กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 28-01-2011, 00:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราไปกินข้าวในวัด หลังจากพระฉันแล้วเรากินได้ แต่ถ้าในกรณีที่เรานิมนต์พระไปข้างนอก ถ้าเรากินหลังจากที่พระฉันแล้ว จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหลังจากพระฉันแล้ว เขาเรียก วิทาสาโท เป็นของเหลือจากพระฉันแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะกินได้ แต่เขามีกติกาว่าไม่ควรขนกลับบ้าน คือ เอาแค่อิ่มไว้ก็พอ

ถาม : แล้วถ้าพระทั้งหมดอนุญาต ?
ตอบ : ถ้าทั้งหมดมีความเห็นร่วมกัน เราก็ขนกลับไปเถอะ เรียกว่าพระท่านทำอปโลกน์ไว้ก่อน อปโลกน์ คือ ขออนุญาตในท่ามกลางสงฆ์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2011 เมื่อ 03:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 28-01-2011, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อารมณ์สักแต่ว่า จะปนกับอารมณ์พรหมวิหารสี่หรือเปล่าคะ ? ดูเหมือนเป็นอารมณ์เดียวกันเลย ?
ตอบ : ถ้าเป็นพรหมวิหารสี่ จะเป็นส่วนของอุเบกขาพรหมวิหาร เพียงแต่เราจะสักแต่ว่าได้เท่าไร ? ถ้าสักแต่ว่าได้มาก ก้าวจนถึงสังขารุเปกขาญาณก็สบายเลย ถ้าไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็ยังกำเริบใหม่อีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2011 เมื่อ 03:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 28-01-2011, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : กำลังใจเป็นสิ่งที่บังคับได้ ?
ตอบ : ถ้ามีความชำนาญก็บังคับได้ แต่ขึ้นอยู่กับสมาธิและปัญญา สมาธิทรงตัวเราจะบังคับได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้ามีปัญญาอยู่ด้วย ก็ไม่ต้องบังคับแล้ว เพราะปัญญาจะปล่อยวาง เพราะรู้เห็นจริง ไม่หนักเหมือนกับการใช้สมาธิอย่างเดียว

ถาม : มีอยู่วันหนึ่งยืนอยู่ที่วัดท่าขนุน รู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ตรงกลางของพายุหมุน เห็นภาพที่หมุนอยู่รอบ ๆ ว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่เราอยู่ตรงกลาง สักพักหนึ่ง แม้กระทั่งตัวเราก็ไม่มี อย่างนี้ควรจะพิจารณาต่ออย่างไรดี ?
ตอบ : ควรพยายามทำให้ถึงบ่อย ๆ ไม่ใช่พิจารณาต่ออย่างไรดี ดูว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร ? พูดอย่างไร ? ทำอย่างไรแล้วเกิดอารมณ์นั้นขึ้นมา ? แล้วก็ลองทำใหม่ ท้ายสุดจะเห็นชัด ๆ ว่า ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี

ในเมื่อทุกอย่างมีสภาพที่หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้อย่างนี้ เราไปพระนิพพานดีกว่า การปฏิบัติเราต้องเอาพระนิพพานแปะท้ายไว้ตลอด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-01-2011 เมื่อ 12:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 28-01-2011, 09:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูรู้สึกว่าอะไรก็จืดชืดไปหมด ?
ตอบ : อย่างของเรานั้น ปรุงแต่งไปได้แค่นั้น แล้วก็กลับมา ไปไม่เกินนั้นหรอก เมื่อพยายามเท่าไรก็ไม่ไป จึงไร้อารมณ์ จืดชืดไปหมด

ถาม : หนูสงสัยว่ามีบ้างไหม อารมณ์ที่รู้สึกว่า ร่างกายนี้รองรับเราไม่ได้แล้ว ?
ตอบ : มี..แต่อย่าเพิ่งเชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้น


ถาม : เป็นติดต่อกันมาสามสี่วันแล้วค่ะ
ตอบ : ไม่เป็นไร พอเต็มที่เมื่อไร เดี๋ยวอาตมาจะจัดงานศพให้..!

ถาม : พอเป็น หนูก็บอกว่า อย่า..อย่าเพิ่ง หนูยังอยากทำงานให้พระพุทธศาสนาอีก
ตอบ : นั่นโง่แล้ว..!

ถาม : หนูยอมรับว่ายังยึดตรงนี้อยู่
ตอบ : เสียท่าแล้ว ยิ่งไปได้เร็วเท่าไร ก็ปลอดภัยเท่านั้น


ถาม : ถ้าหนูไปแล้วใครจะถอดเทปต่อ ?
ตอบ : ถ้าไปได้ก็รีบไปเถอะ..ปล่อยให้พวกที่เหลืออยู่ลงแดงตายตามไปเลย..! เขาเรียกว่าห่วงไม่เข้าเรื่อง ไปได้ต้องไปไว้ก่อน อยู่ไปวันหนึ่งก็โง่เพิ่มไปวันหนึ่ง ทุกข์เพิ่มขึ้นวันหนึ่ง..! อย่างที่เคยบอกว่า ต้อง อนาลโย ไร้ซึ่งความอาวรณ์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2011 เมื่อ 14:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 28-01-2011, 09:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาร่วมบุญพระชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์จะหมดไปหลังจากพระเป็นองค์แล้ว หรือตั้งแต่ตอนเราถวายเรียบร้อยแล้วครับ ?
ตอบ : ทันทีที่ตั้งใจทำและได้ทำสำเร็จ ถือว่าหนี้สงฆ์ทั้งหมดจบสิ้นไปแล้ว ยกเว้นเราไปสร้างหนี้ขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องรอให้พระสร้างเสร็จ ความจริงตั้งใจทำก็ได้แล้ว แต่ถ้าได้ลงมือทำสำเร็จแล้วก็ได้อย่างแน่นอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2011 เมื่อ 14:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 28-01-2011, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่เป็นเบญจเพส จำเป็นต้องบวชแก้เคล็ดทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อาจจะเป็นการทำอะไรสักอย่างเป็นการสะเดาะเคราะห์ก็ได้ เช่น ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ เป็นต้น

ถาม : เบญจเพส ตามโบราณเขาแนะนำให้ทำอะไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ให้สะเดาะเคราะห์ วิธีสะเดาะเคราะห์ก็อาจจะเช่นว่า เข้าวัดทำบุญใหญ่ อาบน้ำมนต์ ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น ปล่อยนกปล่อยปลา พูดง่าย ๆ ว่า ทำอะไรสักอย่างที่ให้เรารู้สึกว่า เราได้ทำสิ่งที่ดี ๆ เป็นบุญใหญ่ให้กับตัวเอง ทำให้กำลังใจของเราสูงขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-02-2011 เมื่อ 18:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 28-01-2011, 11:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าปลาที่อยู่ในวัดไหลไปตามคูคลอง แล้วเขาไปจับ ถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจว่าเป็นปลาของวัดก็เป็นหนี้สงฆ์ แต่แถววัดท่าซุงสมัยก่อน ชาวบ้านเขาบอกว่า "พ้นเขตวัด (ปลา) มันก็สึกแล้ว..!" คนจะเอาเสียอย่าง ก็ว่าไปเรื่อย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2011 เมื่อ 14:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 28-01-2011, 11:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อปฏิบัติพิจารณาไปเรื่อย ความรู้สึกเกี่ยวกับโลกและชีวิตเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย หนูสมควรบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ให้คนใกล้ชิดในบ้านฟังหรือไม่คะ ? หนูรู้สึกว่าบางเรื่องบอกไปเขาคงไม่โมทนา แต่ถ้าจะไม่บอกเลย เกิดไปไกลมาก ๆ กว่านี้แล้วเขามารู้ทีเดียวรวดเดียว อาจยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่ค่ะ
ตอบ : ควรปรารภให้เขาได้รับรู้เป็นระยะไป โดยเฉพาะคุณสามี จะได้ไม่สติแตกตอนเราหนีเข้าป่า..!

ถาม : เมื่อคืนก่อนหนูเบื่อจนแทบจะถอดหัวตัวเองทิ้งค่ะ พยายามพิจารณาตามที่ท่านแนะนำ ให้ลงที่ธรรมดาให้ได้ หนูกลับรู้สึกว่า หนูรู้อยู่แล้วว่าเป็นธรรมดา พอพิจารณาให้ไปธรรมดา ก็รู้สึกว่าไม่ได้ต่อต้าน แต่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นค่ะ ทำไมเป็นแบบนี้คะ ?
ตอบ : ต้องเห็นว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราจะอยู่ด้วยก็แค่ตอนนี้เท่านั้น ในเมื่อเรากำลังจะพ้นไปแล้ว ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้โดยดีไม่ได้

ถาม : หลังจากพยายามอยู่นาน กลับเกิดความรู้สึกขึ้นว่าเบื่อมาก แต่หนีไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ พอหาทางออกไม่ได้ อารมณ์เลยไปตกตรงที่ว่า ใช้ชีวิตทำหน้าที่อยู่แค่ที่ปัจจุบันนี้ ซึ่งไปตรงกับที่ท่านเคยแนะนำเช่นกันค่ะ นี่คือเกิดปัญญาขึ้นหรือเปล่า หรือแค่บังเอิญได้คะ ?
ตอบ : ใช่..เป็นปัญญา แต่ได้มาแบบที่เรียกว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง..!

ถาม : ในขณะนั้นหนูรู้สึกว่าไม่กังวลถึงอดีตหรืออนาคต และมีความรู้สึกพร้อมตายปนอยู่ด้วย ความเบื่อก็ลดลงจนหายเกือบหมดค่ะ แต่ก็มีลางสังหรณ์ว่า ตัวเบื่อจะต้องมาอีกแน่เลยค่ะ รบกวนขอคำแนะนำในการปฏิบัติต่อไปด้วยค่ะ
ตอบ : ย้อนไปดูคำตอบที่ผ่านมา

ถาม : ช่วงก่อนหน้านี้หนูพยายามใช้หลายวิธีจัดการกับเรื่องของกามราคะ ตอนนี้หนูค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถใช้ สติ สมาธิ ปัญญา ที่มีกดเอาไว้ได้ อาจจะมีกระเพื่อมบ้าง แต่ไม่น่าจะดีดกลับแรง ๆ แบบที่เคยเป็นมาค่ะ (ซึ่งต้องรอดูต่อไป) ปัญหาก็คือ หนูรู้ตัวว่ายังไม่ได้ระดับที่จะตัดได้แน่ ๆ ระหว่างที่ต้องเสริมสร้างเรื่องสมาธิ หนูจะทำอย่างไรดีคะ กดไปเรื่อย ๆ ก่อนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใช้สมาธิกดไว้ก่อนนั้นถูกแล้ว แต่ต้องเอาสติและปัญญาเข้าไปช่วยควบคุมด้วย ระมัดระวังอย่าไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นราคะก็จะกำเริบได้อีกทุกเวลา

ถาม : ขณะที่หนูมั่นใจว่าจัดการเรื่องกามราคะได้ดีขึ้น แต่กลับเจอปัญหาเรื่องฝัน เพราะเมื่อไหร่ที่ตัดหลับ จะฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้มากผิดปกติ ใหม่ ๆ หนูมองว่าก็ดี จะได้รู้ว่าเรายังไม่ดีพอ ยังต้องทำอีกเยอะ แต่ยิ่งมายิ่งหนักข้อ ทั้ง ๆ ที่ตอนตื่นหนูไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย บางเรื่องเอามาทำเสียตรงกันข้ามกับที่หนูรู้สึกก็มี จนหนูรู้สึกหงุดหงิดรำคาญและโมโหค่ะ โมโหทั้งความฝัน โมโหทั้งตัวเองที่สติไม่พอ มีดีอยู่อย่างคือยิ่งทำให้หนูเกลียดกามราคะมากขึ้น ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าคิดถูกจริง ๆ ที่พยายามจะตัด ตกลงที่ฝันเยอะ ๆ คือสิ่งที่สะท้อนสภาพจิตหรือเปล่าคะ หรือที่หนูเข้าใจว่าเริ่มเอาอยู่ จริง ๆ แล้วเข้าใจผิดไปเอง ?
ตอบ : เคยบอกแล้วว่ากิเลสเล่นงานเราทั้งหลับและตื่น ต้องฝึกให้ทั้งหลับและตื่นจิตของเราต้องมีสภาพตื่นรู้เท่ากัน ถึงจะระวังไม่ให้กิเลสกินเราตอนหลับได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2011 เมื่อ 14:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 28-01-2011, 13:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราสามารถรู้วันตายได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าฌานสี่คล่องตัว เราสามารถกำหนดวันตายได้เลย พอเข้าฌานสลับฌานทบทวนจนมั่นใจแล้ว จังหวะสุดท้ายออกฌานสี่มาแล้วก็ทิ้งร่างกายนี้ไปเลย เพราะถ้าเราเข้าฌานสี่แล้วร่างกายนี้จะไม่หายใจ ในเมื่อเราทิ้งไปเลย ไม่หายใจใหม่ ก็ตายเท่านั้น

เพราะฉะนั้น..บุคคลที่มีอานาปานสติคล่องตัว จนชำนาญในฌานสี่ สามารถกำหนดวันตายได้ทุกคน หลวงปู่สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) วัดสระเกศ พระองค์ท่านบอกว่า ถ้าเสียงฟ้าร้องขึ้นมาเมื่อไรพระองค์ท่านจะมรณภาพ พอฟ้าลั่นครืนพระองค์ท่านก็ไปเลย คิดดูสิ..พระองค์ท่านบอกว่ารู้จากการดูหมอ ใครจะไปเชื่อ..หมอดูประเภทไหนบอกได้ขนาดนั้น แต่ว่าตอนที่พระองค์ท่านยังดำรงพระชนม์อยู่ พระองค์ท่านเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงจริง ๆ

หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอกก็เหมือนกัน ตอนนั้นกำนันเถาไปค้าขายที่ต่างจังหวัดแถวปากน้ำโพ หายไปนานเป็นเดือน เมียกำนันเถาเป็นห่วง จึงเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบหลวงปู่จง ไปขอความเมตตาให้หลวงปู่ช่วยดูให้หน่อยว่า ตอนนี้สามีดีร้ายเป็นประการใด

หลวงปู่จงท่านหยิบตำราขึ้นมากางอ่าน "สิทธิการิยะ พระท่านว่า ขณะนี้กำนันเถาเอาเรือมาจอดที่ท่าน้ำหน้าบ้านแล้ว" ตำราที่ไหนบอกได้กระทั่งชื่อคน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็แปลกใจ ท่านไม่เชื่อ จึงไปเปิดตำราหน้านั้นดู ปรากฏว่าเป็นตำราสมพงษ์นาคสำหรับดูเนื้อคู่ เจอหมอดูแบบนี้ คนดูตามไม่ทันก็โดนต้มจนเปื่อย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2011 เมื่อ 14:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 28-01-2011, 13:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อคราวงานวัดบางนมโค พอถึงเวลานิมนต์พระเจริญพระพุทธมนต์ - ฉันเพล หลวงพ่อฤๅษีฯ เอาเรือเร็วออกไปตามหลวงปู่จง จริง ๆ ถ้าเดินลัดทุ่งก็ไม่ไกลมาก ประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึง แต่ถ้าไปเรือจะช้า เพราะอ้อมคุ้งน้ำเยอะ

พอไปถึง เห็นโยมรอให้หลวงปู่รดน้ำมนต์อยู่สามสี่คน หลวงปู่ท่านเมตตา ท่านก็รดทีละคน ๆ สมัยนั้นเขารดน้ำมนต์ไม่ได้รดแบบเรานะ เขารดเป็นโอ่งเลย ประเภทผลัดผ้าขาวม้าแล้วก็ตักราดตัวให้ทีละคน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเร่งให้หลวงปู่จงรีบไป

หลวงปู่ท่านบอกว่า "เอ็งกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าเดินไปเอง" "เดินไปมันช้าครับหลวงปู่..ไปเรือดีกว่า" "ข้าเดินเร็ว..ทันน่า"

หลวงพ่อท่านเถียงไม่ได้ รบเร้าหลายทีเห็นหลวงปู่ไม่ไป ก็กลับมาก่อน มาถึงก็กราบเรียนหลวงปู่ปานว่า "หลวงปู่จงท่านรดน้ำมนต์ยังไม่เสร็จครับ ยังไม่มา" หลวงปู่ปานก็หัวเราะ "แกโดนหลวงปู่จงต้มแล้ว ท่านมาถึงก่อนแกตั้งนาน ตอนนี้อยู่บนศาลาโน่น" หลวงพ่อขึ้นศาลาไปดู ปรากฏว่าหลวงปู่จงนั่งอยู่หัวแถวแล้ว เพราะท่านอาวุโสที่สุด แล้วท่านก็หัวเราะ "เรือแกเร็วสู้ข้าเดินไม่ได้ว่ะ.."

หลวงปู่จงกับหลวงปู่ปานเป็นสหายธรรมก็จริง แต่อายุท่านต่างกันเหลือเกิน หลวงปู่ปานท่านมรณภาพตอนอายุ ๖๒ ปี ส่วนหลวงปู่จงมรณภาพตอนอายุ ๙๓ ปี หลวงปู่ปานมรณภาพเมื่อปี ๒๔๘๑ หลวงปู่จงมรณภาพปี ๒๕๐๘

ต่างกันแค่ไหน? แสดงว่าฝ่ายหนึ่งรบมาทั้งชีวิต ถึงเวลาอายุขัยมีอยู่แค่นั้น อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้สร้างกรรมปาณาติบาตเลย อยู่มาจนเกือบจะร้อยปี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2011 เมื่อ 14:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #151  
เก่า 28-01-2011, 18:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สิ่งที่เป็นนิสัยเฉพาะตัวของอาตมาก็คือ ในเมื่อเรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องเอาไปสอนคนอื่นได้ ไม่ใช่เรียนผ่านไปเฉย ๆ จึงต้องซ้อมหาความชำนาญมากกว่าคนอื่น เป็นนิสัย "ยุทธภูมิ"เก่า ถึงแม้ว่าจะเลิกแล้ว แต่สันดานเดิมก็ยังเป็นอย่างนี้ ต้องแตกฉาน พลิกแพลงได้ แล้วพร้อมที่จะบัญญัติใหม่ด้วย..!"

ถาม : สมมติเราเกิดความสงสัยขึ้น ขณะเดียวกันเราก็มองว่า การที่เรารู้ตรงนั้นก็ไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลส แล้วเราก็เลิกที่จะเป็น หรือเราควรจะ..?
ตอบ : ถ้าวิสัยเดิมมีอยู่ก็จะคัน เดี๋ยวแอบไปทำจนได้แหละ ถ้าวิสัยเดิมมีน้อยเราก็ตัดทิ้งไปเลย มุ่งเข้าหาเรื่องมรรคเรื่องผลโดยตรง


หมายเหตุ : "ยุทธภูมิ" เป็นคำเฉพาะที่หลวงพ่อเล็กมักใช้ค่ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #152  
เก่า 28-01-2011, 18:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางทีเราเจอสถานการณ์เราก็คิดพิจารณาได้ พอมาเจออีกเหมือนกับครั้งก่อน ก็ไม่ได้ต่างกัน แต่ทำไมจึงคิดได้ไม่เหมือน ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญาของเราตอนนั้นไม่พอ เหมือนคนเห็นทาง แต่กำลังที่จะเดินก็ไม่มี แต่ให้เราเห็นไว้ก่อน เห็นว่าเราไปทางนี้แน่ ตอนนี้เราก็เพาะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเราให้มากขึ้น ๆ สำคัญตอนนี้คือสมาธิ ถ้าสมาธิมีมาก ก็จะช่วยให้ปัญญาเกิดได้มาก

ถาม : ถ้าเห็นหลายทาง ?
ตอบ : เลือกเอาทางที่ง่ายที่สุด

ถาม : ถ้าปัญญาถึง เราจะรู้เองใช่ไหมว่าเราจะไปอย่างไร ?
ตอบ : เห็นทางอยู่ข้างหน้า ก็รู้ ๆ อยู่ ส่วนทางนั้นรกจะตาย แล้วเรายังคิดที่จะไปทางนั้นก็เกินไป หาทางที่ง่ายกว่าสิ ยกเว้นอย่างเดียว คือ เรามั่นใจว่าทางรกที่สุดนั้นสั้นที่สุดด้วยแน่ ๆ ก็ลุยไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #153  
เก่า 28-01-2011, 18:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นายประยงค์เขาภาวนาคาถาเงินล้าน เขาปฏิบัติสมาธิแล้วเห็นพระพุทธรูปมาอยู่ตรงหน้า อย่างเราภาวนาพระคาถาเงินล้าน เราต้องเห็นอย่างนั้นด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ผลของคาถาจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ ที่นายประยงค์เขาเห็นแสดงว่าจิตเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ ก็จะเห็นภาพต่าง ๆ ได้ แต่พอสมาธิเลยตรงนั้นไปก็จะไม่เห็นอีก

ถาม : แล้วภาวนาคาถาเงินล้าน เราก็ภาวนาตามเขา ?
ตอบ : ภาวนาของเราไปเรื่อย ถึงแม้เราไม่เห็นภาพอะไร แต่จิตทรงเป็นสมาธิ ผลที่ได้ก็จะเหมือนกัน สำคัญตรงสมาธิ ไม่จำเป็นต้องเห็น

ถาม : พระคาถาเงินล้านตรง สัมปะติจฉามิ ผมเคยเห็นในเว็บ สัมปะฏิจฉามิ ใช้ ฏ.ปฏัก ตัวไหนถูกต้องครับ ?
ตอบ : บาลีใช้ ฏ. ปฏัก เพียงแต่ว่าคาถาไม่ได้สำคัญที่เขียนถูกหรือไม่ถูก สำคัญที่เราว่าเชื่อมั่นแค่ไหน ถ้าคุณเชื่อมั่น ถึงท่องผิดก็มีผล เพราะฉะนั้น..มัวแต่เสียเวลาไปคิดว่าถูกหรือไม่ถูก แปลว่ากำลังใจเรายังไม่มั่นคง

ถาม : จริง ๆ คาถาสำคัญที่สมาธิ ?
ตอบ : สำคัญที่สมาธิและความเชื่อมั่น มีศรัทธามากเท่าไรได้ผลก็มากเท่านั้น

ถาม : อย่างคาถาสะหัสสะเนตโต เวลาสวดออกเสียงหรือภาวนาในใจครับ ?
ตอบ : ภาวนาในใจ ถ้าคุณไปออกเสียงท่ามกลางชุมชนคนอื่นจะหาว่าบ้า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #154  
เก่า 28-01-2011, 21:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีคนมาทำลักษณะที่ไม่น่ารักกับเรา แล้วเราน่าจะโกรธ แต่เรากลับไม่โกรธ แต่เราจำ เป็นการพยาบาทหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เราต้องพิจารณาใจตนเองด้วยปัญญา ก็จะมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ ถ้าหากคบหาคน ๆ นี้ต่อไป จะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ เราก็ตัดออกจากใจไป ถ้ากำลังสมาธิสูงพอก็จะตัดทิ้งไปได้เลย แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นเรื่องของ อุเบกขาในพรหมวิหารจริง ๆ ก็จะมีตัวเมตตากรุณาอยู่ ก็คือ ถ้ามีโอกาสเราจะสงเคราะห์เขาอีก แต่ไม่ใช่ตอนนี้

ถาม : ถ้าจำได้ แปลว่าไม่จำเป็นต้องพยาบาท ?
ตอบ : พยายามอย่าเข้าข้างตัวเอง นึกเสียว่าพยาบาทก็แล้วกัน จะได้เตือนสติตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเห็นแต่ตัวเองดีเกินไป ไม่เห็นความชั่วตัวเอง

ถาม : บางทีก็บางมาก จนจับไม่ได้ว่าเป็นกิเลส
ตอบ : มีอยู่สมัยหนึ่ง พระท่านทำภาพให้ดู กิเลสบางตัวเราไม่นึกว่าจะมีอยู่ แต่ก็มี เพียงแต่ว่าบางมากจนเราสาวไปไม่ถึง ท่านก็เมตตาทำให้ดู แหม..เหมือนกับหนูซุกอยู่ในรู ไม่กระดุกกระดิกอะไร เงียบอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วกิเลสนั้นยังไม่ตาย ยังอยู่เต็ม ๆ เลย แต่ว่าไปแอบซ่อนอยู่อย่างมิดชิด พร้อมที่จะอาละวาดทันทีที่เราเผลอ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #155  
เก่า 28-01-2011, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางทีกิเลสบางตัวหน้าตาคล้าย ๆ เรา
ตอบ : อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า กิเลสกับความดีนั้นก้าวซ้อนมารอยเดียวกัน หน้าตาเหมือนกันเลย เพียงแต่สำคัญตรงก้าวสุดท้าย ว่าจะพาเราไปทางไหน ?

เคยยกตัวอย่างชัดที่สุดก็คือ เรื่องของการถวายสังฆทาน สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง พอได้ปัจจัยมาจากการที่โยมถวายหรือการสวดมนต์ก็ดี ถึงเวลาก็จะรวบรวมไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นสังฆทาน

สังฆทานที่วัดท่าซุง จะมีชุดละ ๑๐๐ บาท ชุดละ ๕๐๐ บาท ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ชุดละ ๒,๐๐๐ บาท หลวงพ่อท่านจะมอบวัตถุมงคลให้ตามราคา อาตมาตั้งใจว่าถ้าได้เงินมาจะเอาไปถวายสังฆทาน พอรวมแล้วได้เกิน ๑๐๐ บาท ก็คิดว่า เดี๋ยวรอให้ถึง ๕๐๐ บาท ค่อยเอาไปถวายชุดที่ใหญ่กว่า

แทนที่จะได้ ๕๐๐ บาท กลับเป็น ๗๐๐-๘๐๐ บาท เออ..ได้ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ค่อยไปถวาย เป็นอย่างนี้หลายครั้งด้วยกัน จนวันนั้นบังเอิญไปเห็นหน้าตากิเลสเข้า ใจหายวาบเลย ที่ใจหายวาบก็คือ ถ้าเราตายเสียก่อน แม้แต่ชุดละร้อยเดียวก็ไม่ได้ถวาย กิเลสหลอกเราได้ขนาดนั้น..!

กิเลสกับความดีจะขี่คอกันมาเลย เพียงแต่ว่าก้าวสุดท้ายกิเลสจะดึงเราลง ส่วนความดีจะพาเราขึ้น แค่นั้นเอง ทั้ง ๆ ที่การทำความดีแบบนั้นกิเลสยังหลอกเราได้

ถาม : เป็นกิเลสประเภทไหน เป็นโลภะกลาย ๆ หรือเปล่า ?
ตอบ : มีทั้งส่วนของโลภะและโมหะด้วย โลภะ คือ อยากได้บุญมากขึ้น โมหะ คือ รู้ไม่เท่าทัน ให้กิเลสหลอกเราได้..สุดยอดจริง ๆ กิเลสกับความดีหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างเลย โดยเฉพาะหน้าตาเหมือนกับเรานี่แหละ..!

ถาม : แล้วเราจะรู้ทันได้อย่างไร ?
ตอบ : ซักซ้อม สติ สมาธิ ปัญญาให้มาก ๆ ไว้ จะรู้เท่าทันกิเลสได้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นมักจะถูกพาไปหลายกิโลกว่าที่เราจะรู้ตัว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #156  
เก่า 28-01-2011, 22:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อวานผมมีโอกาสได้ไปฟังเทศน์หลวงพ่อองค์หนึ่ง ผมเห็นว่าการปฏิบัติสายท่านเน้นสมถะอย่างเดียว ท่านยังเน้นว่า พระพุทธเจ้าท่านนอกจากชาติสุดท้ายแล้ว ท่านไม่เคยวิปัสสนาเลย เรารู้สึกว่าแปลกใหม่ ท่านบอกว่า ถ้าเราคิดว่าเราไม่ถึงชาตินี้ เราก็ทำสมถะไปอย่างเดียวก่อน ?
ตอบ : จริง ๆ การทำสมถะ ถ้าทำไปถูกทางจริง ๆ ก็เกิดปัญญา แต่ถ้าไปเพลิดเพลินอยู่ ก็จะติดอยู่แค่นั้น ตัวปัญญาจะไม่เกิด

สำคัญว่าเรามีสติระลึกรู้อยู่แค่ไหนว่า ตอนนี้เราทำอะไร เพื่ออะไร ถ้าเราทำเพื่อความอยู่สุขปัจจุบันนี้ ไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ ก็ใส่สมถะไปล้วน ๆ เถอะ แต่ถ้าเราต้องการที่จะหลุดพ้น ก็ต้องมีวิปัสสนาเข้าไปช่วยอีกแรง

ถาม : แล้วถ้าเราใช้สมถะกดไว้พักหนึ่ง เป็นวิธีที่ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ อันดับแรก ก็คือ อย่าให้กิเลสออกทางกาย ประเภทอาละวาด ชักสีหน้า ชี้หน้าด่า ประเภทนั้นอย่าให้ออกมา แต่ถ้าอยู่ข้างในแล้ว อกเราจะแตกตาย ก็ให้ตายไปคนเดียว อย่าให้กิเลสเราไปเลอะเทอะเปรอะเปื้อนใส่คนอื่นเขา

อันดับแรก ต้องดึงให้หยุดให้ได้ก่อน ทำอย่างไรที่จะดึงม้าให้หยุดตรงหน้าผาให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นพาเราลงเหวแน่ หลังจากนั้นเราค่อย ๆ ไปหาทางจัดการกันทีหลัง นั่นก็ถือว่าเป็นการใช้ปัญญาอย่างหนึ่งเหมือนกัน

เพียงแต่ว่ากำลังเรายังไม่เพียงพอที่จะตัดอย่างฉับพลัน ก็ต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ก็คือ ระงับจากส่วนหยาบก่อน แล้วถึงเวลาค่อยไปจัดการกับส่วนละเอียดทีหลัง อย่างที่อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ออกบิณฑบาตพร้อมกับหลวงตาวัชรชัย

การบิณฑบาตช่วงนั้นก็เดินสายใต้ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นหลวงตาท่านเดินนำตลอด พออายุกาลพรรษาเริ่มมากขึ้น พระรุ่นน้องเริ่มมากขึ้น หลวงตาท่านอายุมากขึ้น เดินไกลไม่ค่อยไหว ท่านก็แยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด อาตมาก็ไปเดินนำสายใต้แทน

พอดีวันนั้นหลวงตาท่านยังนำอยู่ ขากลับญาติโยมไปใส่บาตรเยอะมาก ลูกศิษย์หลวงพ่อไปวัดแต่ละวันไม่ใช่น้อย อย่างไม่มีก็เป็นร้อยคน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #157  
เก่า 28-01-2011, 22:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวมาเต็มที่ โดยที่ไม่ได้นึกว่าจะเป็นอันตรายต่อพระหรือเปล่า ใส่น้ำหอมกลิ่นฟุ้งมาเลย ทันทีที่ได้กลิ่นอาตมาก็กลั้นหายใจ เพราะถ้ารู้ว่าหายใจต่อไปจะต้องคิดแล้ว ว่าชอบหรือไม่ชอบ

พอกลั้นหายใจแล้วก็ตั้งใจดู พระพี่พระน้องตลอดทั้งแถว ๑๑ รูป กลั้นใจหมดเลย อาตมาเองก็ขำ พอเข้าไปถึงหอฉัน จึงไปจี้ถามหมดทุกรูปเลย "เป็นอย่างไร ? กลั้นใจใช่ไหม ?" "ใช่ครับ" แม้กระทั่งหลวงตาวัชรชัยก็ด้วย

เรื่องอย่างนี้เราต้องทดสอบทุกวัน ไม่อย่างนั้นตัวมโนมยิทธิจะไม่คล่อง พอหลังจากฉันเสร็จก็มานั่งวิเคราะห์กันว่า ตกลงว่าที่พวกเราทำกันนั้น เป็นการที่เราหนีปัญหา หรือเราแก้ด้วยปัญญา ? ถ้าเป็นการหนีปัญหา เราจะสู้ไม่ได้ตลอดไป แต่ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยปัญญาเรายังพอมีทางสู้

หลังจากที่นั่งวิเคราะห์กันเสร็จสรรพแล้ว สรุปได้ความว่า เป็นการแก้ปัญหาด้วยปัญญา เพราะรู้ว่าตอนนั้นยังสู้ไม่ได้ เราต้องหลบก่อน โดยเฉพาะหลวงตาท่านว่า "ไอ้ห่_แชนแนลนัมเบอร์ไฟว์ ของโปรดกูเลย..!"

เพราะฉะนั้น..ญาติโยมบางคนไปวัด ลืมไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำอาจเป็นอันตรายต่อพระเณรโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่พระเณรที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อละกิเลสอย่างลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงจริง ๆ คงฟุ้งซ่านไปหลายราย ขนาดนั้นทั้งแถวยังกลั้นใจกันหมด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 03:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #158  
เก่า 28-01-2011, 23:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วถ้าเป็นพระอนาคามี ?
ตอบ : ถ้าพระอนาคามีก็สักแต่ว่าได้กลิ่นเฉย ๆ ไม่มีประโยชน์สำหรับท่านแล้ว

ถาม : ท่านไม่ได้กลั้นหายใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ราคะกับโทสะทำอันตรายท่านไม่ได้แล้ว

โชคดีที่สมัยหนุ่ม ๆ อาตมาเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะแพ้กลิ่นเครื่องสำอาง เพื่อน ๆ ผู้หญิงรุ่นนั้นเขาจะรู้กันทุกคน ถ้าใครแต่งหน้าแต่งตามา อาตมาจะจามตลอด แค่เขาทาครีมทาผิวมา อาตมาก็จามแทบแย่ ถึงขนาดต้องขอร้องว่า เวลาไปไหนด้วยกัน กรุณาอย่าให้มี จึงช่วยรอดมาได้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องบุญพาวาสนาช่วย เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยซ้ำเติม ทำให้ได้กลิ่นไม่ได้ ได้กลิ่นแล้วจาม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #159  
เก่า 29-01-2011, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทางมหายาน ปรัชญาปารมิตาสูตร ทางเถรวาท พระพุทธเจ้าท่าน ..(ไม่ได้ยิน).. ?
ตอบ : ในเรื่องบารมีสิบเหมือนกัน แต่บารมีของเขา มีฌานบารมีด้วย ของเราไม่มี เพราะฉะนั้น..เรามาสายเถรวาท เราก็ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรามานั้นถูกต้อง

แรก ๆ ที่อาตมาเรียนวิชาพระสูตรมหายานและเรียนศาสนาเปรียบเทียบ อาจารย์ท่านบอกว่า "มหายานเป็นเกจิอาจารย์รุ่นหลังแต่งขึ้นมา เพื่อจะให้รู้สึกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห่างไกลไปไหน ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้านิพพานแล้วจะสูญไปเฉย ๆ แต่ศาสนาฮินดูเขามีพระเจ้าที่พร้อมจะช่วยเหลือศาสนิกของเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้ คนก็ไปนับถือศาสนาฮินดูกัน เพราะเห็นว่ามีผู้ช่วยเหลืออยู่ เนื่องจากคนเรานิยมความง่าย"

เกจิอาจารย์รุ่นหลังก็เลยแต่งว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ที่สุขาวดีพุทธเกษตร พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่ ขณะเดียวกันก็แบ่งภาคลงมา เกิดเป็นพระโพธิสัตว์หลายท่าน ทั้งพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดในโลกมนุษย์และพระโพธิสัตว์ที่ยังอยู่บนสุขาวดีก็มี

อาตมาเองจึงตั้งข้อสังเกต โดยการบอกว่า "ท่านอาจารย์ครับ..เป็นไปได้ไหมครับว่า คนเขียนเขาไปเห็นมาจริง ๆ เพราะถ้าท่านอาจารย์อ่านรายละเอียดตั้งแต่ต้นยันปลาย จะเห็นว่าทุกคำถามเขามีคำตอบ และอธิบายได้ละเอียด น่าเชื่อถือมากด้วย ถ้าเขาไปเห็นมาจริง ๆ ละครับ ?"

ท่านอาจารย์บอกว่า "แนวความคิดของคุณเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก แต่ก็ไม่มีใครไม่สามารถที่จะยืนยันกับคุณได้" นี่คือมารยาทในความเป็นนักเรียน เราพูดกับท่านอาจารย์ได้เพียงแค่นี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-01-2011 เมื่อ 08:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #160  
เก่า 29-01-2011, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่กับพวกเราแล้ว อาตมาก็ฟันธงเลยว่า บุคคลรุ่นหลังของมหายานสามารถที่จะไปเห็นได้ แต่สิ่งพระพุทธเจ้าสอนเราไว้ในสีสปาสูตร ก็คือใบประดู่กำมือเดียว เป็นสิ่งที่ยังประโยชน์สุขในปัจจุบัน ประโยชน์สุขในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุด คือช่วยพ้นจากความทุกข์ไปพระนิพพานได้ ส่วนไหนที่ทำให้เนิ่นช้าพระองค์ท่านไม่สอน

แต่ท่านรุ่นหลังที่ได้ทิพจักขุญาณ แล้วไปเห็นสายพระโพธิสัตว์ว่าดี จึงนำคำสอนนี้มาสอน กลายเป็นสอนสิ่งที่เนิ่นช้า เพราะยังต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คำสอนที่แตกมาในรุ่นหลัง จึงไม่ใช่สัทธรรมเทศนาที่บริสุทธิ์ หากแต่เป็นสิ่งที่เกจิอาจารย์ทั้งหลายไปพบเห็นมา แล้วก็นำเอามาจารึกเอาไว้ กลายเป็นคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังเขาศึกษาตามกัน กลายเป็นนิกายนั้นบ้าง นิกายนี้บ้างขึ้นมา

ถามว่าปฏิบัติตามของเขาแล้วมีผลไหม ? มี..แต่ช้าจนบอกไม่ถูก เพราะฉะนั้น..ในปรัชญาปารมิตาสูตรเขากล่าวถึงการสร้างบารมีสิบอย่างเหมือนกัน แต่ตอนท้าย ๆ นั้นไม่เหมือนกับของเถรวาท
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 29-01-2011 เมื่อ 03:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว