหรือ ? ถ้าหากเราเลือกเฉพาะคนที่คิดว่ารวย ทำบุญหนัก ทำให้เรามีรายรับในชนิดที่ว่าเห็นหน้าเห็นหลังได้ เท่ากับว่าเรากำลังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งพวก กำลังใจของเราก็ทรงพรหมวิหารเป็นอัปมัญญาไม่ได้

ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถที่จะดึงศรัทธาคนอีกกลุ่มเข้ามาได้ เพราะว่าคนทุกคนมีความหวังดี ปรารถนาดี ตั้งใจจะทำความดีทั้งหมด แต่พอเข้ามาแล้ว เขาเห็นคนนั้นทำเป็นแสน คนนี้ทำเป็นล้าน ตัวเองมีอยู่ ๕ บาท จะทำบุญก็อายเขา แต่ถ้าเข้าวัดมาแล้วมีแรงงานให้เขาทำ ปัดกวาดเช็ดถู ล้างถ้วยล้างชาม ทำความสะอาด ท้ายที่สุดกระทั่งขุดหลุม ยกเสา ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะถนัด แล้วก็ได้ทำในสิ่งที่เขาชำนาญ ซึ่งคนรวยทำไม่ได้อยู่แล้ว

ทำอย่างไรที่เราจะดึงศรัทธาของคนทุกกลุ่มให้เข้าวัดอย่างสม่ำเสมอได้ เขาปรารถนาอะไร ต้องให้มีสิ่งที่สนองต่อความต้องการเขาตรงนั้น เขาอยากได้เครื่องรางของขลังต้องมี เขาอยากได้น้ำมนต์ต้องมี เขาอยากสะเดาะเคราะห์ถวายสังฆทานต้องมี อยากได้ความรู้ทางพระพุทธศาสนาต้องมี และท้ายสุดอยากจะฝึกปฏิบัติต้องมี

อาตมาเองก็วางแผนพัฒนาวัดไปในลักษณะแนวนี้ จึงได้บอกกับท่านมหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) ว่า ถ้าหากห้องกรรมฐานเสร็จแล้วให้กลับวัดท่าขนุน ไปเป็นอาจารย์ใหญ่สอนอยู่ทางโน้นบ้าง ถึงเวลาก็หาคนทำหน้าที่แทน สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ท่านก็เดินทางเข้ามาสอนเขาในกรุงเทพฯ มาที่บ้านสุมโนก็ว่าไป แล้วก็มาสอนที่วัดด้วย ไปเป็นหลักทางด้านนี้ต่อ ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ คนที่มาเข้าวัดทุกคนจะมีในส่วนที่ตนเองต้องการ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2013 เมื่อ 10:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 19-10-2009, 10:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างที่วิเคราะห์เมื่อเช้าว่า คนที่มาวัด มาด้วย ๕ ประการด้วยกัน ประการที่หนึ่ง อยากได้หวย มาเอาหวยอย่างเดียวจริง ๆ จะยืนจะนั่ง จะยืน จะนอน จะอึ จะฉี่ เขาตีเป็นหวยหมด

ประการที่สอง มาเพราะอยากได้เครื่องรางของขลัง แล้วคนเหล่านี้มีเป็นจำนวนมากด้วย ต้องเรียกว่าถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป

ประการที่สาม มาเพื่อให้ได้ชื่อว่า พระที่มีชื่อเสียงรูปนี้ เราก็เคยไปกราบมาแล้ว ไปคุยกับเขาได้ว่าเคยไปวัดนี้มาแล้ว

ประการที่สี่ มาแบบโง่เซ่อ ไม่รู้ว่าเขามาทำอะไร เพื่อนลากมาก็มา มาถึงก็มาถามว่าหลวงพ่อวัดนี้ชื่ออะไร ท่านเก่งอย่างไร พวกนี้มีเยอะด้วย

ประการสุดท้าย มาเพราะต้องการธรรมะ หายากสุด ๆ มี ๕ เปอร์เซ็นต์หรือ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ดีใจตายแล้ว

ทำอย่างไรที่คนทั้ง ๕ ประเภทนี้ พอเข้าวัดมาแล้วเขาจะได้ในส่วนที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้น..หากต่อไปเป็นเจ้าอาวาสที่ไหน คุณบริหารวัดต้องนึกถึงหลักการนี้ ต้องสามารถตอบสนองความต้องการของชาวบ้านได้ทุกรูปแบบ

แต่ว่าปัจจุบันศาสนาของเราเลี้ยวผิดทาง พอเลี้ยวผิดทางก็กลายเป็นไปไขว่คว้าหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ใครจะสร้างโบสถ์ได้ใหญ่กว่า แพงกว่า ใครจะจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตแล้วได้เงินเยอะกว่า ใครจะมีรถ ยี่ห้อดีกว่า แพงกว่า ใครจะมีลูกศิษย์ใหญ่กว่า รวยกว่า และโดยเฉพาะในเรื่องของการทำบุญ เคยเตือนโยมไว้หลายท่าน ว่าถ้าเราค่อนข้างจะมีฐานะ ให้ระมัดระวังเรื่องการให้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์แก่พระไว้

อาตมาเจอมาเองมากต่อมากด้วยกัน พอถึงเวลาพระทั้งหลายเหล่านี้จะโทรตามตลอด อาตมาใช้คำว่าโทรจิก "ตอนนี้วัดมีงานนะโยม ช่วยรับเป็นเจ้าภาพผ้าป่าสักกองหนึ่ง" "ตอนนี้วัดมีงานตัดลูกนิมิต โยมจ๋า ช่วยรับเป็นเจ้าภาพมีดตัดหวายลูกนิมิตสักเล่มหนึ่งเถอะ" ราคาเป็นหมื่นเป็นแสนเลย "ตอนนี้กำลังสร้างศาลาโยม รับเป็นเจ้าภาพเสาสักต้นนะจ๊ะ" ด้วยความที่เขามาถึงที่แล้ว และตัวเองก็มีกำลังพอที่จะทำ แม้จะไม่มีความตั้งใจหรือศรัทธาอย่างแท้จริง พอโดนตื๊อมาก ๆ เข้า ก็ให้ในลักษณะซื้อรำคาญ

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีแต่จะสร้างความมัวหมองให้แก่พระพุทธศาสนา คนที่จะเลื่อมใสพอเจอลักษณะอย่างนี้เข้าก็ถอยหลัง ส่วนคนที่ยังไม่เลื่อมใสก็ "อ๋อ..ที่แท้อย่างนี้เอง" ไปก็ไม่ได้อะไร แถมยังจ่ายตลอด ก็เลยหันหลังให้วัด พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า สนิมเหล็กมันเกิดจากเนื้อในของตน บุคคลที่จะทำลายพระพุทธศาสนาได้มีอย่างเดียวก็คือ พุทธบริษัททั้ง ๔ ปัจจัยภายนอกทำลายพุทธศาสนาไม่ได้หรอก


เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2013 เมื่อ 10:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 19-10-2009, 10:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นอกจากนี้หลวงพ่อยังพูดถึงหนังสือเย็นหิมะในรอยธรรม ของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ อีกว่า "จะได้เห็นว่าวิสัยทัศน์ของพระปกครองว่าจริง ๆ เป็นอย่างไร สายตากว้างไกลแล้วยังใจกว้างอีกต่างหาก ไม่ได้ยึดติดว่าทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับกู"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2013 เมื่อ 10:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว