กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-01-2012, 08:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๐

อบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๐


พระอาจารย์ : คุณมาได้อย่างไร ?

ท่านเบิร์ธ : ออกมากับแม่ชีปุ๊กเมื่อวานครับ หลวงตาน้อยไปรับ

พระอาจารย์ : แล้วคุณก็มาด้วย
ท่านเบิร์ธ : ครับ

พระอาจารย์ : ขาดพรรษาตายห่.. คุณรู้หรือเปล่าว่า การออกจากวัดในพรรษาต้องมีเหตุอะไรบ้าง ?
ท่านเบิร์ธ : มีพ่อ – แม่ป่วยกับพระอุปัชฌาย์...

แล้วที่คุณมามีเหตุนั้นไหม ? ไม่ใช่ข้ออ้างว่าเราจะขอสัตตาหะ*ได้เพราะอยู่คนเดียว คุณจำไว้ว่า เรื่องของพระธรรมวินัย ถึงตัวตายก็ต้องรักษาไว้

วันก่อนที่พวกคุณโทรไปปรึกษาเรื่องของอาบัติปาราชิก**สังฆาทิเสส***แล้วมาวันนี้ก็เป็นอย่างนี้อีก แสดงว่ากำลังใจของคุณแย่มาก ไม่ได้มีศีลไว้ในใจเลย ถ้าหากว่ามีศีลไว้ในใจ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้คุณก็จะไม่พยายามล่วงละเมิดแบบนี้

อย่าลืมว่าอาบัติพระนี่เราต้องตั้งแต่คิดแล้ว อย่าลืมว่าสมุฏฐานอาบัติมีอะไร ? กายกับจิต วาจากับจิต แค่คิดก็โดนแล้ว เพียงแต่ว่าท่านยังไม่ปรับหนักเท่านั้นเอง

อย่างเช่นว่าอาบัติปาราชิก มีไถยจิตคิดจะขโมย เอื้อมมือแตะถูกวัตถุนั้น โดนอาบัติทุกกฎ****แล้ว ทำให้วัตถุนั้นสั่นไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย***** ย้ายออกจากฐานแค่เส้นผมผ่า ๑๖ ต้องอาบัติปาราชิกเลย ขาดความเป็นพระไปแล้ว..!

อย่างที่คุณโทรมาปรึกษานั่นสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในการกระทำทั้งหมด ถ้าเป็นปาราชิก ก็ขาดไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว


หมายเหตุ :
*ธุระเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดในระหว่างพรรษาได้ ๗ วัน ได้แก่ ๑).ไปเพื่อพยาบาลสหธรรมิก หรือ มารดาบิดาผู้เจ็บไข้ ๒).ไปเพื่อระงับสหธรรมิกที่กระสันจะสึก ๓).ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น ไปหาทัพพสัมภาระมาซ่อมวิหารที่ชำรุดลงในเวลานั้น ๔).ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของทายกซึ่งมานิมนต์เพื่อการบำเพ็ญกุศลของเขา ธุระอื่นที่เป็นกิจจะลักษณะ อนุโลมตามนี้ได้ จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ : มหาวรรค ภาค ๑

**พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ : มหาวิภังค์ ภาค ๑ : ปาราชิกกัณฑ์

***พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ : มหาวิภังค์ ภาค ๑ : สังฆาทิเสสกัณฑ์

****พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ : มหาวิภังค์ ภาค ๑ : บทภาชนีย์

*****พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ : มหาวิภังค์ ภาค ๑ : บทภาชนีย์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2012 เมื่อ 11:33
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-01-2012, 08:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น...สติเกี่ยวกับเรื่องศีลของพระนี่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องของอาบัติปาราชิกและสังฆาทิเสส ต้องระมัดระวังให้ถึงที่สุด อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านปรับแม้แต่ชั่วขณะจิตหนึ่งตอนนั้น

เราอาจจะอ้างว่าไม่มีเจตนา แต่ในระหว่างนั้นถ้าหากว่าเจตนาเกิดขึ้น เราก็โดนอาบัติแล้ว พระองค์ท่านสอนให้เรารักศีล เพราะว่าศีลเป็นสมบัติที่พระองค์ท่านให้ไว้ เราจะเป็นพระหรือไม่เป็นพระก็อยู่ตรงศีล ไม่ใช่ถึงเวลาแล้วทำอะไรส่งเดช ถ้าขาดความเป็นพระไปจะซวยไม่รู้จบ..!

การโดนอาบัติสังฆาทิเสส ต้องไปประจานตนเองท่ามกลางหมู่สงฆ์ ว่าเราทำอะไรผิดไป ต้องให้เขาจำกัดเขตเหมือนกับติดคุก ถึงเวลาใครเข้าไป ต้องไปรายงานตัวกับเขาทุกคนว่า เราทำอะไรผิดมา จนกว่าจะครบกำหนดเวลา แล้วให้สงฆ์อีก ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นสงฆ์ให้ ถึงกลับมาเป็นพระได้อีกทีหนึ่ง

อาบัติอื่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อาบัติทุกข้อล้วนแล้วแต่ทำให้เราลงนรกทั้งนั้น การฝืนคำสั่งพระพุทธเจ้าแล้วจะรอดจากนรกนั้นไม่มี การแสดงคืนอาบัติในสิ่งที่สามารถแสดงคืนได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพ้นจากความชั่วอันนั้น

การแสดงคืนอาบัติ ถ้าหากว่าเป็นแผลก็คือหยุดการลุกลาม แต่แผลก็ยังเน่าเปื่อยอยู่ ถ้าหากว่าเรามีแต่แผลเน่าเต็มตัว แล้วใครอยากจะคบหาด้วย เราจะไปประมาทว่าอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ ต้องศึกษาให้ดีเสียก่อน

ถึงได้บอกว่า ตั้งแต่พรรษาแรกถึงพรรษาที่ ๕ เราจะห่างพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ได้ เพราะว่าเราอาจจะทำผิดทำพลาดได้ เรื่องของสิ่งที่เป็นความหยาบภายนอก อย่างเรื่องของศีลนี่ ผมถึงว่าเป็นสิ่งที่หยาบ

เพราะว่าศีลส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกายกับวาจา แม้ว่าสมุฏฐานจะเกิดจากใจ แต่กายกระทำ วาจาพูด ถือว่าเป็นเรื่องหยาบ ถ้าเราทำไม่ได้ ในเรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญาก็ไม่ต้องไปหวัง

ตอนนี้พวกท่านก็คงจะรู้แล้วว่า ที่บวชเข้ามานั้นนรกมีจริง..! ตอนบวชทุกคนตั้งใจมาดี แต่คุณลืมไปว่าการบวชนั้นง่าย แต่จะรักษาความดีให้สมกับที่บวชมานั้นยากที่สุด ผมเคยรู้สึกเหมือนกับตกนรกมาก่อน ผมถึงไม่ชวนใครบวชเลย

๒ พรรษาแรกนี่ประสาทจะกิน ขยับตัวไปทางไหนกลัวผิดกลัวพลาดไปหมด ถึงขนาดต้องเปิดหนังสือนวโกวาททวนอยู่ทุกวัน เพื่อจะได้ไม่ให้เผลอสติ แล้วพวกท่านได้ทำกันบ้างไหม ? ผมเชื่อว่าถ้าหากทำ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น แปลว่าสิ่งที่ผมบอกไป ก็คือคำสั่งที่เป็นลมผ่านหูไปเฉย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2012 เมื่อ 11:35
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-01-2012, 08:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกอย่างหนึ่งก็เรื่องของสัตว์เลี้ยง จำไว้ให้แม่น ๆ ว่า ไม่มีสัตว์ตัวใดอยากจะโดนขัง ถ้าเราเลี้ยงแล้วต้องจับต้องขัง ถ้าไม่มีความดีอื่นช่วยเลย ตายเมื่อไรจะไปเกิดเป็นเวมานิกเปรต* ออกจากวิมานไม่ได้ ออกมาเมื่อไรกงจักรพัดหัวขาดเมื่อนั้น..!

ฉะนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สถานที่นี้อย่าไปแสวงหาสัตว์เลี้ยงมาเพิ่มอีก ใครเป็นคนเอามาคนนั้นรับผิดชอบ เพราะว่าพวกเราไม่ใช่คนช่างสังเกต ไม่รู้หรอกว่าพวกสัตว์นั้นลำบากขนาดไหน

สัตว์จะมีภาษากายบอกด้วยอาการ ภาษาเสียงบอกด้วยเสียง ภาษาใจบอกด้วยความคิด แต่เราเองดูไม่ออกสักอย่างหนึ่งแล้วไปเอามาเลี้ยง โดยเฉพาะไม่รู้ว่าเขากินอะไร เขาอยู่อย่างไร

ชะนีกินอะไรมากหน่อยก็ท้องเสีย ท้องร่วงตายเอาง่าย ๆ โดนความเย็นโดนความชื้นหน่อยก็ปอดบวมตายเอาง่าย ๆ กลายเป็นการทรมานสัตว์ ไม่ใช่ว่ารักสัตว์แล้วดูแลไม่เป็น

เหมือนอย่างกับบางวัด เต่าเต็มสระไปหมด โยนให้กินแต่ผักบุ้ง เขาสร้างเวรสร้างกรรมให้เต่าขนาดไหน เพราะเต่าเป็นสัตว์กินเนื้อ ดันไปเชื่อเพลงบ้า ๆ สมัยโบราณ ชื่อเพลงเต่ากินผักบุ้ง **แล้วก็เอาผักบุ้งให้กินอยู่ตลอด ที่เต่ายอมกินเพราะไม่มีอะไรจะกิน..!

อย่างพวกลิง ค่าง ชะนี จะต้องกินพวกเนื้อเป็นระยะ เขาต้องหาแมลง หาสัตว์เล็ก ๆ กิน แล้วอาหารการกินก็ไม่ใช่ว่าซ้ำซากจำเจอยู่ทุกวัน ต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ


หมายเหตุ :
*พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๘ ขุททกนิกาย เปตวัตถุ

**เพลงเต่ากินผักบุ้ง เป็นเพลงอัตราสองชั้น ประเภทหน้าทับปรบไก่ ทำนองเก่าสมัยอยุธยา ใช้เป็นเพลงลา โบราณาจารย์ทางดนตรีไทยนำเพลงนี้เรียบเรียงไว้ในเพลงช้าเรื่องเต่ากินผักบุ้ง ประกอบด้วยเพลงเต่ากินผักบุ้ง เต่าเห่ เต่าทอง เพลงเร็วเต่ากินผักบุ้งและเพลงลา เฉพาะทำนองเพลงเต่ากินผักบุ้ง มี ๓ ท่อน ท่อนที่ ๑ มี ๔ จังหวะ ท่อนที่ ๒ และ ๓ มี ๒ จังหวะ ในการนำเพลงเต่ากินผักบุ้งสองชั้นมาร้องเป็นเพลงลานั้น นักดนตรีได้สร้างทำนองการร้องว่า “ดอก” ไว้ในทำนองท่อนที่ ๒ เพื่อเปิดโอกาสให้เครื่องดนตรีเช่น ปี่ ซอ ฯลฯ ได้เป่าหรือสี แสดงความสามารถในการเลียนเสียงร้อง และอวดความสามารถทางดนตรีของตน

เพลงเต่ากินผักบุ้งสองชั้นนี้ มีนักดนตรีนำทำนองไปแต่งขยายเป็นอัตราสามชั้น โดยคงการว่า“ดอก”ไว้ตามลักษณะทำนองของอัตราสองชั้น มีประวัติอธิบายสองนัย คือ ครูเพ็ง นักดนตรีไทยมีชื่อท่านหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่งขยายเป็นอัตราสามชั้นทางหนึ่งเรียกชื่อเพลงใหม่ว่าเพลงปลาทอง อีกท่านคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงนิพนธ์ขยายเป็นอัตราสามชั้นไว้เพื่อให้แตรวงมหาดเล็กบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำนองที่ทรงนิพนธ์ขยายนี้ ได้เรียกชื่อใหม่ว่าเพลงปลาทอง ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๕ นายมนตรี ตราโมท นำทำนองสองชั้นมาแต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียว และนำทำนองทั้งสามอัตราชั้นมาบรรเลงติดต่อกันเป็นเพลงเถา ส่วนชื่อของเพลงยังคงเรียกเหมือนเดิมว่า เพลงปลาทอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2012 เมื่อ 11:24
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-01-2012, 09:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราให้กินเหมือนกันอยู่ทุกวัน ก็เหมือนกับให้เรากินอาหารอย่างเดียวอยู่ทุกวัน จะไหวไหม ? การรักสัตว์ เลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องรักจริง ๆ เลี้ยงจริง ๆ ไม่ใช่เห็นแล้วเห่อ อยากได้ อยากเท่

ลูกสัตว์เล็ก ๆ น่ารักทุกตัว แต่พอเริ่มโตขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างกลับมา เขาจะไม่ยอมให้เราควบคุมอีก เพราะว่าสัตว์ป่าทุกชนิด โดยธรรมชาติของเขาเลยจะไม่ยอมอยู่ใกล้มนุษย์

เราก็หมดความรักทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แม้กระทั่งเม่นแคระสองตัวนี้ก็อยู่ลักษณะอย่างนี้ พอเจ้าของเล่นกับเขาไม่ได้ ก็เอามาทิ้งให้พระเลี้ยง ผมกลับมาเมื่อคืนก็สงสัยว่า ทำไม“มังคุด”*ถึงได้ผอมจนเหลือขนาดแค่นั้น ?

พอตอนเช้ามาผมสังเกตดู เห็นขาหลังของมังคุดบวมฉึ่งเลย ใหญ่กว่าปกติสักสองเท่าครึ่งได้ ผมก็ไปจับขึ้นมาดู ปรากฏว่ามีผ้าพันอยู่ ผมก็นึกว่าขาเจ็บแล้วพวกคุณพันผ้าให้ พอเข้ามาถามถึงได้รู้ว่า ไม่มีใครรู้เรื่องเลย

ปรากฏว่ามังคุดไปโดนด้ายของผ้าขนหนูรองรังพันเอา บาดลึกเข้าไปจนกระทั่งถึงกระดูก เลือดไม่ไปเลี้ยง ขาเน่าจะขาดอยู่แล้ว เขาพยายามที่จะดิ้นรน เดินพล่านไปหมดเพื่อหาคนช่วย แต่ไม่มีใครสังเกตสักคนหนึ่ง

เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สัตว์ของใครคนนั้นต้องรับผิดชอบดูแลให้ดี ถ้าหากว่าไม่มีเวลาว่างดูแล ต้องหาคนดูแลแทนให้ได้ ความที่เป็นคนไม่ช่างสังเกต จะทำให้เราทรมานสัตว์โดยไม่รู้ตัว แล้วความมักง่ายของเรา บางทีก็เลี้ยงสักแต่ว่าเลี้ยง

ผมสงสัยว่าทำไม “เจ้าฟ้า”**ถึงได้ผอมโกงโก้จนมีแต่หนังหุ้มกระดูก สังเกตดูจึงพบว่าเจ้าฟ้ากินข้าวอย่างพวกเราไม่เป็น เจ้าของเดิมคงเลี้ยงด้วยอาหารสุนัข ต้องให้ป้ามุกดาไปหาซื้ออาหารกระป๋องแพง ๆ มาให้กิน คุณเคยสังเกตกันบ้างไหม ?


หมายเหตุ :
*เม่นแคระ(African pygmy hedgehog) พันธุ์นอร์มอล ปินโต

**สุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2012 เมื่อ 11:31
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 06-01-2012, 08:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ผมผลักหน้าต่างหอฉันปิดเข้าไปทีไร พวกคุณก็ง้างออกมาทุกที ถ้าวันไหนคุณเดินชนแล้วเย็บหน้าตัวเองสักเจ็ดแปดเข็ม แล้วจะรู้ว่าทำไมผมถึงได้ผลักปิดเข้าไป ถ้าคุณสังเกตจะเห็นว่า ผมเปิดไว้ประมาณไม่เกินสามสี่นิ้วเท่านั้น ประเภทลากออกมาทีเป็นศอกให้ระวังเอาไว้ ถ้าวันไหนคุณเดินแล้วลื่นละก็..ได้เย็บแน่นอน..!

แบบเดียวกับไฟด้านข้างนี่ก็เหมือนกัน อย่าลืมว่าที่นี่เป็นป่า เปิดไฟทิ้งไว้เมื่อไรแมลงจะมา โดยเฉพาะตัวริ้น แล้วพอเราเปิดไฟข้างใน ตัวริ้นเห็นไฟก็มุดเข้ามา แล้วก็มากัดเรา แต่เชื่อเถอะ พวกคุณโดนกัดอยู่ทุกวันก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะไม่ใช่คนช่างสังเกต แล้วลองดูพรุ่งนี้ว่า ถ้าเราไม่เปิดไฟ ลองไปเปิดทางด้านอื่นดูซิ ว่าริ้นยังจะกัดเราไหม ?

เรื่องหยาบ ๆ เหล่านี้ ถ้าเราไม่สามารถที่จะสังเกตได้ ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เรื่องความละเอียดทางใจไม่ต้องไปพึงหวัง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วทุกคนก็เห็นอยู่ แต่ว่าความหยาบของจิตทำให้พวกคุณมองข้ามไป

บางอย่างก็เสียหาย กว่าจะรู้ตัวก็ลุกลามไปจนเกินกว่าจะแก้ไขได้ สมัยก่อนผมเลี้ยงพวกสัตว์ ไก่ตกน้ำตายไม่มีใครรู้สักคน เขาขึ้นไปวางไข่อยู่ข้างบนถังเก็บน้ำนั่น

ปรากฏว่ามุ้งที่กรองน้ำผลุบลงไป ไก่บินขึ้นไม่ทันจึงตกน้ำตาย ไม่มีใครรู้หรอก จนกระทั่งผมสงสัยว่า ทำไมมุ้งถึงผลุบลงไป ปีนขึ้นไปดูถึงได้เห็นว่าไก่ลอยอืดอยู่

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว และเชื่อว่าถ้าพวกเรายังไม่มีความละเอียดก็จะเกิดขึ้นอีก การแสดงออก ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ของพวกเรา ถ้าหากว่าภายนอกหยาบ ภายในก็หยาบไปด้วย

ในเมื่อภายนอกหยาบ ภายในหยาบไปด้วย การจะเข้าถึงธรรมในส่วนที่ละเอียดก็แปลว่ายังห่างไกลเหลือเกิน ผมเคยบอกว่าให้ทุกคนพยายามศึกษา ทำหน้าที่ทดแทนกันให้ได้ อย่าไปทิ้งภาระไว้เป็นของคนใดคนหนึ่ง

แต่ว่าขณะเดียวกัน ก็อย่าหาภาระมาเพิ่มให้เขา โดยเฉพาะชะนีเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ถ้าไม่ได้จดทะเบียนกับกรมป่าไม้ มีหวังติดคุก..! มีใครเคยรู้บ้างว่ากฎหมายเขาเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งจิ้งจกตุ๊กแกบางชนิด ก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหมด เพราะจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว

เราอยู่กับป่าไม้ ถึงเวลาเราเลี้ยงสัตว์คุ้มครองไว้โดยไม่ได้จดทะเบียน คุณว่าเขาจะสบายใจไหม ? แล้วใครเคยได้ยินชะนีร้องบ้าง ? ถ้าร้องขึ้นมา รับรองได้ว่าคุณอยู่ไม่สุขกันทั้งวัด เสียงชะนีดัง..ดังมาก ๆ ดังไปไกลสามสี่กิโลเลย..!

เราจะทำอะไรต้องมีความรอบคอบ โดยเฉพาะในความเป็นนักบวชของเรา ถ้าหากว่าขาดความรอบคอบ ล่วงศีลเข้าก็จะไม่ใช่นักบวชอีก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่าคิดว่าอย่างไรก็ได้ ตราบใดที่เราคิดว่าอย่างไรก็ได้ ก็แปลว่าเรายังปรามาสในพระรัตนตรัยอยู่

ถ้าเราไม่มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ทำตัวเป็นกันเองกับศีล ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วความเป็นพระอริยเจ้าจะเข้ามาทางด้านใดได้ เพราะเราเล่นไปปิดประตูตายทั้งหมดแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2012 เมื่อ 17:28
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 07-01-2012, 07:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้นว่า บรรดาเรื่องต่าง ๆ ภายในวัด พวกคุณต้องหมั่นสังเกต หมั่นดู หมั่นแก้ไข ผมยังไม่ทราบว่าเจ้ามังคุดจะรอดหรือเปล่า ? ขาโดนรัดถึงกระดูกทั้งสองข้าง เลือดไม่เดิน เน่าอยู่อย่างนั้น บวมกว่าปกติสักสองเท่าครึ่งเห็นจะได้

ของบางอย่างเราเองก็คิดไม่ถึง แต่ว่าเมื่อรู้แล้ว ต่อไปก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น เราปฏิบัติความดี ต้องปฏิบัติด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ไม่ใช่ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ใช้ได้ ไม่ใช่ระวังใจอย่างเดียวก็พอแล้ว

ถ้าถือว่าใจของเราดี ใจเราบริสุทธิ์ เรื่องของกาย วาจา เป็นอย่างไรช่างหัวมัน ถ้าอย่างนั้นจะไปช่างใส่หัวคนอื่นเขา

สิ่งที่ผมแปะอยู่ที่ข้างฝาเหนือกาน้ำร้อนนะดูไว้บ้าง กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ ตัวเราติตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ ? ผู้รู้พิจารณาแล้ว ติเราโดยศีลได้หรือไม่ ?*

อย่าให้ทิ่มลูกตาอยู่เปล่า ๆ ทุกวัน ถ้าไม่มีประโยชน์ ผมไม่เอาไปแปะไว้ให้เสียเวลาหรอก ในวันนี้ขอให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องของศีลเอาไว้ ในสถานภาพของนักบวช เรามีศีลกี่ข้อต้องรักษาให้ดี ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นกระทำ

สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายในวัด หมั่นดู หมั่นสังเกต หมั่นช่วยกันแก้ไข โดยเฉพาะบรรดาสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ เลี้ยงเขาให้ดี อย่าให้เขาต้องมาทุกข์ทรมานเพราะเรา ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าพลาดไปนิพพานไม่ได้ หล่นลงมาเกิดเมื่อไร เราจะเจออย่างนั้นบ้าง..!

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราเห็นต้นเห็นปลายแล้ว จะรู้ว่าน่ากลัวขนาดไหน อย่าไปประมาท พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้พวกเราประมาท ถ้าเราประมาท แปลว่านั่นเรากำลังทำตัวของเราเอง ไม่ใช่ครูบาอาจารย์สอน ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

มีใครที่จะไปช่วยงานที่วัดท่าขนุน**ในวันนี้บ้าง ? ถ้าจะไปช่วยงานมีค้างคืนไหม ? ถ้าหากว่าพระจะไปค้างคืนก็ให้ขอสัตตาหะไป ในเรื่องของการสัตตาหะออกจากวัด ขอให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตไว้แค่ว่า

ถ้าพ่อป่วย แม่ป่วย อุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย ลาไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ลาไปเพื่อห้ามปรามได้ วัดพัง เสนาสนะพัง ลาไปเพื่อหาทัพพสัมภาระมาซ่อมสร้างเสนาสนะได้ ได้รับกิจนิมนต์ ไปเพื่อเจริญศรัทธาได้


หมายเหตุ :
*องฺ.ทสก. ๒๔/๔๘/๙๗ : องฺ. อ. ๓/๓๙๕

**วัดท่าขนุน เลขที่ ๒๓๕ หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑๑๘๐
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-01-2012 เมื่อ 07:58
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 07-01-2012, 07:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วพวกคุณจะไปโดยเหตุใด ? ให้ดูจากมหาปเทส ๔* ท่านบอกว่า สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร

ทีนี้เรามาพิจารณาว่า เราไปวัดท่าขนุนเพื่ออะไร ? ถ้าจะสัตตาหะไป จะไปในสถานภาพไหน ? การไปช่วยงาน ไปแบ่งเบาภาระของครูบาอาจารย์ แม้ว่าจะไม่ค่อยสมควร เพราะไม่ได้อยู่ในสถานะที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต แต่พิจารณาดูแล้วว่าสมควรก็ไปได้

แต่ว่าหมดธุระแล้วให้รีบกลับ ไม่ใช่ว่าธุระมีวันหนึ่ง สัตตาหะแล้ว ไปจนครบ ๗ วัน ของพระมีใครจะสัตตาหะไหม ? ถ้ามีก็ว่าเสียตอนนี้เลย ผมเองไปเช้าเย็นกลับ ส่วนแม่ชีไม่ต้องสัตตาหะ ถ้าไม่มีก็กราบพระกันก่อน แล้วแยกย้ายกันไปทำงานประจำของตัวเอง


หมายเหตุ :
*วินย. ๕/๙๒/๑๓๑
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-01-2012 เมื่อ 07:59
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว