|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพวกเรายังไม่โดนตีกรอบ ก็จะไม่รู้ว่าสภาพจิตของเราดิ้นรนขนาดไหน เพราะว่าเวลาต้องการอะไร เราก็สนองให้ทุกอย่าง แต่ศีลพระ ๒๒๗ ข้อ ทำให้สิ่งที่เราเคยได้ทำ กลายทำไม่ได้ทั้งนั้นเลย
ในเมื่อโดนตีกรอบ กิเลสก็ดิ้นตายชักเลย อย่างที่เขาเล่ากันขำ ๆ ว่า มีหนุ่มอยากจะบวช ถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อบวชดีไหม ?" หลวงพ่อตอบว่า "ดี..บุญเยอะดี" พอถึงเวลาบวชเข้าไป "หลวงพ่อผมทำนี่ได้ไหม ?" "ไม่ได้..บาปตายเลย" "ผมทำนั่นได้ไหมหลวงพ่อ ?" "ไม่ได้..บาปตายเลย" "หลวงพ่อบอกว่าผมบวชแล้วได้บุญเยอะ แต่ทำไมบวชเข้ามามีแต่บาปทั้งนั้น ?" คราวนี้สภาพจิตที่ดิ้นรนแล้วได้รับการสนองตอบ อาการดิ้นรนก็ไม่หนัก แต่เมื่อไม่ได้รับการสนองตอบ แค่อดข้าวเย็นอย่างเดียวก็แย่แล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
ถาม : แล้วการไม่ได้กินข้าวเย็น ทำให้มีอาการกรดไหลย้อน ?
ตอบ : เขาบอกว่า ตัวตายดีกว่าศีลขาด จะไปกลัวอะไรกับกรดไหลย้อน ถาม : อดไปเรื่อย ๆ อาการจะหนักไปเรื่อย ๆ ตอบ : เขายังมีเภสัชฉันได้เยอะแยะ น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น ถาม : เนยแข็งมีไหมคะ ? ตอบ : เนยแข็งนั่นแหละ เขาเรียกว่าเนยข้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-03-2011 เมื่อ 09:30 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ทิดหนุ่ม ตอนที่เขาบวชอยู่ก็ไปยกแท่งปูนสำหรับทำขอบลานธรรมด้วยกัน แท่งปูนแท่งหนึ่งหนัก ๑๐๖ กิโลกรัม สองคนช่วยกันยกแท่งหนึ่ง อาตมาเห็นเขายกแบบยักแย่ยักยัน รู้สึกรำคาญ ก็ยกพรวดไปเลย ทิดหนุ่มเขาจับแท่งปูนแน่นไปหน่อย ก็เลยลอยตามแท่งปูนไปด้วย
เขาก็ไปนั่งบ่นว่า "หลวงพ่อทำไมน่ากลัวอย่างนี้ ?" นอกจากแท่งปูน ๑๐๖ กิโลกรัมแล้ว คนยังโดนยกลอยตามไปอีก อยากจะบอกเขาว่า "ที่คุณเห็นว่าน่ากลัวนั้น เหลือแค่ ๑ ใน ๑๐ ของสมัยก่อน ตอนนี้ผมแก่จนหมดสภาพแล้วว่ะ..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-03-2011 เมื่อ 11:43 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
ถาม : พระอริยเจ้าอย่างพระอรหันต์ยังสึกหรือไม่..?
ตอบ : บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ต้องถึงพระอรหันต์หรอก แค่พระโสดาปัตติมรรคก็ไม่คิดจะสึกแล้ว ท่านเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยแล้ว จิตที่ปรามาสพระรัตนตรัยแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี เพราะฉะนั้น..ท่านก็ไม่รู้จะสึกไปทำเกลืออะไร..! ถาม : แสดงว่า.. ตอบ : ถ้าหากบุคคลที่จิตละเอียดพอแล้ว ตนเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย แล้วทำตัวเองให้หลุดออกมา ถ้าสำหรับคนทั่วไปจะสึกก็สึกไปเถอะ ในส่วนที่คนทั่วไปทำแล้วไม่เห็นโทษ พระระดับนั้นท่านเห็นว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
ถาม : คืนก่อนที่หลวงตามหาบัวท่านจะไป ก่อนนอนก็ภาวนาเป็นปกติ แล้วเห็นหลวงตาแก่ ๆ ท่านไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจได้ยินว่า วันนี้ท่านจะไปแล้ว คิดว่าตัวเองฝันไป ก็เลยถอนจิตออกมา คิดว่าข่าวนั้นโกหก
ตอบ : ไม่เป็นไร พอโดนบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง ลักษณะที่ว่ามาเป็นทิพจักขุญาณในอนาคตังสญาณ ถ้าเป็นตอนนั้นรู้เดี๋ยวนั้น จะเป็นปัจจุปันนังสญาณ ถ้าผ่านไปแล้วนึกย้อนกลับได้ จะเป็นอตีตังสญาณ ถาม : อย่างนี้จัดว่าเป็นท่านบอกเรา หรือจิตเราไปเอง ? ตอบ : ถ้าสภาพจิตเราถึง ก็เหมือนกับเราตั้งเสาอากาศไว้ ใครส่งข่าวมาก็รู้เอง ถาม : อย่างนี้ท่านก็ส่งไปทั่ว ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน วันนั้นอาตมาเที่ยวไล่บอกเขาตอนเช้ามืดว่าท่านไปแล้ว ไม่มีใครเชื่อสักคน มีแต่คนเถียงว่า ได้ยินว่าอาการดีขึ้นแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
ถาม : เวลารถมาเราจะจับดูทะเบียนใช่ไหมคะ ? ส่วนหนูจับภาพค่ะ มันเหมือนเห็นภาพ ๓๖๐ องศาเป็นสามมิติค่ะ ถ้าใจปรับโฟกัสผิด ก็เห็นภาพผิดค่ะ
ตอบ : ต้องเห็น ๓๖๐ องศาเพราะทิพจักขุญาณไม่ถูกจำกัดด้วยทิศทางหรือสถานที่ มีประเภทหนึ่งก็คือ ถ้าเขามาในทิศที่ผิดปกติแล้วเราเห็นได้ ให้รู้ไว้ก่อนว่านั่นผีหรือเทวดา แต่ถ้าอยู่ตรงหน้าแล้วถึงจะเห็นได้ นั่นยังไม่แน่ ยังต้องพิจารณากันอีกที ตอนที่อาตมาไปงานฉลองเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ไปพักอยู่ที่เฮือนศิลารีสอร์ท มีผีมา ๒-๓ ชุดด้วยกัน ชุดแรกเขามาขอส่วนกุศลแล้วก็ไป ชุดที่สองมาขบวนใหญ่ ขอส่วนกุศลแล้วก็ไป ชุดที่สามมาคนเดียว เลือดท่วมตัวมาเลย ถามว่าเป็นอะไร ? เขาบอกว่าโดนรถชนตาย ไม่รู้จะไปไหน พอดีมีรถคันหนึ่งผ่านมา เขาก็เลยเกาะรถคันนั้น แล้วรถคันนั้นเข้ามาที่รีสอร์ท เขาก็เลยเปะปะอยู่ในนี้ พอเห็นว่าอาตมาอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นอยู่ เขาก็เลยมาขอบ้าง แล้วเขาก็ไป เสร็จแล้วก็มีเสียงเคาะประตูก๊อก ๆ อาตมาก็คิดว่า เออ..ผีชุดนี้มารยาทดีจริง ๆ พอมองออกไปเห็นแต่ประตูอย่างเดียว แสดงว่าไม่ใช่ผีแล้ว ลุกไปเปิดประตูพบว่าเป็นทิดตู่ คือถ้ามองแล้วเห็นทันทีเลยน่ะผี แต่นี่มองออกไปไม่เห็น ก็เลยไปเปิดประตูดู ทิดตู่เขามาชวนไปเที่ยวผาหำหด ก็เลยบอกว่า "เอ็งไปกันเถอะ ข้าไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว" คือตรงนั้นเป็นหน้าผาตัดดิ่งลงไป คนมองก็ใจหวิว เขาเลยเรียกว่า ผาหำหด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 02:59 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
เขาทำวิจัยกันแล้วว่า ความสูง ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามอย่างน้อยต้องมีความกลัว เพียงแต่ว่ากลัวแล้วตั้งสติได้หรือไม่ได้ อย่างสมัยก่อนทหารเขาฝึกโดดร่มกัน เพื่อนบางคนครูฝึกต้องถีบลงไป เพราะเขาเห็นความสูงแล้วไม่กล้า ด่าว่าอย่างไรก็ไม่ยอมโดด
ถาม : ตอนที่ขึ้นไปบนเขาที่วัดท่าขนุน หนูก็ภาวนาไป กลัวว่าจะหลุดจากการภาวนา อยู่ดี ๆ เกิดกลัวความสูงขึ้นมา ตอบ : จะได้รู้ไว้ว่า จริง ๆ แล้วเรายังกลัวตายอยู่ ขอบอกว่า ความกลัวทุกชนิดมีพื้นฐานจากความกลัวตายทั้งสิ้น อาตมาตามดูอยู่เป็นปี ๆ เลยนะ กว่าจะรู้ว่าความกลัวทุกชนิดมีพื้นฐานมาจากความกลัวตาย บางอย่างก็อ้อมโลกไปไกลมากเลย แต่ตอนสรุปก็จะมาสรุปลงที่ตรงกลัวตาย ถาม : ถ้าเห็นเลือด อย่างอ่านข่าวฆาตกรรม จิตไปเชื่อมแล้วไม่กลัว ตอบ : ตอนนั้นที่ไม่กลัวเพราะสภาพจิตทรงสมาธิอยู่ ถ้าหลุดออกมาก็เจ๊ง ถาม : ไปโรงพยาบาล แค่เห็นเขาตรวจเลือดในวอร์ดก็หน้ามืดจะเป็นลม ตอบ : วันก่อนพาพระไปเจาะเลือด อยากจะบอกพวกเราทุกคนว่า เราสามารถที่จะตั้งระดับสภาพร่างกายของเราเองได้ สมัยเด็ก ๆ อาตมาโดนหมอเสนารักษ์ (หมอทหาร) ฉีดยา เขามือหนักมาก ฉีดยาแล้วเราต้องเดินเป๋ เจ็บตูดไปเป็นอาทิตย์ จึงทำให้เกลียดเข็มมาก พอคราวหลังโดนฉีดยาจะเป็นลมทุกครั้ง แค่เห็นเข็มก็เป็นลม ตอนที่สมัครไปเป็นทหาร ต้องเจาะเลือดตรวจเพื่อดูกรุ๊ปเลือด แล้วก็ต้องฉีดยากันบาดทะยัก เพื่อเวลารบขึ้นมาถ้าบาดเจ็บ จะได้ไม่ตายเพราะเชื้อบาดทะยัก แต่อาตมาที่เห็นเข็มเข้าแล้วเป็นลม พอไปเจออย่างนั้นเข้าจะทำอย่างไร ? เนื่องจากว่าภาวนามาหลายปีแล้ว ก็เลยคิดว่า "กูจะไม่เป็นลม..กูจะไม่เป็นลม" ร่างกายของเรามีระบบป้องกันตัวอัตโนมัติ ถ้าได้รับบาดเจ็บก็จะตัดให้เป็นลมหรือช็อก เพื่อให้ระบบร่างกายทำงานน้อยลง เป็นการสงวนพลังงานเอาไว้เพื่อรักษาตัวเอง พออาตมาไปทำอย่างนั้น กลายเป็นว่าไปตั้งระบบของร่างกายใหม่ ตั้งแต่นั้นมาโดนฉีดยาเท่าไรก็ไม่เป็นอะไร แสดงว่าเราสามารถตั้งระบบร่างกายของเราได้ ครั้งแรก ๆ ที่ร่างกายตัดให้เป็นลม เป็นการป้องกันตัวเร็วเกินไป เหมือนกับว่าไฟอ่อนนิดเดียวก็ตัดแล้ว เราก็ไปเพิ่มหน่อย คราวนี้ไฟแรงแค่ไหนก็ไม่ตัด ถาม : ตั้งโปรแกรมใหม่ได้ ตอบ : ตั้งได้ อยู่ที่ใจของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-03-2011 เมื่อ 09:33 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
ถาม : พอจิตเรารู้ว่าทำได้ เราก็ทำได้ขึ้นมาใช่ไหมคะ ? อย่างเราถักเปียตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ พอโตขึ้นมาคิดว่าน่าจะทำได้ ก็ทำได้เลย
ตอบ : ถ้ามีของเก่าอยู่ ถึงเวลาเราจะเป็นเอง สมัยก่อนบวชอาตมาก็ถักเปียให้เพื่อนผู้หญิงได้ ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ถาม : ก็เลยสับสนว่าบางครั้งเราทำไม่ได้ หรือว่าเราทำได้จริง ๆ กันแน่ แยกไม่ออกค่ะ ? ตอบ : ถ้าทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ก็ต้องสะสมกันนานทีเดียว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
ถาม : พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่พิจารณาให้เห็นว่า อาหารทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความสกปรก พืชก็สกปรก สัตว์ก็สกปรก สัตว์ก็ไม่แปลกใช่ไหม ? เราเห็นว่ามีเลือด มีอุจจาระปัสสาวะเป็นปกติ โดยเฉพาะถ้าหากเราไปดูในฟาร์มเลี้ยงหมูเลี้ยงวัว จะเห็นว่าเละเทะไปหมดเลย แต่ในเรื่องของพืช เราต้องเห็นว่ามีพื้นฐานมาจากความสกปรก ก็คือปุ๋ยทุกอย่าง เช่น ซากพืช ซากสัตว์ อุจจาระ ปัสสาวะ ที่พืชดึงเอาเป็นอาหาร ถ้าหากเป็นผลไม้เราก็ดูไปว่า จริง ๆ แล้ว เรากินสิ่งที่เน่า เพียงแต่ว่าเราเอามากินก่อนที่จะเน่าหมดสภาพนั่นเอง ผลไม้ที่กำลังเน่าได้ระดับพอดีเราเอามากินเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นสิ่งที่เรากินเข้าไปออกมาเป็นอะไร ? ก็กลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะทั้งหมด แล้วลองดูสิว่า ตอนที่ถ่ายออกมา เราทนดูโดยไม่รังเกียจได้ไหม ? ถาม : ไม่ได้ ตอบ : นั่นแหละ..พิจารณาอย่างนั้น ให้เห็นว่า อาหารทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความสกปรก แล้วเรากินสิ่งที่สกปรกเข้าไป ร่างกายนี้ก็เลยสกปรกไปด้วย ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่มีความสกปรกอย่างนี้เราไม่ต้องการอีก พอกำลังใจทรงตัวมั่นคงแล้ว เราก็เอากำลังใจช่วงสุดท้ายไปเกาะพระนิพพานแทน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเกิดฝันเห็นงานศพครูบาอาจารย์ที่เป็นที่รักที่เคารพของตัวเอง โดยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แปลความหมายได้อย่างไรบ้าง ?
ตอบ : เอาเป็นหลักธรรมจริง ๆ ก็คือ ทุกคนต้องตายหมด แม้กระทั่งเรา เพราะฉะนั้น..โปรดระวังเอาไว้ว่า เราก็จะตายอย่างนั้นด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ด้วยความเคยชิน อาตมาจะทดสอบไมโครโฟนด้วยการเป่า เพราะสมัยก่อนใครเคาะไมโครโฟน หลวงพ่อก็จะเคาะกบาลตามไปด้วยทันที ท่านบอกว่าข้างในไมโครโฟนจะมีฟิวส์บาง ๆ อยู่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าไปทดสอบด้วยการเคาะ ฟิวส์จะขาด ไมโครโฟนก็จะเสีย ท่านจึงให้ทดสอบด้วยการเป่าแทน
หลวงพ่อท่านใช้ทุกอย่างประหยัดมาก และรักษาทุกอย่างพอ ๆ กับชีวิต ท่านบอกว่า ของทุกอย่างได้มาก็เพราะบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราไม่ได้อาศัยบารมีท่าน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เรา ถึงจะมีมาก ก็ใช้ฟุ่มเฟือยไม่ได้ เพราะว่าของที่ได้มาด้วยศรัทธา ราคาน้ำใจเขาประเมินเป็นตัวเงินไม่ได้ จึงต้องรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด สมัยก่อนหลวงพ่อซื้อเครื่องเสียงที่ยังเป็นหลอดทรานซิสเตอร์อยู่ จะต้องอุ่นเครื่องประมาณ ๕ นาทีจึงจะทำงานได้ ท่านซื้อใช้ที่วัดท่าซุง ๑ เครื่อง และซื้อถวายวัดยางที่อยู่คนละฝั่งคลองอีก ๑ เครื่อง วัดยางเปลี่ยนไปสามเครื่องแล้ว ของวัดท่าซุงยังใช้เครื่องเดิมอยู่เลย เวลาเสียบปลั๊กหรือถอดปลั๊ก ท่านให้ดึงตรง ๆ เสียบตรง ๆ ท่านบอกว่าดึงหมุน ๆ แล้วทำให้ปลั๊กหลวม เสียง่าย เพราะฉะนั้น..ท่านรู้จริงทั้งหมดและรักษาข้าวของดีมาก ก็เลยทำให้ของที่ท่านใช้อยู่ทนนานกว่าคนอื่นเขา มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ท่านเดินจากที่พักทางตึกอินทราพงษ์ริมน้ำ คือฝั่งวัดเก่า ข้ามมาที่ทางฝั่งโบสถ์ คือ ทางฝั่งวัดใหม่ ตรงไปที่ร้านอาหารป้ากิมกี พอพระเห็นหลวงพ่อเดินมาก็ตาลีตาเหลือกวิ่งไล่ตาม ว่าหลวงพ่อมาทำไม ท่านมาเดินดูและชี้ให้พระดู เนื่องจากว่า พระท่านสั่งอาหารที่ร้านค้ามาฉัน หลวงพ่อท่านห้ามพระนั่งในร้าน ท่านบอกว่าพระนั่งร้านค้าแล้วน่าเกลียด ถ้าพระนั่งแล้วโยมเขาไม่กล้าเข้า ทางร้านเขาก็จะเสียรายได้ไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 15:45 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#112
|
||||
|
||||
"พระจึงสั่งอาหารเข้ามาฉันในห้องใต้หอระฆัง ซึ่งเป็นห้องยาม พอฉันเสร็จพระก็เอาถ้วยชามพร้อมกับแก้วน้ำมากองไว้ตรงตีนบันได เพื่อรอเขามาเก็บเอาไปล้าง
หลวงพ่อท่านบอกว่า พระท่านมาบอกว่า "..ไปดูความมักง่ายของลูกแกซิ..เอาไปวางกองไว้อย่างนั้น ถ้าหมาวิ่งมาสะดุดแล้วของตกแตก หรือคนเดินเหยียบของแตกขึ้นมา ถ้าพระไม่ไปใช้หนี้ จะเจออาบัติปาราชิกไม่รู้ตัว เพราะตนเองเป็นต้นเหตุทำให้เขาสูญเสียของสิ่งนั้น ๆ" ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลยนะ แก้วน้ำใบหนึ่งราคาเกินหนึ่งบาทอยู่แล้ว ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านทำเป็นแบบอย่างให้ ถ้าพระเณรที่อยู่กับท่านถอดแบบไปใช้ ไม่ต้องมากหรอก ได้สัก ๑ ใน ๑๐๐ ของหลวงพ่อท่านก็พอ สามารถไปได้ทั่วประเทศเลย บรรดาบุคคลที่เคยวิ่งรับใช้หลวงพ่ออยู่ ปฏิปทาก็จะกลายเป็นแบบหลวงพ่อโดยไม่รู้ตัว เพราะโดนหล่อหลอมจากแม่พิมพ์นั้น ๆ มา บรรดาผู้ชายที่อยู่รับใช้หลวงพ่อมักจะอยู่ไม่นาน ในที่สุดก็บวชกันหมด มีหลวงตาวัชรชัยอยู่นานกว่าเพื่อน หลวงตาอยู่ ๘ ปี อาตมาอยู่ ๔ ปี ที่หลวงตาอยู่ถึง ๘ ปี เพราะหลวงตามีครอบครัว รอการตัดสินใจอยู่จึงช้า ส่วนคนอื่นเขาไม่มีครอบครัว หรือตัดใจจากครอบครัวได้ก็บวชกันเลย เป็นผู้หญิงไม่ต้องเสียดายนะว่าไม่ได้บวช อย่างวันก่อนที่เขาว่า เป็นผู้ชายบวชแล้วได้กุศล เกิดเป็นผู้หญิงไม่ได้บวช ผู้หญิงควรจะทำอย่างไร ? ก็ทำตนให้เป็นพระอริยเจ้าไปเลย..! ดีกว่าบวชไปเสี่ยงนรกตั้งเยอะ..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 15:47 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#113
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปศิลปะล้านช้างสังเกตได้ง่าย ๆ ว่า หน้าตักจะกว้างเป็นพิเศษจนเหมือนผิดส่วน ดังนั้น..หลวงพ่อโสธรจึงเป็นศิลปะล้านช้าง สังเกตได้ว่าหน้าตักท่านกว้างกว่าพระพุทธรูปทั่วไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 15:48 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#114
|
||||
|
||||
ถาม : สงสัยมานานแล้ว หลวงพ่อสร้างพระคำข้าวซึ่งเป็นทางมหาลาภ เป็นรูปพระพุทธชินราช แต่พอพระหางหมาก ซึ่งเป็นในทางป้องกันแคล้วคลาด กลับเป็นหลวงพ่อโสธร สลับกันหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ได้สลับกัน แล้วแต่ช่างเขาทำให้ ท่านมอบผงให้ช่างไปผลิตเอาเองตามใจเลย เพียงแต่ให้ใส่คำว่าวัดท่าซุงไว้ ตอนที่ทำหลวงพ่อไม่ได้เจตนาทำไว้บู๊ อาตมาเองก็ติดนิสัยหลวงพ่อมา หลวงพ่อบอกว่า ทำทางมหาลาภดีกว่า ถ้าชาวบ้านเขารวยก็ช่วยวัดได้ อาตมาก็ว่าเป็นนโยบายที่ดี ปรากฏว่าพอพุทธาภิเษกแล้ว พระท่านสงเคราะห์ให้ พระท่านสงเคราะห์พิเศษขนาดนั้น พวกเราน่าจะระแวงว่าเป็นรุ่นท้าย ๆ แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้ระแวงกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 15:49 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#115
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยโบราณเขานิยมผู้หญิงท้วมกัน ท้วมก็คือเกือบอ้วน หรืออวบระยะสุดท้าย ถ้าใครได้ดูรูปนู้ดของฝรั่ง เราจะเห็นว่ามีแต่ผู้หญิงอ้วน ๆ ทั้งนั้นเลย เพราะเขาถือว่ารูปร่างลักษณะอย่างนั้นจึงจะเป็นแม่พันธุ์ที่ดี ไม่ใช่เป็นแม่ที่ดีนะ
ยิ่งในยุคสมัยที่รบราฆ่าฟันกันอยู่ จำเป็นต้องสร้างกำลังพลขึ้นใหม่ ต้องอาศัยการมีลูกมาก ๆ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง มีลูกได้ ๑-๒ คน คนเป็นแม่ก็ไม่ไหวแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 15:50 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#116
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการปฏิบัติ เราต้องได้สร้างบุญร่วมกันมาก่อน ถึงจะตามกัน ถ้าไม่ได้สร้างบุญร่วมกันมาจะไม่เลื่อมใสกันหรอก เขาก็จะไปเลื่อมใสบุคคลที่เคยสร้างบุญร่วมกันมา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 15:53 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#117
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติต้องระวังการทดสอบให้ดี ตั้งหลักไม่ทันนี่เสียท่าเขาแน่ โดยเฉพาะท่านที่กำลังใจยังไม่มั่นคง ถึงเวลาเสียแล้วจะเสียนาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2011 เมื่อ 15:53 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#118
|
||||
|
||||
ถาม : อนุเสาวรีย์ หรือ อนุสาวรีย์ จึงจะถูก ?
ตอบ : อนุสาวรีย์ ความจริงมาจากคำว่า อนุสรณีย์ แปลว่าเครื่องอันเป็นที่ระลึกถึง แต่คนเขียนท่านเขียนหวัดไปหน่อย คนอ่านจึงอ่านเป็นอนุสาวรีย์ และก็ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่จริง ๆ คือ อนุสรณ์ หรือ อนุสรณีย์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 29-03-2011 เมื่อ 17:00 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#119
|
||||
|
||||
ถาม : เมตตาในอุเบกขาเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เมตตาในอุเบกขา ก็คือ เมื่อช่วยเขาไม่ได้ก็วางเฉย แต่ไม่ได้เฉยอย่างเดียว ถ้ามีโอกาสเมื่อไรก็พร้อมที่จะช่วยอีก ถาม : แล้วอุเบกขาในเมตตา ? ตอบ : อุเบกขาในเมตตาก็แค่กลับข้างกันเท่านั้น ถาม : เฉยก่อนแล้วค่อยช่วย ? ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าหากว่าสงเคราะห์เกินประมาณ พวกคนพาลจะได้ใจ จึงต้องรู้จักการสงเคราะห์คนในระดับที่พอเพียงด้วย จึงจะเป็นอุเบกขาในเมตตา ถาม : คนที่เป็นพุทธภูมิ เขามักจะห่วงคนอื่นมากกว่าห่วงตนเอง อันนี้ไม่ใช่ทางสายกลาง จะวางกำลังใจอย่างไร ? ตอบ : วางกำลังใจอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ห่วงคนอื่นมากกว่าตนเอง ก็ไม่ใช่พุทธภูมิ..! กำลังใจของพุทธภูมิ เราจะเอาในเรื่องของหลักธรรมไปวัดไม่ได้ ส่วนที่เราเห็นว่าเป็นอัตกิลมถานุโยค ก็คือเกินกำลัง แต่สำหรับท่าน ท่านทำได้ เราแบกข้าวสารได้กระสอบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นช้าง ๗-๘ กระสอบ โยนใส่หลังก็ยังเฉย เราจะไปวัดด้วยเหตุผลธรรมดาไม่ได้ เพราะกำลังใจท่านมากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 29-03-2011 เมื่อ 17:00 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#120
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเมตตาสูงแล้วคนรับเขารับไม่ได้ จะกลายเป็นโทษแก่เขาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เมตตาจะต้องมีปัญญาประกอบด้วย อย่างที่ว่ามาแสดงว่าคุณมีเมตตาอย่างเดียว ในเรื่องบารมี ๑๐ นี้ ถ้าหากว่าเราทำตัวใดตัวหนึ่ง อีก ๙ ตัวก็จะมาด้วย โดยเฉพาะสำคัญที่สุดก็คือ ปัญญาบารมี ต้องดูวาระ ดูโอกาส ว่าควรที่จะปฏิบัติอย่างไร ถ้าหากว่าเป็นในสัปปุริสธรรม ก็คือ กาลัญญุตา รู้กาลเทศะ เวลาไหนเหมาะ เวลาไหนควร รู้ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้ว่าแต่ละบุคคลมีความต้องการอย่างไร ถาม : พูดง่าย ๆ ก็คือ โดยพื้นฐานของกำลังใจควรมีเมตตา คิดว่าจะให้อยู่ ส่วนจะเป็นเวลาไหนอย่างไร ต้องใช้ปัญญาประกอบเข้าไป ? ตอบ : มีปัญญารู้ว่าเวลาไหนควรจะอุเบกขา ไม่ใช่มีแต่เมตตาอย่างเดียว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:26 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) | |
|
|