|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
ถาม : กลุ้มใจ อยากทำตามใจกิเลสค่ะ
ตอบ : ก็ทำไปสิ..ถึงเวลาจะได้รู้ว่านรกมีจริง..! กิเลสชวนให้เราทำตามใจอยู่แล้ว แต่ว่าอย่างแย่ที่สุดก็อย่าให้หลุดกรอบของศีล อันดับแรก..อย่าทำศีลขาดด้วยตัวเอง อันดับที่สอง..อย่ายุให้คนอื่นทำ อันดับที่สาม..เห็นคนอื่นทำก็อย่ายินดีด้วย แค่นั้นแหละ..ไม่ได้ละเอียดมากหรอก ได้ยินก็เหนื่อยแล้ว..ใช่ไหม ? ถาม : แล้วถ้าเราอยากได้อะไรมาก ๆ ตอบ : อยากได้ก็หามาให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม จะขนมาสักเท่าไรไม่มีใครว่า เขาเรียกว่าสัมมาอาชีวะ แต่ถ้าถึงขนาดลักขโมย หยิบฉวย หลอกลวง ช่วงชิงของเขามา อันนั้นผิดเต็ม ๆ เพราะเกิดจากโลภะจริง ๆ ถาม : แล้วถ้าเราขอ ? ตอบ : ถ้าขอแล้วเขาให้ก็เอาสิ ถ้าบุญเก่าทำไว้ดี เวลาขอเขาก็ให้เอง ถาม : แล้วบุญใหม่ได้ไหมคะ ? ตอบ : บุญใหม่ช่วยไม่ทัน บุญใหม่ต้องรอชาติต่อไป ยกเว้นว่าชาตินี้เราทำต่อเนื่องยาวนานสักระยะหนึ่ง ๕ - ๑๐ ปีติดต่อกันไม่เลิกเลย ถ้าอย่างนั้นพอจะช่วยได้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วบุญในอดีตจะส่งผลให้ในปัจจุบัน ถ้าในอดีตกำลังไม่แรงพอก็ส่งไม่ถึงปัจจุบัน ต้องรออนาคตโน่น ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องทำให้แรงพอ คำว่าแรงพอไม่ได้หมายความว่าทำมาก แต่ให้ทำแบบคนฉลาด คนฉลาดเลือกทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่ อย่างเช่น สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน เป็นต้น แต่ว่าให้ทำในลักษณะต่อเนื่องยาวนานพอ อย่างเช่นทำทุกเดือน ๆ ติด ๆ กัน ๕ - ๑๐ ปีก็รู้ผลแล้วจ้ะ อย่าชิงตายเสียก่อนแล้วกัน ที่บอกว่าอยากตามใจกิเลส ตอนนี้อยากจะทำอะไรบ้างจ๊ะ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2012 เมื่อ 14:43 |
สมาชิก 277 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ถาม : ไม่อยากคุยกับชาวบ้าน
ตอบ : อะไรนะ..! ไม่อยากคุยกับชาวบ้าน ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าคุยมากก็ฟุ้งซ่านมาก ทำให้ควบคุมใจตัวเองลำบาก ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ :ถ้ามีสติรู้ตัวอยู่ก็ปล่อยไปตามสภาพ ปฏิสันถารกันตามปกติ ทักทายกันตามปกติ ถึงเวลาก็สนใจเฉพาะหน้าที่ของเรา แต่ถ้าถึงเวลาไม่มีสติ ต้องคุยกันชั่วโมงหนึ่งไม่เลิก ก็ข่มใจไว้ดีกว่า เตือนอะไรไว้อย่างหนึ่งจะเชื่อไหม ? อย่าทำอะไรเสี่ยง ๆ นิสัยเราชอบอย่างนั้น รู้สึกสนุก แต่การเสี่ยงมักจะต้องไต่ขอบเหว พลาดเมื่อไรก็เยิน..! แค่นั้นแหละ เอาไปใช้ได้ตลอดชีวิตเลย ว่าอะไรที่จะต้องเสี่ยงขึ้นมาแล้วให้นึกถึงคำนี้ไว้ อาตมาได้เตือนแล้ว เรามีนิสัยทำพวกนั้นแล้วสนุก เสี่ยงต่อการผิดศีล เสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย เสี่ยงต่อการผิดระเบียบวินัย ข้อบังคับของหน่วยงาน ขับรถแหกกฎจราจร โอ๊ย...มีความสุขที่ได้ทำ ถ้าวันไหนย้อนศรไปเจอรถมาพอดี ไม่มีใครเขาพุทโธ่หรอก มีแต่สมน้ำหน้า..! อาตมาประกาศไว้ชัดแล้ว คนไหนขับรถย้อนศรแล้วโดนชนตายไม่ต้องเอามาสวดที่วัดท่าขนุนเลยนะ ประกาศให้ชาวบ้านรู้ไว้เลยว่า ถ้าทำอย่างนั้นอาจารย์ไม่รับเผาหรอก..! ดังนั้น..อะไรเสี่ยงที่ว่ามา เสี่ยงต่อการผิดศีลผิดธรรม เสี่ยงต่อการผิดกฎหมายบ้านเมือง เสี่ยงต่อการผิดข้อบังคับของที่ทำงาน อย่าไปเสี่ยงเด็ดขาด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2015 เมื่อ 03:44 |
สมาชิก 265 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงการแต่งกายในงานศพว่า "ธรรมเนียมการไว้ทุกข์หรือเข้าทุกข์ของคนไทยโบราณ นิยมแต่งกายด้วยชุดขาวล้วน เป็นการไว้ทุกข์แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ รวมถึงการไว้ทุกข์ถวายเจ้านายด้วย
การไว้ทุกข์ด้วยชุดขาวปลอดนี้ บางทีเรียกว่า "เข้าทุกข์ใหญ่" เป็นการไว้ทุกข์เต็มยศแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใส่แขนทุกข์หรือปลอกผ้าสีดำอีก ต่างจากการแต่งเครื่องแบบที่เป็นการแต่งกายตามปกติ แต่ยังไม่ได้ไว้ทุกข์ จึงต้องใส่แขนทุกข์ด้วย อาตมาพูดมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว เห็นเด็กแต่งชุดดำไปงานศพผู้ใหญ่แล้วรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก สมัยโบราณคนที่อายุน้อยกว่าไปงานศพผู้ใหญ่กว่าต้องใส่ชุดขาวไป ถ้าหากว่าไปงานศพคนที่เด็กกว่า อายุน้อยกว่า หรือว่ายศต่ำกว่า ถึงใส่ชุดดำได้ อาตมาเห็นมาจนเบื่อแล้ว ตั้งแต่งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ งานถวายพระเพลิงสมเด็จพระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนี งานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เห็นแล้วเบื่อสุด ๆ ว่าแต่ละคนที่ไปนี่ใหญ่กว่าท่านทั้งนั้นเลย ต่อให้งานศพทั่ว ๆ ไปก็เหมือนกัน คนอยู่บนเมรุนั่นอายุ ๖๐ - ๗๐ - ๘๐ ปี เด็กเมื่อวานซืนก็ใส่ชุดดำไป คราวนี้คนรู้ธรรมเนียมอย่างอาตมา พอเห็นแล้วก็สยอง แต่พอว่าไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยใส่ใจกัน งานศพที่วัดท่าขนุนอาตมาเตือนอยู่ ๒ เรื่องทุกครั้ง เรื่องหนึ่งก็คือการไว้ทุกข์ ถ้าคนตายอาวุโสกว่าให้ใส่สีขาวไป อีกเรื่องหนึ่งก็คือเราเป็นคนส่งศพ ให้เดินตามโลงศพ ไม่ใช่ไปแย่งพระจูงศพ..! ส่วนใหญ่สมัยนี้เขาไปแย่งกันจับสายสิญจน์จูงศพ เรื่องของการจูงศพเป็นหน้าที่ของพระของเณร ถ้าจะเดินนำศพจริง ๆ อนุญาตให้คนถือรูปผู้ตายกับกระถางธูปเท่านั้น นอกนั้นทุกอย่างไปเดินตามอยู่ข้างหลัง เตือนทุกครั้ง เตือนจนตอนนี้เริ่มเข้าหูแล้ว ถึงเวลาจึงวิ่งไปอยู่ท้ายโลง เพราะถ้าขืนมาหน้าโลงอาจจะโดนด้ามตาลปัตรจากพระอาจารย์..! เคาะกบาลเข้าถึงจะนึกได้ เขาก็บอกชัด ๆ แล้วว่าไปส่งศพ ไม่ได้ไปจูงศพ แล้วบางคนไม่รู้ไม่พอ ดุพระเณรด้วยนะ “ปล่อยสายสิญจน์ยาว ๆ หน่อยสิ ไม่พอจูง” ปล่อยให้หมดม้วนก็ไม่พอหรอก เพราะบางงานคนมาเป็นพันเลย อย่างงานศพร้อยตำรวจตรีประเสริฐ บุญยงค์ โยมพ่อของท่านนายกเทศมนตรีประเทศ บุญยงค์ แขกเกิน ๒,๐๐๐ คนแน่นอน ถ้าขืนไปจูงศพแล้วจะเอาสายสิญจน์ที่ไหนมาให้จูง ๕๐๐ เมตรก็คงไม่พอ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2012 เมื่อ 14:49 |
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
"บุคคลที่จะแต่งชุดสีดำ ต้องอาวุโสด้วยวัยวุฒิคืออายุมากกว่า หรืออาวุโสด้วยคุณวุฒิก็คือยศตำแหน่งสูงกว่า อย่างสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีวัยวุฒิและตำแหน่งของพระองค์ท่านสูงมาก บุคคลที่จะแต่งดำได้จริง ๆ ปัจจุบันนี้จะมีอยู่แค่ ๔ พระองค์เท่านั้น ก็คือ ในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วก็สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เพราะว่าพระอิสริยยศสูงกว่า
แต่คราวนี้ในหลวงทรงพระราชทานอิสริยศประดับฉัตร ๗ ชั้น พอได้สัปตปฎลเศวตฉัตรไป ก็เหลือแค่ ๒ พระองค์เท่านั้นที่จะแต่งดำได้ ก็คือในหลวงกับพระบรมราชินีนาถ ความจริงฉัตร ๗ ชั้น พระยศเท่ากับสมเด็จพระราชินีนาถเลยนะ แต่เนื่องจากว่าสมเด็จพระราชินีนาถดำรงตำแหน่งที่สูงกว่า จึงสามารถที่จะแต่งดำได้ เพราะฉะนั้น..ต่อไปชาววัดท่าขนุน ถึงเวลาไปงานศพผู้ใหญ่ให้แต่งสีขาวไป สุภาพเรียบร้อยกว่าเยอะเลย แต่ว่าระยะหลังนี่มีค่านิยมอย่างหนึ่งที่เห็นแล้วหงุดหงิด อยากจะเรียกมาโบกเสียที..! ก็คือพวกที่ไปงานศพแล้วแต่งตัวเป็นแฟชั่น เคยเห็นไหม ? เขาตั้งใจแต่งตัวไปอวดกันจริง ๆ นั่นเขาเรียกว่าไม่ดูกาลเทศะ แต่งตัวอย่างกับจะไปเดินแฟชั่นโชว์ ไม่ดูว่าเป็นงานศพ ต่อให้เป็นชุดขาวชุดดำอะไรก็เถอะ เขาถือว่าไม่ให้เกียรติผู้ตาย จะไปไว้อาลัย ไปเพราะเห็นความดีของท่าน ไปเสริมเกียรติยศของท่าน แต่ดันไปทำตัวเพื่อลดเกียรติยศของท่านเสียนี่ สรุปว่าอาตมาแก่เกินไป ตกยุค เดี๋ยวนี้เขานิยมอย่างนั้น แต่เป็นการนิยมที่ผิดกาลเทศะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-04-2012 เมื่อ 08:10 |
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถาม : แล้วที่ท่านธุดงค์กันทำให้รถติด ?
ตอบ : แล้วอย่างไร ? รถติดก็หน้าที่ของตำรวจสิจ๊ะ อย่าไปยุ่งกับท่านเลย โบราณท่านเก่ง ท่านกันตัวเองออกไปเลย เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพระเถรเณรชี ท่านจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เรียกว่าชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ คำว่า "ชี" สมัยก่อนก็คือพระ แม่ชีต่างหากที่หมายถึงชีในสมัยนี้ อย่างสมัยก่อนเขาใช้ศัพท์บางคำว่า "ชีบานาสงฆ์" เป็นต้น เมื่อเป็นดังนั้นเขาจะกันตัวเองออกไป ไม่ยุ่งเรื่องพระเถรเณรชีด้วย เพราะว่าคนเราเวลาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงพอ ก็จะอยู่ในลักษณะใส่อารมณ์ร่วมไปด้วย เกิดโทษกับตัวเองได้ง่าย แล้วอีกประการหนึ่ง ถึงจะว่ากันตรงไปตรงมาตามเหตุตามผลก็ตาม คนส่วนมากเขาเคารพเลื่อมใสบุคคลเหล่านั้น เราไปพูดตรงไปตรงมา แต่ว่าอยู่ในลักษณะไปลดความน่าเชื่อถือของเขาลง ก็มีโทษเหมือนกัน เพราะว่ากำลังใจคนส่วนใหญ่จะเสีย สมัยนี้ก็เลยมีประเภทพวกมากลากไป ทำผิดจนกลายเป็นถูก กลายเป็นกาเมสุมิจฉาจารไป กาเมสุ เป็นสัตตมีวิภัตติ ก็คือวิภัตติที่ ๗ ของศัพท์คำว่ากามะ แปลว่าในกาม มิจฉาจาระ ก็คือความประพฤติผิด แต่คราวนี้เราดันไปกล่าวเป็นกาเมสุมิจฉาจาร ก็เลยกลายเป็นผิดแล้วดี เพราะ สุ แปลว่า ดี ถ้าพระที่ท่านเข้าใจศัพท์ตัวนี้ เวลาให้ศีลท่านจะว่า กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมณี จะเว้นตรงสุไว้นิดหนึ่งให้คนรู้ว่าเป็นศัพท์คนละตัว แต่โยมรับศีลเมื่อไรก็เป็น กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี ติดกันไปอีกจนได้ ฉะนั้น เมื่อเป็น สุมิจฉาจาร จึงแปลว่า ผิดแล้วดี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-04-2012 เมื่อ 11:55 |
สมาชิก 247 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
แรก ๆ พวกเราปฏิบัติธรรม กำลังใจของพวกเรามักจะไปแยกดีชั่ว ขาวดำอย่างชัดเจน จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่พอทำไป ๆ ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้ว่า ผิดถูกเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม
บุคคลที่ทำอกุศลกรรม ก็ตกในกระแสสีดำ ก็คือไหลลงไปเรื่อย ๆ บุคคลที่ทำกุศลกรรม ก็ตกในกระแสสีขาว ก็คือไหลขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้ทั้ง ๒ กระแส ไปไม่ถึงที่สุดหรอก ถ้าจะหลุดพ้นได้จริง ๆ ต้องผ่ากลางไปให้ได้ ก็คือเว้นชั่วทำดี แล้วท้ายสุดเลิกเกาะดีก็จบ แต่กำลังใจกว่าจะเลิกเกาะดีได้นี่ยากมาก เพราะเราต้องอาศัยดีเป็นบันได เพื่อที่เราจะก้าวหลุดพ้นไป เพราะฉะนั้น..กว่าจะรู้ตัวว่า ดีก็ทำ ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ต้องเกิดตายกันจนนับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น..การที่เรามองอะไรขาวดำชัดเจนนั่นดี แต่ให้เราเกาะขาว ทำด้านที่ขาวเอาไว้ ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า สุกะธรรมะ ก็คือธรรมอันขาว ถ้าหากว่า กัณหะธรรมะ ก็คือธรรมอันดำ ก็คือบรรดาสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมต่าง ๆ ท่านก็บอกว่า กัณหังธัมมัง วิปะหายะ สุกังพาเว จะ ปันฑิโต บัณฑิตย่อมละเว้นการกระทำกรรมอันดำ กระทำแต่กรรมที่ขาวเท่านั้น ก็คือเว้นจากความชั่ว ทำแต่ความดีเท่านั้น พอทำไป ๆ ความดีเต็มอยู่ในจิตในใจของตัวเอง ปัญญาเกิดถึงที่สุด จะเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้น ท้ายสุดก็วางความดีนั้นลง ก่อนที่จะวางได้ต้องทำให้เต็มที่ก่อน ไม่ใช่ประเภททำนิดหนึ่งแล้วก็ไปวาง แล้วเราจะมีอะไรให้วาง ? ต้องทำจนเต็มที่แล้วถึงจะปลดวางลงไปเอง เมื่อเราเลิกเกาะดี ไม่ติดทั้งดีทั้งชั่วก็จะหลุดไปได้ เพราะฉะนั้น..ใครก็ตามในระยะแรกเริ่ม ถ้าสามารถเอาคนเข้าวัดมารักษาศีลปฏิบัติธรรมได้ ถือว่าใช้ได้ทั้งหมด แม้ว่านานไปแล้ว สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ใช่ความดีที่แท้จริง แต่คนที่ก้าวเข้ามาถึงจุดนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาก็เหมือนกับคนหิว คนหิวต้องรีบกินก่อน แต่พออิ่มแล้วต่อไปก็จะเลือกแล้วว่าอะไรอร่อยถูกปากหรือเปล่า ถาม : ไม่มีถูกไม่มีผิด ต้องเว้นศีลไว้หรือเปล่าคะ ? ตอบ : ต่อให้ผิดศีล เขาก็ไม่ได้ทำผิด เพราะเขาคิดว่าดีเขาถึงทำ ถ้าเขารู้ว่าไม่ดี เขาก็พยายามที่จะเลิก ในเมื่อทำเพราะเห็นว่าดี เขาย่อมไม่คิดว่าเป็นความผิด เพราะฉะนั้น..ในความเป็นจริงแล้วคนเราไม่มีถูกไม่มีผิดหรอก เพียงแต่ว่าให้พยายามทำในสิ่งที่ถูก ที่เขาสมมติกันขึ้นมา ละเว้นในสิ่งที่ผิดเสีย พอถึงเวลาทำได้เต็มที่เมื่อไรก็เป็นอันว่าพ้นไปได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2012 เมื่อ 15:40 |
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ถาม : ผ้ายันต์พิชัยสงคราม บูชามาแล้วควรจะติดบ้านหรือติดตัวไว้ก่อน ?
ตอบ : ติดตัวได้จะดี หรือไม่ก็ติดบ้านอธิษฐานคลุมทั้งตึกทั้งที่ดินของเราเลยก็ได้ ถาม : เก็บไว้กับตัวได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : อุตส่าห์บูชามาทั้งทีก็เอาติดตัวไว้สิ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2012 เมื่อ 13:18 |
สมาชิก 249 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ถาม : บทสวดอิติปิโสถอด ?
ตอบ : เขาถอดไม่รู้ตั้งกี่อุปเท่ห์ อิติปิโสแปดทิศก็มี อิติปิโสรัตนมาลาก็มี ถ้าเป็นอิติปิโสรัตนมาลาก็ ๑๐๘ บทพอดี เขาถอดอักขระแต่ละตัวออกมาเป็นพระคาถา ๑ บท อย่างเช่น อิ ก็เป็น อิฏโฐ สัพพัญญุตะญานัง อิจฉันโต อาสะวักขะยัง อิฏฐัง ธัมมัง อะนุปปัตโต อิทธิมันตัง นะ มามิหัง นี่คืออิตัวเดียว กว่าจะครบก็ตาย..ตั้ง ๑๐๘ ตัว ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : อยู่ที่ใจเรา ถ้ากำลังใจมั่นคง ต้องการให้เป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เรื่องของคาถาไม่ได้สำคัญที่คาถา สำคัญที่ใจของเรา คาถาดีแค่ไหนถ้ากำลังใจไม่ได้เรื่องก็ไม่มีประโยชน์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2012 เมื่อ 13:19 |
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ถาม : มารอาศัยอยู่กับคนหรือคะ ?
ตอบ : อาศัยความชั่วของเราเป็นเชื้อ ทุกอย่างที่เราทำไปถ้าผิดศีลผิดธรรม มารจะอาศัยความชั่วทั้งหลายเหล่านี้ แทรกเข้ามาในใจของเราตลอดเวลา สามารถชักจูงกาย วาจา ใจ ของเราให้ทำผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็หลงตามเขา ห่างพระไปทุกที สรุปว่าโทษมารไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ชั่วมารก็แทรกไม่ได้ ถาม : แล้วถ้าไปแทรกคนอื่น ตอบ : จะไปยุ่งอะไรกับเขา ไปเสือกยุ่งเรื่องชาวบ้านเดี๋ยวเขาก็อัดเราแทน รู้เรื่องคนอื่นไม่มีประโยชน์ ต้องรู้เรื่องของตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2012 เมื่อ 13:20 |
สมาชิก 244 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ถาม : มีโยมเป็นเจ้าภาพจัดสร้างหลวงพ่อโสธรจำลอง แต่ผมไม่มีความรู้ในแต่ละขั้นตอน ว่าโรงงานเขาทำแบบไหน หล่ออย่างไร มีพิธีการอะไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่าโรงงานเขาทำ เราจะให้เขารวมพิธีต่าง ๆ เข้าไปด้วยก็ได้ หรือเราจะทำด้วยตัวเราเองก็ได้ สำคัญที่เราเองนั่นแหละว่ายินดีแบบไหน หากว่าเป็นทั่ว ๆ ไปอย่างของอาตมา ก็บวงสรวงบอกกล่าวขออนุญาตท่านทำ จะเป็นพิธีพราหมณ์หรือพิธีพุทธก็อยู่ที่เรา เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ติดต่อโรงงานที่เราพอใจ ให้เขาออกแบบหรือว่าเราหาแบบไปให้เขา เซ็นสัญญากัน ตกลงราคา กำหนดวันเวลาที่แล้วเสร็จ ถาม : ถ้าเขาจะหล่อหรือเท ? ตอบ : ส่วนใหญ่เขาจะดูฤกษ์ที่เหมาะสม ถ้าเราไม่มีความรู้ก็ขอคำแนะนำจากทางโรงงานเขาก็ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2012 เมื่อ 13:21 |
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงสำนวนว่า "สำนวนขี่ม้าชมสวน คนที่ไม่เข้าใจมักคิดว่า แหม..ขี่ม้าชมสวนช่างอารมณ์ดีเหลือเกิน แต่ที่ไหนได้ขี่ม้าชมสวนหมายถึงไม่เอารายละเอียด พรวด ๆ ผ่านไปเลย
สำนวนบางอย่างพอนาน ๆ ไปแล้วคนเขาไม่เข้าใจความหมาย แค่สำนวนอย่าเอามือไปซุกหีบ ก็ไม่มีใครรู้เรื่องแล้ว คำว่า "หีบ" ในที่นี้ไม่ใช่หีบใส่เสื้อผ้า แต่หีบที่ว่านี้เป็นเครื่องหีบอ้อย เป็นเฟืองเหล็กหมุนเข้าหากัน ลองแหย่มือไปสิ ออกมาแบนเป็นกระดาษ สามารถบดมือเราเละได้เลย อย่าเอามือไปซุกหีบ แปลว่า อย่าหาเรื่องเจ็บตัวโดยใช่เหตุ หรืออย่าหาเรื่องเดือดร้อนโดยใช่เหตุ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 225 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงนิยายจีนกำลังภายในว่า "กระบี่เย้ยยุทธจักรล่าสุดเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นเดชคัมภีร์เทวดาไปแล้ว เรื่องเดียวกันนั่นแหละ ถ้าสำนวนแรกเลยคือผู้กล้าหาญคะนอง เป็นหนังสือที่ตีแผ่ความเป็นนักการเมืองในยุทธจักรได้อย่างถึงแก่นจริง ๆ มีทั้งประเภทชั่วอย่างตรงไปตรงมา อย่างพวกพรรคมาร ชั่วอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครว่าหรอก เพราะรู้ว่าพวกมารต้องชั่ว
นอกจากนี้มีประเภทที่ครึ่งชั่วครึ่งดี ก็คือหน้าฉากเป็นค่ายสำนักฝ่ายธรรมะ แต่วิธีการกระทำเป็นฝ่ายอธรรมชัด ๆ เลย แล้วก็มีประเภทชั่วเนียน ๆ หน้าฉากนี่สุดยอดความดีเลย แต่หลังฉากชั่วสุด ๆ เขาบอกว่ากิมย้งเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะตั้งใจที่จะงัดข้อกับระบบคอมมิวนิสต์ ช่วงนั้นไม่รู้กิมย้งรอดมาได้อย่างไร หรือว่าเขาเขียนเนียนจนกระทั่งอีกฝ่ายตามไม่ทัน อ่านเรื่องนี้แล้วจะเห็นว่าคนที่ทำชั่วโดยที่มีหน้าฉากเป็นคนดีนั้น เป็นคนที่น่ากลัวที่สุด กิมย้งจะเขียนเรื่องพวกนี้อยู่ ๓ - ๔ เรื่องด้วยกัน จะออกมาแนวนี้เต็ม ๆ อีกเรื่องหนึ่งก็เหล็กคลั่งเลือด ตอนหลังเปลี่ยนเป็นหลั่งเลือดที่นานกิง อันนั้นก็เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ที่หลอกใช้ลูกศิษย์ให้ไปทำความชั่วแทนตัวเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2012 เมื่อ 13:22 |
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
"หนังสือนิยายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่ประทับใจ ก็คือหนังสือเกี่ยวกับพวกหมา เพราะหมาเป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดกับคนมาก เรื่องหมาที่เขียนได้ดีมาก ๆ เลยก็เรื่องเสียงเพรียกจากพงพี และไอ้เขี้ยวขาวของแจ๊ค ลอนดอน ช่วงหลัง ๆ ก็มีไชโลห์ ดิ โอลด์เยลเลอร์ แซมเถื่อน ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นแซมจอมอำมหิตกระมัง ? แล้วก็มีลิตเติ้ลอาร์ลิตที่เป็นเจ้านายของแซม มีอยู่ ๓-๔ เรื่อง คล้าย ๆ กับเป็นเรื่องชุด เขาเขียนแล้วสนุก คนอยากอ่านต่อ ก็เลยเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จบภาค ๒ ต่อภาค ๓ จบภาค ๓ ต่อภาค ๔
เรื่องเกี่ยวกับม้าก็มีลูกม้าสีแดงของจอห์น สไตน์เบ็ค มีแบล็กสตอลโลนเปลี่ยนชื่อเป็นไทยว่าอะไรก็ไม่รู้ ตัวล่าสุดคือเซบาสเตียน เป็นม้าแข่ง หุ่นห่วยแตกมาก แต่ชนะทุกสนาม ถ้าไม่ใช่นักเล่นม้าจริง ๆ จะดูไม่ออกว่าม้าหุ่นแบบนี้จะเก่งได้อย่างไร ส่วนนิยายที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับคนก็จะมีชุดพรานล่าม้า พรานล่าหมา พรานล่าคน ที่มาลา แย้มเอิบสินแปลไว้ เป็นชุดต่อกันเลย ก็คือเขาได้ม้าคู่ใจ แล้วก็ได้หมาคู่ใจ จากนั้นไปตามล่าผู้ร้าย เรื่องนี้มี ๓ เล่ม หนังสือของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชจะมีเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ เช่น ชีวิตสัตว์ป่า เสือขาว กระรอกเทา - เจ้าพอสซั่ม ฯลฯ เหมาะสำหรับเด็กอ่านหลายเล่มด้วยกัน มีนิทานสำหรับเด็กหลายเล่มด้วยกันที่น่าอ่าน แต่เป็นนิทานที่ไม่มีรูป ประเภทบทหนึ่งจะมีรูปประกอบสักหน้าหนึ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 11-04-2012 เมื่อ 17:42 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเราเจอปัญหา แล้วไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ควรจะเริ่มพิจารณาจากตรงไหน ?
ตอบ : ก็พิจารณาที่ตัวเองว่าเสือกไปสร้างปัญหาขึ้นมาทำไม ? เราสร้างปัญหานั้นขึ้นมาเพราะเหตุใด ? แล้วก็อย่าทำอย่างนั้นอีก ปัญหาใหม่ก็จะไม่เกิด ปัญหาเก่าพอระยะเวลานานไปก็จะจางลงไปเอง ถาม : กรรมที่กำลังให้ผล ถ้าเราหาวิธีสะเดาะเคราะห์ จะมีผลอย่างไร ? ตอบ : สะเดาะเคราะห์มีผลน้อย แต่ว่าส่วนที่น่าทำคือ ถ้าเป็นปัญหาระหว่างบุคคล ไปขอขมาเขาดีกว่า แต่ควรจะให้เขาเข้าใจด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาว่าเราบ้า..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2012 เมื่อ 13:27 |
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าอาตมามีโอกาสไปเมืองจีน ตั้งใจจะไปที่ Buddhist Palace จะไปดูความอลังการของที่นั่น เป็นสถานที่ในพระพุทธศาสนาที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อแข่งรัศมีกับนครรัฐวาติกันของคริสต์
คนจีนมีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมากเป็นพิเศษ ตรงนั้นเป็นเมืองเก่าที่ฆ่ากันมาจนนับศพไม่ถ้วน จึงเป็นที่ซึ่งไม่มีใครต้องการ แต่เขาก็สร้างขึ้นมาเป็นพุทธสถานได้ อาศัยบารมีพระไปข่มเอาไว้ โดยเฉพาะหลวงพ่อโตเขาหลิงซาน เป็นพระหล่อด้วยโลหะองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ซ้ำเข้าไปอีก เขาวางตามจุดที่เห็นว่าฮวงจุ้ยไม่ดี พอเอาพระไปวาง สิ่งที่ไม่ดีก็กลายเป็นดีไปเอง แบบเดียวกับโค้งตะลุเก้ ทางช่วงทองผาภูมิขึ้นสังขละบุรี ตรงนั้นตายซับตายซ้อนจนเกินโค้งร้อยศพ มีแต่ศาลพระภูมิเกลื่อนกลาดไปหมด แม้กระทั่งหลวงพ่ออุตตมะก็ลงโค้งนั้นจนซี่โครงหักไป ๒ ซี่ ตอนแรกท่านไม่ยอมไป ท่านบอกว่าเคราะห์ไม่ดี ไม่ไป ๆ แต่ลูกศิษย์ก็ตื๊อท่านไปจนได้ พอลงโค้งนั้นท่านต้องรักษาตัวไปครึ่งค่อนปี มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาขึ้นไปบรรยายที่หน่วยจัดการต้นน้ำซองกาเลีย ขาขึ้นเห็นเขากำลังตั้งศาลอยู่ แสดงว่าลงไปอีกศพแล้ว วันรุ่งขึ้นบรรยายเสร็จอาตมากลับลงมา ศาลหลังนั้นราบไปอีกแล้ว มีรถแหกโค้งลงไปกวาดศาลเสียเรียบเลย พอเกิดเหตุการณ์นี้มากเข้า ๆ ก็ตั้งศาลไม่ไหว ไม่รู้เขาไปได้รับคำแนะนำจากใคร จึงทำแท่นซีเมนต์เล็ก ๆ แล้วก็เอาพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว ตั้งหันหน้าเข้าหาโค้ง ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ยังไม่มีใครตายอีกเลย เราจะเห็นในเรื่องบารมีพระชัดมาก ถ้าในสายตาของเราคือพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ไปอยู่ตรงโค้งร้อยศพ แทบจะไปกันอะไรไม่ได้เลย แต่ปรากฏว่าองค์เล็ก ๆ นั่นแหละเอาอยู่ เพราะว่าเล็กที่ขนาด แต่ไม่ได้เล็กที่พุทธบารมี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2012 เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
"หลวงปู่ปานเคยบอกหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า “แกคิดว่าพระพุทธเจ้าเล็กหรือ ?” หรือไม่ก็ลูกศิษย์หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ได้พระของขวัญจากหลวงพ่อสดไป ก็ว่า “ว้า..องค์เล็กนิดเดียว” กลางคืนฝันเห็นองค์พระขยายใหญ่ขึ้นเต็มท้องฟ้า แล้วถามว่า “ใหญ่พอหรือยัง ?” ต้องโดนอย่างนั้นถึงจะเข็ด ไปว่าท่านองค์เล็ก ตอนกลางคืนท่านทำให้ดูว่าบารมีพระไม่มีเล็ก จะเอาใหญ่แค่ไหนก็ได้
เพราะฉะนั้น..เขาก็เลยสร้างพระใหญ่ขึ้นมาบริเวณตรงจุดนั้น กลายเป็นว่าสามารถสะกดข่มสิ่งที่ไม่ดีได้ ทำสถานที่จนมีลักษณะเหมือนกับพุทธมณฑล แต่เป็นพุทธมณฑลของจีน อาตมาตั้งใจจะไปดูแค่นั้นแหละ เพราะเซี่ยงไฮ้ไม่มีอะไรให้เราดูหรอก ที่นั่นเจริญ ความเจริญอาตมาเห็นมาเยอะแล้ว แต่ต้องการดูว่าพระพุทธศาสนาเจริญอย่างไร ไปดูที่เดียวนี่น่าจะไปวันหนึ่งกลับวันหนึ่งได้ทันนะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2012 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : เราไปไหว้บรรพบุรุษกับทำสังฆทาน..?
ตอบ : ให้ทำทั้ง ๒ อย่าง เราไปไหว้บรรพบุรุษเพื่อกันบรรพบุรุษด่าเรา โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้ อย่างแรกเราทำเพื่อรักษาประเพณีและกันคนเป็นด่า จนกว่ารุ่นเราจะเป็นรุ่นที่อาวุโสที่สุด แล้วค่อยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานอย่างเดียว แต่ถ้ามีคนใหญ่กว่า อาวุโสกว่าก็ไหว้ไปก่อน ผู้ใหญ่เขาทำตามประเพณีมาเรื่อย ๆ บางอย่างเขาไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร รู้แต่ว่าต้องทำ ในเมื่อกลายเป็นประเพณีแล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำตามเขาไป ที่บ้านอาตมานอกจากพี่ชายคนโตแล้วก็ไม่มีใครไหว้เจ้าแล้ว ที่พี่ชายคนโตยังไหว้เจ้าอยู่เพราะทำมาตั้งแต่เด็ก อายุ ๗๐ กว่าปีแล้วก็ยังทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะฝังหัวไปแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เข้าวัดทำบุญกัน ถ้าเริ่มจากตอนแรกเลย ที่บ้านอาตมานับถือเจ้าแม่กวนอิม ไหว้เจ้า ไม่กินเนื้อ พออาตมาเริ่มปฏิบัติ ทุ่มเทจริง ๆ ก็ช่วงเรียนมัธยมอายุ ๑๐ กว่าปี ช่วงแรกเขาก็ว่าอาตมาบ้ากันทั้งนั้น พอทำไปแล้วเกิดผล เขาก็ค่อย ๆ มั่นใจ แล้วก็คล้อยตามมา โดยเฉพาะตอนที่ถูกหวยนี่มั่นใจมาก..! พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ทำมาใช้ได้จริง ขนาดดูหวยยังถูก อย่างอื่นก็ต้องถูกสิน่า ความจริงเขาเข้าใจผิด การดูหวยถูก แต่การตั้งกำลังใจในการปฏิบัติอาจจะผิด แต่คราวนี้ไปทำให้เขาศรัทธาแล้ว ท้ายสุดพี่น้องลูกหลานก็ตามมาหมด แต่ถึงจะตามมาหมด กำลังใจแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนเข้าวัดก็เพราะว่าอยากได้หวย บางคนเข้าวัดเพราะอยากได้วัตถุมงคล บางคนเข้าวัดเพราะตามคนอื่นเขาไป บางคนเข้าวัดเพราะอยากจะมาปฏิบัติธรรม บางคนก็อยากเก่งเหมือนหลวงน้าหลวงตาก็ไปกันเรื่อย โดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ อยากเก่งเหมือนหลวงน้า อยากเก่งเหมือนหลวงตา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีความอดทนไม่พอ บวชได้คนละไม่กี่วันก็สึกไปกันหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2012 เมื่อ 09:21 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ยิ่งมาเจอรายล่าสุดที่เพิ่งบวชมาไม่นาน ญาติโยมคงไม่อยากมีใครเอาลูกมาบวชที่วัดท่าขนุนแล้ว เพราะอาตมาฟาดกบาลด้วยด้ามตาลปัตร..! เขามาอยู่วัดก่อนล่วงหน้า ๗ วันแต่ขานนาคไม่ได้ เพราะมัวแต่เล่นเกมส์อยู่ อาตมาก็เลยบอกว่า "ประโยคละที" บอกเสร็จประโยคหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงทีหนึ่ง กว่าจะบวชเสร็จก็นั่งร้องไห้คาโบสถ์ไปเลย
หลังจากนั้นให้เวลาเขา ๓ วันท่องให้ได้ เมื่อวานนี้ครบ ๓ วัน เขาท่องได้หมดเลย คิดดู..อยู่มาตั้ง ๗ วันท่องไม่ได้สักคำ แต่ ๓ วันกลับท่องได้เพราะกลัวโดนฟาดกบาลอีก ก็เลยบอกว่า จำไว้เลยนะ ไอ้พวกทำดีก็ทำได้แต่ไม่ทำ อย่าให้เจออีก..! บรรดาญาติ ๆ คงไปลือกันอีกเยอะ ตอนแรกที่เข้มงวดกับพวกเขา หลวงพ่อวัดท่ามะขามท่านบอกว่าระวังจะต้องอยู่คนเดียว แต่ไม่ใช่แล้ว...ตอนนี้วัดท่าขนุนเป็นวัดที่มีพระเณรมากที่สุด เพราะเขาเห็นว่าเข้มงวด เอาลูกเขาอยู่ ก็เลยยัดเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ ลูกไม่อยากบวชหรอก อยากไปบวชที่อื่นเพราะสบายกว่า แต่พ่อแม่อยากให้บวชที่นี่ นี่อาตมากลับไปก็มีพระใหม่ ๒ รูปต้องมาปลงอาบัติปากเปล่า ห้ามเปิดหนังสือ กติกาวัดท่าขนุน ๓ วันต้องปลงอาบัติได้ ให้เวลาตั้ง ๓ วัน เพราะอาตมาเองครึ่งวันก็จำได้หมดแล้ว นี่อาตมาให้เวลาเขามากกว่าตั้ง ๖ - ๗ เท่าแล้ว ถ้ายังไม่ได้มีเฮ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2012 เมื่อ 09:23 |
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ถาม : ขอวิธีสอนการปฏิบัติที่ง่ายครับ
ตอบ : ไม่มีอะไรมากหรอก มองให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แค่นั้นแหละ วิธีสอนง่ายที่สุด แต่วิธีทำยากฉิบ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2012 เมื่อ 16:42 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อยืนองค์ใหญ่ที่วัดท่าซุง ชื่อของท่านคือ "หลวงพ่อไหลมาเทมา" เท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้เขาลงว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" บางรายก็บอกชื่อว่า "หลวงพ่อเงินไหลมา" ต้องบอกว่าเขาพอใจแค่นั้น
ถ้าอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงว่าไว้ก็จะเป็น "หลวงพ่อไหลมาเทมา" คือเรื่องดีทุกเรื่องจะไหลมาเทมา แต่พวกนั้นเขาจำกัดจะเอาเรื่องเดียว พอนาน ๆ ไปแล้วชื่อก็จะเพี้ยน..เปลี่ยนไปเรื่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2012 เมื่อ 16:43 |
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|