กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-06-2018, 16:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,234 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา ร่างกายจะต้องการการหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ เราแค่เอาสติคือความรู้สึก ตามดูตามรู้ไปเท่านั้น ส่วนคำภาวนาจะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ ระยะนี้มีข่าวคราวของพระพุทธศาสนาในด้านไม่ดีไม่งามออกมามากมาย ซึ่งอาตมาได้สรุปไปแล้วว่าเกิดจาก ๓ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก คือ เป็นการทำลายล้างทางการเมือง สาเหตุที่สอง คือ การทำลายล้างระหว่างศาสนา สาเหตุที่สาม คือ การทำลายล้างระหว่างนิกาย

ซึ่งไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม ถ้าหากว่าบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปฏิบัติธรรมจนมีความสามารถอย่างแท้จริง ก็ย่อมสามารถเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ แต่ว่าเราท่านทั้งหลายยังไม่มีความสามารถที่แท้จริง ไม่สามารถที่จะแก้ต่างได้ ก็จำเป็นต้องเร่งรัดการฝึกปฏิบัติของเรา ให้เข้มข้นเข้มงวดยิ่งขึ้น ทุ่มเทเวลาให้กับการปฏิบัติมากขึ้น

ถ้าหากว่าเราดูในการแสดงยมกปาฏิหาริย์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายได้ยินว่า พระพุทธเจ้าสั่งห้ามไม่ให้พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงฤทธิ์ และห้ามพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดแสดงฤทธิ์ ก็เห็นว่าเป็นโอกาสแล้วที่เราจะโค่นพระพุทธศาสนา จึงประกาศว่าจะแสดงฤทธิ์แข่งกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบรับว่าจะแสดงฤทธิ์แข่งด้วย ณ คัณฑามพพฤกษ์ คือต้นมะม่วง เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายก็ให้ศิษย์ของตนโค่นต้นมะม่วงทิ้งทั้งเมือง เพื่อไม่ให้เหลือไว้ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ได้ แต่ว่าด้วยความรู้จริงรู้รอบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถึงเวลานายคัณฑา หรือเรียกตามสำเนียงบาลีว่านายคัณฑะ ซึ่งเป็นพนักงานเฝ้าอุทยานหลวง เห็นมะม่วงในอุทยานออกผลสุกน่ากินมาก จึงนำไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยแล้ว ก็ให้พระอานนท์นำเอาเม็ดมะม่วงฝังลงดิน ทรงรดด้วยน้ำล้างพระหัตถ์ ต้นมะม่วงนั้นก็โตขึ้นทันตา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2018 เมื่อ 17:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-06-2018, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,234 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นี่เป็นสิ่งที่เล่าให้ฟังว่าสาเหตุเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่อยากจะยกเป็นตัวอย่างนั่นก็คือ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระสารีบุตรเถรเจ้า มีพระโมคคัลลานเถรเจ้า เป็นต้น อาสาแสดงฤทธิ์แข่งกับเหล่าเดียรถีย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ เหล่ามหาสาวก มหาสาวิกา คือ ทั้งภิกษุและภิกษุณีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่ปรากฏ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งให้เป็นเอตทัคคะ คือ ผู้เป็นเลิศในด้านต่าง ๆ อาสาแสดงฤทธิ์แข่งกับเดียรถีย์

พระองค์ท่านก็ทรงปฏิเสธ เหล่าสามเณร สามเณรีต่าง ๆ ทูลอาสาขอแสดงฤทธิ์ข่มเหล่าเดียรถีย์ พระองค์ท่านก็ทรงปฏิเสธ เหล่าฆราวาสชายหญิงที่ทรงอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ อาสาแสดงฤทธิ์แข่งกับเหล่าเดียรถีย์ พระองค์ท่านก็ทรงปฏิเสธ ทรงตรัสว่าการแสดงยมกปาฏิหาริย์นั้นเป็นพุทธประเพณี ก็คือเป็นธรรมเนียมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงเอง

แม้เหล่าเดียรถีย์จะทักท้วงว่าพระองค์ท่านตรัสห้ามแล้วไม่ให้ภิกษุสงฆ์แสดงฤทธิ์ พระองค์ท่านก็กล่าวว่าแม้พระราชาทรงห้ามผู้อื่นกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็หาได้ทรงห้ามพระองค์เองไม่ ซึ่งในจุดนี้ภายหลังพระองค์ท่านก็แสดงยมกปาฏิหาริย์ข่มเหล่าเดียรถีย์จนพ่ายแพ้ไป

แต่เราจะเห็นว่า ภิกษุภิกษุณี ทั้งที่เป็นอัครสาวก มหาสาวก ปกติสาวก สามเณร สามเณรีน้อย ๆ ที่ยังอายุไม่ครบบวช หรือฆราวาสชายหญิงที่เป็นพุทธบริษัท ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง อาสาแสดงฤทธิ์ปราบเหล่าเดียรถีย์ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้ามาเปรียบกับพวกเราในสมัยนี้ มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถอาสาทำหน้าที่ในการกดข่มหรือปราบปรามคนที่กำลังบ่อนทำลายศาสนาได้บ้าง ? ในเมื่อยังไม่มี ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราทั้งหลายต้องเร่งรัดใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-06-2018 เมื่อ 19:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-06-2018, 16:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,234 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันดับแรก ก็คือ ถ้ายังไม่สามารถเข้าถึงอภิญญาสมาบัติต่าง ๆ อย่างน้อยกำลังสมาธิที่สูงขึ้น ก็ทำให้เราสามารถข่มกลั้นกิเลสบางส่วนลงได้ ก็แปลว่าการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น จะมากจะน้อย อันดับแรกก็มีผลดีที่เกิดแก่ตัวเราเอง

อันดับต่อไป ถ้าสามารถได้อภิญญาสมาบัติต่าง ๆ ก็จะเป็นที่พึ่งให้แก่คนอื่นได้ กลายเป็นบุคคลที่ยืนยันความรู้ในพระพุทธศาสนาได้ และถ้าจำเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระบรมพุทธานุญาต ก็สามารถใช้อำนาจของอภิญญาสมาบัติในการกดข่ม หรือปราบปรามผู้ที่รุกรานพระพุทธศาสนาได้

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายจึงทิ้งการปฏิบัติไม่ได้ และยังต้องปฏิบัติให้เข้มข้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะว่าการรุกรานพระพุทธศาสนาจะยิ่งหนักข้อขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่ามีการวางแผนกันอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้ในประเทศนี้

อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงฝากฝังภารธุระในพระพุทธศาสนา แก่บริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านทั้งหลายที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา ปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องศึกษาเล่าเรียนจนสามารถจะยังพระพุทธศาสนานี้ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2018 เมื่อ 17:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 06-07-2018, 01:31
สุธรรม's Avatar
สุธรรม สุธรรม is offline
ผู้ตรวจการณ์เว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 4,766
ได้ให้อนุโมทนา: 268,848
ได้รับอนุโมทนา 838,059 ครั้ง ใน 12,778 โพสต์
สุธรรม is on a distinguished road
Default

ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:36



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว