|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
|||
|
|||
หลวงปู่ตอบคำถาม ถาม : ถ้าเรารู้สึกปวดเมื่อย เราจะแก้อารมณ์นั้นอย่างไรครับ ? หลวงปู่ : เราต้องตั้งจิตว่าตัวของเรานั้นมอบให้ครูบาอาจารย์ หรือมอบให้พระพุทธเจ้า เมื่อเกิดการเป็นเหน็บชาหรืออะไร เราอย่าไปยึดติดคิดว่าเป็นตัวของเรา เป็นร่างกายของเรา ไม่ต้องกังวลกับความปวดเมื่อย กับร่างกาย |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
|||
|
|||
หลวงปู่ตอบคำถาม ถาม : เรื่องนรกสวรรค์นี้มีจริงหรือเป็นแค่การเปรียบเทียบครับหลวงปู่ ? หลวงปู่ : เรื่องนี้ตามพระอภิธรรมก็ปรากฏว่ามีจริง แม้แต่ในพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่พระพุทธองค์ทรงเทศน์ก็มี และในภพภูมิที่เราอยู่นี้ คือ กามภูมิ ๑๑ (นรก ๔ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖) ในพระอภิธรรม ในพระสูตรก็มี เราดูแล้วเชื่อแน่ว่ามีจริง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2015 เมื่อ 16:54 |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
|||
|
|||
พระพรหมของหลวงปู่ ถาม : เรื่องพรหมนี้อย่างไรครับหลวงปู่ ? หลวงปู่ : รูปที่คุณไปเอามานี้เป็นรูปพรหม พรหมนี้มีจริงไหมเล่า ? ถาม : น่าจะมีจริง อยู่ในเมืองมนุษย์เรานี้หรือครับ ? หลวงปู่ : ไม่ใช่ พรหมเขาอยู่กันเป็นชั้น ๆ ปฐมะ ทุติยะ ตติยะ จตุตถะ เขามีชื่อเรียกอยู่ เช่น พรหมปาริสัชชา พรหมปโรหิตา มหาพรหมา เป็นชั้นหนึ่ง เป็นต้น ถาม : ผมก็นับถือพรหมอยู่ แต่คิดว่าพรหมนี้อยู่อีกสภาวะหนึ่ง จะมาโปรดมนุษย์ไม่ได้ คิดว่าพรหมอยู่ข้างบน ? หลวงปู่ : ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่ได้คิดว่า เทวดาบ้าง พรหมบ้าง มีอยู่ข้างบน ไม่เชื่อใช่ไหม ? ถ้าคุณไม่เชื่อคุณจะนับถือพรหมทำไม ? พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ มีอยู่ในพระสูตรหลายสูตร เช่น ในอาฏานาฏิยสูตร ก็กล่าวถึงเทวดาจำนวนมาก และในมหาสมัยสูตร ก็กล่าวถึงพรหมบ้าง เทวดาบ้าง นับไม่ถ้วน ตอนนี้เชื่อหรือยัง ? ถาม : เชื่อแล้วครับ หลวงปู่ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2015 เมื่อ 22:10 |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
|||
|
|||
ถาม : ขอกราบเรียนถามว่าคนเราเวลาใกล้จะตายมีกรรมมาปรากฏนั้น มาปรากฏในลักษณะไหนครับ ? หลวงปู่ : ในเวลามรณาสันนะ (ใกล้จะตาย) ภวังคจิตเกิดขึ้นทางมโนทวารก่อนภวังค์จะตก เราต้องรับอารมณ์ปัจจุบันกับอดีตพร้อมกัน แล้วจุติเกิดขึ้น จุติแล้วก็ดับไป ในขณะจุติเกิดขึ้น ชวนจิตตั้งอยู่ ปรากฏขึ้นในอารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน แล้วจุติจิตจะเกิดขึ้นในตอนมรณาสันนะ ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่สัมพันธ์กัน ที่เราไปเกิดนั้น เขาก็ไม่ได้ว่าไปเกิดในภพนั้น ภพนี้ แต่จุติแล้วก็ต้องไปเกิด จะเป็นเปรตหรือเดรัจฉานหรือจะเป็นอะไรก็เป็นไป ก็เหมือนกับ โฆสกกุมาร ทำบุญมาก่อนจะตาย อารมณ์ปัจจุบันเสวยอยู่ ตอนที่อดข้าวอดน้ำ พอเห็นลูกสุนัขกินข้าวอร่อยเกิดคิดขึ้นว่าถ้าเป็นสุนัข จะได้กินอย่างนี้ พอภวังคจิตปัจจุบันและอนาคตดับ ก็ไปเกิดเป็นสุนัข หรืออย่าง พระติสสเถร ก่อนจะตายยังคิดเสียดายจีวรแพรอยู่ เลยไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในจีวร อารมณ์ปัจจุบันนี้ดับลง ก็ไปติดกับอารมณ์อนาคต แบบนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2015 เมื่อ 07:56 |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
|||
|
|||
ถาม : กรรมนี้เราตัดได้ไหมครับ ?
หลวงปู่ : ตัดไม่ได้ ถ้าเป็นครุกรรม (กรรมหนัก) เช่น อนันตริยกรรม ๕ คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ และทำสงฆ์ให้แตกกัน ถาม : ถ้าเช่นนั้นกรรมอื่นนี้ เราตัดได้ใช่ไหมครับ ? หลวงปู่ : กรรมอื่น ๆ นั้น เราทำบุญไป ก็หลุดไปมาก แต่ถ้าเป็นครุกรรมแล้ว จะทำบุญขนาดไหนก็ไม่พ้น เหมือนอย่างพระเจ้าอชาตศัตรู ทำบุญไม่รู้เท่าไร แต่เพราะกรรมที่ปลงพระชนม์พระราชบิดา จึงต้องตกนรก หนีไม่พ้น ถ้าเป็นลหุกรรม (กรรมเบา) เราทำบุญมาก ๆ กุศลบุญที่เราทำนั้นอาจจะให้ผลก่อน แต่กรรมเราก็ยังไม่หลุด ถ้าเราทำบุญไปเรื่อย ๆ บางทีเราไปเกิดในกาลที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เราก็มีเจตนาทำบุญอยู่เนือง ๆ ผลบุญก็ให้ผลก่อนเรื่อยไป กรรมก็ตามไม่ทัน นี่ลหุกรรมเป็นแบบนี้ เราต้องทำบุญมาก ๆ เรื่องการทำบุญนี้จะติดเป็นนิสัย ถ้าเราเคยทำอยู่ในชาตินี้ เราระลึกถึงบุญอยู่เสมอ บุญนี้ให้ผลเราก่อน กรรมที่ไม่ดีก็ตามมาไม่ทัน เพราะบุญหรือมหากุศลของเรามากขึ้น เพราะฉะนั้น..ก่อนจะทำบุญ เขาจึงให้รับศีล ๕ ก่อน เป็นการทำบุญด้วยศีล ก็ได้ทั้งทานบารมี และศีลบารมี เราปฏิบัติตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์ ที่ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่ตลอดเวลา แม้เวรกรรมจะตามมาแต่ก็ไม่ชนะ แต่พระองค์ก็ยังได้รับวิบากของกรรมอยู่เหมือนกัน เรื่องกรรมนี้ลึกซึ้ง บางคนไม่เคยเข้าวัด ไม่เคยสนใจในศาสนา พออายุมากขึ้นหันมาเข้าวัด บางทีปฏิบัติดีกว่าคนที่ทำมาก่อนก็มี จิตใจเปลี่ยนไปด้วยกรรมในอดีต บางคนจน พอกรรมหมดไป ก็ได้เอกลาภ มีสมบัติขึ้น มีเงินมีทองขึ้น เพราะฉะนั้น..เรื่องกรรมนี้ เราไม่เชื่อไม่ได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2015 เมื่อ 08:08 |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
|||
|
|||
ประวัติความเป็นมาของประคำ ปี พ.ศ. ๒๒๕ คณะสงฆ์อินเดียได้ประชุมกันจัดส่งพระอรหันตเถระ ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในดินแดนต่าง ๆ ในการนี้ ได้มอบหมายให้พระอรหันต์ ๒ รูป คือ พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาและนำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานมายังดินแดนสุวรรณภูมิ โดยมีเมืองนครปฐมเป็นศูนย์กลาง ครั้นเมื่อเดินทางผ่านเมืองสะเทิมในรัฐมอญ พระอรหันต์เถระทั้งสองรูปได้พบกับพระฤๅษี ๓ องค์ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่ที่บริเวณภูเขาสุทัศนคีรี ใกล้เมืองสะเทิม คือ พระฤๅษีคุปตะ พระฤๅษีจุลละ พระฤๅษีเทวิละ บรรดาพระฤๅษี เมื่อได้เห็นจริยาวัตรและปฏิปทาอันงดงามของพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ ก็บังเกิดศรัทธาปสาทะชักชวนกันไปนมัสการ และถามว่า “ท่านเป็นศิษย์ของผู้ใด ? ใครคือพระศาสดาของท่าน ? ” พระอรหันตเถระทั้งสอง ก็ตอบว่า “พระสมณโคดมศากยบุตรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นอาจารย์ของพวกเรา พระองค์คือพระศาสดาของพวกเราทั้งหลาย” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2015 เมื่อ 14:17 |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
|||
|
|||
ประวัติความเป็นมาของประคำ (๒) พระฤๅษีทั้ง ๓ องค์ เมื่อได้ทราบว่าพระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นในโลกนี้แล้ว ก็รู้สึกปีติยินดี แต่มีความเสียดายที่ไม่ได้พบพระพุทธองค์ เพราะทรงปรินิพพานไปนานแล้ว ถึง ๒๒๕ ปี จึงซักถามพระเป็นเจ้าทั้งสองต่อไปว่า พระรัตนตรัยทั้งสามมีคุณเท่าใด ? พระอรหันตเถระทั้งสองก็อธิบายให้ฟังว่า คุณพระพุทธเจ้ามีจำนวน ๕๖ ดังบทสวดพระพุทธคุณ (อิติปิ โส ภควาฯ) คุณพระธรรมเจ้ามีจำนวน ๓๘ ดังบทสวดพระธรรมคุณ (สวากขาโตฯ) และคุณพระสังฆเจ้ามีจำนวน ๑๔ ดังบทสวดพระสังฆคุณ (สุปฏิปันโนฯ) เมื่อรวมกันแล้ว คุณพระศรีรัตนตรัยมีจำนวนทั้งสิ้น ๑๐๘
พระฤๅษีทั้งสามถามต่อไปว่า ในกัปของเรานี้ ยังมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ ? พระอรหันตเถระทั้งสองได้อธิบายให้ฟังว่า ในขณะนี้อยู่ใน "ภัทรกัป" ซึ่งจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นถึง ๕ พระองค์ พระสมณโคดมบรมศาสดานี้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ในภัทรกัป ดังนั้น จึงยังเหลือพระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดขึ้นอีกหนึ่งพระองค์ คือ พระศรีอริยเมตไตรย พระฤๅษีทั้งสาม จึงขอทราบพระนามของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ในภัทรกัปนี้ พระอรหันตเถระทั้งสองจึงแจ้งให้ทราบดั่งประพันธ์ในคาถาปัฐยาวัตรฉันท์ ดังนี้ "นะกาโร กะกุสันโธ จะ โมกาโร โกนาคะมะโน พุทกาโร กัสสะโป พุทโธ ธากาโร สักกะยะปุงคะโว ยะกาโร อะริยะเมตเตยโย ปัญจะพุทธา นะมามิหัง" แล้วพระอรหันตเถระทั้งสองก็อำลาพระฤๅษีทั้งสาม ออกเดินทางมายังสุวรรณภูมิตามจุดมุ่งหมาย เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไป แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2015 เมื่อ 14:18 |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
|||
|
|||
ประวัติความเป็นมาของประคำ (๓) ฝ่ายพระฤๅษีทั้งสามได้ปรึกษากันว่า เราควรจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อให้น้อมระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยอยู่เสมอ ในที่สุด... จึงได้ตกลงกันสร้างลูกประคำขึ้นมา โดยกำหนดให้ลูกประคำมีจำนวน ๑๐๘ เม็ด เท่ากับคุณของพระศรีรัตนตรัย และที่ยอดประคำอีก ๓ เม็ด เพื่อแทนองค์แห่งพระศรีรัตนตรัยทั้งสาม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆเจ้า สำหรับบทสวดภาวนาได้กำหนดเอาพระนามของพระพุทธเจ้า ทั้ง ๕ พระองค์ ในภัทรกัปนี้ คือ "นะ โม พุท ธา ยะ" มาประยุกต์รวมกันเข้ากับพระคาถา “โอม” คือ “มะ อะ อุ” ซึ่งเป็นคาถาของท้าวมหาพรหม ที่บรรดาพระฤๅษีทั้งหลายนำมาใช้กันอยู่เป็นประจำนั้น มาสวดภาวนาเวลาชักลูกประคำ โดยอนุโลมปฏิโลม ดังต่อไปนี้คือ “นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ มะอะอุ อุอะมะ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ลูกประคำ ๑๐๘ ก็ได้แพร่หลายเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2015 เมื่อ 09:38 |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
|||
|
|||
ประคำเส้นสุดท้ายที่หลวงปู่ใช้ทำจากอำพัน ปัจจุบันบรรจุอยู่ในปราสาท ๙ ยอด คาถาประจำประคำที่หลวงปู่ใช้ อีกบทหนึ่ง ก็คือ " ทิปุอา อาทิปุ อิสวาสุ นะโมอุตตะโม โพธิสัตโต นะมามิหัง " แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย กระโถนข้างวัด : 22-01-2015 เมื่อ 12:21 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กระโถนข้างวัด ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|