กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 16-12-2010, 17:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนแรกอาตมายังไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ เพราะเพิ่งจะบวชได้ไม่นาน จึงได้กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ทำไมหลวงพ่อไม่จัดปริวาสบ้างครับ ?" ท่านถามว่า "พวกแกมีใครโดนอาบัติสังฆาทิเสสหรือ ?"

อาตมากราบเรียนว่า "ไม่มีครับ"
"ไม่มีแล้วจะจัดไปทำไม ?"
"เห็นที่อื่นเขาจัดกันครับ"
"แกรู้หรือเปล่าว่าทุกเช้าเขาจะต้องมาประกาศตนว่า ตนเองโดนอาบัติอะไร ถ้าแกไม่โดนแล้วไปประกาศว่าตัวเองโดน ก็เท่ากับโกหกเขาอยู่ทุกวัน..!"

พอได้ไปศึกษาเองจริง ๆ จึงได้รู้ว่าปริวาสแต่ละแห่งจัดเพราะมุ่งหมายเรื่องเงิน มีน้อยแห่งมากที่ตั้งใจจัดปริวาสเพื่อสงเคราะห์เพื่อนพระที่โดนอาบัติสังฆาทิเสส

สุทธันตปริวาสในปัจจุบัน จึงเป็นแบบหลับหูหลับตากำหนดเอา ส่วนใหญ่ก็คือ ๗ วันหรือ ๙ วัน

สุทธันตปริวาส หมายความว่า การอยู่ปริวาสของบุคคลที่โดนอาบัติ จนตัวเองจำไม่ได้ว่าตัวเองโดนมานานเท่าไร เขาให้กำหนดว่าจะต้องอยู่ปริวาสจนถึงความบริสุทธิ์ได้ในระยะเวลาเท่าไร แล้วให้คณะสงฆ์กำหนดลงไป แต่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ให้กำหนดเป็นเวลามากกว่าที่โดนอาบัติเอาไว้เสมอ เพื่อความปลอดภัย

อย่างเช่น เราโดนมาภายใน ๓ เดือน ก็ให้กำหนดอย่างน้อย ๓ เดือนกับ ๑ วัน แต่ปัจจุบันนี้ สุทธันตปริวาสที่เจอ เขากำหนด ๙ วันตลอด โดนมากี่ปีก็ ๙ วัน แล้วจะพ้นได้อย่างไร ? เหมือนกับคนที่ต้องโดนจำคุก ๒๐ ปี แล้วไปตัดสินว่าจำคุก ๙ วันก็พอ อย่างนี้จะยุติธรรมหรือ ? กลายเป็นว่าสิ่งที่ทำไปก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

บุคคลที่ยังอยู่ปริวาสไม่ครบตามจำนวนที่ตนเองโดน แล้วไปเก็บมานัตต์ ก็ไม่ใช่มานัตตารหบุคคล คือ ไม่ใช่บุคคลที่สมควรแก่มานัตต์ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่พ้นจากอาบัติสังฆาทิเสสที่ตัวเองโดนอยู่

เรื่องพวกนี้เขาไม่ค่อยจะบอกกัน เพราะหลายต่อหลายอย่างสร้างประโยชน์ให้ เขาจึงหลับหูหลับตาจัดกันไป เป็นอะไรที่น่าหนักใจมาก

สรุปง่าย ๆ ว่า ปริวาสในปัจจุบันเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ มักเจอพวกเขี้ยวลากดินอยู่ข้างใน ประเภทที่อยู่รวมกับคนอื่นได้ยาก จะไปสุมหัวรวมกันอยู่ในป่าปริวาส..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 16-12-2010, 17:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราจัดงานศพให้ผู้ตาย ผู้ตายได้บุญตอนไหน ตอนที่เราอุทิศ ?
ตอบ : ถ้าบุคคลนั้นสามารถรับอนุโมทนาได้ คือ รับส่วนกุศลแล้วอนุโมทนาได้ ก็จะได้ตอนที่เราประกาศอุทิศส่วนกุศล ดังนั้น..ตอนที่เราอุทิศส่วนกุศล เมื่อพระยถาสัพพี เราควรจะออกชื่อ-นามสกุล ว่ากุศลที่สร้างในครั้งนี้ขอให้แก่ใคร ขอให้เขามาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย

ถาม : แล้วที่พระสวด สวดให้ใคร ?
ตอบ : สวดให้คนเป็นฟัง คือให้รู้ว่าสิ่งที่ทำ อะไรดีอะไรชั่วแล้วให้เลือกทำ แต่สมัยนี้เขาฟังบาลีกันไม่ออก มีหลายวัดที่พยายามปรับปรุงด้วยการสวดมนต์แปล ในเมื่อสวดมนต์แปล เราฟังออก จะได้เก็บเอาหลักธรรมนั้นไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่เท่าที่อาตมาเจอก็มักจะพนมมือเฉย ๆ บางคนก็หันไปคุยกันอีกต่างหาก ก็เลยกลายเป็นไม่ได้ประโยชน์อะไร

ความจริงถ้าเราตั้งใจน้อมจิตฟังด้วยความเคารพ จะเป็นกุศลใหญ่อีกส่วนหนึ่งที่อุทิศให้แก่ผู้ตายได้ เพราะเท่ากับว่าเรากำลังปฏิบัติในธัมมานุสติ ถ้าเราระลึกว่าสิ่งที่พระสวดอยู่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ทั้งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ เห็นผู้สวดที่เป็นพระสงฆ์อยู่ก็ได้สังฆานุสติด้วย กลายเป็นเราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ซึ่งได้บุญมากที่จะอุทิศให้แก่ผู้ตายได้

แต่ปัจจุบันเป็นแค่รูปแบบพิธีกรรม การกระทำมักจะผิดไปจากเจตนาดั้งเดิมของบรรพบุรุษของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 16-12-2010, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่งทุกวันนี้เวลาที่วัดมีงานศพ อาตมาต้องประกาศก่อนเคลื่อนศพเสมอว่า ญาติโยมทั้งหลายมาส่งศพ ให้เดินตามโลงศพ ไม่ใช่ทะลึ่งไปจูงสายสิญจน์..! การจูงสายสิญจน์เป็นหน้าที่ของพระ คนที่จะเดินข้างหน้า ก็คือ บุคคลที่ถือกระถางธูปกับรูปผู้ตายเท่านั้น แล้วโยมเห็นไหม ? บางที่เขาแย่งกันจูงสายสิญจน์จนพระไม่มีที่จะจูง การจูงศพขึ้นเมรุเป็นหน้าที่พระเณร ส่วนญาติโยมตามไปส่งเท่านั้น

แต่ที่อื่นเขาไม่ค่อยกล้าว่า ไม่ค่อยกล้าบอกเพราะกลัวโยม อาตมาเองไม่ค่อยจะเกรงใจโยมหรอก ต่อให้ใหญ่มาแค่ไหน ผิดท่าผิดทางอาตมาด่ากระจาย เพราะถ้าเราไม่บอกในสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็จะผิดต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งภายหลังจะกลายเป็นถูกไปเอง เพราะเขาทำต่อ ๆ กันมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 03:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 17-12-2010, 01:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปัจจุบันนี้มีธรรมเนียมหนึ่งที่ผิดจนกลายเป็นถูกไปแล้ว ก็คือ แต่งชุดดำไปงานศพ สมัยโบราณถ้าคนตายอาวุโสกว่า มากด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ เราจะต้องแต่งชุดขาวไป ถ้าคนตายเด็กกว่า เราจึงแต่งชุดดำไป

ปัจจุบันนี้ ขนาดงานสมเด็จย่าเขายังแต่งชุดดำไป แสดงว่าใหญ่กว่าสมเด็จย่าทั้งนั้น..! แต่บางคนที่อายุน้อยกว่าแล้วมากด้วยคุณความดี หรือท่านที่สูงด้วยยศศักดิ์อย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เราแต่งชุดขาวให้ได้ แม้ว่าเราจะอายุมากกว่า

ถาม : กรณีที่หลานอายุน้อยกว่าเรา เราไปกราบไหว้ศพ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ถือว่าเราไหว้ธรรมะของพระพุทธเจ้า สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะระณันตัง หิ ชีวิตัง สัตว์ทั้งหลายต้องถึงแก่ความตายแน่นอน ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้

ไหว้ไปเถิด ไหว้ให้ถูกก็แล้วกัน ไม่ใช่ไปไหว้ศพ เราไปไหว้พระธรรม

อะไรที่รู้ พยายามปรับให้ถูกไว้บ้าง ถ้าเขาสงสัยแล้วถาม ก็อธิบายให้เขาฟัง

ถาม : แล้วกระดูกพ่อแม่ควรไว้วัดหรือไว้ที่บ้าน ?
ตอบ : โบราณเขาจะเก็บไว้ที่บ้าน พอถึงเวลาสงกรานต์ก็จะทำบุญกระดูกกัน ปัจจุบันนี้เขากลัวผีกันมาก จึงเอากระดูกไปทิ้งไว้วัดกันหมด

ตามธรรมเนียมแล้ว พอถึงเวลาสงกรานต์เขาจะนำอัฐิพ่อแม่มาสรงน้ำอบน้ำหอม นิมนต์พระมาบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 15-02-2016 เมื่อ 13:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 17-12-2010, 12:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบญี่ปุ่น จะมีผลให้เราถึงนิพพานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อยู่ที่การปฏิบัติของเรา แม้ว่าเราจะนับถือมหายานแบบญี่ปุ่นก็ดี ถ้าคำสอนของท่านถึงนิพพาน เราตั้งใจปฏิบัติตามจริง ๆ ก็ไปถึงได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเราอาจจะไปติดอยู่กับรูปแบบพิธีกรรมต่าง ๆ มากมายมหาศาล ก็เลยกลายเป็นว่าเอาเปลือกมาบังแก่นเสียหมด

ถาม : เขาค่อนข้างบิดเบือนหรือผิดเพี้ยนไปเยอะ
ตอบ : อยากจะบอกว่าทางมหายาน ถ้าเป็นนิกายมูลสรวาสติวาทสมัยก่อน หลักการพอ ๆ กับเถรวาทเลย ตอนหลังมาแยกออกไปเป็นนิกายโยคาจารย์ ของท่านวสุพันธุ พอกระจายออกมาเนื้อหาก็เริ่มอ่อนลง

แม้กระทั่งศาสนาชินโตที่พระญี่ปุ่นมีเมียได้ ถ้าเราไม่เข้าใจจริง ๆ เราก็จะไปตำหนิเขา อาตมาเคยคุยกับพระของชินโต เขาพูดภาษาไทยได้ แต่เราต้องเอาล่ามแปลภาษาไทยอีกที สรุปได้ความว่า นิกายชินโตเกิดขึ้นมาในช่วงที่เป็นสงครามระหว่างเจ้าครองนครต่าง ๆ รบราฆ่าฟันกันทั้งปีทั้งชาติ

พระไม่รู้จะไปเผยแผ่ศาสนาอย่างไร ถ้าปล่อยให้อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นนาน ๆ ไป ศาสนาอาจจะสูญไปเลย เขาก็เลยตัดสินใจมีครอบครัว เพราะอย่างน้อย ๆ ก็สอนคนในครอบครัวตัวเองได้ มีเมีย ๑ คนสอนได้ ๑ คน มีลูกอีก ๑ คน สอนเพิ่มได้เป็น ๒ คน สอนพ่อตาแม่ยายได้อีกก็รวมเป็น ๔ คน เท่ากับว่าเขาลงทุนทุ่มเทด้วยชีวิตของเขาเลย เพื่อเผยแผ่ศาสนา

ถ้าเรารู้จุดมุ่งหมายของเขาแล้ว ก็จะไม่เสียเวลาไปตำหนิ แต่ถ้าไม่รู้จุดมุ่งหมายแล้ว บางทีก็ด่าเลย พระอะไรวะมีเมียได้ด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 13:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 17-12-2010, 12:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แต่ในเรื่องหลักการ ?
ตอบ : หลักการเขาดี แต่ในเรื่องข้อธรรมกลายเป็นว่า โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมมีน้อยแล้ว เพราะมีครอบครัวมาลากถ่วง พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เอกายโน หนทางของคนคนเดียว เพราะถ้าเป็นคนเดียวจะไม่มีความกังวลมาก แต่ถ้ามีหลายคนจิตใจจะมีห่วงกังวลมาก โอกาสที่จะปฏิบัติให้ผ่องใสเพื่อเข้าถึงธรรมก็น้อยลง

แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส ถ้าเราสามารถทรงฌานได้คล่องตัวจริง ๆ อย่างที่เมื่อคืนได้กล่าวถึงความคล่องตัวที่เป็นวสีของระดับต่าง ๆ ถ้าทำอย่างนั้นได้ เราอยู่ที่ไหนก็สามารถที่จะทรงฌานได้ จิตใจของเราสามารถที่จะผ่องใสได้ตลอด เราก็จะใช้ปัญญาพิจารณาได้ถึงความทุกข์ของการมีครอบครัว

ถ้าถึงระดับนั้นกลับเป็นประโยชน์ เพราะเราจะเห็นทุกข์กว่าคนที่ไม่มีครอบครัว ถ้าเราเห็นทุกข์มากกว่าคนที่ไม่มีครอบครัวแล้ว จิตใจเบื่อหน่าย ปล่อยวางออกมา จะได้เร็วกว่านี้ แต่โอกาสที่จะทำให้คล่องตัวระดับนั้นจริง ๆ ก็มีน้อย

ถาม : แต่ในคราบของความเป็นภิกษุ ไม่ถือว่าปาราชิกหรือครับ ?
ตอบ : ถ้านับอย่างนั้นก็ใช่ บอกแล้วว่าหลักการถูกต้อง แต่วิธีการที่ปฏิบัตินั้นผิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 13:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 17-12-2010, 13:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราไปพบพระภิกษุท่านละสังขาร แล้วสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย ถือว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ?
ตอบ : ถือไม่ได้ สังขารไม่เน่าเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน
สาเหตุแรก อาจจะเกิดจากการกินว่านยาบางอย่าง ทำให้สังขารไม่เน่า
สาเหตุที่สอง มีคาถาบางบทถ้าเสกข้าวกินประจำ ทำให้ไม่เน่าได้
สาเหตุที่สาม ท่านเองอธิษฐานทิ้งร่างเอาไว้ ถ้าถึงระดับนั้นส่วนใหญ่มักจะดี

ฉะนั้น..ตายแล้วศพไม่เน่า ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นพระอริยเจ้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 13:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 17-12-2010, 13:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมมาขอความเมตตาให้พระอาจารย์ท่านสวดบังสุกุลให้ ท่านกล่าวว่า "การบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรก็ได้ไปแค่เปลือก ถ้ารู้ว่าเขาให้ระลึกถึงมรณานุสติ คือ ความตาย ให้เอาใจเกาะพระ หรือเกาะพระนิพพาน ให้เป็นพุทธานุสติหรืออุปสมานุสติก็จะได้กำไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 20-12-2019 เมื่อ 14:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 17-12-2010, 15:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่เขาอยู่ต่างประเทศ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว ?
ตอบ : ให้เอาศีลเป็นกรอบ ถ้าไม่หลุดออกจากกรอบของศีลก็ยังถูกอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 17-12-2010, 18:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จะขายที่เจ้าค่ะ
ตอบ : ไปจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ตรงนั้น ว่าขออนุญาตขายที่ ถ้าขายได้แล้วจะถวายสังฆทานไปให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 17-12-2010, 18:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันเสาร์ พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อคืนประมาณตีสาม อาตมานิมิตว่าไปเฝ้าในหลวงที่โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ทรงขอบใจที่นำพระเณรและญาติโยมสวดโพชฌังคปริตรถวายท่านทุกวัน พระองค์ตรัสว่าโรคภัยไข้เจ็บหายหมดแล้ว เหลือแต่โรคคนแก่ ถ้าหายก็แปลว่าไม่อยู่แล้ว

เป็นครั้งแรกที่นิมิตเห็นพระองค์ท่านแล้วอาตมาเป็นพระอยู่ ปกติแล้วถ้านิมิตเห็น จะเป็นข้าราชบริพารรับใช้พระองค์ท่าน อาตมาจึงฉวยโอกาสที่ไม่มีใครอยู่ จับ ๆ คลำ ๆ พระองค์ท่านไปหลายที ไปแล้วต้องเอาให้คุ้ม..!

วันนี้ก็เลยตื่นสาย..เพลินไปหน่อย เข้าเฝ้าแล้วไม่อยากกลับ มีความสุข เหมือนกับได้อยู่ใกล้พ่อแม่ที่มีความรักเรา เป็นความรักชนิดบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรจากลูกเลย ลูกทำความดีให้พระองค์ท่านก็ชื่นใจ บอกให้รู้ว่ารับรู้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 17-12-2010, 23:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมบวชแล้ว เพิ่งสึกมาไม่นาน สึกแล้วก็ยังพยายามถือศีลแปดทุกวันพระ การรักษาศีลแปดบางทีก็พร่องไปบ้าง ขอคำแนะนำครับ ?
ตอบ : ค่อย ๆ ใส่สติเพิ่มเข้าไป ถึงเวลาบอกกับตัวเองว่า "ไม่" ก็ต้องไม่จริง ๆ อย่าไปผ่อนผันให้กับตัวเอง ถ้าผ่อนผันให้กับตัวเองก็ต้องผ่อนเรื่อยไป ถ้าทำให้จริงจังเด็ดขาดแล้วจะสำเร็จทุกอย่าง

ถาม : เวลานั่งสมาธิ สมาธิระดับไหนจึงพอที่จะเจริญปัญญาขึ้นไปได้ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องปฐมฌานขึ้นไป

ถาม : การพิจารณาในขั้นของปัญญา ต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : พยายามให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้

ถาม : คิดเอาหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่คิดเอา แต่มองให้เห็นจริง แรก ๆ ก็อาจจะคิด พอทำบ่อย ๆ จะเริ่มเห็นและใจยอมรับ ตราบใดที่ใจยังไม่ยอมรับ ก็ยังใช้ไม่ได้

ถาม : ในเรื่องการปฏิบัติ ท่านมีอะไรแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้จริงเท่านั้นก็พอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 17-12-2010, 23:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อยากขอคำแนะนำ แผ่เมตตาให้จิตเราปราศจากโทสะได้เร็ว ๆ
ตอบ : ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวเป็นฌานระดับใดระดับหนึ่ง แล้วค่อยแผ่เมตตา หลังจากนั้นก็มาใช้ปัญญาคิดว่า การที่เราโกรธเขาใครเป็นผู้ทุกข์กันแน่ ? ถ้าเราทุกข์เองแล้วเราจะไปโกรธเขาเพื่อซ้ำเติมตนเองไปทำไม ? ตายตอนนั้นก็ลงนรกอีกต่างหาก..! ถ้าใช้ปัญญาคิดเป็นจะหมดโทสะเร็ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 17-12-2010, 23:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราไม่อยากอยู่แล้ว แต่เรายังไม่หมดอายุขัย เราจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอยากตาย แปลว่ายังใช้ไม่ได้ เราต้องทำกำลังใจของเราว่า อยู่เราก็ได้ทำความดี ถ้าตายเราก็ได้ไปนิพพาน เพราะฉะนั้น..อยู่ก็ได้ ตายก็ดี ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ เราอยู่ชาติเดียวก็จบ ชาติต่อไปจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว

ถาม : ท่านทำกำลังใจอย่างไร ถึงไม่เบื่อสังขารร่างกาย ?
ตอบ : เราจะพ้นไปอยู่แล้ว วันพรุ่งนี้ไม่มีสำหรับเรา เราอยู่กับร่างกายแค่วันนี้เท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 18-12-2010, 01:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ช่วงนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยก้าวหน้าในเรื่องการงาน รู้สึกว่าฝืดเคือง
ตอบ : ภาวนาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงให้มากไว้ ใช้เป็นคำภาวนาไปเลย

ถาม : เวลาว่างก็ภาวนาตลอด ?
ตอบ : เอาให้ได้วันละอย่างน้อย ๑๐๘ จบ แบ่งเป็นเช้า กลางวัน เย็น เป็นชุด ๆ ไป ให้ได้ครบ ๑๐๘ ทำให้จริง ๆ สักสองเดือนก็จะเห็นผล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-12-2010 เมื่อ 12:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 18-12-2010, 12:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วจะควบกับการเดินจงกรม อย่างขวาพุท-ซ้ายโธด้วย จะทำอย่างไร ?
ตอบ : เอากำลังใจเกือบทั้งหมดไว้ที่ตัวคาถา ความรู้สึกสัก ๑๐-๒๐ เปอร์เซ็นต์อยู่ที่อาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่จำเป็นจะต้องไปว่าคาถาให้ตรงกับการเดิน แค่ให้รู้ว่าตอนนี้กำลังเดินอยู่ก็พอ

กำหนดรู้แค่อาการเคลื่อนไหว แต่กำลังใจส่วนใหญ่ให้อยู่ที่ตัวคาถา

ถาม : แล้วลมหายใจต้องรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ารู้ได้ด้วยก็ดี แต่ถ้ารู้ลมหายใจครบฐานมักจะเดินไม่ออก

ถาม : ยุบหนอพองหนอกับลมหายใจสามฐาน ชุดเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือชุดเดียวกัน แต่จับคนละอย่างกัน ลมหายใจสามฐานเราจับลมเป็นหลัก พองหนอยุบหนอเราจับอาการเคลื่อนไหวของท้องเป็นหลัก

ถาม : ผมเดินจงกรม ทีนี้พระคาถายาว ?
ตอบ : ไม่ต้องใส่ใจ ให้ว่าไปเรื่อย ก้าวละคำก็ยังได้ ไปช้า ๆ เอาให้มีคุณภาพ

ถาม : แล้วเวลาเดินไปแล้ว ต้องมีหยุดหรือเปล่าครับ หรือเดินแล้ววนกลับ ?
ตอบ : แล้วแต่เราถนัด ขอให้ได้ทำเถอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 12:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 18-12-2010, 12:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนที่เราจับลมหายใจ ตอนแรกจับสามฐาน พอทำไปสักพักทุกฐานรู้พร้อมกัน ก็คือต้องรู้พร้อมกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..รู้เท่าไรให้กำหนดแค่นั้น จะรู้ตลอดสายตั้งแต่บนยันล่างเลยก็ได้

ถาม : ถ้าเราจับภาพพระ ควรจะแบ่งความรู้สึกไว้ที่ตรงไหนมากกว่ากัน ระหว่างภาพพระกับลมหายใจ ?
ตอบ : ให้ภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปแบ่ง ถึงเวลาก็ให้ภาพพระไหลเข้าไหลออกตามลมหายใจ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 12:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 18-12-2010, 12:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลานั่งสมาธิไป บางทีหลับตาไปแล้ว..?
ตอบ : ความจริงก็คือถ้าเราไปสนใจ สมาธิก็จะเคลื่อน บอกแล้วว่าแม้แต่จะตายก็ไม่ต้องไปใส่ใจ คิดอยู่อย่างเดียวว่า เราทำความดีอยู่ ถ้าจะตายลงไปก็ยอม

ฉะนั้น..ถ้าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เรายังปล่อยให้กวนเราได้อยู่ สมาธิก็จะไม่ทรงตัว

ถาม : ตอนที่เรามากำหนดลมหายใจ บางทีเราไปกลัว มีวิธีที่ไม่ให้กลัวไหมครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย ถ้าตัดสินใจได้..ก็ได้ ถ้าตัดสินใจไม่ได้..ก็เป็นอย่างนั้นต่อไป

ถาม : เวลาภาวนาจะมีกลิ่นเข้ามาทำให้สงสัย ถ้าเป็นตอนนั้นเราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : กำหนดใจว่า สิ่งที่เราทำตอนนั้นเป็นบุญกุศลอย่างไร ขอให้ท่านเจ้าของกลิ่นจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอจงได้รับด้วย แล้วเราก็ภาวนาของเราไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2019 เมื่อ 19:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 18-12-2010, 18:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูสงสัยว่า อย่างอารมณ์ที่ถอนออกจากความยินดี ก็คือ การที่เราเห็นความพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วถอยออกมาจากสิ่งนั้น ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ยินดีตรงนี้ของเรานั้นเป็นส่วนของราคะ เป็นรติ ไม่ใช่ยินดีที่เป็นฉันทะในสิ่งที่จะทำความดี เป็นคนละอย่างกัน

ในเมื่อคนละอย่างกัน บางทีภาษาไทยไปเรียกเหมือนกัน จะกลายเป็นว่าเราไปถอนของดีทิ้ง ก็จะยุ่ง

ดังนั้น..ตัวที่เราว่าเป็น รติ คือ ความยินดีที่เนื่องด้วยราคะ พอเราเห็นทุกข์เห็นโทษ จิตก็จะเบื่อหน่าย คลายออกมา เพราะฉะนั้น...ตอนนี้เราต้องพิจารณาให้เห็นโทษของความยินดีที่เนื่องด้วยราคะไปก่อน พอเห็นโทษแล้วสภาพจิตยอมรับว่าไม่ดีจริง ๆ ก็จะหมดอยากเอง พอหมดอยาก ความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดก็จะเกิดขึ้น ถ้าปัญญาเพียงพอ ก็จะถอนจิตออกมาเอง

ถาม : บางทีหนูก็แค่ออกจากตรงนั้น ก็จบแล้ว
ตอบ : บางทีอาจเป็นกำลังของสมาธิ เป็นกำลังของฌาน ไม่ใช่ตัวปัญญา อย่าเพิ่งเชื่อ

ถาม : ค่ะ เชื่อมาหลายยกแล้ว
ตอบ : เชื่อมาหลายยก ก็แปลว่าเจ๊งมาหลายยกแล้ว..!

ถาม : บางทีทำไป เหมือนกับอารมณ์ล้น พอล้น เราก็อยากที่จะเอาออก ไม่ว่าจะเอาออกด้วยการเสียสละสิ่งของ หรือแผ่กระแสสมาธิออกจากตัวเอง
ตอบ : พอเจอลักษณะนี้ให้เปลี่ยนสถานที่หรือเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่อย่างนั้นจะไปต่อไม่ได้

ถาม : หนูไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากสมาธิหรือเป็นตัวที่เกิดจากปัญญากันแน่ บางทีสิ่งที่เราทำไป แต่ก็เหมือนกับไม่ได้ทำ ผ่านแล้วก็ผ่านไปเลย เมื่อเรามาคิดว่า เมื่อครู่เราทำหรือ ? เราทำก็เหมือนไม่ได้ทำ เพราะว่างเปล่าไปแล้ว
ตอบ : ในสภาพของกิเลสบางตัว อำนาจฉุดดึงร้อยรัดนั้นใกล้เคียงกัน คล้ายคลึงกัน ถ้าเราก้าวล่วงตัวหนึ่ง ตัวอื่น ๆ เราก็จะพลอยก้าวผ่านไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2010 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 18-12-2010, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,808 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีบอกไว้ในปฏิปทาท่านผู้เฒ่า อย่างอสุภะให้พิจารณาคนเหมือนถุงอุจจาระ จะได้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หรือรังเกียจขยะแขยง แต่หนูเอง ทำไมไม่ผ่านอารมณ์ขยะแขยง แต่กลับไปลงที่ตัวสังขารุเปกขาญาณ ไปลงที่ตัวอนัตตา หรือเห็นเป็นรูปเป็นนามไปเลย
ตอบ : ใช้ได้เหมือนกัน

ถาม : ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อาตมาเองตั้งใจจะไปเอาเมตตาบารมีก็ไม่ได้ เพราะจิตกระโดดไปที่สังขารุเปกขาญาณเลย ขณะเดียวกันตั้งใจจะใช้ตัวอสุภกรรมฐานกับกายคตาสติมาตัดราคะ ก็ตัดไม่สำเร็จ แต่กลับไปตัดได้ด้วยตัวพรหมวิหารสี่แทน

ดังนั้น..บางมุมของกรรมฐานก็ไม่ได้เหมาะสำหรับเรา หรือไม่ได้เหมาะสำหรับคนทั่วไป เพราะแต่ละคนสร้างบารมีเก่ามาไม่เหมือนกัน ในเมื่ออยู่ในแง่มุมอื่น เราสามารถที่จะก้าวผ่านตรงจุดนั้นได้เหมือนกันก็ทำไปเถอะ

ถาม : หนูอยากรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วจะต้องผ่านตัวขยะแขยงก่อน แล้วค่อยไปลงที่อนัตตาหรือเปล่า ?
ตอบ : บางทีก็ข้ามไปได้เลย ไม่จำเป็นจะต้อง หนึ่ง สอง สาม อาจจะ สี่ ห้า หก ไปเลย

ถาม : อย่างหลวงพ่อฤๅษีบอกให้รังเกียจขยะแขยง อันนี้ไม่ถือว่าเป็นตัวยินร้ายหรือคะ ?
ตอบ : จะยินดีหรือยินร้ายก็ตาม ภายหลังก็จะต้องปล่อยออกหมดเหมือนกัน แต่ตัวที่ขยะแขยงตรงจุดนั้น จริง ๆ แล้วเพราะเราเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีจริง ๆ เป็นส่วนยินร้ายที่มีปัญญาประกอบเพราะรู้เห็นว่าไม่ดีจริง ๆ ไม่ใช่ส่วนที่ยินร้ายที่เป็นโทสะจริต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2010 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:18



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว