กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-03-2024, 17:34
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 335
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,297 ครั้ง ใน 808 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 26-03-2024, 22:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,764 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ระยะนี้ ทางอำเภอทองผาภูมิ โดยเฉพาะสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ ของท่านพันตำรวจเอกมนตรี แตงโต ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิก็ดี ทางวัดท่าขนุนของกระผม/อาตมภาพก็ตาม ภาระหนักมากเป็นอย่างยิ่ง

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ามีบุคคลต่างด้าวชาวพม่าหลบหนีเข้าเมืองมา แล้วโดนจับกุม วันหนึ่งหลายสิบหรือหลายร้อยคน..! แล้วแต่วาระและโอกาส เมื่อทางตำรวจจับกุมมาแล้ว ก็ต้องมีการสอบสวนเพื่อทำประวัติ กว่าที่จะส่งตัวให้ทางกองตรวจคนเข้าเมือง ทำการผลักดันกลับสู่ประเทศพม่า ก็กินเวลาหลายวัน อย่างเช่นว่า ถ้าหากจับได้สัก ๑๕๐ คน ก็ต้องทำประวัติ กว่าจะเสร็จ อาจจะใช้เวลาถึง ๕ - ๗ วัน เป็นต้น

เหตุที่ทำประวัติอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้ควบคุมการหลบหนีเข้าเมืองเหล่านี้ ว่าแต่ละคนนั้นเคยเข้ามากี่ครั้งแล้ว ? ตั้งใจไปสถานที่ใดบ้าง ? มีพรรคพวกเพื่อนฝูงทำงานอยู่ที่ไหน ? เข้ามาแบบผิดกฎหมาย หรือว่าเข้ามาอย่างถูกต้อง ? เหล่านี้เป็นต้น ช่วงระยะเวลาเหล่านั้นบรรดาผู้หลบหนีเข้าเมืองจะกินจะอยู่อย่างไร ?
ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือว่าน้ำ ก็ต้องอาศัยวัดท่าขนุนทั้งสิ้น..!

ยังดีตรงที่ว่า เหล่าผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวพม่านั้น เคยชินกับการกินอาหารวันละ ๒ มื้อ ซึ่งตอนแรกกระผม/อาตมภาพเมื่อไปพม่าใหม่ ๆ ก็ยังสงสัยอยู่ นึกว่าคนพม่านั้นจำเป็นจะต้องประหยัด จึงกินอาหารแค่ ๒ มื้อ แต่ครั้นสอบถามไปแล้วถึงได้ทราบว่า คนพม่าส่วนใหญ่นั้น ต่อให้ไม่ประหยัด ก็เคยชินกับการกินอาหารแค่ ๒ มื้อ ก็คือมื้อสาย ๆ ประมาณ ๘ โมงครึ่ง ๙ โมง ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวผัดจานเดียว หรือว่าขนมจีน ๑ จาน หรือท่านที่ประหยัดกว่านั้นก็อาจจะเป็นกาแฟ ๑ แก้ว กับปาท่องโก๋ ๑ ตัว ซึ่งปาท่องโก๋พม่านั้น แต่ละตัวยาวเป็นศอก ผิดกับตัวเล็ก ๆ ของบ้านเรา..! ส่วนอีกมื้อหนึ่งจะไปกินเอาประมาณบ่าย ๓ โมง ถึง ๕ โมงเย็นไปเลย ซึ่งจะเป็นมื้อหลักของวัน

เนื่องจากว่าประเทศพม่านั้น ทรัพยากรต่าง ๆ หายากมาก โดยเฉพาะข้าวปลาอาหาร ก็คือทั้ง ๆ ที่ประเทศพม่ามีการเกษตรกรรมเป็นหลัก ปลูกข้าวได้มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกัน แต่เนื่องจากว่ามีการสู้รบระหว่างชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ อยู่เสมอ ทางรัฐบาลทหารพม่าจึงมีการเกณฑ์เอาเสบียงอาหารต่าง ๆ จากชาวบ้าน ต่อให้ไม่เรียกเกณฑ์เอาก็ตาม ถ้าหากว่าทหารเข้าไปถึง ต้องการอะไรก็จะขนเอาไปเลย..!

อย่างเช่นว่ามีข้าวสาร มีข้าวเปลือกเท่าไร ก็ขนเอาไปทั้งหมด โดยที่ไม่สนใจว่าชาวบ้านจะมีกินหรือไม่ ?! ต้องการแรงงานผู้ชายไปช่วยแบกลูกปืน แบกเสบียง ก็เอาปืนจี้ จับตัวไปเลย ต้องการผู้หญิงก็ฉุดคร่ากันไปแบบดื้อ ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2024 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-03-2024, 22:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,764 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพตอนสมัยที่ไปถึงพม่าใหม่ ๆ ก็ยังคงทำใจไม่ได้ ว่าทำไมถึงป่าเถื่อนโหดร้ายกันถึงขนาดนี้ ?! แต่เมื่ออยู่ไปนาน ๆ หลายปี กว่าที่จะสร้างวัดวาอารามเสร็จ ถึงได้เข้าใจว่าประเทศที่ปกครองโดย "รัฐบาลทหาร" หรือที่บางคนเรียกแบบไม่เกรงใจว่า "เผด็จการทหาร" นั้น ความต้องการของตนเองถือว่าเป็นใหญ่ ไม่ได้สนใจว่าชาวบ้านจะอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้อย่างไร

ในเมื่อโดนกดขี่ข่มเหงอยู่ในลักษณะนี้มาหลายสิบปี ก็เนื่องจากว่าตั้งแต่สมัยที่ทำ "สนธิสัญญาเวียงปางหลวง" ซึ่งบรรดาชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายในประเทศพม่าได้ทำสนธิสัญญากัน ในการกอบกู้เอกราชคืนจากประเทศอังกฤษ ว่าเราจะรวมตัวกันอยู่เป็นประเทศพม่าเป็นเวลา ๑๐ ปี ครั้นครบ ๑๐ ปีแล้ว ก็จะแยกกันออกไปตั้งประเทศของเผ่าพันธุ์ของตนเอง เมื่อสนธิสัญญาเวียงปางหลวงครบอายุตามที่เซ็นเอาไว้แล้ว ปรากฏว่าทางรัฐบาลทหารพม่า นำโดยพลเอกอูนุ ก็ได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจ เข่นฆ่าบรรดาผู้นำของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาเพื่อเตรียมจะทำข้อตกลงตั้งประเทศของตนเองกันตามสนธิสัญญา

โดยเฉพาะผู้นำหลัก ๆ ที่เสียชีวิตในช่วงนั้น ต้องบอกว่าสูญเสียบุคลากรที่สำคัญยิ่งของประเทศพม่าและชนเผ่าต่าง ๆ ไปอย่างสาหัส โดยเฉพาะชนชาติฉาน หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าไทใหญ่ บรรดาบุคลากรระดับหัวกะทิ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าฟ้าของบรรดาเมืองต่าง ๆ ที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ มีกำลังวังชาและแนวคิดในการที่จะจัดตั้งประเทศ ในการที่จะพัฒนาประเทศ ถูกสังหารไปรวดเดียว ๑๓ รายด้วยกัน..!

เมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาชาติพันธุ์ต่าง ๆ จึงได้ย้ายแยกแตกกระจายกันไป และสู้รบกับทางพม่าตลอดมา ทางรัฐบาลพม่าก็พยายามที่จะปราบปราม แต่เนื่องจากว่าเป็นความต้องการของชาวบ้านเอง ดังนั้น..จึงช่วยกันปกป้องหรือว่าป้องกันชนชาติที่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน ทำให้ทหารพม่าบางทีก็ต้องกวาดล้างในลักษณะของการล้างเผ่าพันธุ์ไปเลย..! อย่างเช่นว่าทำการเข่นฆ่าและเผาทิ้งกันทีหนึ่งทั้งหมู่บ้าน หรือว่าทั้งตำบล..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จัดว่าเป็นความมืดดำอย่างหนึ่งของประเทศพม่า จึงทำให้ประชาชนชาวพม่านั้น ได้อพยพหลบหนีเข้ามาในเมืองไทย บางคนก็อยู่มา ๔๐ - ๕๐ ปีแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้รับสัญชาติไทย ลูก ๆ ที่เกิดมาก็ต้องถือบัตรต่างด้าว บางครอบครัวอยู่กันมา ๓ - ๔ รุ่นแล้ว สามารถที่จะพูดไทย เรียนหนังสือไทย แต่ว่าไม่มีนามสกุล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2024 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 26-03-2024, 22:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,764 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่งบรรดาเด็ก ๆ ที่กระผม/อาตมภาพให้ทุนการศึกษา ทั้ง ๓๓ โรงเรียนในอำเภอทองผาภูมินั้น แต่ละโรงเรียนที่ส่งรายชื่อเด็กนักเรียนมารับทุนจากวัดท่าขนุน โรงเรียนประถมจะส่งมา ๒๐ ราย โรงเรียนมัธยมส่งมา ๒๐ หรือว่า ๓๐ ราย ตามที่กระผม/อาตมภาพกำหนดให้นั้น กฎเกณฑ์กติกาก็คือ เป็นเด็กที่มีความประพฤติดี เรียนดี และมีฐานะยากจน ทุกท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า บางโรงเรียนที่ส่งมา ๒๐ รายชื่อ เป็นเด็กที่ไม่มีนามสกุลถึง ๑๙ ราย..! เป็นต้น บางโรงเรียนขนาดที่มีน้อย ๆ ก็ยังมีเด็กที่ไม่มีนามสกุลถึงครึ่งหนึ่ง หรือว่าเกินครึ่ง..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงกลายเป็นภาระใหญ่ของคนไทยไปโดยปริยาย ดีแต่ว่าแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ โดยเฉพาะคนงานพม่านั้น ขยันขันแข็ง รู้จักเก็บหอมรอมริบเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในส่วนของอำเภอทองผาภูมินั้น ปัจจุบันนี้กิจการต่าง ๆ มีเถ้าแก่ ก็คืออดีตผู้อพยพหลบหนีชาวต่างด้าวเหล่านี้ไปเกินครึ่งแล้ว เอาแค่ว่าร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือทั้งหมด ๔ ร้าน มีเจ้าของร้านเป็นชาวต่างด้าวเหล่านี้ไป ๓ ร้านแล้ว..! กิจการงานอื่น ๆ ก็มีบรรดาผู้อพยพชาวต่างด้าวเหล่านี้เป็นเจ้าของกิจการกันมากมาย

คราวนี้ในเมื่อบุคคลทั้งหลายเหล่านี้หลบหนีเข้ามา ทางด้านผู้กำกับมนตรีก็จะมาขอข้าวปลาอาหารจากทางวัดท่าขนุน ทางวัดก็ต้องประกอบอาหารเช้าส่งไปให้ตอน ๑๐ โมง และอาหารเย็น ส่งไปให้ตอน ๕ โมงเย็น โดยเฉพาะวันนี้ ก็มีการขอนมกล่องมาอีก บอกว่าเมื่อคืนจับมาได้ มีเด็กเล็ก ๆ มาด้วย ๑๐ คน กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจ..!

แต่ว่าภาระที่หนักกว่านั้นก็คือบรรดาแม่ชีของวัดท่าขนุน ซึ่งจะต้องประกอบอาหารเลี้ยงบรรดาผู้หลบหนีเข้าเมืองเหล่านี้ แต่ละท่าน แต่ละคนนั้นก็ล้วนแล้วแต่อายุกาลผ่านวัย มากเสียจนไม่ทราบเหมือนกันว่าจะล้มหายตายจากกันไปเมื่อไร..!?

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันเล่น ๆ อย่างเช่นว่าหัวหน้าแม่ชี ก็คือแม่ชีชื่น ศรีสองแควนั้น อายุก็ไม่ได้มากไม่ได้มายอะไร แค่ ๗๕ ปีเท่านั้น..! ดร. แม่ชีพิมพ์วรา ทิพยบุลสิทธิ์ อายุ ๘๐ ปี แม่ชีศิริมงคล จันทรัศมี อายุ ๗๗ ปี แม่ชีลัดดา เนตรภักดีอายุ ๘๓ ปี แต่ละท่านที่จะเก็บแรงเอาไว้หายใจ ก็ยังเป็นเรื่องยาก..! มีที่อายุน้อยหน่อย ก็อย่างเช่น ดร.แม่ชีกุลภรณ์ แก้ววิลัย ก็อายุกาลผ่านวัยถึง ๕๔ ปีแล้ว จึงกลายเป็นภาระที่หนักมากจนเกินกำลัง

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ต้องมีการเจรจากัน ระหว่างทางสถานีตำรวจภูธรอำเภอทองผาภูมิกับวัดท่าขนุน ในที่สุดก็สามารถที่จะตกลงกันได้ว่า ทางวัดท่าขนุนจะส่งเสบียงกรังต่าง ๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร บะหมี่สำเร็จรูป น้ำตาล น้ำมัน น้ำปลา เครื่องปรุงอาหารต่าง ๆ ตลอดจนน้ำดื่มให้กับทางสถานีตำรวจภูธรอำเภอทองผาภูมิ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2024 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 26-03-2024, 22:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,764 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วทางสถานีตำรวจโดยท่านผู้กำกับมนตรี ก็จะไปขอแรงจากผู้ใหญ่ชัย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านดูแลศูนย์อพยพของชาวพม่า ที่อยู่หลังอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่กันเป็นจำนวนมาก เป็นผู้อพยพมาในรุ่นเก่า ๆ ก่อนหน้านี้อยู่กันมาเกิน ๒๐ - ๓๐ ปีแล้วก็มี ขอให้ทางผู้ใหญ่ชัยส่งเอาบุคคลที่อยู่ในศูนย์อพยพ มาประกอบอาหารเลี้ยงพรรคพวกของตนเอง ที่เพิ่งหลบหนีเข้ามาใหม่ พูดง่าย ๆ ว่าขอแรงกันหน่อย

ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะทำให้บรรดาผู้หลบหนีเข้าเมืองและโดนจับกุมทำประวัติอยู่นั้น ลำบากและเดือดร้อน เพราะว่าทางตำรวจก็คงไม่มีกำลังพลพอที่จะไปทำอาหารเลี้ยง ทางวัดเองก็หมดสภาพเสียแล้ว เพราะว่าบรรดาแม่ชีกรำงานติดต่อกันมาเป็นเดือนแล้ว..! เมื่อตกลงกันได้ดังนี้ ทางท่านผู้กำกับก็ส่งรถมาขนเอาเสบียงกรังต่าง ๆ ไป

กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจ เพราะว่าไปสร้างวัดอยู่ที่ประเทศพม่าทั้งหมด ๖ ปี โดนทางการพม่าจับกุมถึง ๔ ครั้งด้วยกัน บางทีสอบสวนอยู่เป็นวัน แม้แต่น้ำแก้วเดียวก็ไม่มีเลี้ยงพระ..! คนนี้มาสอบถามอยู่เป็นชั่วโมง ๆ จดข้อมูลต่าง ๆ ไปเสร็จเรียบร้อย คนใหม่ก็มาสอบถามเรื่องเดิม ๆ อีก เมื่อจดข้อมูลที่สอบถามเป็นชั่วโมงไปแล้ว คนที่สามก็มาสอบถามต่อในเรื่องเดิม ๆ ครั้นได้ข้อมูลไปแล้ว คนที่สี่ก็มาสอบถามในเรื่องเดิม ๆ อีก หลังจากนั้นแล้วก็นำเอาข้อมูลไปเปรียบเทียบกันว่า กระผม/อาตมภาพโกหกตรงไหนบ้าง..!?

แต่ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพ
รักศีลมากกว่าชีวิตตนเองอย่างหนึ่ง มีความมั่นใจในบารมีของครูบาอาจารย์และพรหมเทวดา ที่ช่วยเหลือคุ้มครองอย่างหนึ่ง จึงตอบเรื่องทุกอย่างไปแบบตรง ๆ ไม่มีอ้อมค้อม เมื่อเขาตรวจสอบข้อมูลและวิทยุสอบถามไปยังตามด่านต่าง ๆ ที่กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวไป ว่าผ่านแต่ละด่านนั้นในช่วงไหน เวลาใด วันที่เท่าไรบ้าง ครั้นเห็นว่าเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ผู้หนึ่งผู้ใดมาสอบถามก็ตาม ถึงได้ปล่อยตัวไป เพื่อให้กระผม/อาตมภาพไปสร้างวัดต่อ

เนื่องจากเขาหวาดระแวงว่า อันดับแรก กระผม/อาตมภาพ
เป็นสายลับของประเทศไทย เข้าไปล้วงความลับประเทศของเขาหรือเปล่า ? ประการที่สองก็คือ นำเงินเข้าไปเป็นจำนวนมากนั้น นำไปเพื่อสนับสนุนให้บรรดานักศึกษาปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลเผด็จการพม่าหรือเปล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2024 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 26-03-2024, 22:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,764 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กระผม/อาตมภาพโดนจับ น้ำสักแก้ว ข้าวสักจานก็ไม่เคยได้รับเลี้ยง..! แต่พอพวกเขาเข้ามา พวกเรากลับเลี้ยงเป็นอย่างดี จนกระทั่งบุคคลรอบข้างที่กระผม/อาตมภาพต้องพึ่งพาอาศัยในการทำงานต่าง ๆ ยังบ่นว่า "เลี้ยงดีขนาดนี้ เขาก็เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลย"

กระผม/อาตมภาพยืนยันว่าคนทั้งหลายเหล่านี้ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" ต่อให้เราไม่เลี้ยง ปล่อยให้เขาอดอยากอย่างไร เขาก็ขอมาตายในประเทศไทยดีกว่า เมืองร้อนเมืองร้ายอย่างประเทศของตนเองนั้น เขาไม่คิดที่จะอยู่ฝังซาก ฝังกระดูกตนเองอีกต่อไปแล้ว..!

ถ้าหากว่าประเทศไทยของเราทำตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ที่ว่าเข้ามาทำงานแล้วเสียภาษีให้ประเทศไทย ๑๐ ปี ก็จะได้สัญชาติไทย ที่เรียกว่า "คนต่างด้าว" นั้น รับประกันได้ว่าคนพม่าจะหนีมาเมืองไทยเกือบหมดประเทศอย่างแน่นอน..!
โดยเฉพาะหมูหมากาไก่ก็เลี้ยงเอาไว้เต็มวัด การเลี้ยงคนได้บุญได้กุศลมากกว่านั้นเป็นร้อย ๆ เท่า ทำไมเราจะเลี้ยงไม่ได้ ?

แต่ในเมื่อเป็นภาระหนักกับบรรดาแม่ชีแก่ ๆ ในวัดท่าขนุน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมาเจรจาหาหนทางในการดำเนินงานร่วมกัน จนตกลงกันที่ว่า ทางวัดต้องส่งมอบเสบียงกรังให้กับทางสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ แล้วทางตำรวจจะขอให้คนต่างด้าวบนศูนย์อพยพ ที่อยู่มาจนจะเป็นคนไทยอยู่แล้ว มาทำหน้าที่ประกอบอาหารเลี้ยงบุคคลที่เป็นเชื้อชาติเดียวกัน

สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพขอบ่นในเรื่องราวที่เป็นภาระหนักของวัดในวันนี้ ให้แก่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายได้ฟังแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2024 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว