กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม

Notices

กระทู้ธรรม รวมข้อธรรมะจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 18-09-2009, 16:16
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default ความเป็นมาของท่าน "อนาถบิณฑิกเศรษฐี"

อนาถปิณฑิกเศรษฐี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก

อนาถบิณฑิกเศรษฐี เกิดในตระกูลมหาเศรษฐีในเมืองสาวัตถี บิดาชื่อว่า “ สุมนะ” มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เมื่อเกิดมาแล้วบรรดาหมู่ญาติได้ตั้งชื่อให้ว่า “ สุทัตตะ ” เป็นคนมีจิตเมตตาชอบทำบุญให้ทานแก่คนยากไร้อนาถา

"ได้ชื่อใหม่เพราะให้ทาน"

เมื่อบิดามารดาของท่านล่วงลับไปแล้ว ท่านได้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีแทน และให้ตั้งโรงทานที่หน้าบ้าน แจกอาหารแก่คนยากจนทุกวัน จนกระทั่งประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามลักษณะนิสัยว่า “ อนาถบิณฑิกะ ” ซึ่งหมายถึง“ ผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา และได้เรียกกันต่อมา จนบางคนก็ลืมชื่อดั้งเดิมของท่านไปเลย

ท่านอนาถปิณฑิกะ ทำการค้าขายระหว่างเมืองสาวัตถีกับเมืองราชคฤห์เป็นประจำ จนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเศรษฐีเมืองราชคฤห์นามว่า “ ราชคหกะ” และต่อมาเศรษฐีทั้งสองก็มีความเกี่ยวดองกันมากขึ้น โดยต่างฝ่ายก็ได้น้องสาวของกันและกันมาเป็นภรรยา ดังนั้น เมื่ออนาถปิณฑิกะนำสินค้ามาขายยังเมืองราชคฤห์ จึงได้มาพักอาศัยที่บ้านของราชคหกเศรษฐี ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นทั้งน้องเขยและพี่เมียอยู่เป็นประจำ

__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-09-2009, 16:34
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

อนาถปิณฑิกเศรษฐีสำเร็จพระโสดาบัน

อนาถปิณฑิกเศรษฐี ดำรงชีวิตในกรุงสาวัตถีโดยมิได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธศาสนาเลย จวบจนวันหนึ่ง ท่านได้นำสินค้ามาขายยังเมืองราชคฤห์ และได้เข้าพักในบ้านของราชคหกเศรษฐีตามปกติ แต่ในวันนั้น เป็นวันที่ราชคหกเศรษฐี ได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก มาเสวยและฉันภัตตาหารที่เรือนของตนในวันรุ่งขึ้น

ราชคหกเศรษฐี มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานแก่ข้าทาสบริวาร จึงไม่มีเวลามาปฏิสันถารต้อนรับท่านอนาถปิณฑิกเหมือนเช่นเคย เพียงแต่ได้ทักทายปราศัยเล็กน้อยเท่านั้นก็สั่งงานต่อไป
แม้ท่านอนาถปิณฑิกก็เกิดความสงสัยขึ้นเช่นกัน จึงคิดอยู่ในใจว่า “ ราชคหกเศรษฐี คงจะมีงานบูชายัญหรือไม่ก็คงจะกราบทูลเชิญพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมายังเรือนของตนในวันพรุ่งนี้เป็นแน่ ”

เมื่อการสั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราชคหกเศรษฐี จึงได้มีเวลามาต้อนรับพูดคุยกับอนาถปิณฑิกเศรษฐี และท่านอนาถปิณฑิกก็ได้ไต่ถามข้อข้องใจสงสัยนั้น ได้รับคำตอบว่า ที่มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานนั้น ก็เพราะได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มาเสวยและฉันภัตตาหารที่เรือนของตนในวันพรุ่งนี้

อนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ฟังคำว่า “ พระพุทธเจ้า ” เท่านั้นเอง ก็รู้สึกแปลกประหลาดใจ จึงย้อนถามถึงสามครั้งเพื่อให้แน่ใจ เพราะคำว่า “ พระพุทธเจ้า ” นี้ เป็นการยากยิ่งนักที่จะได้ยินในโลกนี้

เมื่อราชคหกเศรษฐีกล่าวยืนยันว่า “ ขณะนี้พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วในโลก ” จึงเกิดปีติและศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ปรารถนาจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ในทันทีนั้น แต่ราชคหกเศรษฐียับยั้งไว้ว่ามิใช่เวลาแห่งการเข้าเฝ้า จึงรอจนรุ่งเช้า ก็รีบไปเข้าเฝ้าก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปยังบ้านราชคหกเศรษฐี ได้ฟังอนุปุพพิกถาและอริยสัจสี่จากพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนา ประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต

__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 19-09-2009, 14:47
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

อนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างวัดถวาย

อนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้ช่วยอังคาสถวายภัตตาหารแด่พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ ครั้นเสร็จกิจแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาเพื่อเสด็จไปประกาศพระศาสนายังเมืองสาวัตถี พร้อมทั้งกราบทูลว่า จะสร้างพระอารามถวายที่เมืองสาวัตถีนั้น พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาตามคำกราบทูล

อนาถปิณฑิกเศรษฐี รู้สึกปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบเดินทางกลับสู่กรุงสาวัตถีโดยด่วน ในระหว่างทางจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงสาวัตถี มีระยะทาง ๕๕ โยชน์ อนาถปิณฑิกเศรษฐีได้บริจาคทรัพย์จำนวนมากให้สร้างวิหารที่ประทับ เป็นที่พักทุก ๆ ระยะหนึ่งโยชน์ เมื่อถึงกรุงสาวัตถีแล้วได้ติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าชายเชตราชกุมาร โดยได้ตกลงราคาด้วยการนำเงินปูลาดให้เต็มพื้นที่ตามที่ต้องการ ปรากฏว่าเศรษฐีต้องใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ * เป็นค่าที่ดิน และอีก ๒๗ โกฏิ เป็นค่าก่อสร้างพระคันธกุฎีที่ประทับของพระบรมศาสดา และเสนาสนะสงฆ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๔ โกฏิ แต่ยังขาดพื้นที่สร้างซุ้มประตูพระอาราม

ขณะนั้น เจ้าชายเชตราชกุมารได้แสดงความประสงค์ขอเป็นผู้จัดสร้างถวาย โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ที่ซุ้มประตูพระอาราม ดังนั้น พระอารามนี้จึงได้ชื่อว่า “ เชตวนาราม”
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 20-09-2009, 11:58
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

เศรษฐีทำบุญจนหมดตัว

เมื่อการก่อสร้างพระอารามเสร็จแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าประทับ จัดพิธีฉลองพระอารามอย่างมโหฬารนานถึง ๙ เดือน ( บางแห่งว่า ๕ เดือน ) ได้จัดถวายอาหารบิณฑบาตอันประณีตแด่พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพิธีฉลองพระอารามเสร็จสิ้นลงแล้ว ได้กราบอาราธนาพระภิกษุจำนวนประมาณ ๒๐๐ รูป ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนทุกวันตลอดกาล

อนาถปิณฑิกเศรษฐี ทำบุญโดยทำนองนี้ ทั้งให้ทานแก่คนยากจน และการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ จนกระทั่งทรัพย์สินเงินทองที่เก็บสะสมไว้ลดน้อยลงไปโดยลำดับ ทรัพย์ที่หาได้มาใหม่ก็ไม่เท่ากับที่จ่ายออกไป ภัตตาหารที่จัดถวายพระภิกษุสงฆ์ก็ลดลง ทั้งคุณภาพและปริมาณ จนในที่สุด ข้าวที่หุงถวายพระก็จำเป็นต้องใช้ข้าวปลายเกวียน กับข้าวก็เหลือเพียงน้ำผักเสี้ยนดอง ตนเองก็พลอยอดยากลำบากไปด้วย
ถึงกระนั้นเศรษฐีก็ยังไม่ลดละการทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ ได้แต่กราบเรียนให้พระภิกษุสงฆ์ทราบว่า ตนเองไม่สามารถจะจัดถวายอาหารอันประณีตมีรสเลิศเหมือนเมื่อก่อนได้ เพราะขาดปัจจัยที่จะจัดหา พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นปุถุชนก็พากันไปรับอาหารบิณฑบาตที่ตระกูลอื่นที่ถวายอาหารมีรสเลิศกว่า
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 20-09-2009, 12:08
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

เศรษฐีขับไล่เทวดา

ขณะนั้น เทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งสิงสถิตย์อยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินลอดซุ้มประตูเข้าออกทุกวัน เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินลอดซุ้มประตูนั้น ตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้ เมื่อเห็นเศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทำบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงปรากฏกายต่อหน้าท่านเศรษฐี แล้วกล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทำบุญเสียเถิด แล้วทรัพย์สินเงินทองก็จะเพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม ท่านเศรษฐีจึงถามว่า :-

"ท่านเป็นใคร ?"

"ข้าพเจ้าเป็นเทวดา ผู้สิงสถิตย์อยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน"

"ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคำพูดของท่าน ขอท่านจงออกไปจากซุ้มประตูเรือนของเรา อย่ามาให้ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอันขาด"

เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป จึงกลายเป็นเทวดาไร้ที่สถิตย์ ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้ช่วยเหลือ แต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่วยได้ สุดท้ายได้เข้าไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช ท้าวสักกเทวราชออกอุบายให้ว่า
"ทรัพย์เก่าของเศรษฐีจำนวน ๘๐ โกฏิ ซึ่งใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำถูกน้ำเซาะตลิ่งพังหายไปในสายน้ำ ท่านจงไปนำทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้ และอนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้"

เทวดาทำตามนั้น ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอำนาจฤทธิ์เทวดา พร้อมกล่าวขอขมาโทษต่ออนาถปิณฑิกเศรษฐี ท่านเศรษฐียังไม่รับ กลับพาไปขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเทวดากล่าวขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยแล้ว ได้รับฟังพระสัทธรรมเทศนาก็ได้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน เมื่อนั้นเทวดาองค์นั้นจึงได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 20-09-2009, 23:25
ปราโมทย์ ปราโมทย์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
สถานที่: Ratchaburi & Kanchanaburi
ข้อความ: 53
ได้ให้อนุโมทนา: 127,927
ได้รับอนุโมทนา 20,053 ครั้ง ใน 820 โพสต์
ปราโมทย์ is on a distinguished road
Default

จะเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิหรือว่าหลงผิด เห็นผิดดีครับ แต่คิดว่าน่าจะมีครับ
เหมือนในบทพุทธชัยมงคลคาถา ที่ตอนหนึ่งกล่าวถึง ท่านท้าวผกาพรหม ที่สำคัญตนเองผิดไปว่า อยู่เหนือกาลเวลา ไม่มีวันตาย คิดว่ายิ่งใหญ่เหนือกว่าใคร พระพุทธเจ้าทรงได้เข้ามาทรมานด้วยพุทธานุภาพ ให้คลายจากความเห็นผิดนั้น แต่ตอนนี้ท่านท้าวผกาพรหมอยู่ไหนแล้วไม่รู้หรอกครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ปราโมทย์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 21-09-2009, 14:29
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

ต้นแบบการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย

อันพุทธบริษัทผู้ใฝ่บุญนั้น ย่อมปรารภเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นมาเป็นเรื่องทำบุญได้เสมอ เช่นเรื่องของอนาถบิณฑิกเศรษฐีนี้

วันหนึ่งหลานของท่านเล่นตุ๊กตาที่ทำจากแป้งแล้วหล่นลงแตก หลานร้องไห้ด้วยความเสียดายตุ๊กตาเพราะไม่มีตุ๊กตาจะเล่น ท่านเศรษฐีได้ปลอบโยนหลานว่า

"ไม่เป็นไร เราช่วยกับทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตากันเถิด"

ปรากฏว่าหลานหยุดร้องไห้ รุ่งเช้า ท่านจึงพาหลานไปช่วยกันทำบุญเลี้ยงพระแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตา

การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตาของท่านเศรษฐี แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนชาวพุทธทั้งหลาย เห็นเป็นเรื่องแปลกและเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ดังนั้น เมื่อญาติผู้เป็นที่รักของตนตายลง ก็พากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เหมือนอย่างท่านเศรษฐีกระทำนั้น และถือปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 21-09-2009, 14:35
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

มอบภารกิจของตนให้ลูกหลาน

ตามปกติทุก ๆ วัน ภิกษุทั้งหมดผู้อยู่ในกรุงสาวัตถี จะรับนิมนต์เพื่อฉันภัตตาหารในบ้านของอนาถปิณฑิกเศรษฐี และในบ้านของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ดังนั้น บุคคลอื่น ๆ ผู้ประสงค์จะถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ ก็ต้องมาขอโอกาสแก่ท่านทั้งสองนี้ ทั้งนี้ก็เพราะท่านทั้งสองทราบดีว่า ควรประกอบควรปรุงอาหารอย่างไรให้ต้องกับอัธยาศัย และวินัยของพระภิกษุสงฆ์ ควรจัดสถานที่อย่างไรจึงจะเหมาะสม นอกจากนี้ก็เพื่อเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้านเรือนที่จัดงานอีกด้วย ดังนั้นท่านทั้งสองจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่ปฏิบัติเลี้ยงดูพระภิกษุที่นิมนต์มาฉันที่บ้านของตน นางวิสาขาจึงได้มอบหมายภารกิจหน้าที่นี้แก่หลานสาว

ส่วนอนาถปิณฑิกะ ได้มอบหมายให้แก่ลูกสาวคนโตชื่อว่า “ มหาสุภัททา” นางได้ทำหน้าที่นี้อยู่ระยะหนึ่ง ได้ฟังธรรมจากพระคุณเจ้าแล้ว ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ต่อมาได้แต่งงานแล้วติดตามไปอยู่ในสกุลของสามี

จากนั้นอนาถปิณฑิกะก็ได้มอบหมายให้ลูกสาวคนที่สองชื่อว่า “ จุลสุภัททา ” นางก็ทำหน้าที่แทนบิดาด้วยดีโดยตลอด และก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันเช่นกัน ต่อจากนั้นไม่นาน นางก็ได้แยกไปอยู่กับครอบครัวของสกุลสามี อนาถปิณฑิกะเศรษฐีจึงได้มอบหน้าที่ให้ลูกสาวคนเล็กชื่อว่า “ สุมนาเทวี ” กระทำเเทนสืบมา
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 22-09-2009, 14:11
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

ลูกสาวป่วยเรียกบิดาว่าน้องชาย

สุมนาเทวี ทำหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็ง งานสำเร็จด้วยความเรียบร้อยทุกวัน ทั้ง ๆ ที่นางอายุยังน้อย จากการที่นางได้ทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์และได้ฟังธรรมอยู่เป็นประจำ นางก็ได้บรรลุเป็นพระสกิทาคามี
แต่ต่อมานางได้ล้มป่วยลง มีอาการหนัก ใคร่อยากจะพบบิดา จึงให้คนไปเชิญบิดามา

ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี พอได้ทราบว่าลูกสาวป่วยหนักก็รีบมาเยี่ยมโดยเร็ว พอมาถึงได้ถามลูกสาวว่า:-

“ แม่สุมนา เจ้าเป็นอะไร?”
“ อะไรเล่าน้องชาย ?” ลูกสาวตอบ
“ เจ้าเพ้อหรือ แม่สุมนา? ” บิดาถาม
“ ไม่เพ้อหรอก น้องชาย ” ลูกสาวตอบ
“ แม่สุมนา ถ้าอย่างนั้น เจ้ากลัวหรือ ? ” บิดาถาม
“ ไม่กลัวหรอกน้องชาย ”

นางสุมนาเทวี พูดโต้ตอบกับบิดาได้เพียงเท่านั้นก็ถึงแก่กรรม
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 22-09-2009, 14:18
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,493 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

พระโสดาบันร้องไห้ไปกราบทูลพระศาสดา


ท่านเศรษฐี แม้จะเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่อาจจะกลั้นความเศร้าโศกเสียใจเพราะการจากไปของธิดาได้ เมื่อเสร็จงานศพแล้ว ได้ร้องไห้น้ำตานองหน้าไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสปลอบว่า:-

“ อนาถปิณฑิก ก็ความตายเป็นสิ่งเที่ยงแท้ของสรรพสัตว์มิใช่หรือ เหตุไฉนท่านจึงร้องไห้อย่างนี้? ”

“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นข้าพระองค์ทราบดี แต่นางสุมนาเทวีธิดาของข้าพระองค์ เมื่อใกล้เวลาจวนจะตาย นางไม่สามารถคุมสติได้เลย นางบ่นเพ้อจนกระทั่งตาย ข้าพระองค์โทมนัสร้องไห้เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าข้า ”

พร้อมทั้งได้กราบทูลถ้อยคำที่นางสุมนาเทวีเรียกตนเองว่าน้องชาย ถวายให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้สดับแล้วทรงตรัสว่า:-

“ ดูก่อนมหาเศรษฐี ธิดาของท่านมิได้เพ้อหลงสติอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่ที่นางเรียกท่านว่าน้องชายนั้น ก็เพราะท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน แต่ธิดาของท่านเป็นพระสกิทาคามี เป็นอริยบุคคลสูงกว่าท่าน และบัดนี้ นางได้ไปเกิดเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว นี่แหละคฤหบดี ธรรมดาบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ถ้าอยู่ด้วยความไม่ประมาท ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ก็ย่อมเสวยสุขเพลิดเพลินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ”

อนาถปิณฑิกเศรษฐีได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วก็หายจากความเศร้าโศกเสียใจ กลับได้รับความปีติเอิบอิ่มใจขึ้นมาแทน เมื่อควรแก่เวลาแล้วก็กราบทูลลากลับสู่เคหสถานของตน

เพราะความที่อนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ที่มีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหว ฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทานอยู่เป็นปกติ ไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ในฝ่ายผู้เป็นทายก.
__________________
๑۩۞۩๑ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน ๑۩۞۩๑
ช่วยกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และโปรดหลีกเลี่ยงการนำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียนด้วย

ขอเชิญร่วมบุญธรรมทานเว็บไซต์"วัดท่าขนุน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ

Tags
พระสูตร, อนาถบิณฑิก


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:19



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว