กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 18-05-2013, 10:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาเจตนาเผาป่าหรือคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาคิดจะปลูกนั่นปลูกนี่ โดยที่ลืมไปว่าต้นเก่าโตมานานแล้ว พอดีปีนี้ป่าไผ่วัดท่าขนุนตกขุย ก็คือออกดอก พอต้นไผ่ออกดอกจะตายหมด กะว่าเดี๋ยวคงได้โอกาสล้างป่าไผ่ออกมา ว่าจะเอาตะเคียนไปลงแทน เวลาอดข้าวจริง ๆ เรายังบิณฑบาตกับต้นไม้ได้ ..(หัวเราะ)..

ที่นั่นมีต้นไม้เกือบทุกอย่าง ช่วงทำศาลาครั้งนี้ก็โค่นไป ๔ ต้น เสียดายมากเลย ตอนทำพิธียกเสาเอกถึงได้บอกโยมว่า อย่าใส่วัตถุมงคลลงไป เพราะรับปากกับพวกเขาไว้ว่า ถ้าถึงเวลาทำศาลาเสร็จ อนุญาตให้พวกเขาเอาวิมานไปแปะเสาได้ ถามว่าไม่ใช่ต้นไม้อยู่ได้ไหม ? ได้..แต่ต้องให้เจ้าของอนุญาต คราวนี้ถ้าเราเอาวัตถุมงคลไว้ข้างล่าง เขาหมดสิทธิ์ที่จะไปแปะ ถึงได้ขอร้องไว้ว่าถ้าเป็นวัตถุมงคลอย่าเอาบรรจุลงไปในหลุมเสาเอก คนเราก็แปลก บอกว่าอย่าใส่ก็รีบใส่เลย กลัวจะไม่ได้บุญ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 10:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 18-05-2013, 20:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนประชุมกรรมการวัด ไล่รายการให้เขาดูว่า งานที่ตั้งใจทำที่วัดท่าขนุนมาจนถึงปัจจุบันนี้เหลืออยู่อีก ๒ อย่างเท่านั้น ก็คือปรับปรุงกุฏิเตชะไพบูลย์กับกุฏิประจวบดี อีก ๒ หลังให้เรียบร้อย ก็เหลือเพียงการปลูกต้นไม้ นอกนั้นดำเนินการเสร็จแล้ว และที่กำลังดำเนินการล่าสุดอยู่ก็คือการสร้างศาลาหลังใหม่

ศาลานี่ ๒ ปีก็คงไม่เรียบร้อยหรอก เพราะว่าอันดับแรกก็คือในส่วนของหมู่เรือนไทยด้านบนไม่ใช่ทำง่าย ๆ อีกอย่างบรรดาพวกมณฑปหรือบุษบกที่จะเอาไว้ตั้งพระ ซึ่งจะต้องมีรายละเอียดมาก และจะทำได้จริง ๆ ก็ต่อเมื่ออาคารส่วนนั้นเสร็จแล้ว ก็จะช้าลงไปอีก แต่ปีหน้าครบ ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย แจ้งกับกรรมการไว้ ให้บอกลูกศิษย์หลวงปู่ทั้งใหม่ทั้งเก่าแก่แค่ไหนก็เอา ช่วยกันบวชถวายหลวงปู่สัก ๑๐๐ รูป

โครงการแรกก็คือศาลาจะสร้างเป็นศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย โครงการที่ ๒ ก็คือบวชลูกศิษย์ถวายท่าน ๑๐๐ รูป โครงการที่ ๓ ก็คือสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่สาย เพราะของเก่าจะหมดแล้ว แล้วแจ้งพวกกรรมการวัดว่าถ้ามีโครงการอะไรที่จะทำเพื่อหลวงปู่ ให้นำเสนอขึ้นมา จะได้ช่วยกันคิดว่า จะทำอะไรออกมาให้กับหลวงปู่ได้อีก เขาก็บอกว่าขอเวลากลับไปคิดก่อน

พอเลิกประชุมก็เลยบอกกับญาติโยมที่อยู่รอบข้างว่า “การที่คิดอะไรจนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จะไปรอให้เขาเติมอีกก็คงยาก” อาจจะสร้างสุขนิสัยที่ไม่ดีให้กับกรรมการชุดนี้ จนกระทั่งไปเสียหายเจ้าอาวาสใหม่หรือเปล่าก็ไม่รู้ กรรมการวัดท่าขนุนปัจจุบัน มีเอาไว้รับรู้รับฟังเรื่องราวของทางวัด แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย นอกนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าเป็นรุ่นเก่า ๆ นี่เขายังต้องไปขวนขวาย ไปแจกซองกฐินผ้าป่าให้ยุ่งไปหมด รุ่นของอาตมาไม่ต้อง คุณเป็นกรรมการตั้งแต่แรกเริ่มมา อาตมาก็ตั้งทับไปเลย เพียงแต่ว่าจะไม่ไปรบกวนในเรื่องพวกนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 18-05-2013, 20:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บวชถวายหลวงปู่สาย เริ่มบวชตั้งแต่ช่วงไหนครับ ?
ตอบ : กันยายน ๒๕๕๗ กะว่าสัก ๓ - ๗ วันเท่านั้น ไม่เอามากหรอก เพราะลูกศิษย์หลวงปู่ระดับอายุ ๗๐ - ๘๐ ปีมีเยอะมาก เอาไปทรมานอดข้าวหลาย ๆ วันเดี๋ยวแย่ ตอนบวชคงต้องแบ่งสัก ๓ โบสถ์ โบสถ์วัดทองผาภูมิ วัดท่าขนุน วัดปรังกาสี โบสถ์หนึ่งสัก ๓๐ กว่ารูป

ปีถัดไปก็ครบ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเกิดปี ๒๔๕๙ แต่อาตมาไปไล่ดูรายชื่อของวันเดือนปีเกิดของพี่น้องท่านแล้ว เห็นชัด ๆ ว่า ๒ - ๓ ปีต่อ ๑ คน ฉะนั้น..ไม่มีหรอกที่จะไปเกิดติดกัน ตามที่ทราบว่าตั้งแต่แรกก็คือหลวงพ่อท่านเกิดวันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ อาตมาก็จัดงานฉลอง ๑๐๐ ปีให้ ใครเขาจัดปีไหนแล้วแต่เขา อาตมาไม่ค้าน ส่วนอาตมาจัดแล้วเขาจะค้านก็จะจัด ก็เท่ากับว่าหลวงพ่อท่านมรณภาพตอนอายุ ๗๗ ปี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 09:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 18-05-2013, 20:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ชาวตะวันตกเริ่มสนใจพุทธศาสนา แต่ทำไมเขาถึงไปเกิดในที่ไกลคะ ?
ตอบ : ถ้ามีให้สนใจแปลว่าไม่ไกลแล้วจ้ะ น่ากลัวอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาฝรั่งเขาทำอะไรเขาจะทำจริง เพราะว่าเขาเพาะนิสัยความมุ่งมั่นมาตั้งแต่เด็ก บ้านเราไปรับแบบธรรมเนียมฝรั่งมาก็เฉพาะส่วนที่ไม่ดี ส่วนที่ดี ๆ เราไม่ได้รับมา

อย่างเด็กฝรั่งพอเริ่มต้นจับช้อนกินข้าวได้เขาก็ส่งจานให้เลย กินหรือไม่กินหรือจะละเลงให้เละไปหมดเขาก็ไม่ว่า ถึงเวลาเก็บล้าง จับอาบน้ำเปลี่ยนผ้าเรียบร้อย ไม่ถึงมื้อต่อไปไม่มีกิน คราวนี้เด็กโดนเข้าสักสองครั้งรู้แล้วว่า ถ้าไม่กินก็หิวตายชัก จึงต้องตักใส่ปากเอง เด็กเขาจึงทำอะไรได้ด้วยตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์แล้วว่าจะรอดหรือไม่รอด การเรียนการศึกษาของเขา เขาถึงเอาเด็กเป็นศูนย์กลางได้

ส่วนบ้านเราบางที ๗ - ๘ ขวบแล้วยังไล่ป้อนข้าวอยู่เลย แล้วจะให้เด็กของเรามาเป็นศูนย์กลาง รู้จักคิดรู้จักทำ ซึ่งเป็นไปได้ที่ไหน อีกส่วนหนึ่งเด็กของฝรั่ง พอถึงวัยทีนก็คือตั้งแต่ ๑๓ ขึ้นไป ส่วนใหญ่จะเริ่มแยกจากพ่อแม่แล้ว ไปทำงานด้วยตัวเอง ถึงเวลาสามารถที่จะอยู่ด้วยตัวเองได้ แต่งงานแต่งการได้ คราวนี้บ้านเราพอถึงเวลาอยากจะมีคู่ แต่เป็นประเภทยังขอเงินแม่ใช้ทั้ง ๒ ฝ่ายเลย ก็เจ๊งสิ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 02:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 18-05-2013, 20:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น..ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างกัน แล้วเราก็ไปรับมาเฉพาะส่วนที่เราคิดว่าดี แต่จริง ๆ แล้วไม่ดี เพราะไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของเรา ในเมื่อสภาพแวดล้อมของเขาเป็นอย่างนั้น พวกฝรั่งเขาเคยชินกับการทำอะไรแล้วต้องทำอย่างจริงจัง ทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้ของคุณไม่มีใครช่วย ดูมหาเศรษฐีอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์หรือว่าบิล เกตส์ เขายังบอกเลยว่าเขาจะไม่โอนเงินให้ลูกเยอะแยะหรอก เขาให้แค่พออยู่ได้เท่านั้น ที่เหลือคุณต้องการก็ไปหาเอาเอง

แต่บ้านเรามีเท่าไรเทให้หมด เด็ก ๆ เขาได้มาง่ายก็ไม่เห็นคุณค่า เมื่อไม่เห็นคุณค่าเราก็จะเจอพวกเด็กแว้นเยอะแยะไปหมด จึงทำให้สภาพสังคมของเราสับสนวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ดังนั้น..ในเรื่องของศาสนา เมื่อคนต่างชาติมาสนใจก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเขาทำอย่างจริงจัง คนที่ทุ่มเทจริงจังก็จะเกิดผลได้ง่าย แล้วก็จะทำให้ศาสนาของเราแผ่กว้างออกไปในเขตประเทศของเขา

ฝรั่งเขาเห็นแล้วว่าความเจริญมีแต่โทษ จนกระทั่งเขาต้องย้อนกลับเข้ามาหาศาสนาซึ่งเป็นความเจริญทางจิตใจ เพราะความเจริญทางวัตถุมีแต่โทษ ความเจริญทางจิตใจสำคัญกว่า แต่บ้านเรากลับวิ่งไขว่คว้าหาความเจริญทางวัตถุ แล้วก็ละเลยในเรื่องของความเจริญทางจิตใจไป กลายเป็นงูกินหาง ไล่งับกันอยู่อย่างนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 01:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 18-05-2013, 21:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมเรื่องราวในประวัติศาสตร์แลดูแปลก ๆ ไม่รู้ว่าตัดออกหรือเปล่า ?
ตอบ : คนเราพออยู่ในอำนาจไประยะหนึ่งก็จะเกิดอาการเมา พอเมาอำนาจก็พยายามรักษาอำนาจเอาไว้ ถ้าใครมีวี่แววว่าจะทำให้ตนเองต้องสูญเสียอำนาจไป เพื่อรักษาอำนาจของตนก็จะไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ ดังนั้น..ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่อยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ เมื่อได้รับอำนาจอยู่ในมือ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนแล้ว ส่วนใหญ่จะเสียคนหมด

บาลีเขาบอกว่า ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้แล้วว่า การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารจริง ๆ จะไม่เบื่อหน่ายเด็ดขาด ใครลองกินจนบอกว่าเบื่อดูสิ..รุ่งขึ้นจะกินอีกไหม ? ก็กินจนได้ การนอนก็เหมือนกัน บอกว่านอนจนเบื่อ แต่เดี๋ยวก็นอนอีกแล้ว

อีกอย่างหนึ่งก็คือ การบันทึกประวัติศาสตร์ต่าง ๆ บันทึกตามมุมมองของตนเองอย่างหนึ่ง มุมมองของตนเองไม่แน่ว่าจะถูกต้อง ขณะเดียวกันอีกอย่างหนึ่งก็คือบันทึกตามที่ผู้มีอำนาจสั่งการ ถ้าเป็นฝ่ายเราก็เขียนจนดีเลิศลอยไปเลย อีกฝ่ายหนึ่งก็เละเป็นโจ๊กไปเลย ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใส่สีใส่ไข่หาไม่ได้หรอก มีทั้งนั้น เพียงแต่ว่าจะซื่อตรงต่อข้อมูลเท่าไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

พูดง่าย ๆ ว่านักบันทึกประวัติศาสตร์ที่ได้รับคำชมเชยนั้น ถึงจะประเภทใส่สีตีไข่อย่างไรก็ตาม แต่แก่นแท้เนื้อเรื่องที่เป็นจริงจะไม่ทิ้ง ในเมื่อว่ากันตามเนื้อเรื่อง จะชมใครอาจจะชมเลิศลอยเกินไป จะด่าใครอาจจะด่ารุนแรงเกินไป แต่ความชัดเจนก็คือฝ่ายนั้นผิด ฝ่ายนี้ถูก ตรงนี้จะไม่ทิ้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 02:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 18-05-2013, 21:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้านักประวัติศาสตร์ที่ดีจริง ๆ ก็ต้องดึงตัวเองออกจากเหตุการณ์ไปเลย ทำเหมือนผู้ดู แล้วก็เขียนตามที่ตนเห็นทั้งสองฝ่าย ก็จะได้ภาพที่เป็นจริงโดยปรุงแต่งน้อยที่สุด แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่ทำ บางทีก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง

ดูอย่างพระนางบูเช็กเทียน ที่จีนกลางเขาเรียกอู่เจ๋อเทียน คนนั้นก็ว่าท่านไม่ดี คนนี้ก็ว่ามักมากกามคุณ คนนั้นก็ว่าโหดเหี้ยมชั่วร้าย แต่ราชวงศ์ถังสมัยของท่านเจริญรุ่งเรืองที่สุด ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็เพราะว่าตัวเองเอามุมมองของตัวเองไปมองแทน บูเช็กเทียนจากนางสนมเล็ก ๆ ก้าวขึ้นมาถึงระดับนั้น ถ้าไม่จัดการคู่แข่งอย่างเฉียบขาดใครจะไปเกรงใจ

พอก้าวขึ้นไปเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ท่านมีแนวคิดว่า ในเมื่อฮ่องเต้ผู้ชายหาสนมมาสามพันนางเพื่อเสริมบารมี ท่านเป็นฮ่องเต้ผู้หญิงก็จะต้องมีผู้ชายสามพันนายเหมือนกัน เป็นเรื่องปกติในความรู้สึกของท่าน ส่วนคนทั่วไปไปว่าท่านมักมาก แล้วทำไมผู้ชายที่ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย จำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำว่านอนกับผู้หญิงคนไหน เพราะว่าตั้งสามพันกว่าคนกลับไม่โดนด่า ?

ฉะนั้น..อยู่ที่มุมมองของตัวเอง โดยที่ไม่ได้คิดถึงความเป็นจริงในตอนนั้นว่าต้องทำอย่างไร เรื่องบางอย่างต้องคิด ถ้าไม่คิดความเป็นจริงบางส่วนก็โดนปกปิดไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 19-05-2013, 10:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ชอบไหลไปตามกระแสกิเลส ?
ตอบ : สติสัมปชัญญะยังไม่พอ สติต้องระลึกรู้อยู่เสมอ สัมปชัญญะต้องทราบว่าตนเองขณะนี้ทำอะไร อยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเมื่อไรจะไหลไปทันที ไม่สามารถจะรักษาปณิธานความตั้งใจของตนเองไว้ได้

คราวนี้การที่จะมีสติสัมปชัญญะมั่นคงก็คือสมาธิต้องมั่นคง ถ้าสมาธิไม่มั่นคงการหยุดยั้งจะไม่มี จะมีแต่ไหลลงอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมาว่ากันเรื่องสมาธิอีก ไม่ใช่เดินไปถึงหน้าปากซอย รถจอดช้าหน่อยด่าแล้ว สติสัมปชัญญะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ สติสัมปชัญญะจะทรงตัวได้สมาธิต้องดี


ถาม : อย่าว่าแต่เรื่องปัจจุบัน เรื่องราวในอดีตก็เข้ามา อนาคตก็ยังแบกไว้อีก
ตอบ : ฉะนั้น..ต้องรีบหยุดให้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 10:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 19-05-2013, 10:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลากลางวันเราทำงานมาเหนื่อยแล้ว เหนื่อยทั้งแรงกายแรงใจ ก่อนนอนมีเวลาปฏิบัติได้ไม่นาน ?
ตอบ : เวลาก่อนนอนเอาแค่ว่า ถ้าไม่ไหวให้กราบพระ ๓ ครั้ง นอนหงายลงไปนึกถึงพระว่า "ถ้าเราตายลงไปวันนี้ขอไปพระนิพพาน" แล้วภาวนาหลับไปเลย แต่ตื่นนอนนี่เราพักผ่อนมาเต็มที่แล้ว ภาวนาอย่างเป็นทางการสักหน่อย เอาให้ได้สัก ๒๐ นาทีหรือครึ่งชั่วโมง พอกำลังใจทรงตัวก็ตั้งใจว่า "เราจะไปทำหน้าที่การงานของเราแล้ว ถ้าหมดอายุขัยตายลงไปก็ตาม หรือเกิดอุบัติเหตุอันใดถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว" แล้วก็แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งประคับประคองภาพพระหรือคำภาวนาของเราไว้ แล้วก็ทำหน้าที่ของเราไป

ฉะนั้น..เวลาก่อนนอนอย่าไปบังคับตัวเองมาก เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ก็เหลือแต่ตื่นนอนที่ขี้เกียจไม่ได้


ถาม : กลายเป็นว่าเหนื่อยล้ามาก เวลานอนไม่ฟุ้งซ่าน กลับสงบนิ่ง
ตอบ : ถูก...แต่ถ้าไปฝืนมาก ๆ ร่างกายไม่ไหว เดี๋ยวจะไม่เอากับเราอีก เหมือนกำลังเหนื่อยมาก ๆ แล้วไปโหมทำงานต่อ พอร่างกายล้ามากวันรุ่งขึ้นก็จะทำงานไม่ไหว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 10:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 19-05-2013, 10:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ ที่บางทีเขาเรียกว่าหลวงปู่เจ๊ก ถึงเวลาก็แบกไหเหล้าเมาหัวทิ่มทั้งวัน เขาส่งพระจากกรุงเทพฯ ไปสอบท่านว่าฉันเหล้าเมาผิดพระวินัย จะถอดท่าน ไปถึงหลวงปู่ท่านก็รินน้ำชาให้ แล้วถามว่า "พระเดชพระคุณมา มีธุระอะไรขอรับ" เขาก็อึก ๆ อัก ๆ ท้ายสุดก็บอกว่าจะมาดูว่าหลวงพ่อฉันเหล้าจริงหรือเปล่า ถ้าฉันเหล้าก็จะต้องถอดจากเจ้าอาวาส

หลวงปู่จ้อยท่านบอกว่า “ถ้าถอดผม พระเดชพระคุณทั้ง ๒ ท่านก็ต้องโดนถอดด้วย” เขาก็สงสัยว่าทำไมจะต้องโดนถอด หลวงปู่ก็ว่า “ท่านก็ฉันเหล้าเหมือนกัน” พอยกจอกน้ำชาขึ้นมาดม กลิ่นเหล้าทั้งนั้นเลย แต่ตอนฉันเข้าไปเป็นน้ำชา ทั้งสองท่านรู้ว่าเจอดีเข้าแล้วก็กราบลากลับเลย รู้แล้วว่าท่านแกล้งเมา

หลวงปู่จ้อยท่านดังทางตะกรุดไม้ไผ่ตัน เอาไม้ไผ่ตันมาทำตะกรุด รับประกันยิงไม่ออก แต่มีจำนวนน้อย บรรดาคนแถวบางช้างเหนือ บางช้างใต้ ได้มาก็เก็บรักษาในลักษณะเป็นมรดกตกทอดถึงลูกถึงหลาน ไม่มีหลุดไปที่อื่นเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 11:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #151  
เก่า 19-05-2013, 11:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราเกิดมานานแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัยจ้ะ...นับชาติไม่ถ้วน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แต่ละชาติแค่น้ำตาไม่กี่หยด รวมกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุทรอีก บุคคลที่เกิดมาจะค่อย ๆ สร้างสมบารมีมาเรื่อย ๆ กว่าจะรู้จักคำว่าพระนิพพาน กว่าจะรู้จักศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนนี่เกิดมานับไม่ถ้วนทั้งนั้น มองเห็นแล้วจะเบื่อเอง เพราะแต่ละชาติไม่มีชาติไหนที่ไม่ทุกข์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 13:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #152  
เก่า 19-05-2013, 11:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนที่งานของหลวงพี่เอก พอกราบหลวงปู่ครูบาครองเสร็จท่านก็ดึงไว้ไม่ให้ถอย มานึก ๆ แล้วพระผู้เฒ่า คนรุ่นเดียวกันก็ล่วงลับไปหมด ตอนนี้ในเขตนั้นเหลือท่านองค์เดียวจริง ๆ หลวงปู่ครูบาอินต๊ะจะว่าไปแล้วท่านก็ไม่สนิท หลวงปู่ครูบาผัดมรณภาพ หลวงปู่ครูบาอ่อนมรณภาพ หลวงปู่ครูบาครองจึงเหลือองค์เดียวเลย ถ้าถามว่าท่านเหงาไหม ? ท่านก็ไม่เหงาหรอก แต่ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไปก็คือพระผู้เฒ่าไม่มีเพื่อนแล้ว ตอนมีเพื่อนท่านก็เล่นกันสนุกสนานเฮฮา

เมื่องานศพหลวงปู่ครูบาผัด หลวงปู่ครูบาอ่อนไปกราบหลวงปู่ครูบาครอง เอาสีผึ้งทาหัวเข่าปิดทองเลย ท่านบอกใบ้ให้รู้ว่าเป็นพระดีถึงขนาดที่สมควรจะปิดทองได้แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-05-2013 เมื่อ 18:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #153  
เก่า 19-05-2013, 11:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปัจจุบันนี้พระอริยเจ้าท่านมีอยู่เท่าไรคะ ?
ตอบ : เสียเวลาไปคิด ทำตัวเองให้เป็นพระอริยเจ้าถึงจะดีที่สุด เพราะว่าท่านจะมีเท่าไร หรือท่านจะเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ก็เหมือนกับสมบัติมหาเศรษฐี เราดูไป เรารู้ไปก็ยังเป็นของท่านอยู่ดี สำคัญที่เราต้องหาสมบัติของเราเองให้ได้

ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่ได้ละการปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แต่พระโพธิสัตว์ท่านสามารถปฏิบัติจนกำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ ดังนั้น..พระโพธิสัตว์บางท่าน ถ้าไปขอคำสอนท่าน ท่านจะสอนลักษณะเดียวกับพระอริยเจ้า แต่จะไม่สอนเกินกำลังใจของตน

อาตมาเคยกราบขอให้หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัส ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าเป็นช้างปาลิไลยกะมาเกิด ขอให้ท่านพูดถึงอารมณ์พระอริยะเจ้า ท่านบอกว่า “ฌานโลกีย์อย่างคุณ ผมพูดไปก็ผิดเสียเปล่า ๆ” อาตมากราบเรียนว่า “แค่กราบขอความรู้ไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าหากว่ากระผมทำถึง จะได้รู้ว่าตนเองเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจริงหรือไม่ ?”

ท่านถึงได้แสดงให้ แต่ว่าท่านจะพูดวนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ ก็แปลว่ากำลังใจของท่านเทียบเท่าพระอนาคามี ฉะนั้น...พระอริยเจ้าจะไม่มีในพระโพธิสัตว์ ถ้ายังไม่ละความปรารถนาในพระโพธิญาณ เพราะภาระที่ตนเองตั้งใจไว้ จะทำให้จิตไม่ยอมตัดละเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้กำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า ก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้


ถาม : พระโพธิสัตว์ตัดลาจากพุทธภูมิก็เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้ ?
ตอบ : ได้..และการปฏิบัติจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเร็วกว่าบุคคลทั่วไป เพราะกำลังของท่านสูงมากแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-05-2013 เมื่อ 18:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #154  
เก่า 19-05-2013, 11:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เก็บตกเดือนเมษายน ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:54



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว