|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนนั้นลูกแก้วราคาเท่าไรครับ ?
ตอบ : มีราคา ๒๐๐ บาท ๑๐๐ บาท ๓๐ บาท สูงสุดลูกแพร์ใหญ่ก็แค่ ๕๐๐ บาท วันนั้นที่ใจเย็นนี่ไม่ใช่อาตมาแน่เลย ต้องมีครูบาอาจารย์สักองค์หนึ่งเหยียบให้นิ่งสนิท เพราะรายได้เยอะขนาดนั้นขืนไปอาละวาดคงไม่ได้สักบาท อาตมาคิดว่าถ้าจะทำให้ได้จำนวนมากต้ององค์เล็ก ๆ เอาสักปลายเล็บนิ้วก้อย ถึงเวลาเผื่อเอาไว้ใส่ตลับสีผึ้งได้ ถาม : ถ้าเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ปัจจุบันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือครับ ? ตอบ : ก็ไม่ได้ต่างหรอก แต่ต่างกันตรงที่นั่นเป็นของครูบาอาจารย์ ถาม : พระปิดตาใส่ยานัตถุ์ออกมาสีอะไรครับ สีแดง ? ตอบ : สีน้ำตาล ถ้าอันไหนไม่ใช่น้ำตาลเข้มก็เป็นเพราะยานัตถุ์หมดอายุแล้ว มีคนถวายท่านมากจนใช้ไม่ทัน ยานัตถุ์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องยี่ห้อลูกสาวหมอมีเท่านั้นนะ หมอชิตก็ไม่เอา สมัยที่หลวงปู่โง่นอยู่ หลวงปู่โง่นก็เป่ายานัตถุ์เหมือนกัน สองท่านก็นั่งคุยกัน “ไอ้คุณกับผมนี่ติดสาวคนเดียวกัน” พวกบรรดาลูกศิษย์ก็สงสัย ถามว่าใครครับ ? “ลูกสาวหมอมี” เขามียานัตถุ์หมอชิตด้วย สถานีขนส่งหมอชิตก็มาจากชื่อร้านขายยาเก่าของหมอชิต
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2012 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาบวงสรวงจะต้องย้ายไปทำพิธีที่พระสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกหน้าวัดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก..จะไปบวงสรวงเฉพาะตอนส่งงานเท่านั้น งานอื่นก็ทำที่เดิม แต่งานจะหนักที่คุณตัวเล็ก เพราะพอถึงวันสำคัญจะตามประทีปรอบ ๆ ลานสมเด็จองค์ปฐมด้วย อย่างน้อยก็ต้องใช้ประทีป ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ดวง ดูซิว่าจะผลิตไหวไหม ? มีคนเห็นองค์พระแล้วศรัทธา ปวารณาถวายมาสามล้านบาท ที่เหลืออาตมาหาเพิ่มเอง สร้างพระตรงริมถนนก็ดีนะ คนเห็นแล้วศรัทธาก็แวะมาทำบุญ พอดีเขาแวะไปตีกอล์ฟ ผ่านไปเห็นฐานพระตรงหน้าวัด เขาก็แวะเข้าไปถามว่าทำอะไร แค่นั้นแหละ..เขาอยากทำบุญด้วย ถาม : ใช้งบไปเท่าไรแล้วครับ ? ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน แค่ฐานก็ลงไปเกือบห้าล้านบาทแล้ว ฐานพระเราตีเข็มหลุมละ ๔ เสา เพราะเขาบอกว่าน้ำหนักพระ ๓๕๐ ตัน ถาม : อย่างคนที่บอกว่าไปตีกอล์ฟ ผ่านไปเห็นแล้วอยากทำบุญ คนนั้นจะได้อานิสงส์อะไรครับ ? ตอบ : สงสัยจะถูกล็อตโต้เป็นพันล้าน เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นแล้วอยากทำ ถาม : เวลามาที่นี่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันครับ ตอบ : แล้วจะมาทำไมล่ะ ? (หัวเราะ) แค่ตั้งใจคิดจะมาเจตนาก็แน่วแน่แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2012 เมื่อ 16:56 |
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าความดีกับความชั่วหน้าตาเหมือนกัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าต่างกันตรงไหน ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ผลลัพธ์ของการกระทำ ความชั่วจะชี้ให้เราเดินทางผิดอยู่ตลอด ถาม : ถ้าเราโดนมารหลอก เราจะรู้ตัวได้อย่างไรครับ ? ตอบ : จนกว่าจะมีปัญญามากกว่าตอนนั้น ถ้าปัญญายังเท่าตอนนั้นก็เสร็จเขาไปก่อน พอปัญญามากขึ้น ก็จะรู้ว่าตรงนั้นเขาหลอก เมื่อก้าวล่วงพ้นไป เขาก็จะหาสิ่งที่เนียนกว่านั้นมาหลอกใหม่อีก ถาม : แล้วนี่ผมโดนท่านหลอกอีกหรือเปล่าครับ ? ตอบ : โดนเต็ม ๆ กำลังหลอกให้ไปพระนิพพาน ดูซิว่าคุณจะไปได้ไหม ? ถาม : ถ้าโดนหลอกอยู่ตลอดแล้ว เราจะใช้ปัญญาพ้นจากตรงนั้นได้อย่างไรละครับ ? ตอบ : ต้องรอวาระกุศลเข้ามา พอวาระกุศลเข้ามา สติ สมาธิ ปัญญาทรงตัว ก็จะเห็นว่าที่เราเดินทางตรงจุดนั้นผิด หรือไม่ก็วาระกุศลเข้ามา ได้รับการทักท้วงจากผู้ที่มีกำลังใจสูงกว่า ซึ่งเห็นว่าเราเดินทางผิด แล้วเราเองก็เพิ่งจะยอมรับเป็นครั้งแรกว่าผิด เพราะก่อนหน้านั้นอกุศลครอบงำอยู่ ไม่เคยยอมรับว่าผิด ก็จะอยู่ลักษณะนี้ไปเรื่อย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-07-2012 เมื่อ 16:52 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
ถาม : เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือครับ ?
ตอบ : เป็นมานับชาติไม่ถ้วน เราจะเห็นว่าสำคัญตรงบุญกุศล เพราะฉะนั้น..ถ้าเราสร้างบุญกุศลไว้ไม่ให้ขาดช่วง บุญกุศลหนุนนำอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ก็เท่ากับเราใส่เกราะ แม้จะออกรบรบโดนอาวุธบ้างก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บสาหัสนัก ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : แค่ดูกำลังใจของเราก็รู้ ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ไหม ? มีอิจฉา ริษยา อาฆาตพยาบาทอยู่ไหม ? ทั้งที่กำลังใจของเรารู้ว่า เขาทำอย่างนั้นเป็นเพราะอกุศลกรรมชักจูงเขา แต่การกระทำของเขามากระทบกระทั่งเรา เราก็พยายามให้อภัยเขา แต่เนื่องจากว่ากำลังใจเรายังต่ำอยู่ คิดให้อภัยเขาไปพักหนึ่ง เดี๋ยวก็คิดว่า “มันว่ากูนี่หว่า” ตัวโทสะกำเริบขึ้นมาใหม่ ตัวอาฆาตพยาบาทก็ “เดี๋ยวกูจะเอาคืน” ไปเรื่อยแหละ แต่พอนึกขึ้นมาใหม่ก็ “เออ..อภัยให้เขาเถอะ” จะยื้อกันไปยื้อกันมา จนกว่ากำลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเหนือกว่า ทีนี้ก็จะลากยาวไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2012 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
พระอาจารย์ใช้ให้ลูกศิษย์ไปเปิดไฟ แล้วกล่าวโยงไปถึงเรื่องฤทธิ์ว่า "ถ้าจะใช้อิทธิฤทธิ์เปิดไฟก็ต้องเจริญปฐวีกสิณให้มาก บังคับอากาศให้แข็งตัวแล้วนึกกดลงตรงสวิทช์ไฟ แต่นี่ใช้ให้คนอื่นไปเปิดให้เป็นบุญฤทธิ์ เมื่อสั่งสมไปถึงระดับหนึ่ง สามารถบอกแล้วมีคนทำให้ อันนี้เรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องขำ
ท่านผู้รู้ถึงได้เปรียบเทียบไว้ว่า อิทธิฤทธิ์สู้บุญฤทธิ์ไม่ได้ แต่บุญฤทธิ์ก็สู้วิบากกรรมไม่ได้ ต่อให้มีบุญมากขนาดไหน ถ้าวิบากเข้ามาถึงก็ต้องเสวยผลนั้นไปก่อน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2012 เมื่อ 17:03 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
มีโยมที่ตั้งครรภ์อยู่มาทำบุญ แล้วเอาเข็มกลัดกลัดติดอกเสื้อมา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ถ้าใกล้คลอดอย่าทำอย่างนั้นนะ โบราณเขาถือ อะไรที่ขมวด ขัด กลัด พวกนี้เขาจะไม่ให้อยู่ใกล้ตัว เพราะกลัวว่าจะคลอดลูกไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2012 เมื่อ 17:03 |
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าวาระบุญของเราจะรวย เรานั่งเฉย ๆ ก็ได้สิครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ถ้านั่งอยู่อาจจะมาไม่ถึง เพราะว่าความดีมีหลายองค์ประกอบ พอขาดไปองค์ประกอบหนึ่งก็มาไม่ถึงแล้ว ถาม : ในเมื่อผมเชื่อมั่นว่า ผมต้องรวยแน่ ๆ ผมก็รอได้ ตอบ : ก็ใช่..แต่คราวนี้อาจจะต้องมีองค์ประกอบหนึ่ง คือต้องทำถึงจะได้ องค์ประกอบอื่นถึงจะมา ในเมื่อองค์ประกอบไม่ครบคุณก็นั่งรอไปสิ ถาม : กรรมชั่วก็เหมือนกันสิครับ ถ้าเรานั่งเฉย ๆ ก็ไม่ส่งผลเหมือนกันสิครับ ? ตอบ : ส่ง..ผลของกรรมชั่วมักจะเล็งตรง มาเร็ว ไม่ค่อยแยแสเรื่องอื่น เหมือนกับนิสัยเราตอนทำความชั่วที่ไม่สนใจอะไร ตัดสินใจทำรวดเร็ว แต่เรื่องของกรรมดีต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ต้องอาศัยเพื่อนกระตุ้น ต้องอาศัยพระเทศน์ ต้องอาศัยกำลังใจที่ใฝ่ดีของเรา เราจึงจะกระทำความดีได้ มีองค์ประกอบเยอะกว่ามาก ในเมื่อองค์ประกอบมีหลายอย่างกว่า เราทิ้งองค์ประกอบเสียอย่างหนึ่ง อย่างอื่นก็ไม่มาแล้ว ตัวนี้ต้องไปศึกษายถากัมมุตาญาณ ถ้าหากว่าเข้าถึงจริง ๆ จะเห็นว่าละเอียดยิบย่อยมากเลย ถาม : อย่างนั้นเราก็ต้องขยันอย่างเดียว ? ตอบ : ขยันอย่างเดียว จะมาหรือไม่มาก็ช่าง ถ้ามาก็ได้กำไร ไม่มาเราก็ได้อยู่แล้วเพราะเราทำเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2012 เมื่อ 17:04 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
ถาม : เราป้องกันไม่ให้วาระกรรมส่งผลได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ต้องทำความดีใหญ่ให้สม่ำเสมอต่อเนื่องกัน ความดีใหญ่ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำได้ต่อเนื่องกัน กำลังความดีก็ส่งเราห่างจากผลกรรมชั่วไปเรื่อย ๆ ถ้าดีถึงที่สุดก็ตามไม่ทันเลย ถาม : ถ้าดวงตกเล่าครับ ก็ทำเหมือนเดิม ? ตอบ : เหมือนเดิม อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยบรรเทา อย่าให้ผลกรรมชั่วเกิดเต็มที่ เพราะถ้าผลกรรมชั่วเกิดเต็มที่ เราอาจจะถึงตายเลย ถาม : แล้วถ้าอยากให้บุญส่งผลเร็ว ๆ เล่าครับ ? ตอบ : ก็ทำความดีเยอะ ๆ ทำหนัก ๆ แต่ที่เยอะ ๆ หนัก ๆ นี่ไม่ได้หมายถึงในเรื่องของทาน แต่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่าเป็นสมาธิกับภาวนา ถ้ากำลังใจของเราเข้มข้น สมาธิยิ่งสูงเท่าไร บางทีแค่คิดก็ได้แล้ว พอปฏิบัติไปถึงระยะหนึ่งห้ามคิดนอกลู่นอกทาง เดี๋ยวได้จริง ๆ ล่าสุดอาตมาคิดจะเปลี่ยนโน้ตบุ๊กให้น้องเล็ก (จิราพร ซื่อตรงต่อการ) เขาทำงาน เพราะว่าของเดิมเก่ามากแล้ว หมดสภาพขนาดทำไปดับไป ก็ปรึกษากันอยู่จนกระทั่งควักเงินเตรียมจะให้เขาไปซื้อ ปรากฏว่าไปค้นในกองสังฆทาน เจอโน้ตบุ๊คมา ๑ เครื่อง เขาถวายมากี่วันแล้วก็ไม่รู้ ไม่ได้ดูหรอก ถาม : เมตตาท่านคิดให้ผมรวย ๆ บ้างสิครับ ตอบ : ไม่กล้าคิด..กลัวตัดของตัวเองไปหมด..! ถาม : การตัดความโลภยากนะครับ ? ตอบ : เป็นเรื่องปกติ อย่างเราถึงโลภก็ไม่ได้ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม ตัวคิดอย่างเดียวใคร ๆ ก็คิดได้ แต่อย่าไปลงมือทำก็แล้วกัน ถ้าเราอยากได้ก็ทำให้ถูกต้องเป็นสัมมาอาชีวะ ถ้าทำผิดเมื่อไรก็กลายเป็นมิจฉาอาชีวะ ถาม : แสดงว่าทุกชีวิตต้องเคยชั่วสุด ๆ มาแล้ว ตอบ : ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นเช่นนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2012 เมื่อ 17:06 |
สมาชิก 225 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "กายกรรม..การกระทำทางร่างกาย วจีกรรม..การกระทำทางวาจา สามารถที่จะระงับได้ง่ายกว่า ส่วนมโนกรรมเป็นของละเอียดจึงระงับได้ยาก แต่เราต้องระงับในลักษณะที่ว่า อยากจะคิดก็คิดไป แต่เราจะไม่พูดและไม่ทำ
ถ้าอย่างนั้นความชั่วก็ไม่ครบองค์ประกอบ จะชั่วได้แค่ใจอย่างเดียว กายกับวาจาไม่ทำ โทษหนักก็ไม่มี มีแค่โทษเบาคือกำลังใจที่เศร้าหมองเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2012 เมื่อ 18:31 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
ถาม : ผมไปอยู่ต่างประเทศและเพิ่งกลับไทยมาเมื่อไม่นานมานี้ และเห็นว่าพื้นที่รอบ ๆ ข้างตัว แต่ละชีวิตจะคิดอะไรก็ได้ จะปรุงแต่งอะไรก็ได้ ทีนี้ความคิดในตัวเราเอง จะคิดปรุงแต่งอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าเป็นเหมือนธรรมชาติ จิตของเราถ้าเข้าไปยึดมั่นในความหลงความอยาก ก็จะเป็นผลสะท้อน เป็นผลข้างเคียง เป็นอารมณ์ เป็นบทละครยาวมาก มีร้องไห้ เสียใจ
ตอบ : โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส มีครบถ้วนเลย ถาม : หลวงพ่อฤๅษีก็เมตตาผมหลายอย่างเหมือนกันครับ ตอบ : ใครก็ตามที่ทำงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หรือว่าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านจำเป็นต้องสนับสนุน เพราะว่าปัจจุบันนี้ท่านทำหน้าที่รักษาการณ์พระพุทธศาสนาอยู่ จะบอกว่าเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าก็ได้ กว่าท่านจะพ้นหน้าที่นี้ยังเหลืออีก ๒๒ ปีเต็ม ๆ สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระที่ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ จะมากราบลาหลวงพ่อเพื่อขอไปพระนิพพาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราพูดกันได้ แต่ว่าคนที่ไม่เข้าใจเขาก็หาว่าเราปั้นเรื่องขึ้นมาเชิดชูครูบาอาจารย์ ถาม : ในพื้นที่ต่าง ๆ บนโลก การจะสื่อสารกันได้ ต้องให้บริเวณพื้นที่นั้นรับรู้และตกลงก่อน ตอบ : โดยมารยาท ไปที่ไหนก็ตามต้องบอกเจ้าของที่ก่อน หลังจากเจ้าของที่เขาตกลงไม่ขัดคอ ทุกอย่างก็จะเรียบง่าย สะดวกสบาย คล่องตัว ถ้าเขาไม่เห็นด้วยเราก็จะสะดุดหัวทิ่มหัวตำ จริง ๆ แล้วงานทุกอย่างก็เหมือนกัน ในโลกของความเป็นทิพย์เขาไม่ได้แบ่งแยกเขตแดนเหมือนโลกมนุษย์ เขาแบ่งเป็นภพภูมิ ฉะนั้น..ความหยาบละเอียดจึงต่างกัน เขาเห็นชัดว่าใครเป็นใคร อย่างเรานี่เห็นหน้าแต่ก็ไม่รู้จักใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2012 เมื่อ 18:33 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
ถาม : ผมขึ้นไปพม่ามาครับ ไปมา ๗ วัน ประทับใจเจดีย์โบตาทัวที่ย่างกุ้งมากครับ
ตอบ : พม่าเรียกว่าโบตะเทา บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่ ๑ เส้น โบ คือนายทหาร ตะเทา แปลว่าหนึ่งพัน ความหมายก็คือ นายทหารหนึ่งพันนายลงทุนร่วมกันสร้างเจดีย์นี้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ศาลาทางด้านข้างจะมีพระประธานอยู่องค์หนึ่งที่เป็นเนื้อสำริดแก่ทอง องค์นั้นโดนอังกฤษยึดไป ๔๐ กว่าปี กว่าจะได้คืนมา อาตมาไปเมื่อไร พอไหว้พระเกศาธาตุเสร็จก็อยู่ตรงพระประธานองค์นั้นแหละ ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก ภาษาอังกฤษแบบพม่าเขาเขียนอย่างหนึ่ง แต่อ่านอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นออกเสียงไม่ถูกหรอก จริง ๆ อ่านว่า โบตะเทา ตรง ๆ เลย ตะเทาคือหนึ่งพัน ถ้าตะเต๊า คือ หนึ่งหมื่น อย่างโบอองซาน ท่านนายพลอองซาน นายทหารหนึ่งพันช่วยกันสร้างขึ้นมา ถาม : ผมประทับใจเจดีย์โบตะเทามากกว่าเจดีย์ชเวดากอง ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราเคยมีความผูกพันมาในสถานที่นั้นมากน้อยอย่างไร อย่างอาตมาเองไปทั่วประเทศพม่าเลย ที่ติดใจที่สุดคือเจดีย์เมียะตะลูนที่เมืองมะกูย มะกูยถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษออกเสียงมาเกว แต่ความจริงออกเสียงว่ามะกูย มีโอกาสลองไปดู เป็นเจดีย์ที่ไม่ใหญ่เลย แต่เวลาเราไปเหมือนกับท่านเปล่งแสงออกมาเองได้ อร่ามเรืองไปหมด อยู่กลางแดดร้อน ๆ ไม่รู้สึกร้อนเลย เพราะฉะนั้น..ขึ้นอยู่กับความผูกพันเดิม ๆ ของเรากับแต่ละสถานที่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2012 เมื่อ 18:34 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#112
|
||||
|
||||
ถาม : ได้ไปกราบหลวงปู่เท้าหอมด้วยครับ
ตอบ : ท่านยังอยู่หรือ ? ตอนอาตมาไปท่านอายุ ๙๐ กว่าปีแล้ว อยู่ที่บ้านกงโลง เมืองปินดายะ ต้องขึ้นรัฐฉานไปก่อน จากรัฐฉานถ้าเราวิ่งขึ้นถึงตองยี ต้องนั่งรถย้อนลงมาให้ถึงเมืองปินดายะ แล้วก็ออกไปที่บ้านกงโลง จึงจะเจอท่าน ตอนที่อาตมาไปคราวนั้นถือว่าไปสาย ปกติเขาบอกว่าท่านรับแขกตอนบ่ายครู่เดียว ปรากฏว่าตอนไปถึงก็ตัดใจว่าเรามาผิดเวลา เพราะไปถึง ๙ โมงครึ่ง ไม่เป็นไร..ขอทำบุญกับท่านก็พอ ควักเงินกำลังหยอดตู้อยู่ ท่านเดินมาข้างหลังเฉยเลย แล้วญาติโยมที่รออยู่ ๑๐ กว่าคนก็ดีใจจนน้ำตาไหล กราบทำบุญกับท่าน หลังจากนั้นท่านเดินกลับ ปิดประตูต่อ ท่านออกมาพบแค่นั้นจริง ๆ ท่านเห็นว่าพวกเรากำลังใจดี ในลักษณะว่าไปเพื่อบุญจริง ๆ จึงออกมาสงเคราะห์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2012 เมื่อ 18:35 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#113
|
||||
|
||||
ถาม : ช่วยอธิบายเรื่องของจักระกลางหน้าผากหน่อยครับ
ตอบ : จริง ๆ ก็ เป็นเรื่องของทิพยจักขุญาณนั่นแหละ เพียงแต่ว่าทางด้านทิเบตเขามีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์สูงมาก เขารู้ว่าพวกต่อมไพเนียล ถ้าได้รับการกระตุ้นในระดับหนึ่ง จะช่วยสร้างทิพยจักขุญาณได้ เขาก็เลยใช้วิธีกระตุ้นด้วยการเจาะหน้าผากแล้วฝังสมุนไพรลงไป อาจจะเป็นไปได้ว่า พอได้รับการเจาะแล้วฝังสมุนไพร ทำให้ความรู้สึกไปจับอยู่ตรงนั้นได้ชัดเจนขึ้น แน่วแน่ขึ้น ก็เลยทำให้เกิดตาที่สามขึ้นมาได้ แต่ว่าตาที่สามจริง ๆ ไม่ได้เห็นตรงนั้น ยัง เห็นด้วยใจเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเขาอาศัยการแพทย์มาเสริมเข้าไป ซึ่งก็คือจักระตรงกลางหน้าผากนั่นแหละ ถาม : กลางหน้าผากจะโล่งไปตลอดใช่ไหมครับ ? ตอบ : จริง ๆ คนที่สามารถเห็นพวกนี้ได้ไม่ต้องเสียเวลาไปทำหรอก เขาเป็นอยู่แล้ว อินเดียเขาเรียกว่า กุณฑาลินี เขาบอกว่าเป็นแหล่งพลังงานมหาศาล ถาม : แล้วการที่เราใช้กำลังตัวเอง กับการใช้คาถาของครูบาอาจารย์ ผลก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งใช่ไหมครับ ? ตอบ : จริง ๆ แล้ว สมควรที่จะใช้คาถาแล้วอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ช่วย เพราะไม่อย่างนั้นเท่ากับว่าเราไปฝืนกรรม ผลนั้นจะตกแก่เรา ถ้าหากว่าเราขอบารมีครูบาอาจารย์ ท่านจะได้คอยกันให้หรือไม่ก็รับไปแทน ถาม : อย่างเวลารับขันครู ? ตอบ : ใช่..ไม่อย่างนั้นก็รับเละอยู่คนเดียว กระแสกรรมเหมือนกับลูกปืนที่ยิงมา แล้วเราไปยืนขวางจะโดนใคร ? ก็โดนเรานั่นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2012 เมื่อ 18:38 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#114
|
||||
|
||||
ถาม : ช่วยแนะนำวิธีการรู้ด้วยตนเอง ให้เข้าใจชัดเจนหน่อยครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก แค่เรากำหนดความรู้สึกว่าอยากรู้เรื่องอะไร แล้วก็ทิ้งความรู้สึกนั้นเสีย จากนั้นก็ภาวนาทรงอารมณ์ให้เต็มที่ คลายออกมาแล้วอธิษฐานขอใหม่อีกทีก็จะเป็นแล้ว แค่นั้นเอง อย่างคุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกฝนอะไรมากมายแล้ว ถาม : การรู้นี่ให้รู้ด้วยตัวเองเลยนะครับ ไม่จำเป็นต้องมีนิมิต ? ตอบ : ให้ระมัดระวังไว้ด้วยว่า ไม่ใช่เฉพาะงานเพิ่มขึ้นเท่านั้น เรื่องก็จะเพิ่มขึ้นด้วย พอเรารับรู้ได้ก็เหมือนกับโทรศัพท์ติดต่อกันได้ ต่อไปเราก็รับเละอยู่คนเดียว ถาม : คำว่างานเพิ่มขึ้นกับเรื่องเพิ่มขึ้นเป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : อย่างเช่น เขาขอให้ทำนั่นทำนี่ หรือไม่ก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามา เรารับรู้มากเกิน บางทีก็ไปแบกเอาไว้แทนจนเครียด บุคคลบางประเภท ถ้าหากมารขวางตรง ๆ ไม่ให้เขาเข้ามรรคผล คนประเภทนี้จะสู้ตะบันราด เพราะเขารู้ว่าผ่านได้แน่ เขาก็จะไม่ขวางด้วยวิธีนั้น แต่จะดึงให้ไปทำงานชิ้นนั้น ทำงานชิ้นนี้ ซึ่งเป็นงานเพื่อส่วนรวม เป็นอานิสงส์ใหญ่ที่เราเห็นอยู่ จะดึงเราไปทำตลอด จนเราไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อมรรคผลของเราเอง ซึ่งเป็นวิธีขวางของเขาอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าไปรู้เข้า เรื่องพวกนี้จะเข้ามาเยอะ ถาม : ก็จริงครับ ตอบ : เขาไม่ได้ขวางเรา เขารู้ว่าถ้าขวางเราสู้ แล้วนิสัยอย่างเรานี่ผ่านได้แน่ เขาก็ใช้วิธี “คนนั้นน่าสงสาร ไปช่วยเขาหน่อย” “สถานที่นี้น่าบูรณะ เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ไปทำเสียหน่อย” ทำเราให้มีงานอยู่ตลอด จนไม่มีเวลาปฏิบัติของเราเอง ถาม : กรณีอย่างว่า เราต้องละวางดีใช่ไหม ? ตอบ : ใช่..ถึงเวลาแม้แต่ดีก็ต้องละ ถาม : การทำอะไร ถ้าเราเองทำทางเดียวเหมือนกับว่าจะมีตัวล่ออยู่ แต่ถ้าขยายไปหลาย ๆ ทางแล้วเราเลือกเอง จะดีกว่าไหมครับ ? ตอบ : ดีกว่า..แต่ว่าเราต้องไม่ลืมเป้าหมายของเรา ถ้าเราลืมเป้าหมายเดี๋ยวก็โดนจูงไปไกลอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2012 เมื่อ 18:04 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#115
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวกับคณะโยมที่ศึกษาเกี่ยวกับการต่อสู้แบบมวยไชยาว่า "ในเรื่องที่เราศึกษานั้น เป็นมรดกที่เป็นภูมิปัญญาไทย แล้วช่วยกันรักษาเอาไว้ แต่ระยะหลังนี้มีหลายสำนักเกิดขึ้นมา ต่างคนต่างกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นของเทียม สำนักของตนจึงเป็นของแท้ จึงสร้างปัญหากันขึ้นมา เพราะฉะนั้น..บางทีเรื่องกิเลสคน เราต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ อยากจะว่าอย่างไรก็ว่าไป เราใช้ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2012 เมื่อ 18:05 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#116
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมเวลาสวดบังสุกุลสะเดาะเคราะห์ จึงให้โยมเอาจิตอยู่ที่นิพพาน ?
ตอบ : กำลังใจเราต้องมุ่งสูงสุดก่อน ถ้าไปไม่ได้สูงที่สุด ก็ยังไปได้มากที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2012 เมื่อ 18:06 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#117
|
||||
|
||||
ถาม : มีคนประสบอุบัติเหตุกระดูกสันหลังหัก ควรทำบุญอย่างไรเพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นครับ ?
ตอบ : "ให้คนเอาน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาทาแล้วนวดให้ ส่วนตัวเองภาวนาอิติปิโสฯ ทั้งบทไปเลยก็ได้ ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ น้ำมันชาตรีวัดท่าซุง ถ้าหากว่าจะรักษาโรคให้อธิษฐานแล้วลองทาดูก่อน ถ้ารู้สึกปกติหรือรู้สึกเย็นแสดงว่าโรคนั้นรักษาได้ ถ้ารู้สึกร้อนแปลว่าเกินกฎของกรรม ไม่สามารถที่จะฝืนได้ หลังจากนั้นจะกินหรือทาก็แล้วแต่ ถ้ารู้สึกปกติเหมือนกับน้ำมันทาผิวเฉย ๆ หรือว่ารู้สึกเย็นรักษาได้แน่ แต่ถ้ารู้สึกร้อนไม่ต้องรักษาเลย กรรมนั้นเราจำต้องรับ เดี๋ยวเอาไว้ตอนอาตมาแก่กว่านี้ จะขออนุญาตพระท่านทำบ้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ในชีวิตท่านเห็นหลวงปู่ปานกับอาจารย์โภคาทำได้แค่ ๒ องค์เท่านั้น แล้วก็ทำได้คนละครั้งเดียว หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านเองท่านไม่แน่ใจ เมื่อพระอนุญาตท่านก็ทำเสียเต็มที่เลย สั่งน้ำมันงาจากโรงงาน ๓๐๐ ปีบ ไปเข้าพิธี น้ำมันชาตรีดีตรงที่ว่าเติมไปได้เรื่อย ๆ เติมเท่าไรอานุภาพก็ยังเท่าเดิม แต่ให้เอาของเก่าเททับของใหม่ อย่าเอาของใหม่เททับของเก่า ถ้าเอาของใหม่เททับของเก่า จะเหมือนกับเราเอาของไปเทใส่หัวพระ ในเมื่อไม่มีความเคารพท่านก็ไม่สงเคราะห์ให้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2012 เมื่อ 18:07 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#118
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่เราเอาจิตเกาะพระนิพพาน อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวพอเคยชินเข้า อารมณ์นั้นก็จะเป็นของเราเอง ฉะนั้น..เกาะนิพพานให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติ สภาพจิตที่เคยชินกับการปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง พอไปนาน ๆ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดได้ กำลังกิเลสถอยลงไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดกิเลสก็จะหมดไปเอง นี่เป็นการบรรลุมรรคผลแบบเจโตวิมุติ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2012 เมื่อ 18:08 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#119
|
||||
|
||||
ถาม : ตัว "พาวเวอร์" หรือเก่ง ผมเห็นว่ายังแยกออกมาเรื่อย ๆ คือ มันไม่ใช่เรา แต่ตัวอื่นก็ยังมีกิเลสแฝงอยู่อีกเยอะ ?
ตอบ : นั่นแหละตัวกิเลสเลย "ตัวกู ของกู" ภาษาพระเรียกว่า "อหังการ มมังการ" ถาม : เห็นไปเรื่อย ๆ เป็นธรรมดาหรือครับ ? ตอบ : เห็น..ควบคุมให้อยู่ รู้ให้เท่าทันก็พอ ถาม : บางทีมันก็พยายามสร้างเรื่อง ตอบ : หน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่หลอก เรามีหน้าที่หลบหลีก หนีไปให้ได้ ถาม : แล้วมีวิธีหยุดอย่างไรครับ เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ในการปฏิบัติธรรม ? ตอบ : รู้เท่าทันแล้วก็วาง วิ่งเข้าหาศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลัก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2012 เมื่อ 18:10 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#120
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์ที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่จะนำพระบรมสารีริกธาตุและบรรจุของมีค่าที่สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกนั้น พระครูไพโรจนภัทรคุณ วัดสระพัง ท่านถวายพระพุทธรูปทองคำร่วมบรรจุด้วย ๑ องค์ น้ำหนัก ๑๔ บาท ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-07-2012 เมื่อ 10:25 |
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|