กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-07-2017, 19:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติเอาไว้เฉพาะหน้า คืออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เมื่อวานได้กล่าวถึงสภาพความไม่เที่ยงของตัวเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี ตลอดจนกระทั่งวัตถุธาตุทั้งหลายทั้งปวงก็ดี วันนี้จะมากล่าวถึงสภาพที่เป็นปกติธรรมดาอีกอย่างหนึ่ง คือ ความเป็นทุกข์

มนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ตลอดจนกระทั่งวัตถุธาตุสิ่งของทั้งหลายทั้งปวง เมื่อกำเนิดขึ้นมา ก็ตกอยู่ในห้วงทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น คนและสัตว์มีความทุกข์ต่าง ๆ เราพอเข้าใจได้ แต่วัตถุธาตุมีความทุกข์อย่างไร ?

ภาษาบาลีเรียกว่า สภาวทุกข์ คือ ทุกข์โดยสภาพที่ต้องเสื่อมไปอยู่ตลอดเวลา จากใหม่ก็กลายเป็นเก่า จากเก่าก็ค่อย ๆ ผุพังไป ท้ายที่สุดแม้แต่สิ่งที่คงทนอย่างก้อนหิน ภูเขา ก็ยังอุตส่าห์เสื่อมสลายลงกลายเป็นเม็ดทราย กลายเป็นดิน กลายเป็นฝุ่น

ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเมื่อปรากฏขึ้นแล้ว จะพ้นไปจากความทุกข์นั้นไม่มี ยกเว้นว่าเราทั้งหลายสามารถชำระจิตของเราให้ผ่องใส ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง โอกาสที่จะหลุดพ้นจากห้วงทุกข์จึงจะมีขึ้นได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2017 เมื่อ 19:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-07-2017, 19:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความทุกข์ที่รุมเร้าเรานี้ มีมาตั้งแต่ก่อนเกิด คำว่าก่อนเกิดหมายความว่า ทันทีที่เราปฏิสนธิในท้องแม่ ก็โดนไฟธาตุของแม่เคี่ยวเผาเราอยู่ตลอดเวลา พระสีวลีท่านกล่าวว่า ตอนที่อยู่ในท้องแม่เหมือนกับอยู่ในหม้อนึ่ง ก็คือโดนอบโดนรมด้วยความร้อนอยู่ตลอดเวลาจากไฟธาตุของแม่ อยู่ในที่คับแคบ ปวดเมื่อยไปทั้งเนื้อทั้งตัว คลอดออกมาเจอความหนักความหนาวความร้อนของอากาศ ก็แสบร้อนไปทั้งผิวกาย เด็ก ๆ ที่เกิดมาจึงร้องไห้เสียงดังมาก

เมื่อเกิดมาแล้วเป็นอย่างไร ? สกปรกต้องชำระล้างร่างกาย หิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระต้องถ่ายหนัก ปวดปัสสาวะต้องถ่ายเบา สกปรกโสโครกต้องชำระล้างร่างกาย ต้องหัดพลิกตัว หัดคืบ หัดคลาน หัดเดิน หัดยืน หัดวิ่ง พูดไม่ได้ก็พยายามฝึกหัดจนพูดได้ ต้องเล่าเรียนหนังสือ สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทับถมเพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตของเรา ทำให้อยู่ในห้วงทุกข์ตลอดเวลา

เท่านั้นยังไม่พอ เราเองยังจะสรรหาคู่มา จากคนเดียวกลายเป็น ๒ คน จากขันธ์ ๕ กลายเป็นขันธ์ ๑๐ ตัวคนเดียวทุกข์คนเดียวยังไม่พอ หาทุกข์มาเพิ่มให้อีก จากที่จะกินจะนอนอย่างไรก็ได้ กลายเป็นมีคนให้ต้องห่วงต้องใยอยู่ตลอดเวลา เขาป่วยก็เหมือนกับเราป่วยไปด้วย อดตาหลับขับตานอนเพื่อดูแล

ถ้ายิ่งมีลูกเล็ก ๆ ขึ้นมาก็ยิ่งทุกข์หนัก ไม่ได้นอนเต็มตาแม้แต่คืนเดียว ต้องคอยดูแล คอยเลี้ยงดู คอยทำความสะอาด เจ็บไข้ได้ป่วย พ่อแม่ก็เหมือนกับจะขาดใจไปด้วย คอยช่วยรักษาพยาบาลอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2017 เมื่อ 19:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-07-2017, 21:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สภาพร่างกายค่อย ๆ เคลื่อนไปสู่ความแก่ ความหนาว ความร้อน ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความสกปรกที่ต้องชำระล้างมีติดกายอยู่ตลอดเวลา ร่างกายยิ่งแก่ยิ่งทำอะไรยากขึ้น แต่ความทุกข์ยังมีเท่าเดิม ก็เท่ากับความทุกข์มีมากขึ้น

ทุกขเวทนาที่บีบคั้นเข้ามายามเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดี ยามกระทบกระทั่งของที่ไม่รักไม่ชอบใจก็ดี ยามพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ดี ยามที่ปรารถนาไม่สมหวังก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้บีบคั้นเราอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุดบีบคั้นมาก ๆ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นจนทนไม่ไหว...ก็ตาย

ตายแล้วไม่ใช่พ้นทุกข์ ถ้าหากว่าสร้างกรรมดีไว้มาก ได้เกิดเป็นนางฟ้า เทวดา ก็พ้นทุกข์เพียงชั่วคราว แต่ถ้าตกสู่อบายภูมิ จะทุกข์หนักกว่าเป็นมนุษย์หลายเท่า หมายความว่าตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นตา จนหลับตาลงไปในแต่ละวัน เรากำลังเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ เป็นความทุกข์เหลือที่จะทนได้

แล้วเราจะรับมือความทุกข์ทั้งหลายอย่างไร ? ก็ต้องพิจารณาให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีมาพร้อมกับร่างกายนี้แล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาย่อมมีความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมดา ขึ้นชื่อว่าความทุกข์เช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก การเกิดของเราชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

ถ้าสภาพจิตสามารถเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ยอมรับว่าทุกข์นี้เป็นธรรมดาของร่างกาย จิตใจไม่ไปหวั่นไหวปรุงแต่ง ประกอบด้วยการปล่อยวาง สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส ไม่นำมาคิดให้เกิดเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ความทุกข์ทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

เมื่อสภาพจิตไม่ปรุงแต่ง ทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าสภาพจิตเคยชินกับการไม่ปรุงแต่งไปนาน ๆ ก็ย่อมขาดจากการปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงไป เมื่อการปรุงแต่งขาดหายไป รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่กลายเป็นสภาพทุกข์บีบคั้นเราอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย พยายามดูทุกข์ให้เห็น มองทุกข์ให้เจอ ยอมรับให้ได้ว่าธรรมดาการเกิดมาก็มีความทุกข์เช่นนี้ พินิจพิจารณาไปให้ถึง ถ้าสภาพจิตยอมรับได้ เราก็มีโอกาสที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ให้พิจารณาเช่นนี้ไปจนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2017 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว