กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 13-07-2014, 12:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "มีพระอยู่รูปหนึ่งเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า บวชจนอายุ ๘๐ ปี ไม่ได้ความดีอะไรเลย คือพระฉันนะ พระฉันนะเป็นสหชาติ คือผู้เกิดร่วมกับพระพุทธเจ้า ที่เกิดพร้อมกันก็มีพระพุทธเจ้า พระนางพิมพาราชเทวี นายฉันนะมหาดเล็กประจำพระองค์ กาฬุทายีอำมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และขุมทองทั้ง ๔ ทิศ

พอใคร ๆ ออกบวชกัน นายฉันนะก็บวชบ้าง นายฉันนะบวชแล้วไม่ฟังคำของใคร พระอุปัชฌาย์อาจารย์สอนอะไรไม่ฟังทั้งนั้น ความรู้สึกของท่าน ไม่ได้รู้สึกว่าท่านเป็นพระฉันนะ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือพระพุทธเจ้า ท่านรู้สึกว่านั่นคือพระลูกเจ้า คือเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วตัวท่านก็คือนายฉันนะ อำมาตย์คนสนิท พอพระไปเตือนให้ท่านประพฤติปฏิบัติให้สมกับความเป็นพระ ท่านก็ว่าเขากลับว่า "ท่านเป็นใคร ถึงบังอาจมาสั่งสอนผม"

แม้กระทั่งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะในฐานะพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไปสั่งสอน ก็โดนสวนกลับว่า "ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? สมัยพระลูกเจ้าออกบวช มีผมอยู่คนเดียว พวกท่านอยู่ที่ไหนกันก็ไม่รู้ ตอนนี้มาบอกว่าผมชื่อสารีบุตร ผมชื่อโมคคัลลานะ ผมเป็นอัครสาวก.."

ถ้าอยู่วัดท่าขนุนสมัยนี้ก็น่าจะถูกไล่ออกจากวัดไปนานแล้ว แต่ว่าสมัยนั้นพระท่านส่วนใหญ่หมดกิเลสแล้ว ไม่ได้กิเลสท่วมหัวเหมือนกับอาตมา ท่านก็เลยทำไม่รู้ไม่ชี้ ในเมื่อไม่ฟังคำสอนก็ไม่สอน ปล่อยเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก่อนปรินิพพานได้สั่งพระอานนท์ว่า ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ คำว่าลงพรหมทัณฑ์ก็คือลงโทษกันอย่างผู้ใหญ่

พระอานนท์ก็กราบทูลถามว่า ลงพรหมทัณฑ์ทำอย่างไร พระองค์ท่านตรัสว่า อย่าให้พระภิกษุสงฆ์ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมกับพระฉันนะ พระฉันนะจะพูดอะไร จะทำอะไร ปล่อยไปตามสบาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2014 เมื่อ 12:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 13-07-2014, 12:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน มีการทำสังคายนาพระธรรมวินัยที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา พระอานนท์ได้ประกาศขึ้นกลางที่ประชุมสงฆ์ว่า พระพุทธเจ้าสั่งให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ พระมหากัสสปะที่เป็นประธานในที่ประชุม สอบถามความเห็นทุกคนแล้ว ไม่มีใครคัดค้าน ก็ประกาศลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ ห้ามภิกษุทุกรูป ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมใด ๆ กับพระฉันนะทั้งสิ้น

พระฉันนะอายุ ๘๐ กว่า ๆ เพราะท่านเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ถวายพระเพลิงไปเรียบร้อยแล้ว ได้ยินว่าพระทำสังคายนาพระธรรมวินัยก็ใจจดใจจ่อ อยากดูว่าเขาทำกันอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แปลกใจว่าสังคายนาเสร็จแล้ว ไม่มีพระมาบอกสักรูปเดียวว่าเขาทำอะไรกันในนั้น ก็โดนห้ามกิน ห้ามนอน ห้ามทำสังฆกรรมด้วยแล้วนี่

พอดีมีสามเณรเดินผ่านมา เณรไม่โดนห้าม ท่านห้ามเฉพาะพระ พระฉันนะก็สอบถามสามเณรว่า "ผลของการสังคายนาเป็นอย่างไร ทำไมไม่มีพระมาแจ้งฉันบ้าง ?" พูดกันภาษาชาวบ้านก็คือ "ข้าก็เป็นผู้ใหญ่ ทำไมพอประชุมกันเสร็จแล้วไม่มีการมาบอกมากล่าวกันบ้าง" สามเณรก็บอกว่า "พระอานนท์ได้ประกาศในที่ประชุมสงฆ์ว่า สมเด็จพระบรมศาสดาสั่งลงพรหมทัณฑ์แก่ท่าน" พระฉันนะก็สะดุ้ง ถามว่าลงพรหมทัณฑ์อะไร สามเณรตอบว่า ประกาศไม่ให้สงฆ์ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมกับท่านตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

พระฉันนะได้ยินเป็นลมไปเลย ท่านต้องตะเกียกตะกายไปขอเข้าพบพระอานนท์ บาลีท่านใช้คำพูดตลก ๆ ประโยคหนึ่งว่า พระอานนท์ขอความคุ้มครองจากคณะสงฆ์ จึงยอมให้พระฉันนะเข้าพบได้ ทำไมพระอานนท์ต้องขอความคุ้มครองจากคณะสงฆ์ ก็เพราะเกรงว่าพระฉันนะจะลุยไปอัดเอา ลองนึกดูให้ดีนะ อย่าคิดว่าท่านอายุ ๘๐ นะ คนสมัยโบราณอายุ ๘๐ ยังแข็งแรงมาก แล้วพระฉันนะท่านแข็งแรงเหนือมนุษย์อยู่ด้วย

ถามว่าทำไมแข็งแรงเหนือมนุษย์ ? วิเคราะห์ได้จากในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงในหลายวาระด้วยกัน ที่เห็นถนัดชัดเจนที่สุด ก็คือเมื่อพระพุทธเจ้าจะออกมหาภิเนษกรมณ์แล้วประตูเมืองปิด นายฉันนะคิดว่า "เราจะอุ้มม้ากัณฐกะที่มีพระลูกเจ้านั่งอยู่บนหลัง กระโดดข้ามกำแพงไป" แข็งแรงขนาดนั้นพอจะให้กลัวได้หรือยัง ? ไม่ใช่อุ้มคนเฉย ๆ นะ ม้าอีกตัวหนึ่งด้วย บุคคลที่ได้รับการคัดสรรมา ฝึกฝนให้เป็นองครักษ์ประจำกายของเจ้าชายสิทธัตถะ ตลอดจนกระทั่งเป็นองครักษ์ของว่าที่พระเจ้าจักรพรรดิ ฝีมือต้องระดับไหน คาดว่าในแผ่นดินคงจะหาผู้เปรียบได้ยาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2014 เมื่อ 12:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 13-07-2014, 12:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าถามว่าพระอานนท์เป็นพระอรหันต์แล้วยังกลัวอยู่หรือ ? กลัว..กลัวว่าถ้าขืนลุยมาทำร้ายพระอรหันต์ พระฉันนะจะตกนรก ปรากฏว่าพระฉันนะท่านได้สำนึก ไม่ได้ลุยมาทำร้าย หากแต่มาร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนว่า พระคุณเจ้าอย่าให้ผมฉิบหายจากความดีเลย มาสำนึกได้ตอนวาระสุดท้าย พระอานนท์ถามว่า "แล้วจะให้ทำอย่างไร ?" "ขออย่าให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่ข้าพเจ้าเลย" พระอานนท์จึงบอกว่า "นี่เป็นคำสั่งของพระบรมศาสดา ในเมื่อเป็นคำสั่งของพระบรมศาสดา ไม่อาจจะแก้ไขได้ แต่ก็พอมีวิธีจะแก้ไขบ้าง"

พระฉันนะก็ถาม "มีวิธีใดที่จะแก้ไขได้ ?" พระอานนท์ก็แจ้งให้ทราบว่า เพราะท่านดื้อ ใครว่าใครสอนอะไรก็ไม่ฟัง ถ้าหากว่ายอมรับการสั่งสอนจากคณะสงฆ์ ก็อาจจะได้รับการยกโทษให้ พระฉันนะก็ยอมรับ พระอานนท์ท่านก็เลยแสดงมรรค ๘ และโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการให้พระฉันนะ บอกว่า "
ถ้าอยากให้สงฆ์เลิกการลงโทษ ให้นำข้อธรรมนี้ไปตั้งใจปฏิบัติ"

ตอนนี้พระพุทธเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว พระนางพิมพาราชเทวีก็ไม่อยู่แล้ว ท่านไปพระนิพพานกันหมดแล้ว เหลือพระฉันนะคนเดียวไม่มีใครเป็นที่พึ่ง แม้แต่พระพุทธเจ้าที่คิดเป็นที่พึ่ง แต่เป็นที่พึ่งในลักษณะเป็นเจ้านาย ไม่ได้เป็นที่พึ่งในลักษณะของพระพุทธเจ้าที่เป็นสรณะของชีวิต แต่พระองค์ก็ไม่อยู่แล้ว ก็เท่ากับท่านไม่มีใคร ในเมื่อเหลียวมองรอบกายไม่มีใคร ก็เหลือแต่อาตมาผู้เดียว ก็จำเป็นต้องยึดหลักธรรมเป็นที่พึ่ง

หมดพยศ ลดทิฐิ หันมาเกาะพระธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว ก็เหลืออย่างเดียวคือถ้าเดินตรงทางก็จบ ปรากฏว่าท่านเดินตรง เพราะพระอานนท์ท่านแสดงมรรค ๘ ให้ ย่อลงมาก็เหลือศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งใจปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ รอดไปหวุดหวิด ไม่อย่างนั้นท่านก็ใกล้จะวาระสุดท้ายของชีวิตแล้วเหมือนกัน เพราะอายุเท่ากับพระพุทธเจ้า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2014 เมื่อ 12:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 13-07-2014, 12:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วนใหญ่แล้วบรรดาคนใกล้ชิดหรือญาติพี่น้อง หรือว่าญาติผู้ใหญ่ มักจะเป็นอะไรที่พระต้องหนักใจเสมอ เพราะสอนยาก เนื่องจากท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เห็นพระเป็นพระ แต่เห็นพระเป็นลูกเป็นหลาน เป็นญาติเป็นโยม เป็นเพื่อนเป็นฝูง อาตมาเองบวชใหม่ ๆ โยมแม่ไม่ไหว้หรอก ผ่านไปหลายพรรษา อาตมาไปงานบวชหลานชาย ปรากฏว่าหลานชายบวชเสร็จ แม่ก็มากราบหลาน แล้วก็เมินลูก บรรดาน้าก็ถามว่า "ทำไมพี่ไม่ไหว้พระลูกชาย แต่ไปไหว้พระหลานชาย ?" แม่ก็บอกว่า "ลูกกู..ทำไมต้องไหว้มันด้วย ?" เห็นหรือยังว่าชัดแค่ไหน ?

เพราะฉะนั้น..แม้แต่พระพุทธเจ้าจะไปโปรดพระประยูรญาติ ยังต้องให้พระกาฬุทายีล่วงหน้าไปก่อนเป็นเดือน ๆ แสดงปาฏิหาริย์เหาะให้เห็นอยู่ทุกวัน ยังไม่สามารถจะสร้างความเลื่อมใสให้แก่ศากยวงศ์ทั้งหมด เพราะพระกาฬุทายีเก่งแน่ แต่พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรยังไม่เคยเห็น เป็นเสียอย่างนั้น

ไม่มีอะไรสอนยากยิ่งกว่าคนใกล้ชิด ตราบใดที่คนใกล้ชิดไม่ได้เห็นพระเป็นพระ แล้วมีมากต่อมากด้วยกัน ส่วนใหญ่พอไปอยู่วัดก็ไปเบ่งกับคนในวัด ทำให้ระเบียบวินัยเสีย ดังนั้น..อาตมาถึงได้ออกระเบียบวัดเอาไว้ว่า ผู้ใดมาอ้างว่าเป็นพี่น้องหรือพวกพ้องพระภิกษุแล้วละเมิดระเบียบวินัย ให้ไล่ออกจากวัดแล้วห้ามเข้าวัดอีกตลอดชีวิต ถ้าสามารถเอาญาติตัวเองอยู่ คนอื่นก็เอาอยู่ได้หมด เพราะฉะนั้น..ไปเบ่งที่วัดท่าขนุนได้จ้ะ อาตมารับรองเจริญแน่..!

บรรดาลูกเจ้าพ่อโดนกันไม่เว้นแต่ละราย ไปวัดแล้วไม่คิดว่าเป็นพระ ไม่คิดว่าเป็นนาค คิดว่าเป็นลูกเจ้าพ่อ ปรากฏว่าเจ้าพ่อวัดท่าขนุนเฮี้ยนกว่า บรรดาลูกผู้ใหญ่ ลูกนายก อบต. ลูกนายกเทศมนตรี โดนมาทั้งนั้น มีรายหนึ่งโดนไป แล้วก็มาโวยวายว่า "ลูกผมได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระสังฆราช ไปทำกับลูกผมอย่างนั้นได้อย่างไร ?" ต่อให้รับพระราชทานจากในหลวงด้วย ถ้ามาทำผิดระเบียบวัดก็โดนเหมือนกัน การได้รับพระราชทานชื่อจากพระสังฆราชเป็นการรับประกันว่าลูกต้องดีใช่ไหม ? อาตมาจะได้ขอจากพระสังฆราชบ้าง..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2014 เมื่อ 02:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 13-07-2014, 12:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมัยที่ยังเป็นฆราวาส อาตมาอยู่ที่ท้ายซอยอ่อนนุช ก็มีอิสลามมาก ถึงเวลามีเรื่องมีราวกันขึ้นมา ต้องบอกว่าพวกเขามีความดีอยู่อย่างหนึ่งคือสามัคคีกันมาก ถึงเวลามีเรื่องนี่มาทั้งหมู่บ้าน แต่ขอโทษ..อาตมาไม่กลัวว่ะ..! ถือว่าสิบนิ้วเท่ากัน ดาหน้าเข้ามาได้เลย แล้วพวกเขาก็ดันฝีมือห่วยกว่า

ในเมื่อคนมากก็ไม่กลัว คนน้อยก็อัดกระจาย ก็เลยต้องแจ้งตำรวจอย่างเดียว ตำรวจรู้ว่าอาตมาไม่เป็นฝ่ายผิดแน่ แต่ไม่กล้าเข้าข้าง ต้องสั่งปรับทั้ง ๒ ฝ่าย ข้อหาก่อการทะเลาะวิวาท โดนไปฝ่ายละ ๔๐๐ บาท แล้วมีการมาแอบกระซิบขอโทษทีหลังด้วยนะ “ขอโทษครับพี่ ถ้าไม่ทำอย่างนี้โรงพักพัง เขามากันทั้งหมู่บ้าน” ก็เอ็งดันไปกลัวทั้ง ๆ ที่เป็นตำรวจ ข้าไม่เห็นต้องกลัวเลย อยู่มาจนป่านนี้ไม่เห็นบ้านจะพัง มีแต่คนจะมารื้อบ้านแต่โดนเตะกองอยู่หน้าบ้านทุกที

เขาบอกเหตุผลกับตำรวจว่า "ลูกผมตะมะหนังสือแล้ว ไม่ทำผิดหรอก" คำว่าตะมะหนังสือ ก็คือศึกษาคัมภีร์อัลกุรอานแล้ว แหม..ขนาดนักศึกษาแพทย์ยังฆ่าหั่นศพ ถ้าศึกษาคัมภีร์แล้วไม่ทำผิดก็ดีนะสิ อาตมาจะได้ไปเป็นอิสลามบ้าง

ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่าเหตุผลคล้าย ๆ กัน เหตุผลของเขาก็คือลูกเขาเรียนคัมภีร์แล้ว ไม่ทำชั่วหรอก ของรายที่ได้รับพระราชทานชื่อจากพระสังราชก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่เอามาอ้างกันได้ด้วยนะ ก็คงเหมือนกับสมัยก่อนบวชพระ เขาเรียก "ไอ้ทิด" จริง ๆ แล้วมาจากคำว่าบัณฑิต แปลว่าบวชเรียนมาแล้ว เท่ากับเตือนว่าห้ามทำชั่ว คนสมัยก่อนท่านละอายชั่วกลัวบาปกันเป็นปกติ สมัยนี้เขาไม่ค่อยจะกลัวกัน ไม่ใช่สึกแล้วไม่ทำความผิดอย่างสมัยก่อนนะ ขนาดบวชอยู่ยังทำผิดกันเป็นปกติ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2014 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 13-07-2014, 12:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนใหญ่วัตถุมงคลที่อาตมาทำราคาแพง มาจากหลายสาเหตุ สาเหตุแรกก็คืออาตมามีคติประจำใจว่าสร้างพระต้องสวย เพราะถ้าของสวยคนเห็นแล้วจะศรัทธา ค่าแรงช่างก็เลยสูง ประการที่ ๒ ก็คือวัตถุบางอย่างอาตมาใส่ไม่อั้น อย่างพระปิดตารุ่นแรก เนื้อนวโลหะอาตมาใส่ทองคำไป ๑๐๐ บาท เป็นโยมกล้าใส่ไหม ? เขาใส่กันแค่ ๙ บาท ในเมื่อใส่ไม่อั้นก็เลยแพง คนเขาสงสัยองค์นิดเดียวทำไมตั้งสามสี่พันบาท ก็ทองตั้ง ๑๐๐ บาท พอถึงเวลาจะมีการทำพิมพ์ด้วยเลเซอร์ก็จะแพงเข้าไปอีก

ในเมื่อไม่อั้นเรื่องวัสดุ ยอมใช้เทคโนโลยีสูง ๆ แล้วก็ต้องการความสวย ราคาเลยแพง แต่ก็มีวัดอื่นเขาประทับใจ อยากจะให้วัดท่าขนุนช่วยทำวัตถุมงคลให้ ขอโทษ..ไม่มีอารมณ์ว่ะ...! ปกติเขาขึ้นพิมพ์กันด้วยขี้ผึ้ง ของอาตมาให้แกะพิมพ์ด้วยหินอ่อน พิมพ์หินอ่อนจะคมชัดกว่า คราวนี้ค่าแกะ ถ้าช่างฝีมือดี ๆ ที่เรียกใช้อยู่ พิมพ์หนึ่งก็ตั้งห้าหมื่นบาท องค์นิดเดียวเอง”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2014 เมื่อ 13:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 15-07-2014, 12:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ควรเชื่อ อนาคตเกิดจากการทำนายปัจจุบัน อาตมาเคยยกตัวอย่างว่า ถ้าเราขับรถด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราจะไปถึงกาญจนบุรีภายใน ๑ ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าหากว่าเราวิ่งด้วยความเร็วเกิน ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราก็จะไปถึงก่อน

อนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตจะดีเอง อาตมาไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลย ใครบอกว่าไม่ดี ก็เอาจนดีได้ บอกแล้วว่าอนาคตแก้ไขได้ อนาคตก็คือปัจจุบันนี่แหละ เพียงแต่เลยไปหน่อย

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเลิกเชื่อ คัมภีร์อี้จิงบอกว่า "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน" อาตมาเองก็เคยโดนทำนายว่าจะเละอย่างนั้นเละอย่างนี้ แต่ก็ทำจนดีได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2014 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 15-07-2014, 13:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ซื้อหวยไม่ถูกค่ะ ?
ตอบ : บุญไม่พอจ้ะ ไม่ต้องคิดมาก เคยเล่นแล้วถูกบ้างไหม ?

ถาม : เคยค่ะ
ตอบ : อย่าเล่นเกินนั้น สมมติว่าเราเคยถูก ๒๐ บาท ก็อย่าซื้อเกินนั้น เพราะบุญที่เราทำมามีผลแค่นั้น ถ้าต้องการมากเกินนั้นเลขก็จะเลื่อนไป ไม่ถูกหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2014 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 15-07-2014, 13:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเป็นพ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกถือเป็นการทำบุญด้วยหรือเปล่าคะ หรือเป็นหน้าที่ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจสงเคราะห์เขาด้วยพรหมวิหาร ๔ ก็เป็นบุญด้วยในตัว ในขณะเดียวกันก็เป็นหน้าที่ซึ่งเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น..ก็เอาบุญด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2014 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 16-07-2014, 15:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บ้านท่ามะขาม มาจากท่าม้าข้ามหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาจริง ๆ น่าจะเป็น "ท่าม้าขาม" คาดว่าตลิ่งสูงแล้วม้าไม่ค่อยกล้าลง คำว่า "ขาม" แปลว่ากลัวเกรง ม้ากลัว ไม่กล้าลง คนเรียกไปเรียกมาจึงกร่อนกลายเป็นท่ามะขาม แต่คราวนี้เขาดันไปคิดว่าควรจะเป็นคำว่า "ม้าข้าม" มากกว่า แล้วก็แผลงเป็นมะขาม แต่คราวนี้ประวัติเขามาอย่างนั้นอาตมาก็ขี้เกียจไปงัดข้อกับเขา

ส่วนใหญ่แล้วแม่น้ำแควน้อยแควใหญ่น้ำจะแรง พอน้ำแรงแล้วตลิ่งจะสูง คุณลองนึกถึงสมัยที่เป็นทางลูกรัง เมื่อปี ๒๕๐๖ คุณยังต้องวิ่งผ่านอู่ทองไปก่อนแล้วจึงเข้าพนมทวน เดี๋ยวนี้มีทางตัดตรงแล้ว ตอนนี้ถ้าเราไปพูดถึงทางเส้นทางเก่าไม่มีใครรู้จักหรอก ใครจะไปนึกว่ากาญจนบุรีสมัยก่อนคุณต้องวิ่งผ่านสามแยกจระเข้สามพันก่อน คนละทิศละทางกับปัจจุบันเลย

เส้นนั้นก็จะวิ่งผ่านเขาชานหมาก คำว่า "เขาชานหมาก" เกิดจากหลวงพ่อคงซึ่งเป็นอาจารย์ของขุนแผน เอาชานหมากขว้างกบาลเณรแก้วที่เป็นขุนแผนนั่นแหละ คราวนี้เณรแก้วหลบ ชานหมากเลยไปตกอยู่ตรงนั้นกลายเป็นภูเขา พวกเรื่องเก่า ๆ ต้องเจอคอเดียวกันถึงจะคุยกันรู้เรื่อง ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่แถวนั้นก็ไม่รู้เรื่องหรอก


ถาม : ตรงที่เณรแก้วบวช ?
ตอบ : ตรงนั้นเขาเรียกว่าวัดใหญ่ดงรัง แต่เดิมชื่อวัดส้มใหญ่ อยู่ตรงบ้านหนองขาว ก่อนเข้าพนมทวน

ถาม : มีถ้ำพ่อขุนไกร แสดงว่าท่าน... ?
ตอบ : รกรากของท่านเป็นคนเมืองกาญจน์ฯ คราวนี้พอรับราชการแล้วเขาส่งให้ไปตั้งค่ายเพื่อต้อนสัตว์มาให้พระเจ้าแผ่นดินล่าที่ศรีประจันต์ สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าเวลาท่านจะไปซื้อไม้ ท่านเอาเรือวิ่งไปแค่อู่ทองก็เจอป่าเสือป่าช้างแล้ว จะเอาไม้เท่าไรก็มี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 16-07-2014, 15:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สัตว์เดรัจฉานที่เขาเสวยกรรมในภพภูมินั้น เขาจะทราบได้ไหมครับว่าที่ตนมาเกิดเป็นเดรัจฉานเพราะกรรมอะไร ?
ตอบ : บางชนิดก็ทราบ แต่ถ้าเป็นที่อื่นอย่างสัตว์นรก เปรต อสุรกายพวกนี้จะรู้โดยอัตโนมัติเลยว่าตัวเองโดนลงโทษเพราะอะไร แต่สัตว์เดรัจฉานนี่รู้เฉพาะบางตัวเท่านั้น

ถาม : ข้อแตกต่างว่าเมื่อเป็นมนุษย์เขามีสติสัมปชัญญะได้ แต่สัตว์เดียรัจฉานมีไม่ได้ แสดงว่าส่วนนั้นหายไปจากเขาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ในความเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า ความยั้งคิดจึงไม่มี โดยเฉพาะว่าสัตว์เดรัจฉานคติของเขาก็คือ ผู้แข็งแรงกว่าถึงจะอยู่รอดได้ ฉะนั้น..เราจะเอาแบบธรรมเนียมของคนไปใช้กับเขาไม่ได้ ยกเว้นว่าพวกที่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับคน พวกนี้กรรมของการเป็นเดรัจฉานของเขาจวนจะหมดแล้ว ถ้าเราเลี้ยงเขาดี ๆ ใจเขาเกาะคนเขาก็จะเกิดเป็นคน ถ้าใจเขาเกาะพระเกาะความดีได้ก็เกิดเป็นเทวดา

ถาม : ถ้าโดยสรุปก็คือมนุษย์ที่ไม่ทราบว่าอะไรเป็นกรรมที่ให้ทำให้เขาได้รับผลอย่างนั้น ๆ แต่สัตว์ที่อยู่ในภพภูมิอื่น ๆ ล้วนแต่ทราบด้วยกันทั้งสิ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มนุษย์กับเดรัจฉานไม่ค่อยจะรู้ มีรู้เพียงบางราย แต่ถ้าอยู่ในภพอื่นภูมิอื่นที่เป็นภพละเอียด เขาจะรู้ทั้งหมดว่าตัวเองเกิดที่นั่นเพราะอะไร

ถาม : ในด้านผลของกรรม สิ่งที่จะเกิดกับเราไม่ใช่สิ่งที่ลิขิตมาแล้ว หมายความสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับบุญกับการกระทำของเราด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีการกระทำอย่างอื่นเพิ่มเติม กรรมจะส่งผลอย่างแน่นอนเหมือนกับลิขิตไว้ แต่คราวนี้เรามีโอกาสที่จะทำบุญทำบาปเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงของกรรมก็จะมีไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ว่าไม่ตายตัว ถ้าเราสร้างความดีไว้มาก ๆ ผลของกรรมก็ตามไม่ทัน หรือว่ากลายเป็นอโหสิกรรมไปเลย แต่ขณะเดียวกันถ้าเราสร้างความชั่วโดยส่วนเดียวก็เฮงอีกเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 17-07-2014, 14:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เรานั่งสมาธิแล้วอุทิศส่วนกุศลแล้วเกิดขนลุก นี่เกิดจากอุปาทานของเรา หรือว่าเกิดจากวิญญาณของเขามารับส่วนกุศล ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีสิ่งอื่นเข้ามาอยู่ในบริเวณนั้น สภาพจิตของเราถ้าไม่หยาบเกินไปนักก็จะรู้สึก การแสดงความรู้สึกส่วนใหญ่ก็คือขนลุก เนื่องจากว่าเวลาที่เขาพยายามจะแสดงให้เห็นว่าเขามา เขาต้องดึงเอาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม บริเวณนั้นเข้าไป เพื่อพยายามจะรวมให้เป็นร่างหยาบให้เราได้เห็น การที่เขาดึงสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไป ทำให้ความร้อนในบริเวณนั้นลดลงโดยอัตโนมัติ เราก็จะขนลุกเหมือนคนกำลังหนาว ฉะนั้น..ตีเสียว่าอุปาทานก็แล้วกัน แต่อย่าอุปาทานบ่อย เดี๋ยวจะกลัว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 17-07-2014 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 17-07-2014, 14:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามกรรมที่ทำไว้แล้วหรือกรรมที่จะสร้างใหม่ แล้วบุคคลที่ได้อภิญญา ท่านรู้ว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นในกาลยาวไกลข้างหน้า สิ่งนั้นจะเที่ยงหรือครับ จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยหรือครับ ?
ตอบ : ทุกอย่างไม่เที่ยงอยู่แล้ว ในเมื่อไม่เที่ยงอยู่แล้วก็เป็นปกติที่กรรมจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เพียงแต่ว่าบุคคลที่ได้อภิญญา ได้ยถากัมมุตาญาณ ส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้จะยอมรับกฎของกรรม พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าลองแก้ไขแล้วไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ท่านก็ยอมรับเอาดื้อ ๆ

อย่างพระธุดงค์ที่ภูกระดึงโดนงูใหญ่กิน โดนกลืนไปตั้งครึ่งค่อนตัวแล้ว แต่แปลกมาก..ทำไมกลืนจากทางปลายเท้าก็ไม่รู้ ? พรานไปเจอเข้าปรึกษากันว่าจะฆ่างูเพื่อช่วยพระ พระท่านก็โบกมือห้าม บอกว่าท่านเคยทำกรรมไว้กับงูตัวนี้ ก็เลยขอชดใช้เขา นั่นทั้ง ๆ ที่ท่านรู้ จะหนีก็หนีได้ แต่ท่านก็ปล่อยให้งูกิน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 14:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 17-07-2014, 14:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บุคคลพยายามที่จะเจริญภาวนาแล้วจิตสงบระดับหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ที่เคยได้ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ คือมีแล้วเสื่อม เกิดจากเหตุผลอะไรครับ ?
ตอบ : เพราะว่าไปปล่อยให้กิเลสท่วมทับใจตนเอง เมื่อกิเลสท่วมทับใจตนเอง สมาธิก็เสื่อม พอสมาธิเสื่อมจะทำใหม่เพื่อให้ได้เหมือนเดิม ก็ไปเกิดความอยากว่า เราอยากให้เป็นอย่างนั้น ในเมื่อเกิดความอยากขึ้นมา สภาพจิตฟุ้งซ่าน โอกาสที่จะสงบอย่างนั้นก็ไม่มี

ถาม : ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่เจริญสมาธิแล้วจิตสงบได้ระดับหนึ่ง แล้วหยุดไม่เจริญต่อ อีกหลายปีขณะที่อยู่ว่าง ๆ จิตสบาย ๆ ปรากฏนิมิตขึ้นมาซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างนี้เป็นเพราะกรรมเก่า หรือเป็นเพราะเขาคิดไปเอง หรือว่าเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากรรมนิมิต คือความดีความชั่วแสดงเหตุให้ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น กรรมนิมิตมักจะเกิดขึ้นขณะที่สภาพจิตสบาย ๆ อยู่ในลักษณะเหมือนอย่างกับอารมณ์ใจตอนนี้ของเรา ก็คือว่าไม่ตั้งใจมาก แต่ขณะเดียวกัน กำลังใจก็ทรงตัวกว่าปกตินิดหนึ่ง นิมิตเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นไปอยู่ตลอดเวลาหากว่าไปตรงร่องพอดี

ถาม : แล้วในขณะที่พยายามนั่งสมาธิกลับไม่เกิด แต่ช่วงที่เฉย ๆ ว่าง ๆ ปล่อยจิตเบา ๆ กลับเกิด ?
ตอบ : สมาธิสูงเกินอุปจารสมาธิก็ไม่เห็นอะไร ต่ำเกินไปก็ไม่เห็นอะไร ต้องพอดี ๆ ดังนั้น..เวลาเรานั่งสมาธิ ส่วนใหญ่กำลังเกินอุปจารสมาธิ เพราะอยู่กับองค์ภาวนา แต่ว่าขณะเดียวกัน ในอารมณ์ทั่ว ๆ ไปเราก็ปล่อยทิ้งเลย กลายเป็นต่ำกว่าอุปจารสมาธิ ต้องให้พอดี ๆ จึงจะเห็นได้ ซึ่งคนที่ทำตรงจุดนั้นแล้ว ต้องหัดสังเกตอารมณ์ใจ ถึงจะจำได้ว่าจุดพอดีของตัวเองคือตรงไหน ถ้าโดยทั่ว ๆ ไปก็ได้แต่บอกกันเฉย ๆ ว่า “ทำให้พอดี” แต่กว่าจะรู้ว่าพอดีอยู่ตรงไหน ก็ต้องคลำกันเป็นการใหญ่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 14:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 17-07-2014, 14:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ส่วนใหญ่คนไทยก็เคยเข้าวัดทำบุญ พอจะทราบว่าดีว่าก่อนตายให้เอาจิตไปไว้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่พอจะตายกลับไปในที่ไม่ดี ?
ตอบ : เพราะไม่มีความมั่นคงในภพภูมิที่ดี กำลังใจน้อยคนที่จะเกาะความดีมั่นคงจนพึ่งตัวเองได้ โบราณท่านถึงแนะนำให้มีการบอกทางก่อนที่คนจะตาย อย่างเช่นให้บอกว่า “อะระหัง” หรือ “พุทโธ” แต่ว่าบางทีขนาดมีคนบอก กรรมก็ยังบันดาลให้ตนเองเข้าใจผิดไปตามกรรมที่ทำมา

อย่างมีชายคนหนึ่งกำลังตาย ก่อนหน้านั้นอาชีพของแกก็คือจับปลา ลูกหลานเห็นก็ไปแนะนำบอกว่า “พุทโธ..พุทโธ” แกก็บอกว่า “แกงปลาเทโพ” ก็แปลว่ากำลังใจไปเกาะอยู่แต่กรรมหนักที่ตัวเองทำไว้ ถ้าเราไม่ได้ทำกรรมดีมาจนกระทั่งกำลังใจทรงตัว จนใจเกาะดีโดยส่วนเดียว โอกาสที่จะพลาดมีเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ขณะเดียวกัน บางคนทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวแล้ว ถ้าวาระกรรมที่หนักกว่ามาแทรก เขาอาจจะขาดสติ แล้วต้องไปรับกรรมก่อนก็มี

หลายรายที่ลงไปที่ตำหนักพญายม เขาก็แปลกใจว่าตนเองเจริญกรรมฐานมาหลายปีไม่เคยทิ้ง ทำไมถึงต้องลงมา พอสอบถามแล้วเขาบอกว่าก่อนที่เขาจะขาดใจตาย อยู่ ๆ ได้ยินเสียงเหมือนใครเอาอะไรขว้างข้างฝา แล้วตัวเองสะดุ้ง สติขาดจากการภาวนา นั่นเป็นแรงกรรมบันดาลให้เป็นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 17-07-2014 เมื่อ 16:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 17-07-2014, 14:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อารมณ์ก่อนจะตายถ้าเจ็บปวดและทรมานมาก ถ้าเป็นผู้หญิงก็เหมือนตอนคลอดลูก ทำให้ขาดสติ ไม่สามารถทรงสติสัมปชัญญะได้ ต้องไปอบายภูมิ ข้อนี้ต้องแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ภาวนาจับลมหายใจเข้าออก ให้อารมณ์ใจทรงตัวเป็นปกติ ถ้าอารมณ์ทรงตัวอยู่กับลมหายใจเข้าออก สภาพจิตกับประสาทจะเป็นคนละส่วนกัน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าจิตส่วนจิต ร่างกายส่วนร่างกาย ในเมื่อสภาพจิตไม่รับรู้อาการเจ็บปวดของร่างกาย ก็จะเกาะอยู่กับภาพพระหรือการภาวนาของตัวเอง ยิ่งอาการแย่ลงมากเท่าไร ภาพพระหรือการภาวนาก็ยิ่งชัดเจนแจ่มใสมากขึ้นเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 14:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 17-07-2014, 14:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไว้ว่าคนไปสวรรค์เปรียบได้กับเขาโค มีจำนวนน้อย คนไปนรกเปรียบได้กับขนโค มีจำนวนมาก ในยุคปัจจุบันนี้ที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ข้อนี้ยังเป็นจริงขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : เป็นปกติ สมัยนี้โคไม่ค่อยจะมีเขาด้วย..! แปลว่าแย่กว่าสมัยก่อนอีก เนื่องจากว่าคนเราไหลตามกระแสกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ไปมากกว่าเดิม โอกาสที่จะรอดมีน้อยมาก เอาแค่ประเทศไทยเรา ๖๘ ล้านคน มีคนเข้าวัดเจริญภาวนาเป็นปกติสักกี่คน ? อาตมายืนยันว่าทั่วประเทศไทยมีไม่เกินสามแสนคน แล้วสามแสนนี่เปรียบกับเขาวัวยังไม่ได้เลย เพราะอีกฝ่ายหนึ่งตั้ง ๖๘ ล้านคน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 15:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 17-07-2014, 14:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในฐานะที่เราเป็นลูกหลาน เราไปบอกกับพ่อแม่ผู้มีพระคุณของเราว่า โลกนี้ประมาทไม่ได้เลย เพราะว่ามีแต่ความยากลำบากรออยู่ข้างหน้า แล้วท่านไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย กุศลจะเป็นของเราไหมครับ ?
ตอบ : กุศลเป็นของเราเป็นปกติ แต่ว่าบางทีโทษใหญ่จะเกิดกับผู้รับฟัง เพราะส่วนใหญ่แล้วญาติผู้ใหญ่ไม่ค่อยมีความเชื่อถือในบุตรหลานตัวเอง เพราะเห็นว่าเลี้ยงมากับมือ คิดว่าจะรู้อะไรนักหนาเชียว วิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่ไปบอกไปว่า แต่ว่าทำตัวเองให้มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเขาสงสัยแล้วถามเราค่อยบอกเรื่องหลักการปฏิบัติให้ ถ้าอย่างนั้นเขาจะเชื่อถือมากกว่า เพราะตัวเราเป็นพยานในการปฏิบัตินั้นเองแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 15:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 17-07-2014, 14:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่เขาพูดกันว่าถ้าอยากได้ยศได้ตำแหน่งให้ไปกวาดลานวัด ลานเจดีย์ ข้อนี้มีผลจริงไหมครับ ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยได้ยิน ที่ได้ยินมาก็คือว่าการทำความสะอาดลานวัด ลานเจดีย์ ถ้าทำด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ คนที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังมีโอกาสหายได้ สิ่งนี้มีการแนะนำอยู่ในพระไตรปิฎก ที่พระนางโรหิณีป่วยเป็นโรคเรื้อน แล้วพระอานนท์ก็แนะนำให้ไปกวาดลานเจดีย์ ท่านก็ทำอยู่นาน ทำด้วยความมุ่งมั่นและเคารพพระรัตนตรัยจริง ๆ โรคเรื้อนก็หาย เหตุที่เป็นโรคเรื้อนเพราะว่าในอดีตชาติเคยไปด่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าเป็นคนขี้เรื้อน

ฉะนั้น..ในตรงจุดนี้จะเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อในการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งหรือเปล่าก็ไม่กล้ายืนยัน แต่ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคผิวหนังต้องไปทดลองดู


ถาม : ทีนี้คนที่อยากได้ยศตำแหน่ง มีข้อปฏิบัติอย่างไรไหมครับ ?
ตอบ : ไปหาครูบาอาจารย์อะไรที่มีคาถาช่วยให้สำเร็จ แล้วขอท่านมานั่งภาวนาดีกว่า บุญใหญ่กว่ากันเยอะเลย ถึงจะไม่ได้ยศได้ตำแหน่ง แต่ก็เท่ากับเราสร้างมหากุศลให้ตัวเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 15:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 17-07-2014, 15:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,137 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเล่นเฟซบุ๊ก เล่นไลน์ เราเล่น ๆ แล้วเป็นสักกายทิฐิหรือครับ ?
ตอบ : จิตใจเราจะไปยึดมั่นถือมั่นจนกลายเป็นสักกายทิฐิคือส่วนหนึ่งของตัวเรา ทำให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารยากยิ่งขึ้น อย่างเช่นเฟซบุ๊กของเรา พอถึงเวลาเราขึ้นสเตตัสไป แล้วคนเข้ามาแสดงความเห็นที่ไม่เห็นด้วย เราก็โกรธเขาแล้ว ก็เหมือนกับเขาไม่เห็นด้วยกับตัวเรา ฉะนั้น..เท่ากับว่าเรากำลังสร้างส่วนหนึ่งของเราเพิ่มขึ้น เราก็ต้องไปยึดในส่วนนั้นมากขึ้น บางคนก็หัวทิ่มอยู่ทั้งวันไม่ไปไหนเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2014 เมื่อ 15:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว