กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-02-2009, 19:28
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม)



พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร)

ชาติภูมิ หลวงพ่อเดิมถือกำเนิดเมื่อวันพุธ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีวอก จุลศักราช ๑๒๒๒ (แรม ๑๓ ค่ำ นั่นมิใช่วันพุธ เป็นวันศุกร์ตรงกับวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๓) โยมบิดาชื่อ นายเนียม โยมมารดาชื่อ นางภู่ มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา คือ

๑. หลวงพ่อเดิม เพราะเหตุที่เป็นบุตรชายคนแรกของบิดามารดา ปู่ย่าตายายจึงให้ชื่อว่า “เดิม”

๒. นางทองคำ คงหาญ

๓. นางพู ทองหนุน

๔. นายดวน ภู่มณี

๕. นางพัน จันทร์เจริญ

๖. นางเปรื่อง หมื่นนราเดชจั่น

การศึกษา


หลวงพ่อเดิมเมื่อเยาว์วัยก่อนอุปสมบทนั้น เนื่องจากท่านเป็นบุตรชายคนโตของบิดามารดา โอกาสที่จะได้เล่าเรียนอยู่วัดในสมัยอายุเยาว์วัยคงมีไม่มาก และไม่เคยได้ยินใครเล่าให้ฟังถึงการศึกษาของท่านในสมัยเยาว์วัย

อุปสมบท

เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดเขาแก้ว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง โทศกตรงกับวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ โดยมีหลวงพ่อแก้ว วัดอินทาราม (วัดใน) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเงิน (พระครูพยุหนุศาสน์) วัดพระปรางค์เหลือง ตำบลท่าน้ำอ้อย (มีชื่อเสียงทางรดน้ำมนต์) กับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล ตำบลสระทะเล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “พุทฺธสโร” ครั้นอุปสมบทแล้วก็มาอยู่วัดหนองโพ ซึ่งหลวงพ่อก็ตั้งต้นศึกษาหาความรู้เป็นการใหญ่ หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า “ท่านมีนิสัยจะทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ คิดอะไรไม่ได้เป็นไม่ยอมหยุดคิด คิดมันไปจนออกจนเข้าใจได้ ดูอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ความก็คิดค้นมันไปจนแตกฉาน” เมื่อมาจำพรรษาอยู่ในวัดหนองโพ ตลอดเวลา ๗ พรรษาแรก ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและท่องคัมภีร์วินัย

การเรียนวิชาอาคม

ในการมาอยู่วัดหนองโพพรรษาแรก เรียนวิชาอาคมกับนายพัน ชูพันธ์ ผู้ทรงวิทยาคุณอยู่ในบ้านหนองโพ ภายหลังนายพันถึงมรณกรรมแล้ว ไปศึกษาเล่าเรียนกับหลวงพ่อมี ณ วัดบ้านบน ตำบลม่วงหัก อำเภอพยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ อยู่วัดบ้านบน ๒ พรรษา ต่อมาในพรรษาที่ ๙-๑๑ หลวงพ่อได้ไปเรียนทางวิปัสสนากับหลวงพ่อเงิน (พระครูพยุหนุศาสน์) วัดพระ ปรางค์เหลือง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ซึ่งหลวงพ่อปฏิบัติจริงจังตลอดเวลา การเรียนวิชาอาคมของหลวงพ่อนั้น หลวงพ่อจะไปศึกษาเล่าเรียนมาจากสำนักของอาจารย์ใดบ้าง ไม่ทราบได้ตลอด เท่าที่ทราบก็มีการเรียนกับนายสาบ้าง เรียนกับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล หลวงพ่อวัดเขาหน่อ ต.บ้านแดน อ.บรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งปรากฏว่า หลวงพ่อทำวิชาขลัง จนเป็นที่เลื่องลือมากในเรื่องของความขลัง ซึ่งเป็นที่ปรากฏว่า ประชาชนทั้งชาวบ้านและข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนทั้งในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดที่ใกล้เคียง ตลอดไปจนจังหวัดที่ห่างไกลบางจังหวัดพากันไปมอบตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมากมาย ขอให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์บ้าง ขอวิชาอาคมบ้าง ขอแป้งขอผงบ้าง ขอน้ำมัน ตะกรุด ผ้าประเจียด จากหลวงพ่อ และที่แพร่หลายที่สุดก็คือ แหวนเงินหรือนิเกิล และผ้า รอยฝ่าเท้าหลวงพ่อ ผ้าประเจียด ซึ่งกิตติคุณในเรื่อง “วิชาขลัง” ของหลวงพ่อนั้นเป็นที่เลื่องลือกันแพร่หลายมานานแล้ว

การค้นคว้าทดลอง

หลวงพ่อมีนิสัยชอบศึกษาและค้นคว้าทดลอง เช่น การสร้างเกวียนโยก และนอกจากค้นคว้าในทางประดิษฐ์ต่าง ๆแล้ว ตำรับตำราที่ครูบาอาจารย์ทำไว้แต่ก่อน ๆ บางอย่างหลวงพ่อก็นำมาทดลองด้วย เช่น วิชาเล่นแร่ คือทำแร่ตะกั่วให้เป็นเงิน และทำเงินให้เป็นทอง โดยได้ทดลองอยู่หลายปีจนถลุงเงินให้เป็นทองสำเร็จ แล้วลูกศิษย์ต่างก็พากันขอหลวงพ่อจึงนำไปขว้างทิ้งในสระน้ำ จากนั้นก็หยิบฆ้อนทุบเตา ทุบเบ้าถลุงแตกหมด แล้วก็เลิกเล่นเลิกทำตั้งแต่วันนั้น

การสร้างถาวรวัตถุในวัด

พ.ศ. ๒๔๓๕ หลวงพ่อสร้างกุฏิหลังแรกที่ใช้ฝาไม้กระดาน

พ.ศ. ๒๔๕๔ สร้างศาลาการเปรียญหลังแรก

พ.ศ. ๒๔๕๘ สร้างโรงอุโบสถ และสร้างพระเจดีย์ ๓ องค์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบไว้ตรงหน้าโรงพระอุโบสถ

การบูรณปฏิสังขรณ์

หลวงพ่อนอกจากจะมีการก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัดหนองโพแล้ว ยังมีการปฏิสังขรณ์วัดอื่น ๆ ภายในจังหวัดนครสวรรค์อีก คือ ได้เรียงตามลำดับของการบูรณะปฏิสังขรณ์

๑. พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิ หอระฆัง และถาวรวัตถุอื่น ๆ เรียกว่าสร้างใหม่หมดทั้งวัดคือ วัดหนองบัว อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์

๒. พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ สระน้ำและอื่น ๆ ในวัดหนองหลวง อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ (อนุสรณ์การสร้างเกวียนช้างของหลวงพ่อ)

๓. โบสถ์ ศาลาการเปรียญ สิ่งก่อสร้าง วัดพังม่วง ต.โคกเดื่อ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

๔. พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ วัดทำนบ ต.ห้วยนบ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

๕. ศาลาการเปรียญ วัดหัวถนน อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

๖. พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ วัดหนองไผ่ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

๗. พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ วัดจิกยาว อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์

๘. พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ วัดตะคร้อ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

๙. โบสถ์ ศาลาการเปรียญ วัดเขาล้อ ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

๑๐. พระอุโบสถ วัดบางมะฝ่อ อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์

๑๑. พระอุโบสถ วัดหนองสีนวล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

๑๒. พระอุโบสถ วัดบ้านหล้า อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์

๑๓. ศาลาการเปรียญ วันดอนคา ต.ดอนคา จ.นครสวรรค์

๑๔. ศาลาการเปรียญ วัดโคกมะขวิด อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

๑๕. ปฏิสังขรณ์มณฑปพระพุทธบาท วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์

สมณศักดิ์

หลวงพ่อเดิมได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระครูนิวาสธรรมขันธ์ รองเจ้าคณะแขวงเมืองนครสวรรค์ ในวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ซึ่งหลวงพ่อมีอายุได้ ๕๕ ปี ๓๔ พรรษา นำมาซึ่งความปีติยินดีแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อเป็นอันมาก แต่ประชาชนทั่วไปก็ยังคงเรียกหลวงพ่อในนามว่า “หลวงพ่อเดิม” ปี พ.ศ. ๒๔๖๒ หลวงพ่อได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งหลวงพ่อได้ปฏิบัติศาสนกิจในหน้าที่มาตลอดเวลา ๒๐ ปี เมื่อท่านล่วงเข้าวัยชรามากแล้ว ทางการคณะสงฆ์จึงได้เลื่อนหลวงพ่อขึ้นเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์

บั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อ

หลวงพ่อเป็นเสมือนร่มโพธิ์และร่มไทรที่มีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปอย่างไพศาล เป็นที่พึ่งพาอาศัยของประชาชนไม่เลือกหน้า เนื่องจากหลวงพ่อมีอายุยืนยาวมาก อีกทั้งร่างกายของหลวงพ่อได้ใช้ตรากตรำทำสาธารณประโยชน์อย่างมาก โดยหลังจากที่หลวงพ่อกลับจากการเป็นประธานงานก่อสร้างโบสถ์ในวัดอินทาราม (วัดใน) ตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และกลับมาอยู่ในวัดหนองโพ แล้วต่อมาหลวงพ่อก็เริ่มอาพาธตั้งแต่วันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ (ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔) อาการเพียบหนักขึ้น บรรดาศิษยานุศิษย์และหลานเหลนต่างพากันมาห้อมล้อมพยาบาลและฟังอาการกันเนืองแน่น ด้วยความเศร้าโศกและห่วงใย เล่ากันว่า “หลวงพ่อคอยแต่สอบถามอยู่ว่า เวลาเท่าใดแล้ว ศิษย์ผู้พยาบาลก็กราบเรียนตอบไป จนถึงราว ๑๗.๐๐ น. หลวงพ่อจึงถามว่า “น้ำในสระมีพอกินกันหรือ” (เพราะบ้านหนองโพมักกันดารน้ำดังกล่าวแล้ว) ศิษย์ที่พยาบาลอยู่ก็เขียนตอบว่าถ้าฝนไม่ตกภายใน ๖-๗ วันนี้ ก็น่ากลัวจะถึงกับขาดแคลนน้ำ หลวงพ่อก็นิ่งสงบไม่ถามว่ากระไรต่อไป ในทันใดก็มีกลุ่มเมฆตั้งเค้ามาและฟ้าคะนอง มิช้าฝนก็ตกห่าใหญ่น้ำฝนไหลลงสระราวครึ่งค่อนสระ พอฝนขาดเม็ด หลวงพ่อก็สิ้นลมหายใจเมื่อเวลา ๑๗.๔๕ น. คำนวณอายุได้ ๙๒ ปี ๗๑ พรรษา บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ได้ช่วยกันสรงน้ำศพหลวงพ่อแล้วบรรจุศพตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดหนองโพ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๙๔ ครบ ๗ คืน ถึงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๙๔ และจัดให้มีการพระราชทานเพลิงในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๔๙๔

หลวงพ่อเดิม ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามและยกย่องเป็น “เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว” ซึ่งชาวนครสวรรค์ทุกคนยังเคารพให้ความนับถือหลวงพ่ออยู่เสมอ โดยเฉพาะทางวัดหนองโพได้สร้างมณฑปที่ประดิษฐานรูปหล่อโลหะของหลวงพ่อ (พระรูปเหมือนหลวงพ่อเดิม) ขนาดเท่าองค์จริง ซึ่งหลวงพ่อเดิมท่านหล่อสร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ที่มณฑป ซึ่งมีประชาชนมากราบนมัสการทุกวันมิได้ขาด และทางวัดหนองโพได้จัดงานทำบุญประจำปีปิดทอง ไหว้พระรูปเหมือนหลวงพ่อเดิม ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ของทุกปี

ที่มา : เว็บวัดคีรีวงศ์ www.kiriwong.net
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg lp-derm-1.jpg (10.1 KB, 1412 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ชินเชาวน์ : 27-08-2009 เมื่อ 15:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-02-2009, 19:33
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

อภินิหารหลวงพ่อเดิม - หลวงพ่อเดิม กับ ตาแป๊ะไล่ห่าน

เรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ยินมาจากนายเฟื้อ คนบ้านเก้าเลี้ยว เรื่องมีอยู่ว่า อาแป๊ะไล่ห่าน แกจะชื่อจริงอะไรก็ไม่ทราบได้ แต่ชาวบ้านเรียกแกว่าอย่างนั้นจนติดปาก อาแป๊ะไล่ห่านเป็นเถ้าแก่รับซื้อข้าวจากชาวนาในสมัยโน้น
ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ราคาข้าวเกวียนละถึง ๓๐ บาท เพราะเป็นระยะสงคราม ข้าวยากหมากแพง ตาแป๊ะไล่ห่านแกจึงหากำไรจากการซื้อข้าวจากชาวนาในราคาถูก แล้วเอามาขายส่งโรงสีในราคาแพง ลำพังซื้อถูกกดราคาก็พอทำเนาอยู่ แต่อาแป๊ะไล่ห่าน แกเล่นโกงตาชั่งเข้าไปด้วย ชาวนาสมัยก่อนไม่ใช่ชาวนาสมัยนี้ เรื่องจะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของอาแป๊ะไม่ต้องหวัง ตาแป๊ะไล่ห่านก็โกงตาชั่งชาวนา ได้กำไรทบซ้ำเข้าไป แถมเวลาตวงหากชาวนาเผลอก็จะถูกโกงเข้าไปอีก เพราะตวงเกินแต่ไม่ได้นับ
แกประพฤติตนเช่นนี้จนมีฐานะดีขึ้นทันตาเห็น ความลับไม่มีในโลก ลูกจ้างที่แกจ้างไปแบกข้าว ขนข้าวกับแกนั้นเกิดขัดใจกับแกขึ้นมา ด้วยเรื่องส่วนแบ่งที่ไม่ค่อยจะเป็นธรรม จึงลาออกและเที่ยวได้ไปโพนทะนากับชาวบ้านให้รู้ทั่วกัน ว่าตาแป๊ะไล่ห่านโกง แต่ก็นั่นแหละเสียงนกเสียงกาจะมีคนฟังบ้างก็เป็นส่วนน้อย เพราะชาวนาส่วนใหญ่เชื่อว่าตาแป๊ะแกไม่โกง นายสนเป็นชาวนาที่รวมอยู่ในพวกที่เชื่อว่าตาแป๊ะโกงตาชั่ง จึงได้แอบตวงข้าวของตนแล้วจดนับเอาไว้อย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบกับของตาแป๊ะไล่ห่าน
ครั้นเมื่อตาแป๊ะมารับซื้อข้าวก็ตวงมา และคิดเงินให้ ปรากฏว่าน้อยกว่าจำนวนที่นายสนแกสำรวจเอาไว้ นายสนจึงโวยวายขึ้น และขอสอบตาชั่ง แต่มีหรือที่ตาแป๊ะไล่ห่านแกจะยอมจำนน แกแสยะยิ้มแล้วเอามือกดหัวตาชั่งของแกมาข้างหน้า (ตาชั่งเป็นแบบคาน ใช้ลูกน้ำหนักถ่วง) เจ้าตุ้มถ่วงน้ำหนักที่แกเตรียมโกงเอาไว้ก็เลื่อนออกจากที่ ตาชั่งก็ตรงดังเดิม นายสนทดสอบก็เท่ากับน้ำหนักจริง จึงจำใจขายข้าวให้ไปเพราะหมดปัญญาเถียง ด้วยว่าที่นายสนได้รับฟังมานั้น ลูกจ้างเถ้าแก่ไล่ห่านไม่ได้ล่วงรู้ถึงสายสนกลใน ในการโกงตาชั่งของตาแป๊ะอย่างละเอียด
และแล้วในที่สุด ตาแป๊ะไล่ห่านก็เจอดีเข้าจนได้ โดยกำนันปลิวได้รับทราบพฤติกรรมของตาแป๊ะไล่ห่านในการโกงตาชั่ง เมื่อตาแป๊ะไปซื้อข้าวที่บ้านของญาติ กำนันก็ไปคุมดูโดยตรวจสอบจำนวนไว้ เช่นเดียวกับนายสน ครั้นขอชั่งทดสอบ ตาแป๊ะไล่ห่านก็ใช้วิธีเดิมในการโกง กำนันปลิวหมดปัญญาจึงลากมือตาแป๊ะไล่ห่าน ไปยังวัดที่อยู่ใกล้ ๆ นั้น เพราะได้ข่าวว่าหลวงพ่อเดิมท่านได้รับนิมนต์มานั่งอุปัชฌาย์อุปสมบทนาคหมู่
ตาแป๊ะไล่ห่านมากราบหลวงพ่อเดิมพร้อมกับกำนันปลิว กำนันปลิวเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟัง พร้อมทั้งเสริมท้ายว่า อ้ายผู้ร้ายปากแข็ง โกงหาตัวจับยาก หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านถามตาแป๊ะไล่ห่านว่า
"เถ้าแก่โกงตาชั่งเขาจริง ๆ หรือเปล่า"
ตาแป๊ะไล่ห่านยิ้มเห็นฟันเหลืองตอบว่า "อาหลงพ่อ อั๊วบอริสุก ค้าขายกงไปกงมา ตาชั่งอีก็ทดสอบลูแล้ว ไม่ได้ผิดน้ำหนัก แล้วจามาหาว่าอั๊วโกงล่ายอย่างไล อาหลงพ่อลองคิดดูซิครับ"
หลวงพ่อนั่งนิ่งคล้ายใช้ความคิด และเอ่ยขึ้นว่า "แน่นะ เถ้าแก่ ถ้าไม่เป็นดังปากพูด มอดมวนลงกินข้าวเปลือกหมดนาเถ้าแก่"
ตาแป๊ะไล่ห่านคิดในใจว่า ฮี่โธ่ มอดที่ไหนจะมากินข้าวเปลือก เห็นมีแต่มอดกินไม้กินข้าวสาร ซี้ซั้วต่า รับปากส่งเดชไปก็แล้วกัน ว่าแล้วก็ตอบสวนไปว่า "คักหลวงพ่อ อั๊วบริสุก"
หลวงพ่อโบกมือให้กลับออกไปโดยมีกำนันเดินนำหน้า ตาแป๊ะไล่ห่านเอาข้าวเปลือกที่ซื้อได้มาเข้าฉาง เก็บรวมเอาไว้เพื่อขายให้โรงสีอีกทอดหนึ่ง ฝันหวานว่าไม่นานนี้แล้วกำไรจากการขายข้าวเปลือก ที่โกงหยาดเหงื่อแรงงานเขามาได้คงจะมากมายจนนับไม่ไหว
แต่แล้วตาแป๊ะไล่ห่านก็ตกใจร้อง ไอ้หยา เมื่อวันหนึ่งลูกน้องมาบอกว่า ข้าวเปลือกในฉางที่เก็บมีแมลงอะไรก็ไม่รู้ตัวเล็ก ๆ ดำ ๆ คล้ายกับมอดกินข้าวสาร มารุมกินข้าวเปลือกในฉางจนดำมืดไปหมด ตาแป๊ะไล่ห่านเสียวสันหลังวูบ หรือว่าคำสาบานของตนจะเป็นจริง
รีบตาลีตาเหลือกไปดูก็แทบสิ้นสติ เพราะมอดลงกัดกินข้าวเปลือกเป็นการใหญ่ ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ คงวอดวายหมดแน่ จึงรีบไปเอายาฆ่าแมลงที่ใช้สำหรับทำลายมอดที่มีอยู่ มาให้ลูกน้องทำการฆ่ามอด แต่ดูเหมือนว่า มันจะเพิ่มทวีขึ้นเรื่อย ๆ
ข่าวเรื่องมอดลงกินข้าวเปลือกของตาแป๊ะไล่ห่านลือ กันให้แซดไปหมด กำนันปลิวได้ยินเข้าก็ถ่มน้ำลายบอกว่า สมน้ำหน้า นี่แหละไปล้อเล่นกับหลวงพ่อ ดีแล้วให้มันหมดตัวเพราะมันโกงเขามา
ไม่กี่วันตาแป๊ะไล่ห่านก็โผล่มาที่บ้านกำนันปลิว ขอร้องให้พาไปวัดหนองโพ กำนันปลิวหมั่นไส้ก็หมั่นไส้ สงสารก็สงสาร เพราะกำนันปลิวก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตาแป๊ะไล่ห่านต้องไปสาบานกับหลวงพ่อเดิม ก็เลยพาไปหาหลวงพ่อที่วัด แต่ไม่พบจึงต้องไปที่วัดหนองหลวง เมื่อเข้าไปกราบหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า
"ไงล่ะ เอาเข้าแล้วใช่ไหม กรรมมันให้ผลเร็วนะ อ้าวก็ว่าบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือเถ้าแก่"
ตาแป๊ะไล่ห่านหน้าซีดนึกในใจว่า ไอ้หยายังไม่ทันจะบอก อาหลงพ่อก็ลู้เลี้ยว ซี้แน่คราวนี้ เลยปากคอสั่นทำอะไรไม่ถูก หลวงพ่อจึงให้ไปขอขวดจากกรรมการวัด มาให้ท่านบรรจุน้ำมนต์ปลุกเสกให้เรียบร้อย แล้วก็สั่งว่า
"เอาไปพรมฉางให้ทั่วนะ ตัวแมลงที่เกิดจากกรรมของเถ้าแก่จะหมดไป ข้าวที่ได้มาโดยบริสุทธิ์จะคงเหลืออยู่ ส่วนที่เถ้าแก่โกงเขามาก็จะถูกทำลายไป นี่เพราะกรรมของเถ้าแก่เองไม่มีใครทำให้"
ตาแป๊ะไล่ห่านควักเงินจากกระเป๋า มามอบให้กรรมการวัดหนองหลวง เพื่อช่วยในการก่อสร้างถาวรวัตถุ หลวงพ่อมอบเหรียญให้ตาแป๊ะไล่ห่านเหรียญหนึ่ง พร้อมทั้งตะกรุดโทนให้อีกดอก สั่งกำชับว่าตะกรุดให้ติดตัวไว้ เพราะกรรมที่เถ้าแก่โกงชาวบ้านเขา ยังไม่หมด ตะกรุดจะช่วยให้หนักเป็นเบา
ตาแป๊ะไล่ห่านกลับมาที่ฉาง เอาน้ำมนต์พรมไปจนทั่ว สองวันต่อมามอดตัวดำๆ ก็อันตรธานหายไป หลังจากทำลายข้าวเปลือกไปจำนวนหนึ่ง เป็นจำนวนที่โกงเขามานั่นเอง และตาแป๊ะไล่ห่านก็ไปถูกปล้นที่ส้มเสี้ยว ในระหว่างไปซื้อข้าว พวกโจรยิงไม่ออก จึงช่วยกันทุบตาแป๊ะไล่ห่านจนน่วม แต่ไม่ถึงตาย คนร้ายเข้าใจว่าตาย ตาแป๊ะไล่ห่านไม่ตาย แต่หูตึงไปข้างหนึ่งเพราะถูกตีทัดดอกไม้อย่างหนัก ตั้งแต่นั้นมาเถ้าแก่ไล่ห่านก็หันเข้าหาความสุจริต รับซื้อข้าวเปลือกด้วยความซื่อตรง จนสิ้นชีวิตไป ลูกหลานของแกก็ดำเนินอาชีพสืบมา" ....
อานิสงส์แห่งธรรมทาน ที่กระผมได้นำมาเรียนเสนอนี้ หากจะพึงมี ขอกราบอุทิศถวายครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณ รวมทั้งคุณประดิษฐ์ ลิ้มประยูร ผู้เล่าเรื่อง ไม่ว่าจะอยู่ ณ ภพ ณ ภูมิไหน โปรดอนุโมทนาด้วย... เทอญ


ข้อมูลจาก กระดานสนทนาธรรม เว็บพระรัตนตรัย
http://www.praruttanatri.com/webboar...y=other&No=414

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ชินเชาวน์ : 28-08-2009 เมื่อ 20:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-03-2009, 00:14
เด็กเมื่อวานซืน เด็กเมื่อวานซืน is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 92
ได้ให้อนุโมทนา: 7,974
ได้รับอนุโมทนา 32,426 ครั้ง ใน 1,052 โพสต์
เด็กเมื่อวานซืน is on a distinguished road
Default

แนะนำหนังสือประวัติของหลวงปู่เดิม เพิ่มเติมครับ ฉบับของ นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่ท่านครับ


นอกจากวิชาด้านคาถาอาคมแล้ว หลวงปู่เดิม ท่านยังเป็นวิชาด้านกระบี่กระบอง และ คชกรรม ด้วยครับ

สำหรับวิชาด้านคชกรรมนั้น ท่านได้ถ่ายทอดให้กับ หลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวันหมดแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่า หลวงพ่อจรัญ ท่านจะสอนใครต่อหรือเปล่า จำได้คร่าว ๆ ว่า ในเว็บบอร์ดของวัดอัมพวันก็เคยมีผู้เขียนไว้เหมือนกันครับ

ส่วนวิชากระบี่กระบองนั้น คาดว่าด้านสายกระบี่กระบองของท่านคงจะสูญหมดแล้ว (น่าเสียดายมาก) รู้สึกว่า หลวงพ่อจรัญ ท่านก็จะเคยกล่าวถึงไว้เหมือนกันว่า หลวงปู่เดิม ก็เคยสอนเด็ก ๆ แถววัดให้เป็นกระบี่กระบองสายของท่าน


สำหรับประวัติการศึกษาวิชาด้านอาคมนั้น ถ้าเป็นฉบับของ นายธนิต จะบอกไว้ว่า ท่านศึกษาตำราเดิมของ หลวงปู่เฒ่าอดีตเจ้าอาวาสวัดหนองโพธิ์สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เพิ่มเติมครับ หลวงปู่เฒ่านี่ ประวัติเท่าที่ผมจำได้คร่าว ๆ คือ ท่านเป็นคนแถว ๆ นั้น และได้ศึกษาอาคมมานาน

พอช่วงมีสงครามกับพม่า ท่านก็หลบเข้าป่า ไปเจอพม่าพอดี พม่ามากัน ๓-๔ คนพร้อมอาวุธครบมือจะจับตัวท่าน ท่านก็ไม่ได้สู้อะไร แค่ พุ่งหอกในมือของท่านขึ้นไปบนอากาศ แล้วท่านก็เอาหลังของท่านรับหอกเล่มนั้น โดยไม่ระคายผิวแต่อย่างใด พอพม่าเหล่านั้นเห็นความขลังของหลวงปู่เฒ่าแล้วก็เลยรีบหนีไปเลย เรื่องคร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ละครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เด็กเมื่อวานซืน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 02-03-2009, 13:55
เด็กเมื่อวานซืน เด็กเมื่อวานซืน is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 92
ได้ให้อนุโมทนา: 7,974
ได้รับอนุโมทนา 32,426 ครั้ง ใน 1,052 โพสต์
เด็กเมื่อวานซืน is on a distinguished road
Default

อ๊ะ หาเจอแล้ว ประวัติของ หลวงปู่เดิม ที่ผมเคยบอกมา

http://www.dharma-gateway.com/monk/m...rm-hist-02.htm

แสดงว่า ความจำยังพอใช้งานได้บ้างอยู่

ส่วนลูกศิษย์ของท่าน ที่เป็น ฆราวาส ที่พอจะมีชื่อเสียงอีกท่าน ก็คือ พลเอก สนั่น ขจรกล่ำ ครับ
ใน Link ที่แนบมา ไม่ได้บอกประวัติของ หลวงปู่เฒ่า แห่งวัดหนองโพธิ์นะครับ ที่ผมนำประวัติของท่านมา เพราะอ่านจากหนังสือเล่มที่ผมบอกครับ

ส่วนตรง Link นี้ จะเป็นประวัติเรื่อง วิชาการ ต่าง ๆ ของสายหลวงปู่เดิม ท่านครับ เช่น กระบี่กระบอง , วิชาเมฆฉาย (น่าเรียนจังเลย)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เด็กเมื่อวานซืน : 02-03-2009 เมื่อ 14:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เด็กเมื่อวานซืน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-08-2009, 14:04
สิงหนาท
Guest
 
ข้อความ: n/a
Default

มีดหมออันเลื่องลือครับ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สิงหนาท : 02-09-2009 เมื่อ 16:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 23-11-2010, 20:54
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

ประวัติพระครูนิวาสธรรมขันธ์

(หลวงพ่อเดิม)

วัดหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

จาก หนังสือ กิตติคุณหลวงพ่อเดิม ธนิต อยู่โพธิ์ เรียบเรียง

เกิดและเยาว์วัย

หลวงพ่อเดิม เกิดที่บ้านหนองโพ เมื่อวันพุธ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๓ ปีวอก (๑) จุลศักราช ๑๒๒๒ ตรงกับวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๓ โยมบิดาชื่อเนียม เป็นชาวบ้านเนินมะกอก อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ โยมมารดาชื่อภู่ เป็นชาวบ้านหนองโพ โดยเหตุที่เป็นลูกคนแรกของบิดามารดาปู่ย่าตายายจึงให้ชื่อว่า "เดิม" หลวงพ่อมีน้องร่วมบิดามารดาอีก ๕ คน คือ นางทองคำ คงหาญ ๑ นางพู ทองหนุน ๑ นายดวน ภู่มณี ๑ นางพัน จันทร์เจริญ ๑ และนางเปรื่อง หมื่นนราเดชจั่น ๑ นางภู่ โยมมารดาหลวงพ่อ เป็นลูกนางสี และ นายนาค นางสีเป็นลูกนายเชียง นางแก้ว และนางแก้วเป็นหัวหน้าครอบครัวผู้หนึ่งในบรรดาบรรพบุรุษ ๗ ครัวเรือนที่อพยพมาตั้งบ้านหนองโพ

(๑) ท่านเจ้าของบอกว่า วันพุธ แรม ๑๓ เดือน ๓ ปีวอก จุลศักราช ๑๒๒๒ แต่แรม ๑๓ ค่ำนั้นมิใช่วันพุธ เป็นวันศุกร์ ตรงกับวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๓

เมื่อหลวงพ่อเกิดนั้นหลวงพ่อเฒ่า (รอด) ได้ล่วงลับไปแล้ว และผู้ครองวัดหนองโพก็ผลัดเปลี่ยนสมภารสืบต่อกันมา ดังกล่าวในตำนานสังเขปท้ายเล่ม การศึกษาของหลวงพ่อเมื่อรุ่นเยาว์วัยก่อนอุปสมบทนั้น คงจะไม่ได้เล่าเรียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก ยิ่งเป็นลูกคนโตของพ่อแม่เช่นหลวงพ่อด้วย โอกาสที่จะได้เล่าเรียนอยู่วัดอยู่วาในสมัยอายุเยาว์วัยก็ย่อมมีน้อยที่สุด เข้าใจว่า หลวงพ่อเห็นจะไม่ได้เล่าเรียนอะไรเป็นล่ำเป็นสัน จึงไม่เคยได้ยินใครเล่าให้ฟังถึงการศึกษาของหลวงพ่อในสมัยเยาว์วัย

ต่อมาเมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง โทศก ตรงกับวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ โยมผู้ชายของหลวงพ่อได้พาไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุภาวะ ณ พัทธสีมาวัดเขาแก้ว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์โดยมีหลวงพ่อแก้ววัดอินทาราม (วัดใน) เป็นพระอุปัชฌายะ และหลวงพ่อเงิน (พระครูพยุหานุศาสก์) วัดพระปรางค์เหลือง (๒) ตำบลท่าน้ำอ้อย กับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล ตำบลสระทะเล เป็นคู่สวด เมื่ออุปสมบท พระอุปัชฌาย์ให้นามฉายาว่า “พุทฺธสโร

(๒) หลวงพ่อเงินวัดพระปรางค์เหลืองนี้ต่อมาเป็นพระครูพยุหานุศาสก์ เจ้าคณะแขวงพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ประชากรนับถือกันว่าเป็นพระผู้เฒ่าที่มีคาถาอาคมขลัง และมีชื่อเสียงทางรดน้ำมนต์

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสมณฑลนครสวรรค์ขึ้นไปตามลำน้ำเจ้าพระยาได้เสด็จขึ้นแวะเยี่ยมและโปรดให้หลวงพ่อเงินรดน้ำมนต์ถวายเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ (ดู - จดหมายเหตุเรื่องเสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕ ครั้งที่ ๒)


ครั้นอุปสมบทแล้วก็มาอยู่วัดหนองโพและได้เริ่มเล่าเรียนศึกษาเป็นจริงเป็นจังในระยะนี้ เพราะเหตุที่หลวงพ่อไม่มีโอกาสได้อยู่วัดอยู่วาเล่าเรียนศึกษากับพระมาตั้งแต่เยาว์วัยเหมือนกุลบุตรทั้งหลายโดยทั่วไปในสมัยนั้น ความรู้ในวิชาหนังสือและวิทยาการต่าง ๆ ซึ่งโดยปกติกุลบุตรอื่น ๆ ที่เคยเป็นศิษย์วัด เมื่อระยะเด็กเขาศึกษาเล่าเรียนกันมาแต่ก่อนบวช หลวงพ่อต้องมาเล่าเรียนเอาเมื่อตอนอุปสมบทแล้วแทบทั้งนั้น แต่หลวงพ่อเป็นคนมีมานะพากเพียรเป็นยอดเยี่ยม

หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านมีนิสัยจะทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ คิดอะไรไม่ได้เป็นไม่ยอมหยุดคิด คิดมันไปจนออกจนเข้าใจ ดูอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ความก็คิดค้นมันไปจนแตกฉาน

พออุปสมบทแล้ว หลวงพ่อก็ตั้งต้นศึกษาความรู้เป็นการใหญ่ เมื่อมาจำพรรษาอยู่ในวัดหนองโพตลอดเวลา ๗ พรรษาแรกได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและท่องคัมภีร์วินัย ๑๐ ผูก (๓) กับหลวงตาชม ซึ่งเป็นผู้ครองวัดหนองโพอยู่ในเวลานั้น และศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและวิชาอาคมกับนายพัน ชูพันธ์ ผู้ทรงวิทยาคุณอยู่ในบ้านหนองโพ ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นเล็กของหลวงพ่อเฒ่าและยังมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น

(๓) คัมภีร์วินัย ๑๐ ผูก นั้นคือหนังสือที่ต่อมาได้ตีพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มเรียกชื่อว่า บุพพสิกขาวรรณนา ของพระอมราภิรักขิต (เกิด) วัดบรมนิวาส

ภายหลังเมื่อนายพันถึงมรณกรรมแล้ว ได้ไปจำพรรษาและศึกษาเล่าเรียนกับหลวงพ่อมี ณ วัดบ้านบน ตำบลม่วงหัก อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ อยู่วัดบ้านบน ๒ พรรษา ในตอนนี้หลวงพ่อก็หาโอกาสไปเรียนและหัดเทศน์กับพระอาจารย์นุ่ม วัดเขาทอง และไปมอบตัวเป็นศิษย์เรียนข้อธรรมและวินัยกับอาจารย์แย้ม ซึ่งเป็นฆราวาสและอยู่ที่วัดพระปรางค์เหลืองด้วย จนนับว่าเป็นผู้มีความรู้แตกฉานพอแก่สมัยนั้นก็เริ่มเป็นนักเทศน์


วิหารหลวงพ่อเดิม ณ วัดหนองโพ


รูปหล่อหลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร ภายในวิหารหลวงพ่อเดิม
ที่มาของทั้ง ๒ รูปภาพ : www.watkositaram.com



รูป
ชนิดของไฟล์: jpg _118_116.jpg (77.3 KB, 919 views)
ชนิดของไฟล์: jpg _223_780.jpg (76.9 KB, 925 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2010 เมื่อ 01:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 24-11-2010, 18:41
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

เป็นนักเทศน์

เล่ากันมาว่า หลวงพ่อเคยเทศน์เก่ง ทั้งเทศน์คู่และเทศน์เดี่ยว ฉลาดในการวิสัชนาปัญหาธรรม และเข้าใจแยกแยะให้อรรถาธิบายข้อธรรมให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย จนปรากฏว่าในครั้งนั้นมีคนชอบนิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์กันเนือง ๆ พูดกันจนถึงว่า พอเทศน์ในงานนี้จบ ก็มีคนเข้าไปประเคนพานหมากนิมนต์ไปเทศน์ในงานโน้นอีก ติดต่อกันไป

หลวงพ่อเป็นนักเทศน์อยู่หลายปี แต่แล้วหลวงพ่อก็เลิกเทศน์ เหตุที่เลิกเทศน์นั้น เพราะหลวงพ่อปรารภว่า


มัวแต่ไปเที่ยวสอนคนอื่น และเอาสตางค์เขาเสียอีกด้วย ส่วนตัวเองไม่สอนสักที ต่อไปนี้ต้องสอนตัวเองเสียที


ต่อแต่นั้นมาก็เลิกเทศน์เป็นเด็ดขาด แม้จะมีใครมานิมนต์เทศน์อีกหลวงพ่อก็ไม่รับนิมนต์ ถ้าเจ้าของงานต้องการจะได้พระเทศน์จริง ๆ หลวงพ่อก็ระบุให้ไปนิมนต์พระภิกษุรูปอื่นไปเทศน์แทน แต่ถ้าเป็นธรรมสากัจฉา หลวงพ่อก็ชอบฟัง และถ้าปัญหาธรรมที่หยิบยกขึ้นมาวิสัชนากันนั้น แก้ไขกันไม่แจ่มแจ้งหลวงพ่อก็ช่วยวิสัชนาแยกแยะอรรถาธิบายให้แจ่มแจ้งจนคลายข้อกังขา

เมื่อเลิกเป็นนักเทศน์แล้วในพรรษาที่ ๙ - ๑๐ และ ๑๑ หลวงพ่อได้ไปเรียนทางวิปัสสนากับหลวงพ่อเงิน (พระครูพยุหานุศาสก์) วัดพระปรางค์เหลือง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เรื่องเรียนวิปัสสนากรรมฐานนั้น หลวงพ่อปฏิบัติจริงจังตลอดมา ท่านนั่งตัวตรงตามหลักพระบาลีที่ว่า “นิ สีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา - นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ตั้งสติกำหนดอารมณ์ไว้เฉพาะหน้า” หลวงพ่อนั่งตัวตรงเสมอมาจนอายุ ๙๐ เศษ ก็ยังนั่งตัวตรง (ดูรูป)


พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร)

รูป
ชนิดของไฟล์: jpg paragraph__3_706-1.jpg (14.5 KB, 852 views)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 25-11-2010, 17:50
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

เรียนวิชาอาคม

โดยเหตุที่หลวงพ่อได้เคยเรียนวิชาอาคมมากับนายพัน ตั้งแต่เริ่มอุปสมบทในพรรษาแรก ๆ บ้างแล้ว ในตอนนี้ก็ปรากฏว่าได้เรียนและหัดทำอีก แต่หลวงพ่อจะไปศึกษาเล่าเรียนมาจากสำนักของอาจารย์ใดบ้าง ไม่ทราบได้ตลอด เท่าที่ทราบกันบ้างก็ว่า หลวงพ่อได้เรียนกับนายสาบ้าง ไปเรียนกับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเลบ้าง ไปเรียนกับหลวงพ่อวัดเขาหน่อ ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์บ้าง

เวทย์มนต์คาถาหรือวิทยาอาคมแต่ก่อน ๆ มาก็นิยมกันว่าสามารถปลุกเสกให้มีเสน่ห์มหานิยมหรืออยู่ยงคงกระพันชาตรี หรือขับไล่ภูตผีปีศาจ หรือทำให้เกิดอำนาจเกิดอิทธิฤทธิ์ขึ้น และทำความศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อย่างที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ เป็นของที่นิยมและเชื่อกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ ดังจะเห็นได้ในหนังสือเกี่ยวกับเรื่องโบราณ มีปฐมสมโพธิ เป็นต้น การเรียนและฝึกหัดทำเวทย์มนต์คาถาวิทยาอาคมเหล่านี้ เรียกกันว่า เรียนวิชา หรือเรียนคาถาอาคม แต่โบราณมาก็สืบเสาะแสวงหาที่ร่ำเรียนกับพระอาจารย์ตามวัด ดังจะเห็นได้จากเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เป็นต้น

ปรากฏว่า หลวงพ่อ “ทำวิชาขลัง” จนเป็นที่เลื่องลือท่านผู้อ่านบางท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่เห็นจะมีผู้รู้ผู้เห็น “ความขลัง” ของหลวงพ่อประจักษ์แก่ตาและแก่ตนเอง แล้วเล่ากันต่อ ๆ ไป จนเป็นที่ประจักษ์แก่หูอยู่เป็นอันมาก จึงปรากฏว่าประชาชนทั้งชาวบ้านและข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนทั้งในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดที่ใกล้เคียงตลอดไปจนจังหวัดที่ห่างไกลบางจังหวัด พากันไปมอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อมากมาย ขอให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์บ้าง ขอวิชาอาคมบ้าง ขอแป้งขอผงบ้าง ขอน้ำมันบ้าง ขอตะกรุดบ้าง ขอผ้าประเจียดบ้าง ขอรูปและอื่น ๆ บ้าง จากหลวงพ่อ และที่แพร่หลายที่สุดก็คือ ขอแหวนเงินหรือนิเกิลลงยันต์ มีรูปหลวงพ่อนั่งขัดสมาธิที่หัวแหวน

ต่อมาเมื่อสมัยสงครามมหาอาเซียบูรพา มีประชาชนพากันไปหาหลวงพ่อวันละมาก ๆ นอกจากขอของขลังเช่นกล่าวแล้ว ยังพากันหาซื้อผ้าขาวผ้าแดง ผืนหนึ่ง ๆ ขนาดกว้างยาวราว ๑๒ นิ้วฟุต เอาน้ำหมึกไปทาฝ่าเท้าหลวงพ่อ แล้วยกขาของท่านเอาฝ่าเท้ากดลงไปให้รอยเท้าติดบนแผ่นผ้า บางคนก็กดเอาไปรอยเท้าเดียว บางคนก็กดเอาไปทั้งสองรอย แล้วก็เอาผ้าผืนนั้นไปเป็นผ้าประเจียดสำหรับคุ้มครองป้องกันตัว ฝ่าเท้าของหลวงพ่อต้องเปื้อนหมึกอยู่ตลอดทุกวัน หลวงพ่อเคยบ่นกับผู้เขียนในเวลาลับหลังเขาว่า

“มันทำกูเป็นหนูถีบจักร เมื่อยแข้งเมื่อยขาไปหมด”

ในเวลามีงานนักขัตฤกษ์ที่วัดหนองโพ หรือที่วัดอื่น ๆ ซึ่งเขานิมนต์หลวงพ่อไปเป็นประธานของงาน มักจะมีประชาชนมาขอแป้งขอน้ำมนต์น้ำมันและของขลังต่าง ๆ กันเนื่องแน่นมากมาย ที่ก้มศรีษะมาให้หลวงพ่อเสกเป่าหัวให้ก็มี ที่ขอให้ถ่มน้ำลายรดหัวไม่น้อย

ผู้เขียนจำได้ว่าเมื่อคราวทำศพหลวงน้าสมุห์ชุ่ม ที่วัดหนองโพ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๑ มีผู้คนมาในงานศพนั้นมากมาย และพากันไปนั่งล้อมหลวงพ่อ ขอ “ของขลัง” บ้าง ให้เป่าหัวให้บ้าง ให้ถ่มน้ำลายรดหัวบ้าง ครั้นค่อยเบาบางผู้คน หลวงพ่อก็ให้ศิษย์ช่วยพยุงตัวพาลุกหนีออกมากุฏิของท่าน แล้วมาคุยกับผู้เขียนซึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ชานหน้ากุฏิอีกหลังหนึ่งและ ตั้งอยู่ห่างจากกุฏิหลวงพ่อ พอปูอาสนะถวาย หลวงพ่อก็นั่งลงแล้วบ่นว่า

“เดี๋ยวคนนั้นให้ถ่มน้ำลายใส่หัว เดี๋ยวคนให้เป่าหัว จนคอแห้งผากไม่มีน้ำลายจะถ่ม เล่นเอาจะเป็นลมเสียให้ได้”

แต่พอหลวงพ่อมานั่งคุยอยู่ได้สักประเดี๋ยวก็มีคนตามมาขอให้ทำอย่างนั้นอีก หลวงพ่อก็ทำให้อีก ไม่เห็นแสดงอาการเบื่อหน่ายระอิดระอา

เมื่อพระภิกษุซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหม่ๆ ไปขอเรียนคาถาอาคมกับหลวงพ่อ ท่านก็เมตตาบอกให้แล้วเตือนว่า

“เรียนไว้เถอะดี แต่ต่อไปจะคิดถึงตัว”

เห็นจะหมายความว่า เมื่อทำว่าได้ขลังขึ้นแล้ว ถูกประชาชนรบกวนเหมือนอย่างที่หลวงพ่อประสบอยู่จนตลอดชีวิตของท่าน

แต่ก็สังเกตเห็นตลอดมาว่า หลวงพ่อทำให้เขาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เห็นจะปลงตกประหนึ่งถือเป็นหน้าที่จะต้องทำให้เขาทั่วหน้ากัน เพราะหลวงพ่อเป็นผู้มีอัธยาศัยกว้างขวางและต้อนรับปฏิสันถารดี โอภาปราศรัยเหมาะแก่บุคคลและกาลเทศะ ไม่มากไม่น้อย ประกอบกับท่านมีรูปร่างสูงใหญ่ และมีอิริยาบถเป็นสง่า จึงเป็นที่น่าเคารพยำเกรงของคนทั่วไป

กิตติคุณ ในเรื่อง “วิชาขลัง” ของหลวงพ่อนั้น เป็นที่เลื่องลือกันแพร่หลายมานานหนักหนา มีเรื่องเล่ากันต่างๆ หลายอย่างหลายเรื่อง ถ้าจะจดลงไว้ก็จะเป็นหนังสือเล่มใหญ่ ผู้เขียนเคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เป็นเด็ก ครั้นเมื่อมีอายุมากขึ้น คราวหนึ่งเมื่อมีโอกาสจึงกราบเรียนถามหลวงพ่อตรง ๆ ว่า

“มีดีจริงอย่างที่เขาเลื่องลือกันหรือขอรับ ?”

ท่านก็ยิ้มแล้วตอบว่า “เขาพากันเชื่อถือกันว่าอย่างนั้นดี มาขอให้ทำก็ทำให้”

ฟังดูเหมือนหลวงพ่อทำให้ตามใจผู้ขอ เมื่อเขาต้องการ ท่านก็ทำให้ ผู้เขียนจึงกราบเรียนต่อไปว่า
คาถาแต่ละบท ดูครูบาอาจารย์แต่ก่อน ท่านก็บอกฝอยของท่านไว้ล้วนแต่ดี ๆ บางบทก็ใช้ได้หลายอย่างหลายด้าน จะเป็นจริงตามนั้นบ้างไหม ?

หลวงพ่อได้ไปรดชี้แจงอย่างกลาง ๆ เป็นความสั้น ๆ ว่าของจริง รู้จริง เห็นจริง ย่อมทำได้จริง

ครั้นผู้เขียนได้ฟังอย่างนี้ ก็มิได้กราบเรียนซักถามหลวงพ่อต่อไป แต่หลวงพ่อได้เมตตาบอกคาถาให้จดมา ๗ บท ขอนำมาพิมพ์ไว้ต่อท้ายประวัติของหลวงพ่อนี้


มีดหมอของหลวงพ่อเดิม
ที่มา : www.easyamulet.com


มีดหมอของหลวงพ่อเดิม
ที่มา : www.watkositaram.com


ผ้ายันต์รอยเท้าของหลวงพ่อเดิม
ที่มา : www.thaprachan.com
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg _25_265.jpg (37.9 KB, 797 views)
ชนิดของไฟล์: jpg _241_800.jpg (87.1 KB, 800 views)
ชนิดของไฟล์: jpg _21_197.jpg (66.5 KB, 795 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-11-2010 เมื่อ 18:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 26-11-2010, 18:37
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สันโดษและพากเพียร


หลวงพ่อมีนิสัยสันโดษ จนบางคราวเห็นได้ว่ามักน้อย และมีความพากเพียรพยายาม สบงและจีวรที่นุ่งห่มก็นิยมใช้ของเก่า จะได้เห็นหลวงพ่อนุ่งห่มสบงจีวรใหม่ ก็ต่อเมื่อมีผู้ศรัทธาถวายให้ครองในกิจนิมนต์ หลวงพ่อจึงครองฉลองศรัทธา ถ้าเป็นไตรจีวรแพร ครองแล้วกลับมาจากที่นิมนต์ก็มอบให้พระภิกษุรูปอื่นไป ข้าวของที่มีผู้ถวาย ถ้ามีประโยชน์แก่พระภิกษุรูปอื่น ๆ หลวงพ่อก็ให้ต่อไป

ของสิ่งใดที่มีผู้ถวายไว้ ถ้ามีใครอยากได้แล้วออกปากขอ หลวงพ่อก็ให้ แต่เมื่อหลวงพ่อบอกให้แล้ว ผู้ขอต้องเอาไปเลยทีเดียว ถ้ายังไม่เอาไปและทิ้งไว้ หรือฝากไว้กับหลวงพ่อ เมื่อมีใครมาเห็นในภายหลังและออกปากขออีก หลวงพ่อก็ให้อีก เมื่อผู้ขอภายหลังเอาไปแล้วผู้ขอก่อนมาต่อว่าว่าให้ผมแล้วเหตุใดจึงให้คนอื่นไปเสียอีก หลวงพ่อจะตอบว่า ก็ไม่เห็นเอาไป นึกว่าไม่อยากได้ จึงให้คนที่เขาอยากได้

กุฏิที่มีผู้สร้างถวายดี ๆ มีฝารอบขอบชิด หลวงพ่อก็ไม่ชอบอยู่ ชอบอยู่ในศาลาซึ่งมีแต่ฝาลำแพนบังลมในบางด้าน ต่อมาเมื่อหลวงพ่อมีอายุล่วงเข้าวัยชรามากแล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์จึงช่วยกันรื้อศาลาหลังนั้นไปปลูกไว้ ณ ป่าช้าเผาศพ ทางทิศตะวันออกของวัดหนองโพ แล้วสร้างกุฏิมีฝารอบขอบชิดขึ้นแทนในที่เดิม ถวายให้เป็นที่อยู่ของหลวงพ่อต่อมาจนถึงวันมรณภาพ

ณ ศาลาหลังที่รื้อไปนั้น เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กวัด เคยไปนอนอยู่ปลายเตียงนอนของหลวงพ่อ ครั้นตื่นขึ้นตอนเช้ามืด ราวตี ๔ ตี ๕ ก็เห็นหลวงพ่อจุดเทียนอ่านหนังสือคัมภีร์ใบลานสั้น ๆ เสมอ เคยสอบถามศิษย์รุ่นเก่าก็เล่าตรงกันว่า เคยเห็นหลวงพ่อลุกขึ้นจุดเทียนอ่านหนังสือเช้ามืดอย่างนี้ตลอดมา แม้จะไปนอนค้างอ้างแรมในดงในป่า หลวงพ่อก็จุดเทียนอ่านหนังสือในตอนเช้ามืดเช่นนั้นเป็นนิตย์

ผู้เขียนอยากรู้ว่าหนังสือนั้นเป็นเรื่องอะไร ไม่รู้จนแล้วจนรอด เพราะหลวงพ่อมักจะเอาติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเสมอ เวลาท่านอยู่ ไม่มีศิษย์คนใดกล้าไปขอดู หรือเรียนถามว่าเป็นหนังสืออะไร มาจนหลวงพ่อมรณภาพแล้ว เมื่อผู้เขียนขึ้นไปนมัสการศพหลวงพ่อ จึงค้นดู ปรากฏว่าเป็นหนังสือปฤศนาธรรม สำนวนเก่ามาก คัมภีร์หนึ่งมี ๖๒ ลาน เรียกว่า มูลกัมมัฏฐานและทางวิปัสสนา อีกคัมภีร์หนึ่ง มี ๑๖ ลาน เรียกว่า พระอภิธรรม ภายในตลอดอายุของหลวงพ่อเห็นจะอ่านคัมภีร์ทั้งสองนั้นตั้งหลายพันครั้ง


พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร) ในอิริยาบถสบาย ๆ
ภาพนี้ถ่าย ณ วัดหนองโพ จ. นครสวรรค์ ในช่วงพรรษาท้าย ๆ ของท่าน

รูป
ชนิดของไฟล์: jpg _3_845.jpg (51.3 KB, 764 views)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 27-11-2010, 11:22
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

ชอบเลี้ยงสัตว์พาหนะ


หลวงพ่อชอบเลี้ยงสัตว์พาหนะ ตอนแรก ๆ ได้เลี้ยงวัวขึ้นไว้ฝูงใหญ่ แล้วภายหลังได้ยกให้นายต่วน คงหาญ ผู้เป็นหลานชายไป สัตว์ที่ชอบเลี้ยงเป็นประจำก็คือช้างและม้า เรื่องเลี้ยงช้างนั้นมิใช่แต่ชอบเลี้ยงอย่างว่าพอมีช้างเท่านั้น หลวงพ่อได้ศึกษาวิชาการช้างจนถึงร่วมกับหมอช้างไปโพนจับช้างป่าด้วย

หลวงพ่อเคยมีช้างหลายเชือก ทั้งช้างงาและช้างสีดอ ตายแล้วก็หามาเลี้ยงไว้ใหม่ แม้จนเวลามรณภาพก็ยังมีอยู่อีก ๓ เชือก แต่ได้ยกมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คนไว้แล้วก่อนท่านถึงมรณภาพ

สัตว์พาหนะที่หลวงพ่อชอบเลี้ยงไว้ก็เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับบรรทุกและลาก เข็นทัพพสัมภาระ ในการก่อสร้างถาวรวัตถุ และใช้ในการมหกรรมเครื่องบันเทิงของชาวบ้านในท้องถิ่นด้วย ดังจะเห็นได้ในเมื่ออ่านประวัติของหลวงพ่อต่อไป

แม้หลวงพ่อจะชอบเลี้ยงช้างก็จริง แต่ก่อนไม่เคยเห็นท่านขี่ช้าง มาขี่ตอนหลังเมื่ออายุหลวงพ่อล่วงเข้าวัยชรามากแล้ว

แต่ก่อนหลวงพ่อชอบเดินและเดินทนเดินเร็วเสียด้วย เรื่องเดินของหลวงพ่อนี้บรรดาศิษย์ตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ มาจนถึงรุ่นหลัง ๆ ที่เคยติดตามหลวงพ่อ ต่างระอาและเกรงกลัวไปตาม ๆ กัน บางคนเดินทางไปกับหลวงพ่อครั้งเดียวก็เข็ด เพราะหลวงพ่อเดินตั้งครึ่งวันค่อนวัน ไม่หยุดพักและเดินเร็ว สังเกตดูก็เห็นก้าวช้า ๆ จังหวะก้าวเนิบ ๆ คล้ายกับช้างเดิน แต่คนอื่นต้องรีบสาวเท้าตาม

ผู้เขียนเองเมื่อเป็นเด็กเคยสะพายย่ามตามหลัง ถึงกับต้องวิ่งเหยาะ และถ้ามัวเผลอเหม่อดูอะไรเสียบ้างก็ทิ้งจังหวะไกลจนถึงต้องวิ่งตามให้ทันเป็นคราว ๆ

เรื่องเดินทนไม่หยุดพักของหลวงพ่อนั้น ถึงกับเคยมีศิษย์บางคนที่ตามไปด้วยต้องออกอุบายเก็บหญ้าพุ่งชู้ตามข้างทาง เดินตามไปพลาง แล้วเอาหญ้าพุ่งชู้ขว้างให้ติดจีวรของหลวงพ่อไปพลาง จนเห็นว่าหญ้าติดจีวรมากแล้ว พอถึงที่มีร่มไม้ก็ออกอุบายเรียนขึ้นว่า

“หลวงพ่อครับ หญ้าติดจีวรเต็มไปหมดแล้ว หยุดพัก เก็บหญ้าออกกันเสียทีเถอะ”

จึงเป็นอันได้หยุดพักกันครั้งหนึ่ง


อานช้างหลวงพ่อเดิม ภายในวิหารหลวงพ่อเดิม
ณ วัดหนองโพ ต. หนองโพ อ. ตาคลี จ. นครสวรรค์

รูป
ชนิดของไฟล์: jpg NON_9862.jpg (100.9 KB, 744 views)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 29-11-2010, 14:55
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

ชอบค้นคว้าทดลอง


หลวงพ่อมีนิสัยชอบศึกษาและค้นคว้าทดลอง การค้นคว้าทดลองของหลวงพ่อนั้นมีหลายเรื่อง ขอนำมาเล่าแต่บางเรื่อง เช่นคราวหนึ่งได้ประดิษฐ์สร้างเกวียนให้เดินได้เองโดยไม่ต้องใช้แรงวัวหรือแรงควายเทียมลาก เรียกของท่านว่าเกวียนโยก เมื่อสร้างขึ้นแล้วก็โยกให้เดินได้คล่องแคล่วดี แต่เดินได้แค่รุดหน้า เลี้ยวไม่ได้ จะได้พยายามแก้ไขอย่างไรอีกหรือเปล่าไม่ทราบได้ แต่ไม่ช้าก็เลิกไป

ตามปรกติชาวบ้านเขาสร้างเกวียนวัวเกวียนควายใช้กัน แต่หลวงพ่อสร้างเกวียนช้างคือใช้ช้างเทียมลาก แต่เกวียนช้างที่หลวงพ่อสร้างขึ้นครั้งแรกนั้น ไม่สำเร็จประโยชน์ดังประสงค์ เพราะเมื่อบรรทุกแล้ว พื้นดินทานน้ำหนักไม่ได้ กงล้อจมลงไปในพื้นดิน ต่อมาก็เลิก

ครั้นมาเมื่อสมัยเริ่มแรกนิยมใช้รถยนต์บรรทุกกันตามหัวเมือง หลวงพ่อก็ซื้อรถยนต์ไปใช้ แต่รถยนต์สมัยนั้นแล่นไปได้แต่ตามทางเกวียนที่เรียบ ๆ เมื่อแล่นไปตามท้องนา ซึ่งมีคันนาและมีหัวขี้แต้ หรือในท้องที่ขรุขระ ก็แล่นไม่ได้ ต้องมีคนคอยบุกเบิกทาง เอาจอบสับเอาเสียมแซะและเอาขวานคอยฟันคอยรานต้นไม้กิ่งไม้ตามทางที่รถยนต์จะผ่านไป

ไม่ช้าหลวงพ่อก็เบื่อ ต่อมาก็เลิก แล้วหันกลับไปนิยมเลี้ยงช้างอย่างเดิม และคราวนี้ได้ประดิษฐ์สร้างเกวียนช้างขึ้นใหม่ แก้ไขจนใช้บรรทุกลากเข็นได้ประโยชน์ดีมาก ได้ใช้สำหรับเข็นลากไม้เสาและสัมภาระอื่น ๆ ในการสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งเรียกว่า วัดหนองหลวง เพราะสร้างขึ้น ณ ที่ริมหนองน้ำชื่อนั้น

นอกจากค้นคว้าในทางประดิษฐ์แล้ว ตำรับตำราที่ครูบาอาจารย์ทำไว้แต่ก่อน ๆ บางอย่างหลวงพ่อก็นำมาทดลองด้วย เช่นวิชาเล่นแร่ คือทำแร่ตะกั่วให้เป็นเงินและทำเงินให้เป็นทอง บรรดาลูกศิษย์รุ่นเก่าเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อพยายามทดลองค้นคว้าวิชาทำเงินให้เป็นทองอยู่หลายปี โดยมีลูกศิษย์เป็นลูกมือช่วยเผาถ่าน ช่วยสูบไฟและอื่น ๆ แต่ตอนผสมส่วนของธาตุโลหะและผสมยาซัดนั้น เล่ากันว่าหลวงพ่อต้องทำเอง

บรรดาศิษย์รุ่นเก่าเหล่านั้นเล่าตรงกันว่าหลวงพ่อพยายามทำเงินให้เป็นทองคำจนได้ ศิษย์รุ่นใหญ่ระบุ ทองที่หลวงพ่อทำได้และมอบให้กับศิษย์บางคน ซึ่งศิษย์ผู้นั้นได้เอาไปทำเครื่องประดับให้ลูกหลานสวมใส่อยู่ต่อมา

เรื่องที่จะเลิกทำทองนั้น เล่ากันมาว่า วันหนึ่งหลวงพ่อถลุงเงินให้เป็นทอง หนักราวสัก ๑ บาท พอหลอมเสร็จเทออกมาจากเบ้าทิ้งไว้ให้เย็น เอาขึ้นทั่งแล้วก็เอาฆ้อนตีแผ่ออกเป็นแผ่นบาง แล้วก็เอาลงหลอมดูใหม่แล้วก็เอามาตีแผ่ดูอีก เข้าใจว่า หลวงพ่อคงตรวจตราพิจารณาดูว่าจะเป็นทองคำได้จริงหรือไม่ แล้วก็เอาลงเบ้าหลอมดูอีกและเทออกจากเบ้าทิ้งไว้ให้เย็นเป็นก้อนค่อนข้างกลม แล้วหลวงพ่อก็หยุดไปนั่งพักเฉยอยู่บนอาสนะเป็นเชิงตรึกตรอง ไม่พูดจาว่ากระไร บรรดาศิษย์ต่างก็หยิบมาดูกันคนละทีสองทีแล้วคนนั้นก็ขอคนนี้ก็ขอ

สักครู่หลวงพ่อก็ลุกเดินมาหยิบทองก้อนนั้นขึ้นไปถือกำไว้ในอุ้งมือแล้วก็เอามือไขว้หลังเดินไปบนคันสระลูกใหญ่ในวัดหนองโพ เอามือที่ถือก้อนทองเดาะเล่นกับอุ้งมือ ๒ - ๓ ครั้ง แล้วก็ขว้างก้อนทองนั้นลงสระน้ำไป พอเดินกลับมาถึงที่ถลุงทอง หลวงพ่อก็หยิบฆ้อนทุบเตา ทุบเบ้าถลุงแตกหมด แล้วก็เลิกเล่นเลิกทำแต่วันนั้นมา


ศาลาอนุสรณ์หลวงพ่อเดิม
วัดหนองโพ ต. หนองโพ อ. ตาคลี จ. นครสวรรค์
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg NON_9888.jpg (102.4 KB, 705 views)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 30-11-2010, 16:07
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

รับสมณศักดิ์

ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ เมื่อพระครูพยุหานุศาสก์ (สิทธิ์) วัดบ้านบน เจ้าคณะแขวงพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ มรณภาพลง เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ “ให้เจ้าอธิการเดิม วัดหนองโพ เป็นพระครูนิวาสธรรมขันธ์ รองเจ้าคณะแขวงเมืองนครสวรรค์ (๓) เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ เนื่องในงานเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ ๖” เวลานั้นหลวงพ่อมีอายุได้ ๕๕ ปี และมีพรรษา ๓๔ พรรษา ทั้งนี้ย่อมนำความปีติมาให้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อเป็นอันมาก แต่ก็ยังพากันเรียกท่านด้วยความเคารพนับถือทั้งต่อหน้าและลับหลังว่าหลวงพ่อ อยู่อย่างนั้น เว้นแต่ศิษย์รุ่นผู้ใหญ่ จึงมักใช้สรรพนามเรียกหลวงพ่อว่า “ท่าน” ส่วนประชาชนทั่วไปนั้นคงรู้จักกันแพร่หลายโดยนามว่า “หลวงพ่อเดิม

(๓) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๑ น ๒๓๔๒ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม พ ศ. ๒๔๕๗ เดี๋ยวนี้เรียกเจ้าคณะแขวงว่า เจ้าคณะอำเภอ

ต่อมาทางการคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งหลวงพ่อเป็นเจ้าคณะแขวงพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และหลวงพ่อได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ หลวงพ่อก็ได้ปฏิบัติศาสนกิจในหน้าที่นั้นมาด้วยความเรียบร้อยตลอดเวลากว่า ๒๐ ปี เมื่อท่านล่วงเข้าวัยชรามากแล้ว ทางการคณะสงฆ์จึงได้เลื่อนหลวงพ่อขึ้นเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์

รูป
ชนิดของไฟล์: jpg paragraph__2_393.jpg (38.4 KB, 670 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2010 เมื่อ 16:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 02-12-2010, 10:42
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สร้างถาวรวัตถุในวัด

หลวงพ่อมีนิสัยและมีฝีมือในการสร้าง ซึ่งหลวงพ่อได้ก่อสร้างสิ่งที่เป็นถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา และสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์อื่น ๆ ไว้มากมาย เมื่ออุปสมบทแล้วมาอยู่จำพรรษาในวัดหนองโพ ในพรรษาแรก ๆ นั้น หลวงพ่อก็เริ่มสร้างศาลาการเปรียญขึ้น ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ หลวงพ่อก็ปฏิสังขรณ์แก้ขยายขึ้นจากหลังที่หลวงพ่อสร้างไว้แต่ก่อนนั้นอีก

ก่อนหน้านั้น เมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๓๕ หลวงพ่อได้สร้างกุฏิขึ้นใหม่ในวัดหลังหนึ่ง เป็นกุฏิหลังแรกที่ใช้ฝาไม้กระดาน และซื้อมาจากบ้านบางไก่เถื่อน (ตำบลบ้านตลุก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท) เมื่อสร้างศาลาและกุฏิขึ้นใหม่ในวัดหนองโพครั้งนั้น บรรดาท่านผู้เฒ่าผู้แก่ ปู่ย่าตายายของชาวบ้านหนองโพ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น ต่างออกปากชมกันว่า “ท่านองค์นี้ไม่ใช่ใครอื่นแล้ว คือหลวงพ่อเฒ่าเจ้าของวัดของท่านมาเกิด

นอกจากศาลาการเปรียญและหมู่กุฏิแล้ว หลวงพ่อยังได้ร่วมกับทายกทายิกาชาวบ้าน สร้างโรงอุโบสถขึ้นในที่โรงอุโบสถเดิม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ และในคราวเดียวกันได้สร้างพระเจดีย์ ๓ องค์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบไว้ตรงหน้าโรงพระอุโบสถด้วย

นิสัยชอบก่อสร้างของหลวงพ่อนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นชีวิตจิตใจของหลวงพ่อติดต่อมาจนตลอดชีวิต โดยเหตุที่วัดวาอารามตามท้องถิ่นในสมัยนั้น มักมีแต่กุฏิสงฆ์และมีแต่ศาลาดิน คือใช้พื้นดินนั้นเองเป็นพื้นศาลา หลังคาก็มุงแฝก ไม่มีโบสถ์ หลวงพ่อจึงสร้างศาลาการเปรียญ เป็นศาลายกพื้น หลังคามุงกระเบื้อง และสร้างโรงอุโบสถก่ออิฐถือปูนและคอนกรีตขึ้นเป็นถาวรวัตถุของวัด

โบสถ์และศาลาการเปรียญที่หลวงพ่อสร้างขึ้น มักจะกว้างขวางใหญ่โตสำหรับท้องถิ่น จึงต้องใช้เงินทองและสิ่งของเครื่องใช้ในการก่อสร้างมาก วัตถุปัจจัยหรือเงินทองที่มีผู้ถวายหลวงพ่อเนื่องในกิจนิมนต์ก็ดี หรือถวายด้วยมีศรัทธาเลื่อมใสในตัวหลวงพ่อเองก็ดี หลวงพ่อมิได้เก็บสะสมไว้ หากแต่ได้ใช้จ่ายไปในการทำสาธารณประโยชน์ โดยใช้เป็นทุนรอนในการก่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา และสถานศึกษาเล่าเรียนจนหมดสิ้น

เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้ และเนื่องจากกิตติคุณทางวิทยาอาคมของหลวงพ่อด้วย จึงมักมีพวกทายกทายิกาช่วยกันเรี่ยไรรวบรวมทุน ถวายให้หลวงพ่อทำการก่อสร้างอยู่เนือง ๆ วัดในตำบลใดต้องการจะสร้างหรือปฏิสังขรณ์โบสถ์ วิหาร หรือศาลาการเปรียญขึ้นเป็นถาวรวัตถุในวัด หรือเริ่มก่อสร้างปฏิสังขรณ์กันไว้แล้ว แต่ทำไม่เสร็จ เพราะขาดช่างและขาดทุนรอน ขาวบ้านและสมภารวัดในตำบลนั้น ๆ ก็มักพากันมานิมนต์หลวงพ่อ ให้ไปช่วยอำนวยการสร้าง หรือไปเป็นประธานในงานก่อสร้างปฏิสังขรณ์ หลวงพ่อก็ยินดีไปตามคำนิมนต์

และมิใช่แต่จะไปบงการให้คนอื่นทำเท่านั้น แต่หลวงพ่อได้ลงมือทำด้วยตนเองด้วย เช่น ถ้าเป็นเครื่องไม้ก็ลงมือกะตัวไม้ และถากไม้ ฟันไม้ เลื่อยไม้ด้วยตนเอง ถ้าเป็นเครื่องปูน ก็ลงมือตัดและผูกเหล็กโครงร่าง และผสมทรายผสมปูนเทหล่อด้วยตนเอง จนเป็นเหตุให้คนอื่นนั่งเฉยอยู่ไม่ได้ ทั้งชาวบ้านและชาววัดต่างก็พากันลงมือทำงานช่วยหลวงพ่อ บางรายหลวงพ่อก็ทำตั้งแต่ตัดไม้ ชักลาก ทำอิฐและเผาอิฐ เผาปูน มาทีเดียว ยิ่งเป็นการก่อสร้างในบ้านป่านาดอนซึ่งห่างไกลเส้นทางคมนาคม กำลังผู้คนและพาหนะก็เป็นของจำเป็นยิ่งนัก แต่หลวงพ่อก็จัดสร้างให้สำเร็จจนได้

คิดดูก็เป็นของน่าประหลาด ดูหลวงพ่อช่างมีอภินิหารในการก่อสร้างเสียจริง ๆ โบสถ์ วิหารหรือศาลาการเปรียญ ที่หลวงพ่อไปอำนวยการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ หรือไปเป็นประธานในงานก่อสร้างหรือปฏิสังขรณ์นั้น ๆ ย่อมสำเร็จเรียบร้อยทุกแห่ง ทุนรอนที่ขาดอยู่มากน้อยเท่าใด ก็มักมีผู้ศรัทธาบริจาคถวายให้จนครบ หรือบางแห่งบางรายก็เกินกว่าจำนวนที่ต้องการเสียอีก เมื่อเห็นมีคนชอบเอาเงินทองมาถวายหลวงพ่อเนือง ๆ และบางรายก็ถวายไว้มาก ๆ เสียด้วย

ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามว่าหลวงพ่อทำอย่างไรจึงมีคนชอบนำเงินมาถวายเนือง ๆ ?

หลวงพ่อก็ยิ้มแล้วตอบว่าก็เราไม่เอานะสิ เขาจึงชอบให้ ถ้าเราอยากได้ใครเขาจะให้

บรรดาศิษย์รุ่นเก่า ซึ่งเคยติดสอยห้อยตามหลวงพ่อมาหลายสิบปี เช่น นายยิ้ม ศรีเดช มัคคนายกวัดหนองโพ ซึ่งเวลานั้นมีอายุกว่า ๘๐ ปี (บัดนี้ล่วงลับไปแล้ว) เคยปรารภว่าเงินทองสัมผัสแต่เพียงตาของหลวงพ่อ ไม่กระทบเข้าไปถึงใจ

เงินทองที่มีผู้ถวายมากมายเท่าใด หลวงพ่อก็ใช้จ่ายไปในการก่อสร้างและทำสิ่งสาธารณประโยชน์จนหมดสิ้น

สิ่งก่อสร้างที่หลวงพ่ออำนวยการสร้าง หรือเป็นประธานในการก่อสร้าง และมีถาวรวัตถุเป็นพยานให้เห็นมากมายหลายแห่ง จนหลวงพ่อเองก็จำสถานที่และลำดับรายการไม่ได้ นอกจากจะมีใครถามขึ้น บางทีหลวงพ่อก็พอจะนึกได้ สิ่งก่อสร้างและถาวรวัตถุที่หลวงพ่อสร้างขึ้นนี้ เห็นได้ว่าหลวงพ่อได้สร้างความเจริญให้เกิดขึ้นแก่ท้องถิ่นเหล่านั้น เพราะเท่ากับทำบ้านและตำบลนั้น ๆ ให้ตั้งอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง และมีถาวรวัตถุเป็นหลักฐานของหมู่บ้าน ซึ่งจะเป็นพยานยั่งยืนมั่นคงไปชั่วกาลนาน


ศาลาการเปรียญหลังแรก หลวงพ่อเดิมสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔


โบสถ์วัดหนองโพ พระครูนิวาสธรรมขันธ์ พร้อมด้วยทายกทายิกา
สร้างขึ้น ณ ที่โรงอุโบสถเดิม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg lp-derm-pic-04-01.jpg (5.7 KB, 629 views)
ชนิดของไฟล์: jpg lp-derm-pic-05-01.jpg (10.1 KB, 627 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2010 เมื่อ 15:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 03-12-2010, 15:02
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

ปรับปรุงบ้านและวัดหนองโพ

หลวงพ่อคงจะได้คิดที่จะปรับปรุงฟื้นฟูสภาพและความเป็นอยู่ของบ้านและวัดหนองโพมานาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่เริ่มอุปสมบท ดังจะเห็นได้ในตอนต้น ซึ่งพออุปสมบทแล้ว หลวงพ่อก็เริ่มสร้างศาลาการเปรียญ และต่อมาก็สร้างกุฏิฝาไม้กระดานขึ้น เมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๓๕ ตรงที่ซึ่งเป็นบริเวณกุฏิสมภารในบัดนี้

ท่านผู้อ่านย่อมจะทราบได้ดีว่าบ้านและวัดหนองโพตั้งอยู่ในที่ดอนและห่างจากลำน้ำเจ้าพระยา ในฤดูฝน ได้อาศัยน้ำฝนที่ตกขังอยู่ แต่ในฤดูแล้งมักจะกันดารน้ำแทบทุกปี ถ้าปีใดฝนตกล่าไปจนถึงปลายเดือน ๖ เดือน ๗ ก็อดน้ำ หลวงพ่อได้ขุดขยายสระน้ำในวัดให้ลึกและกว้างขึ้น แต่ประชาชนชาวบ้านก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น หลวงพ่อจึงพยายามขยายสระน้ำให้ลึกและใหญ่กว้างอีกหลายครั้ง

อีกอย่างหนึ่ง โดยเหตุที่แต่เดิมมา บ้านหนองโพตั้งอยู่ห่างไกลจากเส้นทางคมนาคม อันจะนำเอาความเจริญแบบต่าง ๆ มาสู่ท้องถิ่น ความเจริญแบบใหม่จึงเดินทางเข้าไม่ค่อยถึงหมู่บ้าน และเป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก แม้เมื่อมีทางรถไฟสายเหนือผ่านไป และตั้งสถานีรถไฟที่สถานีหนองโพ (๕) ณ ตำบลนั้น ก็คงห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๑ กิโลเมตร

(๕) สถานีหนองโพ ตั้งอยู่หลักกิโลเมตรที่ ๒๑๑ จากกรุงเทพฯ


แม้กระนั้น ก็ด้วยบารมีของหลวงพ่อ ทำให้มีผู้คนในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ห่างไกล อุตสาหะทรมานกายไปมาหาสู่หลวงพ่อจนถึงวัดเนือง ๆ เจ้านายที่เคยเสด็จไปหาหลวงพ่อถึงวัดก็มี อาทิเช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอลงกต กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์ องคมนตรี ซึ่งเสด็จล่วงลับไปแล้ว


พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

ต่อมาหลวงพ่อได้พยายามสร้างถนนจากที่ตั้งสถานีรถไฟ ตัดตรงเข้าไปในหมู่บ้าน เมื่อตัดสร้างถนนตอนแรกนั้น ถ้ายืนอยู่ที่สถานีหนองโพจะมองไปเห็นโบสถ์ในวัดหนองโพตั้งอยู่ลิบ ๆ และเมื่อยืนอยู่ที่ลานหน้าโบสถ์ในวัดก็มองเห็นโรงสถานีรถไฟบ้านหนองโพได้เช่นกัน ทำให้การคมนาคมระหว่างหมู่บ้านกับรถไฟสะดวกสบายเป็นอันมาก แต่ถนนที่หลวงพ่อสร้างขึ้นไว้นั้น เป็นแค่ขุดคูพูนดินให้นั้นขึ้นเป็นทางเดิน มิได้ลงหินราดบดโรยลูกรัง เช่นถนนที่สร้างกันในสมัยนี้ และขาดการซ่อมแซมในระยะติดต่อกันมา เมื่อใช้มาหลายปีถูกน้ำฝนเซาะบ้าง สัตว์พาหนะเดินบ้าง ภายหลังเป็นถนนที่ขาดเป็นตอน ๆ และบางตอนก็มีต้นไม้ขึ้นจนเติบโตบังทิวทัศน์ที่จะมองเห็นกันได้ระหว่างตัวสถานีรถไฟกับวัดเช่นแต่ก่อน

หลวงพ่อได้ดำริที่จะซ่อมแซมถนนสายนี้เป็นทางคมนาคมที่ดี และสะดวกสบายแก่การสัญจรไปมา แต่เนื่องจากมีภาระในงานก่อสร้างอย่างอื่น จึงมิทันได้ลงมือทำก็มาถึงแก่มรณภาพไปเสียก่อน ปัญหาเรื่องถนนสายนี้จึงยังคงค้างมาจนถึงสมัยหลวงพ่อน้อย (พระครูนิพนธ์ธรรมคุต) เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองโพ และดำเนินงานพัฒนาโดยการร่วมริเริ่มของบรรดาลูกชาวบ้านหนองโพ ติดต่อชักจูงทางการให้ตัดถนนแยกจากทางหลวงสายเอเซีย ณ จุดใกล้กิโลเมตรที่ ๑๙๐ - ๑๙๑ ผ่านเข้าไปถึงหมู่บ้านหนองโพ และเลยไปถึงสถานีรถไฟหนองโพแล้ว
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg prince-choomporn.jpg (10.8 KB, 600 views)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 07-12-2010, 17:04
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

จัดการศึกษา

เมื่อนึกถึงสภาพของบ้านและวัดหนองโพ แต่เดิมเป็นบ้านป่านาดอนและตั้งอยู่ห่างไกลความเจริญ แต่ที่มามีความเจริญก้าวหน้าเทียมทันกับตำบลบ้านใกล้เคียง ซึ่งอยู่ในเส้นทางคมนาคมเช่นที่เป็นอยู่ ก็อาจกล่าวได้โดยไม่ผิดพลาดว่า เจริญมาด้วยบารมีของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้พยายามปรับปรุงสภาพของวัดและบ้านหนองโพ ให้ได้รับความเจริญอย่างใหม่ โดยจัดสร้างโรงเรียนขึ้นในวัด และหาครูมาสอนเป็นประจำ ทำนองโรงเรียนเทศบาลเดี๋ยวนี้

หลวงพ่อเป็นคนจัดหาเงินเดือนค่าสอนให้แก่ครูเอง โรงเรียนหลังแรกสร้างขึ้นในลานวัด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของวัด ครูที่สอนชุดแรกก็มี พระปลัดห่วง อนุวัตร (เป็นชาวบ้านเขาพนมรอก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ภายหลังลาสิกขาแล้วกลับไปอยู่ภูมิลำเนาเดิม) (๖) เป็นหัวหน้า มีครูเพ็ชร ครูคง และครูเกษม เป็นครูผู้ช่วย ต่อมา คือ ครูสวัสดิ์ (มักเป็นลมบ้าหมูบ่อย ๆ )

(๖) ปลัดห่วง เป็นพี่ชายพระครูนิพนธ์ธรรมคุต (คล้าย คำประกอบ) เจ้าคณะอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์

เมื่อมีนักเรียนมากขึ้นหลวงพ่อจึงสร้างตัวโรงเรียนขึ้นใหม่ ตั้งอยู่ระหว่างโบสถ์และสระน้ำลูกเหนือ (สระบัว) ครูที่สอนโรงเรียนในระยะนี้ก็มี ครูนิ่ม ขวัญเมือง และครูถมยา พวงสมบัติ ส่วนตัวโรงเรียนหลังเก่า ก็ย้ายมาปลูกเป็นหลังคาของร้านใส่บาตร สำหรับชาวบ้านมาร่วมตักบาตรทำบุญในวัด ภายหลังได้รื้อออกไปแล้ว

ครั้นต่อมาทางการจัดตั้งเป็นโรงเรียนประชาบาลประจำตำบลหนองโพขึ้น หลวงพ่อได้สร้างตัวโรงเรียนให้ใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของวัด พร้อมทั้งได้สร้างบ้านพักให้พวกครู ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดอีกด้วย แล้วต่อมาได้ย้ายโรงเรียนไปตั้งทางตะวันออกของวัด ปัจจุบันเรียกชื่อว่า โรงเรียนวัดหนองโพนิวาสานุสรณ์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงหลวงพ่อเดิม (พระครูนิวาสธรรมขันธ์)


โรงหลังคาสังกะสีและเสาไม้ คือโครงโรงเรียนวัดหนองโพหลังแรก สร้างเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๕๑
ในรูปนี้ปรับปรุงใช้เป็นโรงตักข้าวใส่บาตรถวายพระ (ร้านบาตร) ปัจจุบันรื้อไปแล้ว
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg lp-derm-pic-04-02.jpg (5.5 KB, 572 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2010 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 08-12-2010, 22:15
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

จัดการศึกษาด้านศิลปะ


เมื่อหลวงพ่อตั้งโรงเรียนสำหรับให้กุลบุตรกุลธิดาได้เล่าเรียนหนังสือกันในตอนแรก ๆ นั้น หลวงพ่อก็หาวิธีให้เด็กได้ศึกษาเล่าเรียนความรู้อย่างอื่นด้วย เช่น สร้างสำนักขึ้นสอนดนตรีปี่พาทย์ คราวแรกหลวงพ่อเป็นแต่ทดลองโดยเข้าหุ้นส่วนกับนายนิลไปซื้อเครื่องปี่พาทย์มาแล้วหาคนไปให้นายนิลช่วยฝึกหัด แต่นายนิลจะทำไม่สำเร็จอย่างไรไม่ทราบ หลวงพ่อจึงย้ายมาร่วมมือกับนายพวง แต่ในตอนนั้นยังคงให้หัดและสอนกันในบ้าน ภายหลังย้ายมาตั้งฝึกสอนในวัดแล้วจ้างครูมาสอนประจำ

ตั้งวงยี่เกขึ้นหาคนมาหัดเป็นประจำ และครูหัดยี่เกคนแรกคือ ครูปุ่น เป็นคนชาวบ้านพยุหะแด่น เป็นครูควบคุมและฝึกรำ ส่วนแง่คิดในการเล่นการแสดงเป็นของหลวงพ่อ ศิษย์หัดยี่เกรุ่นแรกครั้งนั้นต่างก็ล้มหายตายจากไปนานแล้ว

ครูยี่เกคนต่อมาก็คือ ครูโชติ แล้วมาครูวิง และต่อมาก็คือ ครูทองคำ (นิ้วด้วน) ได้ตั้งแตรวงขึ้นคราวหนึ่ง มีครูบุญเหลือเป็นผู้หัด แต่มิช้าก็เลิกเสียเพราะครูบุญเหลือลาออกไปและหาครูคนอื่นมาสอนสืบต่อไม่ได้

ภายหลังได้สร้างเรือนให้พวกปี่พาทย์อยู่เป็นประจำเรียกกันว่า “โรงปี่พาทย์” ตั้งอยู่ริมรั้ววัดทิศเหนือ ครูปี่พาทย์คนแรกก็คือ ครูอุ้ย แล้วต่อมาก็คือครูพุฒ (เรียกกันว่าพุฒหน้าดำ หรือ พุฒทศกัณฐ์) ต่อมาครูแย้ม (ตาบอดทั้งสองข้าง)

เครื่องปี่พาทย์หลวงพ่อก็สร้างเอง เว้นแต่เครื่องโลหะ เช่น ฆ้องโหม่งและฆ้องวง ส่วนระนาดทั้งไม้ทั้งเหล็กและกลองนั้น หลวงพ่อลงมือทำเอง เหลาลูกระนาดไม้และลูกระนาดเหล็กเองโดยมีพวกพระภิกษุในวัดซึ่งเป็นศิษย์เป็นผู้ช่วย สามารถทำได้ประณีตประกับรางเลี่ยมงาเลี่ยมมุกและเลี่ยมโลหะได้งดงาม กลองก็ขุดและกลึงเอง ขึงหน้าขึ้นกลองเอง ตอกหมุดเอง หมุดกลองนั้นใช้ทำด้วยกระดูกควาย กระดูกช้าง หรือแก่นไม้แสมสาร เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กวัดก็ได้เคยเป็นลูกมือศิลปกรรมด้านนี้ของหลวงพ่อด้วย

วัดหนองโพชึ่งเคยเป็นสำนักศึกษาตามแบบโบราณมาแต่สมัยหลวงพ่อเฒ่า และนับแต่หลวงพ่อเฒ่าได้ล่วงลับไปแล้ว ก็เสื่อมโทรมลงโดยลำดับ ครั้นต่อมาถึงสมัยหลวงพ่อเดิม ท่านได้พยายามปรับปรุงการศึกษาของวัดและความเป็นไปของหมู่บ้านขึ้นใหม่ ในระยะเมื่อราว ๘๐ - ๑๐๐ ปีมาแล้วนี้ วัดหนองโพจึงกลับเป็นสำนักศึกษาศิลปวิทยาการที่สำคัญขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง

พวกเด็กในบ้านหนองโพและตลอดไปถึงตำบลอื่น ๆ ใครอยากเรียนหนังสือก็มาเข้าโรงเรียน ใครอยากหัดปี่พาทย์ระนาดฆ้อง ก็ไปหัดปี่พาทย์ระนาดฆ้อง ใครอยากหัดยี่เกก็ไปหัดยี่เก ถ้าไม่ชอบเรียน ชอบหัดดังกล่าวแล้ว ก็ไปเลี้ยงช้างเลี้ยงม้า เพราะหลวงพ่อมีช้างหลายเชือกและมีม้าหลายตัว

หลวงพ่อพยายามนำความเจริญแทบทุกทาง มาสู่หมู่บ้านหนองโพ เสมือนจะสร้างบ้านให้เป็นเมือง
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 09-12-2010, 15:02
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

ผู้เคยศึกษาในโรงเรียนวัดหนองโพ


ผู้ที่เคยได้รับการศึกษาในวัดหนองโพในสมัยหลวงพ่อเดิมปรับปรุงการศึกษา แล้วมาเล่าเรียนศึกษาต่อและทำการงานอาชีพเจริญก้าวหน้า ที่ควรกล่าวถึงในเวลานี้ก็มี

ท่านพระครูนิพนธ์ธรรมคุต (น้อย เตชปุญฺโญ) พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก เจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลหนองโพ

พระครูนิวาสธรรมโกวิท (ประเทือง อินฺทวีโร นักธรรมเอก, ป.ธ. ๖)


นายธนิต อยู่โพธิ์ เปรียญ ๙ ประโยค สำนักวัดมหาธาตุ พ.ศ. ๒๔๗๕ และอธิบดีกรมศิลปากร พ.ศ.๒๔๙๙ - ๒๕๑๑

นายเจริญ อินทรเกษตร เปรียญ ๙ ประโยค สำนักวัดมหาธาตุ ธ.บ. วิทยากรพิเศษราชบัณฑิตยสถาน

นายเรียม เกษสาคร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๒๕๒๑ - ๒๕๒๓

พลโทสนั่น ขจรกล่ำ

นายเยี่ยม อยู่โพธิ์ ผู้ตรวจการพาณิชย์ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

นายสมพร อยู่โพธิ์ ภัณฑารักษ์เอก กรมศิลปากร

นายเปรียบ อยู่โพธิ์ ผู้ช่วยตรวจราชการเอก สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

และที่เป็นพ่อค้าคหบดีผู้มีชื่อเสียงก็มี เช่น นางแก้ว พงศ์ธรานนท์ นางกิมฮวย ลี้ตระกูล นายสง่า สุสมบูรณ์ นางวรรณี สุสมบูรณ์ และนายณรงค์ โพธิวาสวารินทร์ กำนันตำบลหนองโพ เป็นต้น
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 13-12-2010, 20:41
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,192 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

ปลายชีวิตของหลวงพ่อเดิม

หลวงพ่อเป็นเสมือนต้นโพธิ์และต้นไทรที่มีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปอย่างไพศาลเป็นที่พึ่งพาอาศัยของประชาชนไม่เลือกหน้า เนื่องจากหลวงพ่อมีอายุยืนยาวมาก บรรดาศิษยานุศิษย์รุ่นผู้ใหญ่ซึ่งเคยติดสอยห้อยตามและร่วมงานร่วมการกันมา ก็ล้มหายตายจากไปก่อนหลวงพ่อเกือบหมด ถ้าว่ากันอย่างฆราวาส ก็น่าจะทำให้หลวงพ่อว้าเหว่มาก

ครั้นต่อมาราว ๑๐ กว่าปี ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ ร่างกายของหลวงพ่อซึ่งใช้กรากกรำทำสาธารณประโยชน์มาช้านานหลายสิบปี ก็ทรุดโทรมจนแข้งขาเดินไม่ได้ จะลุกนั่งก็ต้องมีคนพยุง จะเดินทางไปไหนก็ต้องขึ้นคานหามหรือขึ้นเกวียนไป

แม้กระนั้น ก็ยังมีผู้เลื่อมใสศรัทธามานิมนต์หลวงพ่อไปในงานการบุญกุศลเนือง ๆ เพราะหลวงพ่อมีศิษยานุศิษย์มาก ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยแทบทั่วบ้านทั่วเมือง หลวงพ่อปรารภว่าถ้าท่านแตกดับลง บรรดาหลานเหลนและศิษยานุศิษย์ในตำบลหนองโพและหมู่บ้านใกล้เคียง จะได้รับความลำบาก หลวงพ่อจึงได้ปรารภถึงความตายให้เห็นประจักษ์ สิ่งใดควรจัดทำขึ้นไว้ได้ก่อนท่านแตกดับ หลวงพ่อก็ให้จัดทำเตรียมไว้ เช่น สร้างหีบบรรจุศพของท่านเองและให้ก่อสร้างตัวเมรุที่เผาศพของท่านไว้ด้วย แต่บังเอิญตัวเมรุนั้นทำล่าช้ามาก ยังมิทันเสร็จ จนหลวงพ่อมรณภาพแล้ว

แม้แข้งขาของหลวงพ่อจะทานน้ำหนักตัวของท่านเองไม่ได้แล้ว หูก็ตึงไปบ้าง แต่นัยน์ตายังแจ่มใสดี มือก็ยังลงเลขยันต์ได้ตามเคย ปากก็ยังเสกเป่าและเจรจาปราศรัยได้ โดยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีตลอดมา

ภายหลังที่หลวงพ่อกลับจากไปเป็นประธานในงานก่อสร้างโบสถ์ในวัดอินทาราม (วัดใน) ตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และกลับมาอยู่ในวัดหนองโพแล้ว ต่อมาหลวงพ่อก็เริ่มอาพาธ ตั้งแต่วันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ (ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม) พ.ศ. ๒๔๙๔ อาการทรุดลงเป็นลำดับมา จนถึงวันอังคาร แรม ๒ ค่ำ เดือนเดียวกัน วันที่ ๒๒ พฤษภาคม) อาการก็เพียบหนักขึ้น บรรดาศิษยานุศิษย์และหลานเหลนต่างพากันมาห้อมล้อมพยาบาลและฟังอาการกันเนืองแน่น ด้วยความเศร้าโศกห่วงใย เล่ากันว่า

ครั้นตกบ่ายในวันนั้น หลวงพ่อก็คอยแต่สอบถามอยู่ว่า ‘เวลาเท่าใดแล้ว’ ศิษย์ผู้พยาบาลก็กราบเรียนตอบไป ๆ จนถึงราว ๑๗.๐๐ น. หลวงพ่อจึงถามว่า ‘น้ำในสระมีพอกินกันหรือ’ (เพราะบ้านหนองโพมักกันดารน้ำดังกล่าวแล้ว) ศิษย์ที่พยาบาลอยู่ก็เรียนตอบว่า ‘ถ้าฝนไม่ตกภายใน ๖ - ๗ วันนี้ ก็น่ากลัวจะถึงกับอัตคัดน้ำ’ หลวงพ่อก็นิ่งสงบไม่ถามว่ากระไรต่อไปอีก ในทันใดนั้นกลุ่มเมฆก็ตั้งเค้ามาและฟ้าคะนอง มิช้าฝนก็ตกห่าใหญ่ น้ำฝนไหลลงสระราวครึ่งค่อนสระ พอฝนขาดเม็ด หลวงพ่อก็สิ้นลมหายใจ เมื่อเวลา ๑๗.๔๕ น. คำนวณอายุได้ ๙๒ โดยปี สิริรวมแต่อุปสมบทมาได้ ๗๑ พรรษา

บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ได้ช่วยกันสรงน้ำศพหลวงพ่อ แล้วบรรจุศพตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดหนองโพ ตั้งแต่วันรุ่งขึ้น เว้นที่ ๒๓ พฤษภาคม) ติดต่อมาครบ ๗ วัน เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม แล้วก็ทำติดต่อมาอีกและทำบุญครบ ๕๐ วัน เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ทำบุญครบ ๑๐๐ วัน เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๔๙๔ จึงเก็บศพหลวงพ่อรอไว้ จนถึงเวลาจัดการพระราชทานเพลิง

หลวงพ่อเดิม ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามและยกย่องเป็น “เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว” ซึ่งชาวนครสวรรค์ทุกคนยังเคารพให้ความนับถือหลวงพ่ออยู่เสมอ โดยเฉพาะทางวัดหนองโพได้สร้างมณฑปที่ประดิษฐานรูปหล่อโลหะของหลวงพ่อพระรูปเหมือนหลวงพ่อเดิม ขนาดเท่าองค์จริง ซึ่งหลวงพ่อเดิมท่านหล่อสร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ที่มณฑป ซึ่งมีประชาชนมากราบนมัสการทุกวันมิได้ขาด และทางวัดหนองโพได้จัดงานทำบุญประจำปีปิดทอง ไหว้พระรูปเหมือนหลวงพ่อเดิม ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ของทุกปี


รูปหล่อพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร)
ภายในวิหารหลวงพ่อเดิม ณ วัดหนองโพ ต. หนองโพ อ. ตาคลี จ. นครสวรรค์

โปรดติดตามตอนต่อไป...
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg _119_195.jpg (31.5 KB, 496 views)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 13-12-2010, 21:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อ่านแล้วคิดถึงหลวงพ่อเดิม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 14-12-2010, 14:05
สายท่าขนุน สายท่าขนุน is offline
สมาชิก VIP - ผู้ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 759
ได้ให้อนุโมทนา: 160,001
ได้รับอนุโมทนา 133,088 ครั้ง ใน 5,305 โพสต์
สายท่าขนุน is on a distinguished road
Wink

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี อ่านข้อความ
อ่านแล้วคิดถึงหลวงพ่อเดิม
น่าแปลกที่อ่านเรื่องของหลวงพ่อเดิม แล้วก็น้ำตาซึมด้วยความคิดถึงตั้งแต่แรกเช่นกัน
__________________
การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด...ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน
ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมา เราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว...
กำลังใจของเราพลาดแม้แค่วินาทีเดียวนี่ อาจจะหมายถึงแพ้ทั้งกระดาน

อะไรมันก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับต้องเกิดใหม่ มันเป็นทุกข์ เป็นโทษสุด ๆ จริง ๆ
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๕๑
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สายท่าขนุน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:13



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว