|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#141
|
||||
|
||||
"ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะอ้างของสูง เป็นเจ้าพ่อนั้น เป็นเจ้าแม่นี้ ที่ขำที่สุดก็คือ สมัยที่หลวงพ่อฤๅษีท่านยังมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งท่านปรารภว่า “เล็กเว้ย..ข้ายังไม่ทันจะตายเลย มีสำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ๖๐ กว่าสำนักแล้วว่ะ..!”
นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า การถือมงคลตื่นข่าวบางทีก็ทำให้เราเดือดร้อน เพราะพวกนี้มักจะใช้หลักจิตวิทยา บอกว่ามีเคราะห์กรรมหนักบ้าง มีองค์มีร่างบ้าง และท้ายสุดก็อาจจะต้องเสียเงินเสียทองไปสะเดาะเคราะห์หรือไปรับขันธ์ และการรับขันธ์เท่ากับยอมรับเขา บางทีเขาก็ใช้ผีบ้าง ใช้ไสยศาสตร์บ้าง คุมเราเอาไว้ ถึงเวลาก็ต้องหาเงินไปให้เขา ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปยุ่งได้ก็จะปลอดภัย อันนี้เป็นการถือมงคลตื่นข่าวเรื่องที่หนึ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#142
|
||||
|
||||
"เรื่องที่สอง เมื่อครู่โยมเขาเอาข่าวที่ไหนมาก็ไม่รู้ เขาตกใจกันใหญ่ บอกว่าอาตมาพูดว่า น้ำจะท่วมบ้าง ภัยพิบัติจะเกิดบ้าง ประเทศไทยคนจะตายเหลือ ๕-๖ ล้าน เอามาจากไหน ? ตูยังสงสัยว่าพูดไปตอนไหน ?
เหลือตั้ง ๕-๖ ล้านคน ยังกลัวอีก ก็เราแค่คนเดียว หมดจากเราแล้ว ยังเหลืออีกตั้ง ๔ ล้านกว่า อย่างไรจำนวนแค่หนึ่งคนเราจะแย่งมาไม่ได้เลยหรือ ? พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ภัยอันตรายใด ๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ ดังนั้น..ขอให้เราเคารพมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ไปหวั่นไหว เรื่องร้ายก็กลายเป็นดีเอง เคยเจอบ้างไหม ? ประเภทเรือล่มเพราะคนตกใจ คนแห่กันพรวดไปข้างเดียว แล้วเรือก็เอียงกะเท่เร่ ในที่สุดก็ล่มไป ลักษณะเดียวกัน ถ้าเราไปแตกตื่น ก็จะทำให้สถานการณ์ดี ๆ กลายเป็นเสียไปได้ มีอยู่วันหนึ่ง คนทั้งเมืองกาญจนบุรีพากันแตกตื่น แย่งกันขึ้นยอดเขา เพราะลือว่าเขื่อนแตกแล้ว..! ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดคุณรุ่งฤทธิ์ มกรพงษ์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ชาวบ้านแตกตื่นหนีกันขึ้นยอดเขา ไปจับจองที่กางเต็นท์ หรือไม่ก็ไปหาที่นอนของตัวเอง แย่งที่จนถึงขนาดวางมวยกันก็มี ท่านผู้ว่าฯ ต้องใช้โทรโข่งไปประกาศ บอกว่า "ตรวจสอบข่าวทั้งหมดแล้ว เขื่อนยังไม่แตก ไม่ต้องกลัวหรอก ลงมาเถอะ" ก็ไม่มีใครลง เพราะมีพวกที่บอกว่า ตนมีญาติอยู่ที่นั่นเขาบอกว่าเขื่อนแตกแล้วจริง ๆ พอไล่ไปไล่มา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีแต่ "ฟังเขาเล่าว่า" มาทั้งนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#143
|
||||
|
||||
"ประมาณปี ๒๕๔๕ มีข่าวลือว่า พวกที่รับขนคนมอญต่างด้าวเข้าประเทศ เอาคนมอญไปฆ่าทิ้ง ๓๐ กว่าคน อยู่ในเกาะที่เป็นพื้นที่เหนือเขื่อนเขาแหลม ข่าวลือหนักขึ้น ๆ ท้ายสุดอาตมาก็เลยเดือดร้อน เพราะว่าเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัย
ในเมื่อเรื่องลือกันหนักขนาดนั้น ก็ต้องออกไปพิสูจน์ทราบ เขาบอกว่าพวกที่ขนต่างด้าวเข้าเมืองไม่สามารถจะผ่านด่านได้ เลยเอาไปซ่อนไว้ในเกาะ หลายวันเข้าไปส่งอาหารให้ไม่ไหว ก็เลยเอาข้าวคลุกยาฆ่าแมลง (แลนเนต) ให้กิน คนจึงตายหมด เขาบอกว่ากลิ่นศพเหม็นตลบไปเป็นกิโล ๆ ขนาดเรือผ่านไกล ๆ ยังได้กลิ่นเลย..! อาตมาเลยให้เขาไปสืบว่ามีใครรู้บ้าง พอไปได้ตัวคน ๆ หนึ่งเขาบอกว่า "ได้ยินอีกคนหนึ่งพูด" คน ๆ นั้นมีเรือนแพอยู่ในพื้นที่เขื่อน มีอาชีพหาปลา อาตมาเลยพาคณะไปพิสูจน์กัน เช่าเรือ ๒,๕๐๐ บาท เติมน้ำมันต่างหาก วิ่งตั้งแต่สังขละบุรีลงมา เลาะมาเรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงวังปะโท่ของทองผาภูมิ คือวิ่งมาเกือบร้อยกิโลเมตร ไม่พบอะไรเลย พอไปเจอบุคคลคนนั้น เขาก็ว่า "อีกคนหนึ่งเล่ามา" ตามไปเจอก็มีแต่ "เขาเล่าว่า" มาตลอด เรารู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะถ้ามีคนมอญตายขนาดนั้น หลวงพ่ออุตตมะท่านไม่อยู่เฉย ๆ หรอก นี่เป็นข้อสังเกตที่หนึ่ง ข้อสังเกตที่สองก็คือ คนเราโง่ขนาดไหนก็ตาม ข้าวคลุกยาฆ่าแมลงใครจะกิน ? ยาฆ่าแมลงกลิ่นแรงขนาดนั้น ลองถามซิ...ว่าถ้าเป็นเราจะกินไหม ? ต่อให้หิวแทบตายก็ไม่กินแน่ แต่คราวนี้ที่อาตมาไป ไปทำไม ? ก็ไปเพื่อกลับมายืนยันกับพวกที่ลือกัน ว่า "กูไปมาแล้ว เรื่องไม่จริงโว้ย..พวกมึงเลิกลือกันได้แล้ว..!" ต้องเสียเงินขนาดนั้น และต้องลำบากตากแดดจนหลังลอก เพราะว่าเรือไม่มีหลังคา ตากแดดอยู่ครึ่งค่อนวัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2019 เมื่อ 11:28 |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#144
|
||||
|
||||
"ในเรื่องของข่าวลือ หรือการถือมงคลตื่นข่าวนั้น จะหายไปได้ก็ต่อเมื่อทุกคนเป็นพระโสดาบันไปแล้ว ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ยังมีอยู่เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..อะไรเกิดขึ้นให้รับรู้ไว้ แต่อย่าเพิ่งเชื่อ
ขณะเดียวกันก็อย่าไปใส่อารมณ์ตาม เพราะว่าพอพูดจากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง เนื้อข่าวจะเริ่มเพี้ยน จะมีการต่อปีกต่อหางไปเรื่อย จากปลาไหลตัวใหญ่หน่อยเลยกลายเป็นมังกรไปทั้งตัว..! สมัยที่เรียนการข่าวของทหาร เขามีวิธีทดสอบการส่งข่าว โดยครูฝึกจะกระซิบใส่หูคนแรก ภายในหนึ่งนาทีต้องส่งสารไปถึงคนสุดท้ายให้ได้ ทหารรุ่นนั้นมีอยู่ ๑๒๓ คน เขาก็กระซิบต่อไปเรื่อย ๆ จนไปถึงคนสุดท้าย แล้วคนสุดท้ายนั้นก็วิ่งมาต่อหน้า ชิดเท้าปัง...! ยกมือทำความเคารพ แล้วรายงานครูฝึกว่า "ขอบคุณมากครับ..!" ครูฝึกก็งง ถามว่า "อะไรของมึงวะ ?" เขารายงานครูฝึกไปว่า "ไอ้นั่นบอกว่า ครูฝึกจะให้ผม ๒๐ บาท" ความจริงครูฝึกเขากระซิบใส่หูคนแรกให้บอกคนสุดท้ายว่า "ให้มันวิดพื้น ๒๐" คิดดูก็แล้วกันว่า ให้วิดพื้น ๒๐ ครั้งกลายเป็นครูฝึกจะให้เงิน ๒๐ บาท แค่ผ่านไปไม่กี่ปากเองนะ ดังนั้น...เขาถึงต้องมีข่าวกรอง ก็คือ การรับข่าวจากแหล่งข่าวหลาย ๆ แห่ง แล้วนำมาวิเคราะห์ ส่วนไหนที่ตรงกันจึงค่อยเชื่อ แต่ไม่ใช่เชื่อทั้งหมด ต้องมีการพิสูจน์ทราบด้วย ดังนั้น..วิชาการข่าว มีการเรียนข่าวกรองและการต่อต้านข่าวกรองเป็นเรื่องสนุกมาก ครูฝึกเขาก็ทดสอบให้เห็น ๆ ว่าเนื้อข่าวผ่านปากแค่นาทีเดียว ก็เพี้ยนไปได้ขนาดนั้น ลองคิดดูว่า..ถ้าข่าวลือไปสักอาทิตย์หนึ่งจะเพี้ยนไปได้ขนาดไหน ? แต่ละคนพูดเหมือนกับตาเห็นทั้งนั้น..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#145
|
||||
|
||||
"อาตมาก็ยังสงสัยอยู่ว่า ที่บอกว่าน้ำจะท่วมประเทศไทย คนจะตายเหลือ ๕-๖ ล้าน พูดไปตอนไหนกัน ?"
ถาม : คงเอามาจากในเว็บ ที่เขาลือกันแล้วท่านบอกว่า เหลือตั้ง ๗-๘ ล้านก็ยังดี เขาก็เลยตีความไปอย่างนั้น ตอบ : ต้องบอกว่ามีความสามารถในการวิเคราะห์ข่าวสูงมาก ถ้าเหลือ ๗-๘ ล้านคน ยังเยอะไปเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้มี ๗๗ จังหวัดใช่ไหม ? ถ้าแบ่ง ๆ คนไปจังหวัดละแสนคน รวมแล้ว ๗ ล้านกว่า ยังเหลือคนอีกตั้งเยอะ จะกลัวไปทำไม..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#146
|
||||
|
||||
"ตอนปี ๒๕๑๘ อาตมายังเรียนมัธยมอยู่ กำลังจะจบปีสุดท้าย มีข่าวลือว่าอีก ๑๐ วันโลกจะแตก ปรากฏว่าเพื่อน ๆ แต่งงานกันใหญ่ ไม่รอให้เรียนจบก่อน
นี่เขาคิดหรือว่าอีก ๑๐ วันจะผลิตลูกทัน..! แต่เขาก็แต่งนะ และจากวันนั้นมาจนมาถึงวันนี้ เขาคงรู้แล้วว่าคิดผิด รีบตกนรกตั้งแต่อายุ ๑๐ กว่า ๆ เพราะมีคนบอกว่าแต่งงานแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง..! สมัยก่อน เด็กเรียนมัธยมก็อายุประมาณ ๑๗-๑๘ ปี เราเองตกข่าว ก็เลยไม่ได้แต่งกับเขา จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะถ้ากำลังใจยังไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ หรือยังไม่มั่นคง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะไปแตกตื่นกับข่าวต่าง ๆ สมัยก่อน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางคอมมิวนิสต์ปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ปล่อยต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ แต่ในหลวงท่านไม่ได้ใส่ใจ ท่านยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อประชาชนต่อไปเรื่อย สิ่งที่เขาว่ามากับสิ่งที่ในหลวงทำและชาวบ้านเห็น ก็เลยเป็นคนละเรื่อง คนเขาถึงได้รู้ว่านี่เป็นการปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น..ในเรื่องของข่าวต่าง ๆ ถ้าเราไม่ไปใส่ใจไม่ให้ความสำคัญ เดี๋ยวก็จบไปเอง.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#147
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาออกจากวัดท่าซุงไปสองปีจึงได้กลับไปเยี่ยมหลวงปู่ทองเทศน์ หลวงปู่ถามว่า "ระยะนี้ทำไมไม่มาเยี่ยมกันบ้างเลย" คนแก่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ท่านไม่รู้ว่าเราออกจากวัดไปตั้งสองปีแล้ว..!
หลวงปู่อายุ ๙๐ กว่าแล้วยังบิณฑบาต อาตมาบอกหลวงปู่ว่า "ไม่ต้องบิณฑบาตหรอกหลวงปู่ เดี๋ยวหลานจะบิณฑบาตเลี้ยงเอง" แต่หลวงปู่ท่านไม่ยอม ปรากฏว่าวันนั้นฝนตก แล้วพื้นลื่น ท่านก็เลยล้มหัวเข่าแตกเป็นแผลยาว รักษาอยู่เป็นเดือนกว่าจะหาย เพราะคนอายุเกือบร้อยแล้ว เนื้อไม่ค่อยจะประสานกัน ถึงได้ขอร้องท่านว่าไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก อาตมาเองคุมโรงครัวอยู่ สั่งให้แม่ครัวจัดอาหารมาถวาย ท่านถึงได้หยุดบิณฑบาตตอนอายุ ๙๖ และมรณภาพตอนอายุ ๑๐๓ ปี ท่านบวชตอนอายุ ๘๐ เป็นอดีตครู ลายมือสวยมาก พอเข้ามาบวช ท่านได้มอบเงินถวายให้หลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ ๓,๐๐๐ บาท กราบเรียนหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ ผมอายุมากแล้ว ถ้าผมตายก่อน รบกวนหลวงพ่อทำศพให้ผมด้วย ผมจะได้ไม่ต้องไปรบกวนลูกหลาน หลวงพ่อท่านรับเงินมาแล้วก็หัวเราะ ไม่รู้ว่าใครจะเผาใคร..! ปรากฏว่า หลวงพ่อไปก่อนหลวงปู่ตั้งหลายปี และที่อัศจรรย์ที่สุดคือ หลวงปู่อ่านหนังสือพิมพ์โดยไม่ต้องใช้แว่น..! สายตากลับเป็นเด็ก เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ท่านจะมีความสุขมาก นอนลงไปบนหนังสือพิมพ์แล้วไล่อ่านเอาทีละบรรทัดเลย... หลวงปู่ท่านทำบุญมาดี ทำปาณาติบาตน้อยมาก เวลาท่านไม่สบาย ส่วนใหญ่ก็แค่ปวดหัวตัวร้อนตามปกติ ไม่เคยเห็นท่านเป็นอะไรหนักเลย ปรากฏว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งท่านไม่ค่อยสบาย ไม่อยากรบกวนพระลูกพระหลาน จึงเรียกให้ลูกชายมาดูแล ลูกชายอายุ ๗๗ หิ้วปิ่นโตจากโรงครัวเดินไปที่กุฏิหลวงปู่ อาตมาดูแล้วกลัวจะไปไม่ถึง ลูกชายอายุ ๗๗ เดินสั่นทั้งตัว แต่หลวงปู่อายุเกือบร้อยยังเดินตัวปลิวอยู่เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2010 เมื่อ 02:01 |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#148
|
||||
|
||||
"เดือนก่อนไปงานที่วัดไทยวาส วัดไทยวาสแต่เดิมชื่อวัดท่ามอญ อยู่แถว ๆ เมืองนครชัยศรีเก่า สมัยก่อนถือว่าเป็นเมืองสำคัญ เคยเป็นมณฑลนครชัยศรีด้วย
สมัยรัชกาลที่ ๑-๓ ยังมีศึกสงครามอยู่ เวลากวาดต้อนผู้คนมา ไม่ว่าจะเป็นมอญ เป็นลาว จะนำคนไปอยู่บ้านนั้นบ้างเมืองนี้บ้าง ปรากฏว่าเมืองนครชัยศรีจะมีลาวเวียงจันทน์กลุ่มใหญ่ อยู่แถว ๆ วัดศีรษะทอง ส่วนทางวัดไทยวาสนี้เป็นมอญ อาตมาไปแล้วก็ปลื้มใจ เพราะว่าญาติโยมให้ความเคารพพระดีมาก เจอพระเดินผ่านยกมือไหว้กันทุกคน เดินผ่านพระก้มหลังกันทุกราย อายุจะมากจะน้อยทำเหมือนกันหมด เห็นแล้วรู้สึกเลยว่าเป็นแบบธรรมเนียมโบราณ ๆ ดูแล้วน่ารัก เห็นแล้วชื่นใจ ท่านพระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี ท่านได้รับนิมนต์ด้วย ก็มานั่งคุยกัน โยมเอาน้ำมาถวาย ท่านพระครูคุ้นกับโยม ท่านก็ถามว่า เป็นอย่างไรโยม..ปีนี้ได้ร้อยหรือยัง ? โยมตอบว่า ยังเจ้าข้า เพิ่งจะ ๙๙ เท่านั้น..! อายุ ๙๙ แล้วยังยกน้ำประเคนพระคล่องแคล่ว โยมก็บ่นต่อว่า แต่ก็เต็มทีแล้วพระคุณท่าน ตอนนี้เริ่มเบื่ออาหารแล้ว อายุ ๙๙ เพิ่งจะเริ่มเบื่ออาหาร..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2010 เมื่อ 02:04 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#149
|
||||
|
||||
"เท่าที่สังเกตมา จะมีหลวงปู่บุดดา หลวงปู่ทองเทศน์ หลวงปู่น้อย วัดบ้านปงที่เชียงใหม่ องค์เล็ก ๆ ทั้งนั้นเลยที่อายุยืน ๆ ยังไม่เคยเห็นองค์ใหญ่ ๆ ที่อายุยืน เห็นแต่หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สุวฑฺฒนมหาเถระ) วัดสุวรรณาราม ที่สูงใหญ่ล่ำสัน และอยู่ถึง ๑๐๓-๑๐๔ ปี นอกนั้นที่เจอมามีแต่องค์เล็ก ๆ ทั้งนั้น
ตอนนั้นมีโอกาสไปกราบพระทางเชียงใหม่ ไปกราบหลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยนก่อน เพราะวัดแถวนั้นเรียงกันอยู่ มีวัดบ้านปง วัดบ้านเด่น วัดป่าอรัญญาวิเวก เข้าไปในสุดก่อนแล้วค่อยเลาะออกมา เข้าไปกราบหลวงปู่น้อย วัดบ้านปง ญาติโยมเห็นก็ถามว่าพระอาจารย์มาจากไหน ? จะไปไหน ? ก็บอกว่าจะมากราบหลวงปู่และพาโยมมาทำบุญด้วย เขาก็บอกว่าหลวงปู่อยู่ในกุฏินั่นแหละ นิมนต์เข้าไปเลย พอเปิดประตูเข้าไป ไม่เจอหลวงปู่ เจอแต่เตียง อาตมาสังเกตเห็นว่าประตูหลังแง้มอยู่หน่อยหนึ่ง จึงถือวิสาสะผลักประตูไป ชะโงกหน้าออกไปดู เห็นข้างหลังกุฏิเป็นลานกว้าง มีรั้วรอบขอบชิด และมีหอกลอง มองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นหลวงปู่ จึงขึ้นไปดูบนหอกลอง คิดว่าเราอยู่บนที่สูงต้องเห็นท่านแน่ พอขึ้นไปปรากฏว่า หลวงปู่ท่านหลับสบายอยู่บนหอกลอง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2019 เมื่อ 11:28 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#150
|
||||
|
||||
"ตอนนั้นท่านอายุ ๙๙ แล้ว บันไดตั้ง ๒๐ กว่าขั้นขึ้นไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? จึงกราบท่าน ตั้งใจว่าจะนั่งรอท่านตื่น ปรากฏว่ากราบเสร็จท่านลืมตามาถามว่า “มาจากไหนล่ะ ?” “กาญจนบุรีครับ” “เออ..ดี ๆ เดี๋ยวลงไปคุยกันข้างล่าง”
ประคองท่านลง บันได ๒๐ กว่าขั้น ท่านลงได้ พอเปิดประตูหลัง ท่านชะโงกไปเห็นโยมหลายคน ท่านหันมาบอกว่า “ช่วยอุ้มหน่อย” อาตมาเกือบจะปล่อยก๊าก..! อายุ ๙๙ ถ้าเป็นคนแก่ตามปกติ ก็คงจะต้องอุ้มในลักษณะนั้น แต่หลวงปู่ท่านไม่ปกติ หอกลองบันไดตั้ง ๒๐ ขั้น ท่านขึ้นไปนอนได้ แต่ประตูหลังแค่มีชานขึ้นมาสูงแค่ฝ่ามือเดียว ต้องให้ช่วยอุ้มท่าน ก็แปลว่า ต่อหน้าประชาชนท่านยอมเป็นคนแก่อายุ ๙๙ แต่พอลับหลังท่านก็ไปของท่านเรื่อย ครั้งนั้นอาตมาก็เลยอุ้มไปหัวเราะขำหลวงปู่ไป คือระหว่างพระกับพระจะรู้กัน แต่โยมไม่รู้หรอก อยู่ ๆ เห็นเราอุ้มหลวงปู่มาก็เข้าใจว่า เราไปข้างหลังแล้วเจอหลวงปู่ ก็เลยอุ้มท่านมา ใครจะไปรู้ว่าหลวงปู่ไปนอนเขลงอยู่บนหอกลอง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-10-2010 เมื่อ 13:54 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#151
|
||||
|
||||
ถาม : ผมอยากรู้ว่าการรับแสงทิพย์ รับได้จริง ๆ หรือครับ ?
ตอบ : ต้องลองไปรับดู ถาม : ผมไปดูในเว็บของอภิญญา เขามีบอกการรับแสงทิพย์ ตอบ : ลองไปรับดู แต่อยากจะบอกว่า ถ้าทำอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าท่านพาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว..! ถาม : แล้วพระที่ให้กำเนิดดวงจิต ดวงวิญญาณแต่ละดวงมีจริงหรือเปล่าครับ ? ตอบ : อาตมายังไม่เคยเจอท่าน ถ้าเจอเดี๋ยวช่วยจะถามท่านให้..! ถาม : แล้วการขอพรกับพระหางหมากเหมือนกับพระคำข้าวหรือเปล่าครับ ? ที่ต้องถวายดอกไม้พร้อมกับภาวนา ๗ วัน ตอบ : ได้ยินแต่พระสมเด็จคำข้าว และไม่ได้ยินด้วยตัวเองด้วย เรื่องของพระสมเด็จหางหมากยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ถาม : มีพระกริ่งสมเด็จองค์ปฐมด้วยไหมครับ หรือพระสมเด็จคำข้าวอย่างเดียว ? ตอบ : ถ้าตามที่ได้ยินมา คือ เฉพาะพระสมเด็จคำข้าวอย่างเดียว ถาม : วิชานะหน้าทอง ถ้าทำแล้วเกิดมงคลอะไรครับ ? ตอบ : เป็นเมตตามหานิยม ถ้าของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง ท่านเอาทองใส่ไว้ในฝ่ามือ ตบฝ่ามือตัวเอง ทองจะปลิวขึ้นไปติดบนเพดาน พอตบอีกที ทองบนเพดานจะลงมาติดที่กระหม่อมของโยม ถาม : ทำที่ไหนครับ ? ตอบ : วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง ตามไปทำได้ ท่านมรณภาพไปนานแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2010 เมื่อ 02:14 |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#152
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขาอยากฝึกนะหน้าทอง อาตมาว่านะหน้าทนให้ประโยชน์กว่าเยอะ..!
การฝึกความดี ถ้าไม่มีความอดทนจะทำได้ไม่ตลอด การทำความดีต้องใช้ความอดทนอดกลั้นสูงมาก โดยเฉพาะบรรดากิเลสต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราชอบและต้องการ เมื่อเป็นสิ่งที่เราชอบ เราก็ไม่ผลักไส ไม่ปฏิเสธ แถมยังไปไขว่คว้าหามาอีกต่างหาก เราจึงดิ้นหลุดจากวัฏสงสารได้ยาก ดังที่พระพุทธเจ้าเปรียบเอาไว้ว่า บุคคลเหมือนกับเขาโคและขนโค วัวตัวหนึ่งมีเขาเพียงคู่เดียว แต่มีขนทั้งตัว มนุษย์ทั้งหมดก็เปรียบเสมือนขนวัวที่มีเป็นจำนวนมาก ส่วนมนุษย์ที่หลุดพ้น ได้มรรคได้ผล มีจำนวนเท่ากับเขาวัวเท่านั้นเอง ได้ยินแล้วอย่าเพิ่งท้อใจ เพราะวัวมีตั้งสองเขา อย่างน้อย ๆ ต้องเป็นของเราสักเขาแหละ ถึงแม้ตัวหนึ่งมีสองเขาก็ตาม แต่ถ้าหากมีวัวเป็นคอก ก็เยอะอยู่นะ เราต้องมั่นใจว่าเราก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2010 เมื่อ 17:36 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#153
|
||||
|
||||
"วิชาการต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ที่ศึกษาแล้วไม่ค่อยได้ผล เพราะคนขาดความอดทนมาก ต้องบอกว่าขาดมากจริง ๆ โยมบางคนมาถามเรื่องกสิณ บอกว่าผมจับภาพกสิณ ภาวนาแล้วแต่ทำไมยังไม่เกิดผล
อาตมาถามว่าคุณภาวนากี่ครั้ง ถึงร้อยครั้งหรือยัง ? เขาก็อึ้งไปสักพักหนึ่ง แสดงว่าร้อยครั้งยังไม่ถึงเลย จึงบอกเขาไปว่า "คุณไปเปิดหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงดู ในเรื่องการฝึกกสิณ ท่านบอกว่า ให้ลืมตามองภาพ หลับตาลงนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา พอภาพเลือนไปให้ลืมตาดูใหม่ หลับตาลงกำหนดนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับลมหายใจและคำภาวนา ทำอย่างนั้นเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนกว่าภาพนั้นจะเริ่มติดตาติดใจ" ทีนี้เขาเองหลักร้อยยังไม่ผ่านเลย แล้วจะไปกล่าวถึงเป็นหมื่นเป็นแสนได้อย่างไร เมื่อตอนบ่ายมีโยมมาปรารภว่า ตอนนี้การทำมาหากินลำบากมาก จะแก้ไขด้วยวิธีไหน ? อาตมาก็แจ้งแก่โยมไปว่า ให้ใช้คาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน เขาบอกว่าภาวนาเป็นประจำเช้าเย็นอยู่แล้ว อาตมาถามว่ากี่จบ ? เขาบอกว่าเช้า ๙ จบ เย็น ๙ จบ อาตมาจึงบอกว่า "โยมรู้ไหมว่า ถ้าอาตมาแนะนำให้ภาวนา ต่ำสุดจะให้เริ่มที่ ๑๐๘ จบ" ยังดีกว่าโยมอีกคน เขาบอกว่าท่องคาถาเงินล้านมา ๒ เดือนยังไม่เห็นผล เราก็แปลกใจ เพราะถ้า ๒ เดือน ทำจริง ๆ ต้องเห็นผล ถามว่าโยมภาวนาครั้งละกี่จบ ? เขาว่าครั้งละ ๑ จบ แหม..น่าได้ผลจริง ๆ เลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2010 เมื่อ 19:42 |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#154
|
||||
|
||||
"การที่ให้เราภาวนามาก ๆ ก็เพราะว่าระยะเวลาที่ยาวนาน จะทำให้สมาธิของเราตั้งมั่นมากขึ้น เนื่องจากเรื่องของคาถาขึ้นอยู่กับสมาธิเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร คาถาจะยิ่งให้ผลมากขึ้น ดังนั้น..การที่พวกเราทั้งหมดในปัจจุบัน ทำแล้วไม่ได้ผลเพราะไม่มีการทุ่มเท
สมัยที่อาตมาภาวนาคาถาปัจเจกพุทธเจ้า อาตมาภาวนาครั้งละ ๙ จบ ทำไปประมาณ ๓ เดือนก็เริ่มเห็นผล พอมาปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านมอบคาถาเงินล้านให้ ก็มาปฏิบัติภาวนาดู ตอนนั้นติดใจในการภาวนาคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ก็เลยกำหนดว่า เราภาวนาคาถาเงินล้าน ๙ จบ น่าจะน้อยไป เพิ่มเป็นวันละ ๓๐ จบดีกว่า จาก ๓๐ จบ ทำไป ๆ เริ่มเห็นผล ก็มานึกว่า สมัยหลวงปู่ป่าน ท่านมอบคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ให้แก่ลูกศิษย์ แล้วมีบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วได้ผล ก็คือท่านนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิต เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ หรือนายแจ่ม เปาเล้ง ชาวดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นบุคคลตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านยกให้ลูกศิษย์ฟัง คราวนี้มาถึงคาถาเงินล้าน ยังไม่มีใครที่เป็นบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วเห็นผล ให้หลวงพ่อยกตัวอย่างให้ลูกศิษย์ฟังได้เลย จึงตัดสินใจว่า "ในเมื่อยังไม่มี..เราก็ว่าซะเอง" เพิ่มการภาวนาจากวันละ ๓๐ จบ เป็น ๓๐๐ จบ จาก ๓๐๐ จบ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบ และเพิ่มเป็น ๑,๒๐๐ จบ แต่อาตมาไม่ได้เร่งท่องเอาจำนวน ใช้เป็นคำภาวนาสบาย ๆ กำหนดรู้รายละเอียดทุกคำ ไม่ใช่เร่งให้เร็ว ๆ จะได้หลาย ๆ จบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2010 เมื่อ 19:44 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#155
|
||||
|
||||
"อาตมาตื่นนอนมาตอนตีสามก็เริ่มภาวนา จะไปครบจำนวนเอาตอนทุ่มหนึ่ง แปลว่าทั้งวันอยู่กับการภาวนา ผลของคาถาเงินล้านจะทำให้ลาภผลไหลมาเทมา
ในสมัยนั้น ถ้านับในส่วนของพระด้วยกันแล้ว นอกจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เรื่องการเงินอาตมามีความคล่องตัวที่สุด แต่คำว่าคล่องตัวอาตมาคือไม่มีเหลือ เนื่องจากได้มาเท่าไรก็ทำบุญกับหลวงพ่อรายการนั้นบ้าง รายการนี้บ้างจนหมด จำได้ว่าตอนแรก ๆ จดรายการทำบุญไว้ ถวายสังฆทานชุดใหญ่ ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท กับหลวงพ่อได้กี่ชุด เราก็จดไปเรื่อย แต่พอได้สามร้อยกว่าชุด จึงเลิกจดแล้ว เพราะขี้เกียจจำ จริง ๆ แล้ว มีคนที่รวยกว่าก็คือ หลวงพี่โอ หลวงพี่โออยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ คนจะรู้จักมาก สมัยนั้นหากมีกิจนิมนต์ส่วนใหญ่โยมจะเจาะจงรายชื่อพระมาเลย อย่างเช่น หลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป นอกนั้นแล้วแต่ทางวัดจะจัดให้ หลวงพี่โอพอสะสมเงินครบหมื่น ก็จะเก็บเข้าบัญชีฝากประจำ เพราะฉะนั้น..หลวงพี่โอจะรวยมาก แต่หลวงพี่โอท่านไม่เก็บบุญเล็กบุญน้อย ท่านทำบุญใหญ่อย่างเดียว ส่วนของเราเจอบุญอะไรขวางหน้าทำหมด เงินก็เลยหมดไปด้วย ส่วนหลวงพี่โอท่านเก็บเงินไปเรื่อย พบถึงเวลาครบปีท่านก็ไปหาว่า วัดไหนต้องการสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกบ้าง จะเป็นเจ้าภาพสร้างให้วัดนั้น ถ้ายิ่งได้พระประธานในโบสถ์ยิ่งดี ก็แปลว่าพี่เขาเอาบุญใหญ่อย่างเดียว แต่ของเรานี่เล็กน้อยแค่ไหน ขอให้รู้เป็นทำหมด พอหน้ากฐินก็เตรียมซองปัจจัยไว้ซองละ ๑,๐๐๐ บาท วัดไหนมีกฐินร่วมกับเขาหมด ๑,๐๐๐ บาทพร้อมผ้าไตร ๑ ชุด ทำจนไม่ต้องนับ บางปีก็ ๔๐ - ๕๐ วัด ก็มี ดังนั้น..โยมที่บอกว่า ลำบากในเรื่องทำมาหากิน ถ้าตั้งใจภาวนาคาถาเงินล้านจริง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนจะมีความคล่องตัวแน่นอน ที่กล้ายืนยันเพราะทำเห็นผลด้วยตนเองมาแล้ว ทุกวันนี้ ที่บรรดาเพื่อนพระเห็นว่าอาจารย์เล็กรวย ก็คืออานิสงส์ของคาถาเงินล้านนั่นเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2010 เมื่อ 20:00 |
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#156
|
||||
|
||||
"เมื่อเดือนก่อนตอนประชุมพระนวกะ ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ ก่อนหน้านี้เคยเป็นคู่เขยกัน คือท่านเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๒ เขาก็เลยเรียกกันว่าเป็นคู่เขยกัน
พอท่านมาถึงก็บอกว่า “อาจารย์..ผมติดหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างอยู่ ขอยืมสักสี่แสนสิ” อาตมาก็หัวเราะบอกว่า “รู้ไหม..ที่เห็นว่าผมรวยเป็นเพราะผมใช้เงินไม่คิด มีเท่าไรผมก็ทุ่มออกเพื่องานส่วนรวมหมด คนที่ทำได้ทุกงาน ทำได้ทุกครั้ง คนเขาจะเห็นว่ารวย แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่มีเงินเก็บ ส่วนคนไหนก็ตามที่ไม่ยอมทำอะไรเลย ส่วนใหญ่เขามีเงินเก็บท่วมหัวทั้งนั้น ลองไปขอยืมเขาดูก็แล้วกัน..” แปลกดี..บางวันอาตมาเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ ๒๒ บาทเท่านั้น..! หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านแนะนำเอาไว้ ท่านบอกว่าจะมากจะน้อย ขอให้มีเงินติดตัวไว้ บาทหนึ่งสลึงหนึ่งก็ยังดี ถ้าใช้คาถาเงินล้านของท่าน "อย่าพูดคำว่าไม่มีเงิน" อย่างไรก็ต้องมี ถ้าหากว่าโยมมีเหรียญที่ไม่ได้ใช้ ก็ใส่ ๆ กระเป๋าไว้บ้าง อย่างไรก็ให้มีเงินติดกระเป๋าอยู่ เป็นการแก้เคล็ด.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 01-09-2013 เมื่อ 19:17 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#157
|
||||
|
||||
"ในสมัยของหลวงปู่ปาน มีลูกศิษย์ที่ทำคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ แล้วประสบผลสำเร็จเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ พอมาถึงรุ่นหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่อาตมาก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าทำจริงก็มีผลจริง ๆ
เหลือแต่พวกเราทั้งหลายว่า จะมีใครทุ่มเทจริงจัง เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เราปฏิบัติกรรมฐานแล้วได้ผล โดยเฉพาะในส่วนของคาถาเงินล้าน ที่มีอานิสงส์พิเศษก็คือ ความคล่องตัวในความเป็นอยู่ อานิสงส์ของการภาวนานั้นเราได้พุทธานุสติเต็ม ๆ อยู่แล้ว เพราะเป็นคาถาที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้มา ถ้าเราต้องการไปนิพพานก็ภาวนาคาถาเงินล้านแล้วเอาใจเกาะพระนิพพานไว้ ในส่วนของการดำรงชีวิตอยู่ เราต้องการผลพิเศษของคาถา ไปทำจริง ๆ สักที เราต้องกล้าคิด กล้าทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีใครกล้าเราก็ว่าเสียเอง ทำตัวเองให้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์เสียเลย ถ้าเราทำได้ผล ถึงเวลาไปสอนคนอื่น ก็จะสอนได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2010 เมื่อ 20:07 |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|