กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 09-12-2010, 20:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พวกนายฮ้อยเขาต้องมีวิชาอะไรบ้าง ?
ตอบ : ๑) วิชาการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นดาบหรือปืน

๒) คาถาอาคม เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

๓) ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศต่าง ๆ ที่จะไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดิน น้ำ หญ้า เพราะวัวควายไปด้วยเป็นร้อย ๆ ตัว ถ้าไม่รู้พื้นที่ สัตว์อาจจะอดตายได้ แค่จะหยุดให้กินหญ้ากินน้ำก็ลำบากแล้ว

๔) มีมนุษยสัมพันธ์ ไปไหนต้องมีเพื่อนฝูง มีเส้นสาย ต้องรู้จักว่าคนไหนค้าขายด้วยแล้วให้ราคายุติธรรม คนไหนจะมากดราคา

๕) มีความซื่อสัตย์ บางทีไปกันหลายเดือน วัวควายที่ไปตกลูกกลางทาง เขายังไม่ยึดเป็นของตัวเองเลย พอขายได้ก็ให้เจ้าของไป

ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่สมัยก่อนที่เขาทำได้เพราะเขามีสัจจะ เราจะเห็นว่าตัวสัจจบารมีตัวเดียวนี่แหละ ที่ทำให้คนประสบความสำเร็จมาก ในสมัยก่อนแม้กระทั่งพวกเสือปล้น เขาจะถือสัจจะต่อครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าผิดสัจจะเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จหรือถึงแก่ชีวิต สมัยนี้สัจจบารมีไม่ค่อยจะมีกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2019 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 09-12-2010, 21:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมมีบุญพอที่จะได้พบแร่เพรียงไฟไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาไปสี่ปียังไม่ได้เลย ขาดอยู่อย่างเดียวคือแร่เพรียงไฟ

เหมือนท่านลองใจ บอกว่ามีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอาตมาไปผิดที่ทุกที ทั้ง ๆ ที่ตอนเรียนวิชาทหาร อาตมาสอบได้ที่หนึ่งในวิชาแผนที่เข็มทิศ แต่เดินผิดที่ทุกทีเลย เป็นเรื่องแปลกมาก ขึ้นไปเราก็ว่าใช่แน่ แต่พอถึงเวลาตรวจสอบกลับไม่ใช่ทุกที

ถาม : น่าจะไม่ถึงเวลาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะประมาณนั้น เพราะถ้าเป็นระยะนี้ พวกนักการเมืองแสนดีเขาจะรวยแทน จะไม่ถึงมือประชาชนส่วนใหญ่

ถาม : แต่ถ้าทำเพื่อชาติละครับ ?
ตอบ : ใคร ๆ ก็ทำเพื่อชาติทั้งนั้นแหละ คุณไปถามนักการเมืองดูสิ..!

ถาม : จุดที่ผมไปขุดจะใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ลองดู..อาจจะใช่ ขนาดของอาตมาเขามายืนยันให้ ยังไม่ใช่เลย

ถาม : อยู่ที่ผาช่อใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่

ถาม : ต้องไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของน้ำตกหรือครับ ?
ตอบ : คุณหันหน้าเข้าหาผาช่อ เยื้องขวาหน่อยเดียว จะมียอดเขาเตี้ย ๆ สองยอด อยู่ยอดที่สอง อาตมาเล็งมาสามสี่ทีแล้ว ขึ้นผิดทุกที ไปขุดจนจอบหักยังไม่ได้อะไรเลย ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่าลึกเมตรเดียว ขุดจนจะฝังตัวเองตายก็ยังขุดไม่เจอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2010 เมื่อ 02:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 09-12-2010, 21:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เอ่ยถึงดอกไม้มหาเสน่ห์ให้ฟังว่า "ดอกตะไคร้ อาตมาเคยเอามาใส่ตู้ให้เขาดูอยู่พักหนึ่ง เพราะหาได้ยาก จัดเป็นมหาเสน่ห์ในตัว พวกพ่อค้าแม่ค้าสมัยก่อนเอาไว้ช่วยในการค้าขาย

ดอกตะไคร้จะมีได้ก็คืนที่เกิดจันทรคราส ถ้าเกิดจันทรคราส บ้านใครมีต้นตะไคร้อยู่ให้ไปดู เผื่อว่าจะออกดอก ส่วนใหญ่พอได้มาเขาจะเอามาแช่ในน้ำมันหอม ถึงเวลาก็เจิมหรือพรมสินค้าด้วยน้ำมันดอกตะไคร้นี้

ส่วนว่านดอกทองที่อาตมารู้จัก เป็นว่านที่น่ากลัวมาก กลิ่นลอยไปถึงไหนก็ตะกายหาผัวหาเมียกันที่นั่น กระตุ้นยิ่งกว่าไวอะกร้าเสียอีก ถ้าว่านนี้เกิดขึ้นเหนือน้ำแล้วเกสรตกลงน้ำ พวกที่อยู่ทางท้ายน้ำคงไม่เหลือสักคน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2010 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 09-12-2010, 22:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรามีความรักความเมตตากับบุคคลคนหนึ่ง ก็ให้ความรักความเมตตาสงเคราะห์เขาตลอด จนถึงจุด ๆ หนึ่งที่มอบความรักความเมตตาแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าพอแล้ว และทันทีที่เกิดความรู้สึกว่าพอแล้ว อารมณ์ใจก็เกิดความนิ่งสงัด มีอารมณ์นิ่งเรียบเหมือนเป็นเส้นตรง ไม่เกิดอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น อารมณ์ที่เกิดนี้เป็นอุเบกขาได้หรือไม่?
ตอบ : ที่ว่ามาเกิดจากสองประการด้วยกัน ประการแรก เราก้าวถึงตัวอุเบกขาในพรหมวิหาร ประการที่สอง วาระที่เนื่องด้วยกรรมหมดแล้วพอดี

บางอย่างที่เราไปทำอย่างนั้นอาจจะไม่ใช่ความเมตตา แต่เกิดจากวาระกรรมที่เราต้องไปสงเคราะห์เขา คิดให้ดี ๆ นะ ตรงนี้ต่างกันมาก ถ้าหากเป็นตัวเมตตาในพรหมวิหารจริง ๆ จะมีตัวอุเบกขากำกับอยู่เสมอ คือ สงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยก็ตัวใครตัวมัน แต่ถ้ายังมีความผูกพันอันใดอันหนึ่งอยู่ ให้รู้เลยว่านั่นเป็นวาระกรรมมากกว่า

ดูตัวเองให้ดี ๆ ว่า ตั้งแต่ต้นที่ไปสงเคราะห์เขา พอสงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกครั้งเราสามารถปล่อยวาง ตัดทิ้ง ลืมไปได้เลยหรือเปล่า จนกว่าจะเจอหน้ากันใหม่และสงเคราะห์กันใหม่ไปตามวาระ ถ้าอย่างนั้นเกิดจากตัวเมตตาในพรหมวิหาร เพราะมีอุเบกขากำกับอยู่

แต่ถ้าถึงเวลาแล้วต้องไปคิดถึง พะวงอยู่ เขาจะเป็นอย่างนั้นไหม ? เขาจะเป็นอย่างนี้ไหม ? เราไม่ช่วยเขาต้องถึงตายหรือเปล่า ? ถ้าอย่างนั้นให้รู้ว่าเป็นเพราะวาระกรรมมากกว่า


ถาม : แบบนี้จะจบหรือคะ ?
ตอบ : จบไปเรื่องหนึ่ง ถ้าเคยสร้างกรรมไว้มาก เดี๋ยวก็มาอีกรอบ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-12-2010 เมื่อ 08:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 12-12-2010, 09:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา นักธรรมเขาออกสอบว่าเป็นคำพูดของใคร ?

เป็นคำพูดของพระรัฐบาลเถระบอกกับพระเจ้าอุเทน พระเจ้าอุเทนถามว่าพระรัฐบาลเถระว่าท่านออกบวชเพราะอะไร ? พระรัฐบาลบอกว่า ท่านเห็นโทษในโลกนี้ก็เลยบวช

พระเจ้าอุเทนตรัสว่า "โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน โยมก็พอเข้าใจ โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตนโยมก็พอเข้าใจ แต่โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา โยมไม่เข้าใจ"

พระรัฐบาลเถระกล่าวว่า "ถ้ามหาบพิตรได้ข่าวว่าอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร มีบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์มาก ประกอบไปด้วยทรัพย์สินมหาศาลและผู้คนจำนวนมาก แต่ไม่มีกองทัพเลย มหาบพิตรคิดว่าจะยกทัพไปตีเอามาเป็นข้าขอบขัณฑสีมาหรือไม่ ?" พระเจ้าอุเทนบอกว่าไป

นั่นแหละ...คือโลกยังพร่องอยู่ ไม่เพียงพอ ต้องไปหาเพิ่ม เพราะมีความอยาก คือ ตัณหาเป็นเครื่องนำไป

พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นท่านมีความฉลาดมาก ฟังแค่นี้ก็เข้าใจทันที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2010 เมื่อ 10:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 12-12-2010, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราทำทานแล้วไม่มีพรหมวิหารสี่จะเป็นอย่างไร ? ถือว่าเราขาดเมตตาต่อตัวเองหรือเปล่า เพราะทำจนเกินตัว ?
ตอบ : คุณเข้าใจพรหมวิหารสี่แค่ไหน ? อย่าลืมว่าพรหมวิหารสี่มีอุเบกขาด้วย ถ้าคุณขาดอุเบกขาในเรื่องใดก็จะเละทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องทานอย่างเดียว

เรื่องทานที่คุณว่ามาไม่ใช่ขาดพรหมวิหาร แต่เป็นการขาดปัญญา ในเมื่อขาดปัญญาไม่รู้ว่าอะไรพอดี ก็ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน คุณต้องเข้าใจใหม่

ถาม : ศีลข้อลักทรัพย์ เราอาจจะไม่ได้ตั้งใจขโมย แต่เขาให้เราเกินมา แล้วเราตั้งใจเก็บเอาไว้ ก็ถือว่าผิด ?
ตอบ : ถ้าไม่มีเจตนาโทษก็ไม่เต็มอยู่แล้ว ทรัพย์นั้นมีเจ้าของ เจ้าของไม่ได้ให้ เราตั้งใจลัก เราลงมือลัก ลักได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นขโมยร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

ถาม : ศีลข้อกาเมฯ อยู่กินก่อนแต่งนี่ผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ผิดแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเช่นกัน

ถาม : ถ้าเราแต่งงานแล้ว จะถูกโดยอัตโนมัติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ถูก ถ้าตราบใดที่พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาตให้ ตราบนั้นยังผิดอยู่ ไม่ใช่วิ่งไปจดทะเบียนแล้วจบกัน ทางธรรมไม่ใช่อย่างนั้น

ถาม : ต้องไปสู่ขอให้เรียบร้อย ?
ตอบ : ไปสู่ขอให้ถูกต้อง ถ้าหากว่าอยู่กินกันก่อนแต่ง ตอนไปสู่ขอ ก็ขอขมาทางพ่อแม่ฝ่ายนั้นก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2010 เมื่อ 10:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 12-12-2010, 17:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้ามีคนเขาบอกว่ากินเหล้าแก้วเดียว นอนอยู่บ้านไม่เดือดร้อนใคร เราจะให้เหตุผลแย้งเขาอย่างไร ?
ตอบ : เขื่อนมีรูรั่วแม้เพียงนิดเดียว ก็มีโอกาสที่จะทำให้น้ำดันออกมาและเขื่อนทั้งหลังพังทลายลงมาได้ สิ่งใดที่ทำแม้เล็กน้อย ก็เป็นความผิดเช่นกัน เหมือนกับเรากินยาพิษ จะกินมากกินน้อยตัวเราเดือดร้อนแน่ ถ้ามากได้ระดับก็ตาย ถ้าไม่มากก็อาจจะดิ้นทุรนทุราย

ถาม : ถ้าเรารักษาศีลโดยไม่มีพรหมวิหารสี่ ?
ตอบ : เป็นไปได้ยากมาก เพราะศีลต้องประกอบด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ เราต้องมีความรักความเมตตาเกิดขึ้นในจิตเรา เราจึงจะละเว้นการฆ่าได้ เราต้องมีความรักความเมตตาเขา จึงจะไม่ไปหยิบฉวยสิ่งของ หรือไปแย่งคนที่เขารัก เพราะฉะนั้น..ศีลทุกข้อต้องมีพรหมวิหารมาก่อน

ถาม : ถ้าเป็นตัวอุเบกขา ต้องผ่านเมตตา กรุณา มุทิตา มาก่อนหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องผ่านเยอะมาก จนกว่าปัญญาเกิดจึงจะอุเบกขาได้

ถาม : ไม่อย่างนั้นก็แปลว่าเราไม่สนใจชาวบ้าน
ตอบ : อย่างนั้นคือช่างหัวมัน แต่ไปวางไว้บนหัวคนอื่นแทน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 01:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 13-12-2010, 00:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อุปกิเลส ๑๐ กับอุปกิเลส ๑๖ ทำไมชื่อเหมือนกัน ?
ตอบ : อุปกิเลส ๑๖ เขาเรียกว่า มลทิน ๑๖ บาลีเขาเรียก มละ มลทินจะมีตั้งแต่ตระหนี่ มายา โอ้อวด เห็นผิด ฯลฯ ส่วนอุปกิเลส เขาหมายถึงอุปกิเลสในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาโดยตรง จะมีอยู่ ๑๐ อย่าง

คนละตัวกัน แต่มีคนไปตั้งชื่อหัวข้อว่าอุปกิเลส ทั้งที่บาลีเขาเรียกว่ามลทิน

ถาม : พอดีได้อ่านข้อความในเว็บไซต์ของท่านจิตโต ท่านเขียนไว้เรื่องการขาดพรหมวิหารสี่ว่า ถ้าขาดพรหมวิหารแสดงว่าโดนอุปกิเลสกินแบบเต็ม ๆ เลย ถ้าเราโดนต้องแก้ไขอย่างไร?
ตอบ : ต้องถามท่าน เพราะเป็นเรื่องที่ท่านพูดถึง ใครเป็นเจ้าของ เราถามตรงคนนั้น ท่านจะอธิบายได้ดีกว่า

ถาม : ถ้าเป็นตัวมานะ กรรมฐานคู่ปรับมีอะไรบ้าง ?
ตอบ : มานะเป็นสังโยชน์เต็ม ๆ เลย และเป็นสังโยชน์ชั้นสูงด้วย ต้องกำลังใจละเอียดมาก ๆ จึงจะคลำเจอและแก้ไขได้ ควรใช้มรณานุสติกรรมฐานให้เป็นปกติ รู้ตัวว่าต้องตายแน่อยู่เสมอ ในเมื่อต้องตายเหมือนกันแล้วจะเอาอะไรไปดีกว่าคนอื่นเขา

ถาม : การตัดกิเลส เคยฟังเทปของหลวงพ่อฤๅษี ท่านเปรียบกิเลสเหมือนกับช้างสี่ขา ถ้าเราตัดตัวไหนได้ก่อน ตัวอื่นก็จะเบาลงไป แต่เราควรจะทำตรงนี้ก่อนค่อยไปจัดการอุปกิเลส หรือควรจะจัดการอุปกิเลสก่อน ?
ตอบ : เวลาเราทำไปเรื่อย ๆ ปัญญาจะรู้เห็นว่าตอนนี้นิวรณ์ กิเลส หรือสังโยชน์ ตัวไหนที่เป็นอยู่เฉพาะหน้า เราก็แก้ไขตัวนั้น พูดง่าย ๆ ว่า สิ่งไหนโผล่มาตอนนั้นก็จัดการตัวนั้นก่อน เอาเรื่องเฉพาะหน้าเป็นหลัก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 13-12-2010, 01:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างตัวผม ตัวโลภอาจจะตัดง่ายมาก
ตอบ : เราก็ตัดโลภด้วยการให้ทานไปเรื่อย ๆ พอตัวอื่นโผล่หน้ามาก็ต่อสู้ไปด้วยไป เพียงแต่ว่าต้องงัดกรรมฐานคู่ศึกมาดวลให้ทันก็แล้วกัน

ถาม : แต่พอทำไป รู้สึกว่าไม่สนใจคนที่บ้าน กลายเป็นว่าโดนกิเลสกิน เรานึกเสียใจ
ตอบ : มีอะไรให้เสียใจ ถ้าเราไม่ได้เริ่มทำเราอาจจะไม่มีปัญญารู้เท่าทันเลยก็ได้ แต่นี่เราทำไปแล้ว บารมีที่เราสั่งสมมาในทาน ในศีล สมาธิ ปัญญา ของเราก็เริ่มส่งผลให้เรามีปัญญา รู้เห็นว่าสิ่งนี้ยังไม่ดีจริง เราค่อยเอาไปปรับปรุงแก้ไข ถ้าไม่ได้ลงมือทำก็ไม่รู้ว่าผิดถูกอยู่ที่ไหน

ถาม : ตอนที่ทำทานไป ไม่ได้มีเมตตากรุณาเลย หวังจะตัดความโลภอย่างเดียว อานิสงส์จะมีไหมครับ ?
ตอบ : ในสิ่งที่เราทำ อันดับแรก ต้องมีปัญญาก่อน รู้ว่าดีเราจึงทำ อานิสงส์นี้ได้แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าจะเอาให้กว้างไกลขึ้น ก็ควรจะให้อยู่ในลักษณะของพรหมวิหาร มีเมตตากรุณา มุทิตา แล้วถึงจะมีอุเบกขา

พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำทั้งทีให้ได้มากที่สุด ลงทุนทำทั้งทีก็อย่าให้ได้บุญน้อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 13-12-2010, 01:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราทำสมาธิแล้วเราไม่กำหนดลมหายใจ ไม่กำหนดภาพ ไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย จะถือว่าทำสมาธิหรือเปล่า หรือเรียกว่านั่งหลับตาเฉย ๆ ?
ตอบ : คงจะนั่งหลับตาเฉย ๆ ยกเว้นอย่างเดียวว่า มีความเคยชิน สามารถเข้าฌานระดับใดระดับหนึ่งได้คล่องมาก ถ้าอย่างนั้นเราสามารถจะดิ่งไปสู่ระดับนั้นได้เลย

แต่ถ้าเราไม่มีการกำหนดใด ๆ เลย ไม่มีทางที่จะทรงตัวเป็นสมาธิได้ เพราะจิตเราต้องคิดเป็นปกติ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

ถาม : หรือจะย้อนมาปฏิบัติเหมือนเดิม จับลมหายใจเหมือนเดิม ?
ตอบ : ลมหายใจเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกองเลย คุณจะทิ้งลมหายใจไม่ได้

ถาม : แล้วถ้านั่งสมาธิไม่เคยเห็นแสงสี ไม่เคยเห็นภาพ ?
ตอบ : ถือว่าโชคดีที่สุดในโลก ไม่อย่างนั้นคุณจะติดอีกเยอะ

ถาม : สังโยชน์ข้อรูปฌานกับอรูปฌาน เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ก่อน ?
ตอบ : ต้องทำให้ได้เพื่อความเป็นสุขของจิตเรา เพราะกำลังของฌานสมาบัติจะกดกิเลสให้นิ่งได้ก่อน เมื่อกิเลสสามารถที่จะนิ่งสงบลงได้ ปัญญาจะเริ่มเกิด จะทำให้เราเห็นว่า เราควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ถ้าเกรงว่าจะเป็นการติดในรูปฌานกับอรูปฌาน เราก็ใช้กำลังนั้นไปเกาะพระนิพพานแทน

ถาม : เหมือนเราคิดว่ารูปฌานก็ดี แต่เราอาจจะผ่านไปเกาะพระนิพพานแทน ?
ตอบ : ถ้าคุณผ่านไปเลยโดยไม่มีกำลังของฌาน คุณก็ตัดกิเลสไม่ได้ คนไม่มีกำลังจะไปแบกดาบแบกขวานขึ้นมาไหวได้อย่างไร จะมากจะน้อยก็ต้องมีกำลังของฌานอยู่บ้าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 01:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 13-12-2010, 11:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราไม่รู้จักพระนิพพาน มโนมยิทธิก็ไม่ได้ ศีลสมาธิก็ไม่ค่อยดี เราจะไปนิพพานอย่างไร ?
ตอบ : อีกหลายชาติ ถ้าหากปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากสิ่งที่เราทำนั้นดี ทำถูกจริง จะสามารถสัมผัสพระนิพพานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจน เพราะอารมณ์พระนิพพานจะมาสัมผัสกับใจของเราเอง

เพราะฉะนั้น..บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสุกขวิปัสสโกไม่ได้รู้เห็นอะไรเลย แต่ทำไมมั่นใจหนักหนาว่านี่คือพระนิพพาน เราสามารถไปพระนิพพานได้ เพราะว่าพอทำถึงระดับหนึ่ง ก็จะสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง

จะเรียกว่าอุปกิเลสเกิดขึ้นก็ได้ ญาณเครื่องรู้บังเกิดขึ้น อุปกิเลสแต่ว่าใกล้กิเลส ยังไม่ใช่กิเลส จะใช่กิเลสก็ต่อเมื่อเราไปยึด

ถาม : ถ้าเราไหว้พระตอนเช้า ไหว้หลวงพ่อฤๅษี ขอหลวงพ่อว่าเวลาเราตายไป ขอหลวงพ่อเมตตามารับเรา
ตอบ : ขอได้ แต่เหมือนกับว่าคุณขออยู่ฝ่ายเดียว แต่คุณไม่เปิดประตูรับ ท่านจะมารับเราได้อย่างไร ? ต้องอาศัยกำลังใจของเรามีจุดเกาะที่มั่นคง หรือไม่ก็อาศัยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงว่าโลกนี้สภาพนี้ไม่มีอะไรดี แล้วเราต้องการสลัดตัดทิ้งไปเลย เราจึงจะสามารถไปได้

แต่ถ้าเราเอาแต่ขออย่างเดียว ไม่มีการดำเนินวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่จะไปได้ ก็รอไปอีกนาน

ถาม : บางทีเราฟังธรรมะเราก็พอเข้าใจ แต่พอเกิดขึ้น ก็ดับไป แต่ทำไมอารมณ์ตรงนี้จึงไม่ติดอยู่ในใจเรา ?
ตอบ : เพราะนั่นยังเป็นแค่สัญญา คือ จำได้เท่านั้น ยังไม่เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เข็ดกลัวและเบื่อหน่าย คลายกำหนัดแล้วปล่อยวาง ยังต้องทำอีกหลายขั้นตอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 13-12-2010, 14:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราคุยกับคนอื่น แล้วเรียกหลวงพ่อว่าหลวงพี่ ถือว่าเป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : แล้วแต่สะดวก สื่อให้รู้ว่าเป็นท่านเท่านั้นก็พอ

ถาม : พอดีผมอ่านเจอหนังสือนี้ ประโยคสุดท้ายเขาบอกว่า ติดรูปให้แก้ที่รูป ติดนามให้แก้ที่นาม หมายความว่า ?
ตอบ : จริง ๆ น่าจะไปถามคนเขียนท่านเองนะ

เรารู้เฉย ๆ อย่างเดียวก็ไม่เป็นไร แต่เรารู้แล้วไปปรุงแต่งด้วย ก็จะเป็นโทษหนัก อย่างเช่นติดรูป เราสักแต่ว่าเห็นเฉย ๆ โทษยังไม่เกิด แต่เราไปคิดเพิ่มเติมว่า สวย ไม่สวย ชอบ ไม่ชอบ ก็จะปรุงเป็นรัก โลภ โกรธ หลงขึ้นมา จึงต้องมีสติรู้เท่าทัน อย่าไปปรุงแต่งเพิ่มถึงจะแก้ได้

ส่วนนามก็คือเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ เป็นส่วนประกอบของร่างกายนี้แหละ แต่เป็นส่วนที่ไม่สามารถจะสัมผัสได้ แต่สามารถกำหนดรู้ได้ด้วยใจหรือด้วยปัญญา ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็แก้ไขตามลักษณะของใจ ก็คือใช้ปัญญาประกอบ อะไรเกิดขึ้นก็เพียงสักว่ารับรู้ไว้ แต่ไม่ไปปรุงแต่งด้วย สิ่งนั้นก็จะดับไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 13-12-2010, 14:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในความรู้สึกส่วนตัวของอาตมานั้น ตัดเมียง่าย แต่ตัดลูกยากกว่ามาก ไม่แน่ว่าผู้ชายทุกคนจะเป็นแบบนี้

เราลองนึกถึงพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ท่านมีพระชายาที่เป็นนางแก้ว คำแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่เคยทำให้สะเทือนใจ มีลูกหัวแก้วหัวแหวนที่เพิ่งจะคลอดวันนั้นเลย เพื่อประโยชน์และความสุขของคนหมู่มาก พระองค์ก็ยังอุตส่าห์ตัดใจไปได้

เพิ่งพูดไปเมื่อหลังเพลว่า มหาการุณิโก นาโถ พระผู้เป็นที่พึ่งซึ่งประกอบด้วยพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ หิตายะ สัพพะปาณินัง สร้างประโยชน์สุขแก่สรรพชีวิตทั้งหลาย

อย่างที่พระองค์ท่านตรัสบอกแก่พระภิกษุรุ่นแรกที่ส่งไปประกาศพระศาสนาว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายจงเที่ยวไป พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก

ไม่มีเพื่อตัวเองเลย เราจะเห็นได้ว่า ที่พระองค์ท่านยิ่งใหญ่ ท่านยิ่งใหญ่ด้วยความดีจริง ๆ ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น กินเนสบุ๊คได้บันทึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ ในฐานะบุคคลที่มีอนุสาวรีย์รูปเคารพมากที่สุดในโลก แค่ประเทศไทยประเทศเดียวก็นับไม่ถ้วนแล้ว ลองนึกถึงวีรบุรุษต่าง ๆ ของโลกดูสิ มีอย่างเก่งก็คนละแค่ไม่กี่รูป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 02:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 13-12-2010, 16:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ที่กาญจนบุรีมีไม้กาหลงอยู่ต้นหนึ่ง อยู่บริเวณใกล้ ๆ กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว ตอนช่วงนั้นคนเขาก็สงสัยกัน เขาสงสัยว่าทำไมแถวนั้นนกตายเยอะจริง ก็คือ พอนกบินไปจับต้นไม้ตรงนั้นแล้วก็ไปไหนไม่ได้ จนกระทั่งอดตายไปเอง

ตอนหลังท่านอาจารย์บูรพา ซึ่งเป็นเจ้าของโรงลิเก และเป็นพระเอกลิเกด้วย เขาไปเจอแล้วเขารู้จักไม้ต้นนั้น เขาเลยใช้วิธีพลีต้นไม้ แล้วก็สร้างศาลขึ้นมาถวายให้ จากนั้นก็ขอเอาต้นที่เหลือไปทำเป็นวัตถุมงคล ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระครูวินัยธรบูรพา วัดถ้ำเสือดาว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 02:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 13-12-2010, 17:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมามีมีดจ่าตุ่มอยู่เล่มหนึ่งเป็นเหล็กลาย ด้ามเป็นงาช้างค่อม ตอนนี้ยังเก็บไว้ใช้ส่วนตัวอยู่

ช้างค่อมเป็นช้างเล็ก ๆ ตัวใหญ่กว่าควายหน่อยเดียว สมัยก่อนภาคใต้แถวพัทลุง สงขลา จะมีมาก เมืองนครศรีธรรมราชก็ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองช้างค่อม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 13-12-2010, 19:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อยากให้ดูครอบครัวตัวอย่างในปัจจุบัน ก็คือ ครอบครัวคุณสมบัติ เมทะนี เราจะเห็นว่าเขาสามารถรักษาความดีสม่ำเสมอมาตั้งแต่ต้นยันปลาย ไม่มีอะไรเสียหายเลย

ส่วนอีกครอบครัวหนึ่ง ก็คือ ครอบครัวของคุณชรินทร์ นันทนาคร กับคุณเพชรา เชาวราษฎร์ มีคนถามคุณชรินทร์ว่า ในแต่ละวันต้องคอยดูแลภรรยาที่ตาบอดอยู่ตลอดเวลา ลำบากยากเข็ญขนาดนี้ ทำไมไม่หาคนใหม่เพื่อให้เขามาดูแลเราบ้าง ? คุณชรินทร์บอกว่า สมัยนั้นเขาแทบจะไม่มีความหวังเลย ในบรรดาหนุ่ม ๆ ที่ไปจีบคุณเพชรา เขามีคุณสมบัติด้อยที่สุด เพราะฉะนั้น..เขาต้องสู้ฟันฝ่าจึงจะได้มา ของที่ได้มายากขนาดนี้ เขาจึงเห็นคุณค่า ทิ้งไม่ลง

เพลงหยาดเพชร คุณชรินทร์เขาแต่งให้คุณเพชราโดยเฉพาะ "เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า หยาดเพชรเกล็ดแก้วแววฟ้า ร่วงมาจากฟ้าหรือไร.." เพลงสมัยก่อนเขาสวย เห็นภาพพจน์ ได้อารมณ์ก็ติดหูคน ไม่เหมือนสมัยนี้ บางทีตั้งใจฟังยังไม่รู้เรื่อง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 13-12-2010, 20:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในเรื่องการปล่อยวางนั้น จะมีความลึกเป็นระดับขั้น ๆ ใช่หรือเปล่า ? อย่างบางเรื่อง ณ ตอนนี้เราปล่อยมันแล้ว แต่พอไปถึงอีกจุดหนึ่ง เราจะรู้ว่าที่ปล่อยในครั้งนั้น ยังไม่ใช่จริง ยังมีความปล่อยที่มากกว่านั้นอีก จะเป็นอย่างนี้ไปอีกเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถูกต้องแล้วครับ..!

ถาม : มีโอกาสเป็นไปได้ไหม ที่เราปล่อยวางเรื่องนี้จนกระทั่งถึงจุดตันที่สุดของเรื่องนั้นแล้ว แต่ในเรื่องอื่น ๆ เรายังปล่อยได้ไม่ถึงที่สุด หรือว่าแท้จริงอารมณ์ปล่อยวางจะต้องเท่ากันหมดในทุกเรื่อง ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องเท่ากันทุกเรื่อง แต่ว่าในแต่ละเรื่อง บางทีความยินดียินร้ายและอารมณ์ปรุงแต่งบางส่วนของเรายังมีอยู่ จึงทำให้เราปล่อยได้ไม่เท่ากัน

ถาม : มาสังเกตว่า แค่บางครั้งตัวสมาธิเราพร้อม ตัวปัญญาและสติของเราก็มาพร้อม เหมือนกับมารวมตัวกัน ตรงนี้แค่เราบังคับให้อยู่ในอารมณ์สมาธิอย่างเดียวไปตลอด เราก็แค่ระวังป้องกัน หรือบางช่วงที่กิเลสยังไม่เข้า เราก็ต้องซ้อมของเราไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ซ้อมไปเรื่อย ๆ ดีกว่า สติ สมาธิ ปัญญา นั้น จริง ๆ แล้วมาพร้อมกัน แต่สมาธิจะเป็นตัวข้อกลางที่เชื่อมระหว่างสติกับปัญญาอยู่ ถ้าสมาธิทรงตัว สติตั้งมั่น ปัญญาก็เกิดได้ง่าย ถึงเวลาเราก็เอาสมาธิไว้ก่อน และซ้อมเข้าซ้อมออกให้คล่อง หลังจากนั้นก็ซ้อมในการสู้กับกิเลส

แรก ๆ ก็อาจจะเป็นการจินตนาการอะไรขึ้นมาก่อน หลังจากที่เรามีความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหาตามข้อกิเลสนั้น ๆ ถึงเวลาจริงก็จะแก้กิเลสได้ง่ายขึ้น จะเห็นช่องทางมากขึ้น

ถาม : บางทีหนูไปลิ้มรสของความรู้สึกที่ไม่มีอะไร พอรู้ว่าไม่มีอะไร เราก็ไม่คิดจะเอาอะไร กลายเป็นว่าสิ่งที่เราคิด พูด ทำ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ความเป็นตัวเองจะหยุดไปเลย
ตอบ : จะว่าไปแล้วก็คือ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ แต่ในส่วนของเราที่ว่ามา จริง ๆ แล้วจะอธิบายลักษณะอย่างนั้นได้ ในเมื่อเราเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ทั้งหมดที่เราทำไปก็สักแต่ว่าทำ แต่ทำในลักษณะที่รู้ว่าสิ่งนี้ดี โลกเขานิยมว่าดี เราก็ทำสิ่งนั้น แล้วสิ่งไหนที่ชั่ว คนส่วนมากเขาเห็นว่าไม่สมควร เราก็ละเว้นในสิ่งนั้น

โดยเฉพาะต้องดีของพระพุทธเจ้า และสิ่งที่ท่านว่าไม่ดี ถ้าเราทำดีของพระพุทธเจ้าและละในสิ่งที่ท่านว่าไม่ดีได้ โดยที่สักแต่ว่าทำ ก็กลายเป็นกำลังใจของเราจะก้าวเข้าสู่จุดสุดท้ายได้ง่าย

ถาม : อย่างสักแต่ว่าทำ เช่น ในเรื่องการปฏิบัติ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำตรงนี้ผลที่ได้คืออะไร แต่ไม่ใช่รู้ขณะช่วงที่เราทำเท่านั้น ก่อนที่เราจะทำหรือหลังที่เราทำ เราก็ไม่ได้คิดถึงผลตรงนั้น คือหยุดแค่ตรงนั้นอย่างเดียว
ตอบ : จ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 13-12-2010, 20:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างอารมณ์พรหมวิหาร จะใช่ลักษณะอย่างนี้ไหมคะ ? คือ เราลดกำลังใจลงมาให้เท่ากับคน ๆ นั้น ก็ไม่เชิงลดกำลังใจ แต่เป็นลักษณะที่เราเข้าใจหัวอกของเขา เหมือนเรากับเขาเป็นคน ๆ เดียวกันเสียด้วยซ้ำไป พอเห็นอย่างนั้น ก็จะรู้ซึ้งและเข้าใจในความเป็นเขา ไม่แน่ใจว่า ตรงนี้ใช่พรหมวิหารหรือเปล่า ?
ตอบ : หลาย ๆ ส่วนรวมกัน เช่น มีทิพจักขุญาณร่วมด้วย ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ

ถาม : แสดงว่ามีตัววิปัสสนาเข้าไปช่วย ?
ตอบ : โดยเฉพาะมีตัวปัญญา รู้ว่าตรงไหนพอดีสำหรับเขา เราก็ทำ ไม่อย่างนั้นเขาต้องการเพียงแค่นี้ แต่เราให้มากเกินเขาก็รับไม่ได้

ถาม : เมื่อก่อนนี้มองไม่เห็นว่าการปรุงแต่งเป็นอย่างไร ตอนนี้มองเห็นทันแล้วค่ะ
ตอบ : การรู้เห็นนั้นไม่ใช่เห็นเฉย ๆ พอเห็นแล้วเราต้องหยุดตั้งแต่สาเหตุแรก กิเลสถึงจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราไม่ได้ ถ้าเราเห็นเฉย ๆ แล้วหยุดไม่ได้ บางทีก็ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิมอีก เหมือนกับคนไข้รู้ว่าเจ็บตรงนี้ แต่ก็ยังแก้ไขไม่ได้เสียที

ถาม : แปลกเหมือนกันว่า พอล้มทีไรก็ได้อะไรกลับมาทุกครั้ง
ตอบ : ต้องให้ได้อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นล้มแล้วเสียเวลาเปล่า ไม่ได้เก็บของเก่าเอามาเป็นบทเรียน โบราณเขาบอกว่าผิดเป็นครู เพราะฉะนั้น..ก็เอามาเป็นครูเพื่อแก้ไขตัวเรา แต่ถ้าผิดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เป็นศาสตราจารย์..!

ถาม : อย่างเมื่อก่อนเวลาเราทำอานาปานสติ เราไม่ได้ไปอะไรมาก แค่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราควรทำเพื่อให้สมาธิรวมตัว แต่พอมาตั้งว่า ๒ วันนี้ เราจะเอาแต่อานาปานสติ คือจะเล่นตัวอนุสติไปเรื่อย ๆ กลับแปลกตรงที่ว่า เราตั้งใจจะเอาอานาปานสติเหมือนเดิมก็จริง แต่อารมณ์กลับต่างจากเมื่อก่อน คือ เราทำอานาปานสติก็จริง แต่เราก็เห็นว่าเราทรงอารมณ์อานาปานสติ เหมือนกับตัวอานาปานสติมีอยู่รอบตัวเราตลอด นี่คือ..?
ตอบ : นั่นเป็นสิ่งที่เราทำได้แล้ว แค่มาทบทวนใหม่ โดยการกำหนดเวลาเท่านั้นเอง เมื่อทวนบ่อย ๆ ก็จะเกิดความชำนาญ ทำให้สังเกตอารมณ์ใจได้มากขึ้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมาก แต่บางทีรู้มากไปก็ลำบาก รู้มากก็ยากนาน ยิ่งรู้ก็ยิ่งยาก ไปเจอคนรู้น้อยก็จะพลอยรำคาญไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 14-12-2010, 10:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดู ๆ ไปแล้วจะเห็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า ท่านมอบสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้แก่เรา เราจึงได้มีอาวุธไว้ใช้ในการต่อสู้กับกิเลส ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ ถึงแม้ยังเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ไม่แพ้อย่างน่าอนาถนัก

ส่วนใหญ่แล้วเราไปแพ้อย่างน่าอนาถ ฉะนั้น..ถ้าเรามั่นคงในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจริง ๆ จะมากจะน้อยผลก็เกิดขึ้น ถึงแม้ไม่สามารถจะช่วยคนอื่นได้ อย่างน้อย ๆ ก็สามารถรักษาตนเองได้ ถ้ารักษาตัวเองได้นี่ถือว่าดีมากแล้ว

กำลังใจคนนั้น ถ้าแบ่งอย่างหยาบ ๆ ก็มีอยู่สามระดับด้วยกัน

ระดับที่หนึ่ง เอาตัวไม่รอด ช่วยคนอื่นไม่ได้

ระดับที่สอง เอาตัวรอดได้ ช่วยคนอื่นไม่ได้

ระดับที่สาม เอาตัวรอดได้ ช่วยหมู่คณะให้รอดได้ด้วย

ฉะนั้น..อย่างน้อยถ้าจะแพ้ก็ให้ชนะใจคนดู น้องเจนนี่เขาขึ้นไปแข่งเทควันโด เนื่องจากตัวเองเก่งเกินวัย คู่ต่อสู้รุ่นท้าย ๆ มีแต่ตัวใหญ่กว่า เพราะอายุของตัวเองยังน้อยอยู่ ถึงเวลาต้องอาศัยความเร็วต่อสู้เอา พอพลาดโดนคู่ต่อสู้เตะทีก็กระเด็น พอโดนเข้าหลายที กรรมการถามว่าจะยอมแพ้ไหม ? น้องเจนนี่ไม่ยอม บอกว่า "สู้..!" สู้ทั้งน้ำตา คนดูปรบมือกันเกรียวเลย ใจสู้จริง ๆ

ถ้าจะแพ้ก็ต้องแพ้ในลักษณะนั้น คือแพ้แต่ชนะใจคนดู แต่ถ้าชนะได้ก็ดีกว่า เพราะโลกนี้เขาจดจำแต่ผู้ชนะเท่านั้น อย่างเอเชี่ยนเกมส์ที่ผ่านมา อย่างการวิ่งแข่ง ๑๐๐ เมตร คนชนะก็ชนะไป ส่วนคนแพ้ก็แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง แต่คนจำเฉพาะคนได้เหรียญทอง คนได้เหรียญเงินที่วิ่งจี้ตามมากลับไม่จำ

เพราะฉะนั้น..ในเมื่อโลกเขานิยมอย่างนั้น ก็อย่าพยายามแพ้ โดยเฉพาะถ้าแพ้กิเลส เราไม่ได้แพ้ชาติเดียว แพ้กิเลสก็ต้องเกิดอีกหลายชาติ น่ากลัวมาก พิจารณาแล้วจะเกิดภยตูปัฏฐานญาณ เห็นเป็นโทษเป็นภัย เป็นของที่น่ากลัวมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 11:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 14-12-2010, 11:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,024 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าให้เพื่อนลอกข้อสอบหรือลอกข้อสอบเพื่อน ผิดศีลข้อไหนคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดจ้ะ ไม่มีศีลข้อไหนระบุว่าห้ามลอก แต่ในส่วนของสามัญสำนึก เราจะรู้ว่าควรหรือไม่ควร ดังนั้น..ในส่วนที่ผิดจะเป็นผิดมโนธรรมที่เกี่ยวข้องกับสามัญสำนึกของเราเอง

ถ้าเรามัวแต่ไปลอกเขาอยู่ ไม่มีความรู้ที่แท้จริง เมื่อมีสถานการณ์ที่ต้องใช้ความรู้อย่างนั้น เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ถ้าเรารู้จักคิดอย่างนี้ เราก็จะไปพากเพียรเรียนให้รู้จริง ๆ

ถาม : ถ้าเพื่อนมาขอลอก ?
ตอบ : ถ้าเพื่อนมาขอลอกก็ให้ลอกไปเถอะ ถือว่าเป็นเมตตา แต่บอกเขาหน่อยว่า ลอกแล้วต้องแปลงข้อความด้วยนะ อย่าให้เหมือนกันทุกคำ..!

ที่จริงแล้วนี่จัดเป็นการทุจริต ทุจริตก็คือประพฤติมิชอบ ไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบที่เขาบังคับเอาไว้ ถ้าเราละเมิดในเรื่องแค่นี้ได้ ต่อไปเรื่องที่หนักกว่านี้เราก็จะละเมิดได้ จะเป็นต้นเหตุให้เราทำความชั่วที่หนักกว่านี้ได้ ถ้าละเว้นได้ก็ให้ละเว้นเสีย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2010 เมื่อ 11:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว