|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้มีอาชีพบางอย่างที่เราก็นึกไม่ถึง ก็คือการไปเที่ยวแล้วมาทำรีวิวสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะที่กิน ที่เที่ยว ที่พัก เอาไปลงอินเตอร์เน็ตแล้วก็รับเงิน เท่ากับว่าได้เที่ยวไปเรื่อย ๆ มีคนจ้างให้เที่ยว...ว่าอย่างนั้น
คราวนี้ในส่วนที่จะพูดก็คือเรื่องการกิน ส่วนใหญ่แล้วจะไปอยู่ในลักษณะที่ว่า เลือกสถานที่มีอาหารอร่อย ราคาไม่แพงได้ยิ่งดี ซึ่งในส่วนนี้แต่เดิมเรามีแต่รายการแนะนำอาหารอย่างเดียว ก็คือรายการเชลล์ชวนชิม ของหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ วัตน์ ตัวนี้ วัตนะ ที่แปลว่า หมุนวน ไม่ใช่ วัฒนะ ที่แปลว่าเจริญ หลังจากนั้นก็มีคนเลียนแบบ ก็คือ แม่ช้อยนางรำ ก็เลยทำให้มีหลายคนที่ไปเลือกกินตามที่เขาแนะนำ ถ้าร้านอาหาร ร้านขนม ไม่ได้โด่งดังจนเป็นที่ได้รับการแนะนำจากคนจำนวนมาก หลายคนก็ไม่เข้าเลย ไม่เลือกไม่กินอาหารของร้านนั้น ก็เลยไปนึกถึงที่อรรถกถาท่านขยายความ ในส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลที่ประกอบด้วยอวิชชาแล้วหลุดพ้นไม่ได้ อรรถกถาขยายความว่า “มีบุคคลจำพวกหนึ่ง เมื่อถึงเวลาไปเกิดเป็นสัตว์ มีหญ้าเป็นอาหาร มีคูถเป็นอาหาร” คูถก็คือขี้นั่นแหละ “เพราะเขาทั้งหลายเหล่านั้น ติดในรสอาหารในขณะที่เป็นมนุษย์” ฟังแล้วสยองเหมือนกันนะ คนติดในรสอาหาร บางคนทำไม่ถูกใจก็โกรธ แต่สมัยนี้คนยึดติดในรสอาหารก็น้อยแล้ว เหตุที่น้อยเพราะเห็นว่าแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวนุ่งน้อยห่มน้อยมาขายแทน...! หนุ่มขายทุเรียนก็ต้องถอดเสื้อโชว์กล้ามล่ำบึ้ก แสดงว่าไม่ได้ติดในรสอาหาร ค่อนข้างจะปลอดภัย ไม่รู้ว่าไปติดอะไรแทน...! ถึงเวลาแม่ค้าส้มตำก็มีรายการตำไปเด้งไป มีคนแนะนำแล้วหนุ่ม ๆ ก็แห่กันไปเพียบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 10:55 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
"อาตมาโชคดีที่เกิดมาไม่เคยกินอะไรแล้วติดใจจนต้องไปกินซ้ำ แต่เวลาเจออาหารที่ไหนคิดว่าอร่อย อร่อยในที่นี้ก็คือไม่ใช่หวานเป็นขนม ยังคงเป็นรสดั้งเดิมแบบโบราณ ก็แนะนำให้คนแวะกินเหมือนกัน
สมัยนี้น่าเบื่อมาก ตอนที่เรียนปริญญาโทอยู่ ได้ต้อนรับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเว้ ถามเขาว่าอาหารไทยเป็นอย่างไรบ้าง ? “กินไม่ได้เลย หวานมาก” แสดงว่าอาหารไทยของเรามีชื่อมาก...ใช่ไหม ? กินไม่ได้เลย ก็ถามว่าแล้วกินอะไรบ้าง ? “กินได้แต่ส้มตำ เพราะว่ามีหลายรสหน่อย ไม่ใช่หวานอย่างเดียว” ไม่รู้ใครที่ไปพูดว่าอาหารรสหวานเป็นอาหารชาววัง เล่นเอาชาววังเสียหายหลายล้าน อาหารในวังของเขาสารพัดรสชาติ โดยเฉพาะอาหารไทยเรามีของหวานหลังอาหารอยู่แล้ว ดังนั้น...มีอาหารไทยไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่ติดไปทางรสหวาน อย่างพวกแกงบอน แกงหมูชะมวงพวกนั้น ถ้าอย่างอื่นนี่รับรองว่าห่างไกลรสหวานหลายกิโลเมตรเลย ปัจจุบันพวกเราก็ติดรสหวานเสียจนชิน ไม่มีการต่อว่าแม่ค้าเลย แม่ชีที่วัดท่าขนุนก็เคยทำอาหารรสหวาน จนอาตมาต้องสั่งให้เอาน้ำตาลออกจากครัวไปเลย ปัจจุบันนี้ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย ที่อนาถที่สุดก็คือแกงส้มแล้วหวาน มาได้อย่างไร ? แกงส้มต้องเปรี้ยวนำ เผ็ดตาม แล้วถึงจะเค็ม อันนี้เอาหวานนำ ส้มแปลว่าเปรี้ยว ไม่ได้แปลว่าหวาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 10:57 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
"บ้านใครที่ทำอาหารติดรสหวาน จงโวยแม่ครัวหรือแม่บ้านได้แล้ว บอกว่าจะเป็นเบาหวานกันทั้งประเทศแล้ว ประเทศอื่น ๆ เขาบริโภคน้ำตาลกันเฉลี่ยวันละ ๔-๖ ช้อนชา ไทยเราเจ๋งมาก ๘-๑๒ ช้อนชา มากกว่าเขา ๒-๓ เท่าเลย
เรื่องของการบริโภคของหวานมาก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนสมัยนี้ใจร้อนใจเร็ว ทะเลาะเบาะแว้งกันมาก เพราะอย่างสมัยอาตมาเด็ก ๆ ถ้าจะให้หมาดุเขาจะให้กินข้าวเหนียวคลุกน้ำตาล เพราะว่าเวลาความหวานเข้าไป ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่าน แล้วหมาก็จะหงุดหงิดไล่กัดกระจาย คราวนี้คนเราบริโภคหวานมากไป ก็เลยทะเลาะกันง่าย ขับรถปาดหน้ากันหน่อยหนึ่ง ก็ลงไปไล่ยิงไล่ฟันกันกลางถนน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
ถาม : กินยาคูลท์บาปหรือเปล่า ?
ตอบ : จะไปบาปตรงไหน ? ถาม : มีเชื้อจุลินทรีย์ ? ตอบ : พวกนั้นเป็นจุลินทรีย์ที่ลงไปโตในท้องของเรา ไม่ได้ตาย กินลงไปเยอะ ๆ เลย แต่ขออภัยนะ...กินนมเปรี้ยวก็เท่ากับกินน้ำตาลดี ๆ นี่เอง บ้านเราเครื่องดื่มที่เข้าน้ำตาลมากที่สุดก็คือนมเปรี้ยว เพราะต้องการจะไปกลบรสเปรี้ยวของนม บางคนบอกว่ากินแต่นมเปรี้ยวเพื่อลดน้ำหนัก...ฝันไปเถอะ อิ่มก็ไม่อิ่ม แถมยังอ้วนอีกต่างหาก ยี่ห้ออะไรที่ขวดสูงประมาณเท่านี้ เป็นยี่ห้อหลัง ๆ ไม่ใช่ยี่ห้อแรก ๆ ใส่น้ำตาล ๘ ช้อน เอาไว้เลี้ยงจุลินทรีย์ด้วย แล้วก็เอาไว้กลบรสเปรี้ยวด้วย กินนมเปรี้ยวขวดแค่นี้เจอน้ำตาลไป ๘ ช้อน ใครเคยกินก็ช่วยอุดหนุนของเขาต่อไปนะ ไม่ใช่เดี๋ยวบริษัทเขาเจ๊งจะมาโทษอาตมาอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 13:58 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
ถ้าจะกินนมเปรี้ยวต้องกินแบบคนอินเดีย...ที่เรากินไม่ได้ เขาหมักนมเปรี้ยวไว้ในหม้อดิน เปรี้ยวยิ่งว่ามะนาวอีก ถ้าบอกว่ากินเพื่อให้ระบาย เราไปกินนมเปรี้ยวอินเดียนี่ไม่ใช่ยาระบาย เป็นยาถ่ายขนาดหนักเลย แต่พวกแขกเขาก็สุขภาพดีกันทุกคน ทั้ง ๆ ที่อาหารก็มีแต่ถั่วกับแป้ง ก็เพราะว่าเขากินนมเปรี้ยวเป็นหลัก
ตอนนี้ลูกสาวคนหนึ่งลดน้ำหนักไป ๒๐ กว่ากิโลกรัมแล้ว ปกติจะกินนมวันละ ๒ ลิตร ก็แค่เลิกกินนมเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่สมัยนี้เขากินแต่นมหวาน นมจืดขายไม่ค่อยออก นมจืดของอาตมาเอาไว้เลี้ยงลูกหมา ตอนนี้ไอ้ซูโม่ตัวแค่อ้วนบึ้กเลย แม่หมาตัวเล็กนิดเดียวออกลูกมา ๙ ตัว ลูกสัตว์ถ้ากินถึง ๆ จะตัวใหญ่มาก ครอกนี้ ๙ ตัวเหลืออยู่ ๔-๕ ตัว ตัวไหนสวยมากก็หายก่อน เล่นเอาแม่ชีนั่งร้องไห้ร้องห่มที่ลูกหมาหาย อาตมาเองดูแล้วก็ แหม...เลี้ยงหมาก็ติดหมา เลี้ยงคนก็ติดคน ไปไหนไม่รอดหรอก เดี๋ยวก็ได้เกิดเป็นเห็บหมาสักวัน เลี้ยงไอ้ปั๊กก็ติดไอ้ปั๊ก...ใช่ไหม ? โชคดีที่ตายไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 14:00 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ได้ยินว่ารัฐบาลจะออกบัตร เรียกว่าบัตรคนจนก็แล้วกัน สามารถใช้ซื้อของได้ ขึ้นรถเมล์ได้ แต่ไม่มีการสะสมยอด ถ้าใช้ไม่หมดก็ตัดทิ้ง ก็ต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่น ๆ ล้าน ซึ่งก็คือนโยบายประชานิยมอย่างหนึ่งนั่นแหละ แต่เขาเปลี่ยนใหม่เป็นประชารัฐ ก็แค่วาทกรรมหรู ๆ ว่าทำไม่เหมือนรัฐบาลเก่าที่กล่าวหาว่าเขาทำไม่ดี
ในเมื่อคำพูดไม่เหมือนกัน แม้ว่าผลการกระทำจะเป็นอย่างเดียวกันก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่ได้ว่าอะไรหรอก เป็นห่วงแค่ว่าคนอยากจนมีมาก พวกที่ไปลงทะเบียนคนจนแต่ไม่จนจริงเยอะมาก เป็นภาระของรัฐบาลที่ต้องแก้ไข เราปฏิบัติธรรมของเราไปก็แล้วกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 14:01 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
พระอาจารย์ให้โอวาทกับโยมว่า "มีวิธีหนีสาวอยู่อย่างหนึ่งคือบวชนาน ๆ ผู้หญิงสมัยนี้ใจร้อน บวชสักปี ๒ ปี เขาก็ไม่รอแล้ว แต่อย่าไปเจอสาวแบบอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ท่านอาจารย์สมเด็จบวชหนีอยู่ ๑๑ พรรษา เขาก็รออยู่ ๑๑ ปี สึกมาก็เสร็จเขาอยู่ดี ถ้าเจอประเภทนั้นก็ยอมรับชะตากรรมเถอะ..!
จะได้รู้ไว้ว่าคราวหน้าอย่าใจร้อนใจเร็ว หลวงพ่อเองสมัยฆราวาสมีสาวล้อมรอบเป็นฝูง แต่ต้องทำตัวเป็นแมวไม่กินปลาย่าง เพราะรู้ตัวว่าต้องบวช ส่วนใหญ่แล้วพวกเราสู้กิเลสไม่ได้ ในเมื่อสู้ไม่ได้ก็ไหลตามกิเลสไป ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เหลือก็ต้องแก้ไขไปตามหน้างาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 21:35 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านต่างจังหวัดของใครโดนน้ำท่วมแล้วบ้าง ? ปีนี้น้ำท่วมหลายระลอก ฉะนั้น...ใครยังไม่โดนก็อย่านิ่งนอนใจ เพียงแต่ว่าตอนนี้คลังวัดท่าขนุนเกือบหมดแล้ว ก่อนตักบาตรเทโวต้องล้างคลังอีกรอบ ไม่เป็นไรหรอก...ชาวบ้านเดือดร้อน พระจะไปตุนอะไร ก็ต้องเทให้เขาหมด ถึงเวลาชาวบ้านลวกบะหมี่ เราก็ไปบิณฑบาต...แบ่งกันกิน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 21:36 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้างานออกพรรษา ตักบาตรเทโว อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อน ๓ วัน โผล่หน้ามาก็วันตักบาตรเทโวเลย ความจริงปีนี้คิดว่าไม่มีโอกาสเข้ากรรมฐานแล้ว เพราะว่าติดสอนที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่ปรากฏว่าเขาให้นิสิตหยุดเพราะว่าสอบนักธรรม ในเมื่ออยู่ ๆ ประกาศให้หยุด ก็เลยมีเวลา
สรุปว่าอะไรที่เป็นงานของพระท่าน อย่าไปเลี่ยงเสียให้ยาก ท่านหาวันให้จนได้แหละ ฉะนั้น...ใครจะไปทำบุญกฐิน ตักบาตรเทโว หรือทำบุญพระออกกรรมฐาน วันที่ ๖ ตุลาคมก็ไปพร้อมกันที่วัดท่าขนุน แล้วหลังจากนั้นก็ไปกฐินปลดหนี้กันอีกทีหนึ่งที่สกลนคร ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเป็นการอุปสมบทหมู่ ๙๙ รูป ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ เนื่องในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตอนนี้สมัครมาน่าจะเหลือ ๑๗-๑๘ รูปเท่านั้น สุภาพบุรุษท่านใดจะบวชถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ต้องบอกว่าเป็นงานครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่เคยบวชกับวัดท่าขนุนมาก่อน ต้องเข้าวัดตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม แล้วไปบวชวันที่ ๒๑ ตุลาคม สึกวันที่ ๒๖ ตุลาคม ความจริงอยากจะให้อยู่เลยวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ แต่ว่าฤกษ์ดีที่สุดดันเป็นวันที่ ๒๖ ตุลาคม ฉะนั้น...หลังถวายพระเพลิงแล้ว เราสึกหลังทำวัตรค่ำ ก็คงจะประมาณ ๒ ทุ่ม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2017 เมื่อ 21:40 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนกับบ้านเรา ประการแรก ความเคยชินไม่เหมือนกัน ประการที่ ๒ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน ประการที่ ๓ อาหารการกินไม่เหมือนกัน
ฝรั่งเวลาทะเลาะเบาะแว้งจะเคลียร์กันตรงนั้น แต่คนไทยเราทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าเคลียร์กันตรงนั้นก็ได้ฆ่ากันตาย ต้องรอให้ใจเย็นลงก่อน อย่างเดียวกับแขกอินเดีย ทะเลาะกันไป ผลักกันไป ดันกันมา ครึ่งค่อนวันไม่มีตีกัน ถ้าเป็นบ้านเราก็ทิ้งร่วงไปตั้งแต่ผลักครั้งแรกแล้ว..! เป็นธรรมเนียมของเขาในลักษณะที่ว่า การทำร้ายร่างกายเขาถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก แม้กระทั่งทางด้านตะวันออกกลางก็เหมือนกัน ผลักกันไป ดันกันมา กอดกันไป ปล้ำกันมา ท้ายสุดถอดรองเท้าฟาดหลังกัน ก็ไม่เห็นจะตีตรงอื่น ก็ตีแต่หลัง ไปเจอคนไทย หมัดเท้าเข่าศอกชุดเดียวกองกับพื้น แล้วก็โดนเขาเฆี่ยนเกือบตาย เพราะว่าไปทำร้ายคนของเขา ฝรั่งเขารักษาสิทธิส่วนตัวมาก ใครไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวมีโกรธ ไปด้อม ๆ มอง ๆ ในเขตบ้านเขา เราอาจจะไปหาเจ้าของบ้าน ไปชะโงกดูว่าเขาอยู่หรือเปล่า ? เขาโทรศัพท์แจ้งตำรวจเลย ที่ฝรั่งเขาทำอย่างนั้นแสดงออกให้เห็นชัดอย่างหนึ่งว่า เขามั่นใจในตัวบทกฎหมายและมั่นใจในผู้รักษากฎหมาย ว่าคุ้มครองเขาได้จริง ฉะนั้น..มีเรื่องอะไรขึ้นมา ถึงตำรวจไว้ก่อน คุณโดนจับแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูดอาจถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2017 เมื่อ 20:05 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
ถาม : สมัยนี้มีผ้าห่มกันยุงด้วยค่ะ ?
ตอบ : น่าจะเคลือบสารกันยุงสักอย่าง แต่สำหรับพระ ถ้าทำสมาธิดี ๆ ก็ไม่ต้องไปใช้จีวรกันยุง พอสมาธิทรงตัว อวัยวะภายในเกือบจะไม่ทำงาน ร่างกายเหมือนกับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ยุงจะตามความร้อนไม่เจอ ก็เลยไม่สนใจที่จะกิน เวลาอาตมานั่งรวมกับเพื่อน ๆ แล้วก็ขำ เพื่อนโดนกัดไปเถอะ ส่วนอาตมานั่งสบาย ยกเว้นบางช่วงโดนบังคับให้กินพวกยาโด๊ป ยาบำรุงเยอะ ๆ ถ้าอย่างนั้นร่างกายจะร้อน ในเมื่อร้อน ยุงก็หาเจอ ช่วงนั้นจะโดนกัดบ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2017 เมื่อ 20:06 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#112
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมแต่ละคนที่หายามาให้มักจะมั่นใจว่ายาที่ตัวเองนำมาดีเลิศประเสริฐศรี กินลงไปต้องหายแน่ อาตมาฉันให้มา ๓๐ กว่าปีแล้ว ไม่เคยหายสักโรค ถามว่าฉันทำไม ? ฉันเพราะไม่ให้เขาพูดว่าที่ไม่หายเพราะไม่กินยาของเขา
เราต้องเข้าใจว่าเรื่องของโรคว่าเกิดจากกฎของกรรม โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย เพราะพ้นวาระกรรม โรคบางอย่างต้องรักษาจึงจะหาย ไม่รักษาก็ตาย ส่วนโรคบางอย่างกรรมหนักมาก รักษาหรือไม่รักษาก็ตาย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#113
|
||||
|
||||
ถาม : กระเพาะปัสสาวะเป็นแผลครับ ?
ตอบ : ลองไปทำยาขมิ้นชันกับหญ้าแพรกของหลวงพ่อฤๅษีกิน ช่วยได้เยอะ ไปเปิดหาดูตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-09-2017 เมื่อ 21:23 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#114
|
||||
|
||||
ถาม : กรณีปฏิบัติ เราไม่รู้หรอกว่าเราขั้นไหน เราทำไปเรื่อย กับรู้ว่าเราขั้นไหนแล้ว ควรจะหาทางปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : วิ่งเข้าหาอารมณ์พระโสดาบัน รักษากรรมบถ ๑๐ ให้ได้...แค่นั้นก็พอ พวกเราเรียกว่าประเภทตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล เล็งหาปลาดี ๆ ตัวเดียวก็พอแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2017 เมื่อ 03:21 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#115
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำผึ้งฝรั่งกับน้ำผึ้งไทย อย่างไหนคุณภาพดีกว่ากัน ? ถ้าถือตามหลักแพทย์แผนจีนก็ต้องว่าของไทยดีกว่า เพราะว่าตำราแพทย์จีนให้เสาะหาอาหารและสมุนไพรใน ๓๐ ลี้รอบภูมิลำเนา ธาตุคนจะเหมาะกับสารอาหารในบริเวณนั้น ๑๕ กิโลเมตร อาตมาแปลงแล้วนะ แปลงมาจาก ๓๐ ลี้ของจีน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2017 เมื่อ 03:22 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#116
|
||||
|
||||
ถาม : ให้วิ่งเข้าหาพระโสดาบัน ถ้าหนูปฏิบัติได้ หนูมีโอกาสที่จะ...?
ตอบ : เรามีหน้าที่ทำ ส่วนจะทำได้แค่ไหนอยู่ที่ความสามารถตัวเอง ไม่ใช่ไปถามคนอื่นว่าจะทำได้แค่ไหน ตัวเองกินข้าวแล้วไปถามคนอื่นจะกินได้แค่ไหน แค่คิดก็บ้าแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2017 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#117
|
||||
|
||||
ถาม : ครั้งก่อนที่ผมมาถามว่าฝึกสมาธิได้ฌานแล้ว จะมาฝึกมโนมยิทธิ แล้วหลวงพ่อบอกว่าเลยไปแล้ว หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : สมาธิของเราสูงเกินไป มโนมยิทธิเป็นกำลังแค่อุปจารสมาธิ คราวนี้ตัวสมาธิของเราที่จะใช้เป็นทิพจักขุญาณ ถ้าไม่ขึ้นสูงสุดเลยก็ต้องต่ำสุด ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็นอะไร ของเราเหมือนกับอยู่กลางบันได ห้องบนก็ยังไม่ถึง ห้องล่างก็เลยมาแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2017 เมื่อ 17:50 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#118
|
||||
|
||||
ถาม : ไม่ทราบว่าฌาน ๔ ฌาน ๕ และอรูปฌาน ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ในส่วนของฌาน ๔ กับฌาน ๕ จริง ๆ เป็นอย่างเดียวกัน เพียงแต่ว่าบุคคลที่มีจิตละเอียดมากในลักษณะที่ต้องไปเป็นพระโพธิสัตว์สอนคนอื่นเขา จะเอาเอกัคตารมณ์คืออารมณ์ใจที่ตั้งมั่น แยกออกจากอุเบกขาได้ ก็เลยเป็น ๔ กับ ๕ แต่จริง ๆ เป็นอย่างเดียวกัน ถาม : ฌาน ๕ ก็คือเหลืออุเบกขาอย่างเดียว ? ตอบ : ใช่...เหลืออุเบกขาอย่างเดียว ส่วนอากาสานัญจายตนะคือเข้าไปจับความว่างของอากาศแทน ถาม : ถ้าจะฝึกอรูปฌานล่ะครับ ? ตอบ : จะฝึกอรูปฌานต้องได้กสิณกองใดกองหนึ่ง ที่ไม่ใช่อากาสกสิณและอาโลกกสิณ เพราะว่า ๒ ข้อนี้ใกล้เคียงกับอรูปฌาน บางทีเราจะแยกไม่ออก ถาม : แต่ถ้าเราได้อานาปานสติแล้วสามารถทำอรูปเลยได้ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ได้...ต้องมีรูปกสิณเป็นเครื่องกำหนด หลังจากที่กำหนดรูปจนกระทั่งคล่องตัวแล้ว เราค่อยตัดรูปทิ้งฝึกจนเป็นอรูปฌาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2017 เมื่อ 17:51 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#119
|
||||
|
||||
ถาม : การพิจารณาในฌานคืออะไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือการที่เราซ้อมเข้าออกจนกระทั่งชิน พอซ้อมจนกระทั่งชินแล้ว ก็สามารถที่จะคิดได้ทั้ง ๆ ที่เราทรงฌานอยู่ ถ้าหากว่าคนปกติจะคิดไม่ได้ จะนิ่งไปเฉย ๆ อย่างเดียว ถาม : แล้วผมเข้าไปนิ่งอย่างเดียวนี่เกิดจากอะไรครับ ? ตอบ : ก็เพราะว่าสภาพจิตของเราแน่นจนเกินไป ต้องซ้อมเข้าออกจนกระทั่งชินแล้ว ถึงจะสามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปคิดอย่างอื่นได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2017 เมื่อ 17:52 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#120
|
||||
|
||||
ถาม : อยากจะขอวิชากุมารทองของหลวงพ่อกวยครับ ?
ตอบ : ต้องไปขอหลวงพ่อกวย มาขออะไรตรงนี้ ? ถาม : ขอวิชาครับ ? ตอบ : มีแต่ของ ไม่ได้มีวิชา ถาม : วิชาจะทำแล้วได้ผลต้องทำอย่างไรครับ ? ตอบ : จะวิชาอะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยต้องฌาน ๔ คล่องตัวขึ้นไป ไม่อย่างนั้นก็ใช้ไม่ได้ผล ไปทำฌานสมาบัติให้ได้เสียก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2017 เมื่อ 19:33 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|