|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
บางอย่างเขาเถียงกันมาตั้งแต่เทวดา พรหม ลงมาถึงมนุษย์ เป็นพัน ๆ ปีก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ อย่างเช่นมงคลสูตร จนพระพุทธเจ้าต้องมาตัดสินให้
ในเรื่องหลักของการปฏิบัติก็เหมือนกัน เราปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เอื้อต่อความหลุดพ้นท่านเรียกว่า ธรรมที่เนิ่นช้า คือทำให้เราช้าลง เสียเวลาเปล่า ๆ มัวแต่ไปวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เกิดกิเลสมาก็ยิ่งร้อยรัดทำให้เราติดหนักเข้าไปอีก บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ ในสมัยก่อน มีอยู่ ๖๒ สำนัก แต่ละสำนักล้วนแล้วแต่มีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง อย่างเช่น ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฏบุตร เป็นต้น ตอนแรกอาตมาก็ว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้สอนคนให้หลงผิดชัด ๆ แล้วทำไมคนถึงได้เชื่อขนาดนั้น ปรากฏว่าพอไปศึกษาในพรหมชาลสูตรแล้วถึงได้รู้ ๑๘ สำนักแรกเขาจัดอยู่ในพวกปุพพันตกัปปิกทิฐิ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ระลึกชาติย้อนหลังได้ตั้งแต่ ๑ แสนชาติ ๑ กัป ๑๐ กัป ๒๐ กัป ๓๐ กัป ๔๐ กัป ท่านก็เลยยืนยันว่าเรื่องของการเกิดการตายนั้นมี คนที่เก่งถึงขนาดระลึกชาติได้ ความสามารถเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องเล็กแล้ว คนจึงให้ความเคารพนับถือท่านมาก อีก ๔๔ สำนักเป็นพวกอปรันตกัปปิกทิฐิ เป็นพวกเห็นอนาคต ถึงได้บัญญัติทิฐิของท่านขึ้นมา บางคนก็บอกว่าตายแล้วไม่สูญ บางคนก็บอกว่าตายแล้วสูญ บางคนก็บอกว่าสูญบ้างไม่สูญบ้าง แล้วแต่ว่าเขาเห็นไปถึงรูปพรหมหรืออรูปพรหม บางคนก็เคยเกิดทั้งรูปพรหมอรูปพรหมก็เหมาว่าสูญบ้างไม่สูญบ้าง ยุ่งไปหมด ดังนั้น..สมัยก่อนจริง ๆ แล้วคนเขามีความสามารถ ในเมื่อเขามีความสามารถถึงได้มีคนตามเชื่อศรัทธากันจนขนาดนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 14:08 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
แม้กระทั่งศาสนาเชนที่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของศาสนาพุทธ ศาสดามหาวีระก็เป็นต้นบัญญัติของศีล ๕ มาก่อน เป็นต้นบัญญัติของการฟังธรรมวันพระ เป็นต้นบัญญัติของการจำพรรษาในฤดูฝน เพราะฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วคนสมัยนั้นเขาเก่ง เพียงแต่ว่าเขาหาเพชรยอดมงกุฏคืออริยสัจไม่เจอ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าศึกษาตามพวกเขาจนถึงสมาบัติ ๘ เลยนะ ท่านเหล่านั้นเก่งขนาดไหนล่ะ ? พวกเราได้สักเสี้ยวหนึ่งไหม ?
ถ้าไม่ได้ปัญญาขนาดพระพุทธเจ้าก็จะไม่เห็นว่านั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เขาเองเห็นว่าการที่ได้ไปอยู่กับปรมาตมัน ก็คือพระผู้เป็นใหญ่ ถือว่าเป็นที่สุดของเขาแล้ว เป็นโมกษะคือความหลุดพ้นแล้ว แต่พระพุทธเจ้าท่านมั่นใจว่าไม่พ้น แม้กระทั่งท้าวพกพรหมที่จุติแล้วเป็นพรหม จุติแล้วเป็นพรหมไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพราะท่านสร้างบุญไว้เยอะ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงไปที่อื่นสักที ท่านก็เลยมั่นใจว่าเป็นอมตะแล้ว แต่ความจริง แล้วเกิด ๆ ตาย ๆ อยู่ตลอด แต่ตนเองไม่ได้สังเกตว่านี่เป็นการตายแล้วเกิดใหม่ จนกระทั่งพอแข่งกัน พระพุทธเจ้าท่านแสดงอายตนะนิพพาน คือความละเอียดที่เหนือกว่าพรหม ยืนอยู่ตรงหน้าแต่ท้าวพกพรหมมองไม่เห็น ท่านถึงจะยอมรับ ส่วนท้าวพกพรหมไม่ว่าจะไปหลบไปซ่อนอยู่ที่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะพ้นสายพระเนตรได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนทิฐิของท่านได้ ดังนั้น..ถกเถียงไปก็เสียเวลาเปล่า สมัยก่อนเขาเถียงกันไม่รู้จบ จนกระทั่งปัจจุบันนี้แม้กระทั่งสายวัชรยานก็มีตรรกวิภาษณ์ คือการถกเถียงในเรื่องของหัวข้อธรรมต่าง ๆ ในลักษณะเอาชนะกัน ตั้งหัวข้อธรรมขึ้นมา แล้วก็หาเหตุหาผลมาว่าของใครเหนือกว่า โดยเฉพาะทางด้านทิเบต บางทีเราจะเห็นพวกนักท่องเที่ยวเขาถ่ายภาพมาให้ มีอาการเหมือนจะลงไม้ลงมือกัน เถียงกันดังลั่นเลย เราก็นึกว่าเขาตีกัน ไม่ใช่หรอก..เขากำลังโต้วาที ถามว่าดีไหม ? ก็ดี..เพื่อให้เกิดความแตกฉานในธรรม แต่เป็นการแตกฉานในจินตมยปัญญา ขบคิดแล้วเข้าใจ ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คือสภาพจิตไม่ได้เห็นธรรมที่แท้จริง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 14:11 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว ถ้าถึงปีใหม่จะอัญเชิญมาที่บ้านวิริยบารมีครั้งหนึ่ง ส่วนที่วัดอาตมาจะอัญเชิญออกมาให้บูชา ๓ ครั้ง คือ มาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา นอกนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นหรอก
แรก ๆ อาตมาเอาไว้ที่สำนักงาน นานเข้าแล้วทองคำมากขึ้น ๆ ทีนี้พวกเด็ก ๆ เขาเข้าไปทำความสะอาดให้บ่อย อาตมาเองไว้ใจเขา แต่พวกเขาไม่ไว้ใจตัวเอง บอกว่า "หลวงพ่อเก็บไปเถอะ" (หัวเราะ) เรื่องของกิเลส ถ้าไม่มีโอกาสบางทีความโลภก็ไม่เกิด สมัยอาตมาอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสอนให้ล็อกห้องทุกครั้งที่ออกมา ก็เลยกลายเป็นความเคยชิน ถ้าเราไม่เปิดโอกาส คนเขาไม่เกิดความอยากได้ ก็จะไม่ขโมย ถ้าเราไปเปิดโอกาสให้เขา เขาเห็นของที่ชอบใจก็จะเกิดการขโมย หยิบของเอาไปโดยไม่ได้บอกกล่าว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 14:12 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)....แล้วจะป้องกันอย่างไรครับ?
ตอบ : ไม่ต้องป้องกัน ถ้าหากว่าวาระกรรมมาถึง อยู่ในมุ้งก็ตายได้ เรื่องนี้เหลือเชื่อจริง ๆ ตอนอาตมาเด็ก ๆ มีอาเจ็กข้างบ้านคนหนึ่งเป็นหมอดู ใคร ๆ ก็บอกว่าแม่นจริง ๆ แล้วอาเจ็กดูให้เพื่อน บอกว่าพรุ่งนี้เอ็งจะตายก่อนเที่ยง เพื่อนก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมออกไปไหน ดูซิว่าจะตายหรือเปล่า ? เช้าขึ้นมาเมียหุงข้าวให้กิน แล้วก็ไปนอนเขลงอยู่ในมุ้ง พอเวลาใกล้เพล แม่ไก่ออกไข่แล้วก็บินขึ้นไปกระต๊ากอยู่บนขื่อ บนขื่อเขาวางแหลนเอาไว้ แม่ไก่เหยียบปลายแหลนกระดก พุ่งเสียบกลางอกพอดี ตายคามุ้งเลย ขนาดนอนอยู่ในมุ้งยังตาย จะเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมจะหนีไปที่ไหนก็ไม่พ้น แต่ที่ทึ่งกว่านั้นก็คือ เขาทายแม่นขนาดนั้น บอกเวลาได้เลยนะ ก่อนเที่ยงตายแน่..! ถาม : เป็นเรื่องของทิพจักขุญาณหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นทางโหรศาสตร์ก็เกิดจากความชำนาญ แต่อาเจ็กดูจากลักษณะโหงวเฮ้ง ก็ถือเป็นโหราศาสตร์อย่างหนึ่ง เพราะว่าโหงวเฮ้งเกิดจากบุญจากกรรมของคน แล้วแสดงออกซึ่งทางใบหน้าและร่างกาย แต่เป็นเรื่องของทิพจักขุญานหรือเปล่าก็ต้องไปถามแกอีกที แต่ตอนนี้ก็ไม่มีให้ถามแล้ว ตายไปตั้งนานแล้ว อาตมาเคยไปขอเรียนวิชาแล้วแกก็ไม่ยอมสอน เพราะบางอย่างที่อาตมาต้องการเรียน เป็นประเภทใช้ขู่กรรโชกคนอื่นได้ ประเภทดูโหงวเฮ้งแล้วรู้ว่าเขามีความลับอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่มีความลับนั้นเครียด..กังวล เลยแสดงออกทางใบหน้า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 14:15 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
จะว่าไปแล้ว ผู้มีความสามารถก็มีอยู่ในทุกชาติทุกภาษา แต่ว่าตำราโหงวเฮ้งของจีน เท่าที่อาตมาทดลองใช้ดู จะแม่นสำหรับชาวเอเชีย ใช้กับชาวยุโรปจะไม่ค่อยแม่น อาจจะเป็นเพราะอยู่คนละซีกโลกกัน ลักษณะโครงสร้างร่างกายไม่เหมือนกัน จึงทำให้ดูไม่แม่น แต่ถ้าเป็นคนเอเชียก็ตรงตามตำรา
อย่างพระโหราธิบดีสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราชลุกขึ้นล้างพระพักตร์ตอนเช้า พอดีหนูตกจากขื่อลงมา พระองค์ก็เอาขันล้างพระพักตร์ครอบไว้ ให้มหาดเล็กวิ่งไปตามพระโหราธิบดีมา แล้วก็ถามว่าในขันนี้คืออะไร ? พระโหราธิบดีก็ถามวันเวลาที่พระองค์ครอบขันลงไป ลงตัวเลขขีดเขียนเสร็จเรียบร้อยทูลว่า "สัตว์ ๔ เท้าพระเจ้าข้า" "เออ..แม่นดีท่านอาจารย์ แล้วมีกี่ตัว ?" พระโหราธิบดีบอกว่า "มี ๕ ตัวพระเจ้าข้า" พระองค์ท่านตรัสว่า "ครั้งนี้ท่าจะเหลวแล้วนะท่านอาจารย์ เพราะมีแค่ตัวเดียว" พระโหราธิบดีกราบทูลว่า "ถ้าไม่ใช่ ๕ ตัว ยินดีถวายหัวพระเจ้าข้า" เอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยนะ พอเปิดขันขึ้นมา มี ๕ ตัวพอดี เพราะว่าหนูที่ตกลงมานั้นเป็นแม่หนู ตอนโดนขันครอบอยู่ก็คลอดลูกมา ๔ ตัว กลายเป็น ๕ ตัวพอดี เขาแม่นขนาดนั้น แสดงว่าความชำนาญในวิชาการต่าง ๆ อยู่ในระดับที่เรียกว่า สมกับที่เป็นปุโรหิตาจารย์ประจำพระองค์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 14:17 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
แบบเดียวกับประเทศจีนสมัยพระเจ้าโจวเจาอ๋อง แห่งราชวงศ์โจว อยู่ ๆ ก็มีแสงสว่าง ๕ สี พุ่งมาทางทิศตะวันตก น้ำขึ้นในช่วงน้ำลง แหล่งน้ำธรรมชาติมีน้ำเต็มเปี่ยมขอบทุกแห่ง และเกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าโจวเจาอ๋องจึงเรียกปุโรหิตมาถาม ปุโรหิตบอกว่า ทางทิศตะวันตกมีบุคคลผู้เป็นสุดยอดอัจฉริยบุรุษได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าโจวเจาอ๋องถามว่าจะมีโอกาสได้พบเห็นไหม ? ปุโรหิตบอกว่าอีก ๘๐ ปีข้างหน้าอัจฉริยบุรุษผู้นี้จะสิ้นชีวิต แต่ถัดจากนั้นแล้วอีก ๙๒๐ ปีข้างหน้า สิ่งที่ท่านบรรลุธรรมจะมาถึงบ้านเรา รวมแล้ว ๑,๐๐๐ ปีพอดี
คราวนี้ประเทศจีนเขาขยันบันทึก เขาก็บันทึกเรื่องราวนี้เอาไว้ เวลาผ่านไปอีก ๘๐ ปีให้หลัง ยุคของกษัตริย์โจวมู่อ๋อง อยู่ ๆ ก็มีรัศมีสีรุ้งสาดมาถึง แผ่นดินไหวและพายุพัดจัด จึงเรียกปุโรหิตาจารย์มาถาม ท่านบอกว่ากายหยาบของอัจฉริยบุรุษท่านหนึ่งกำลังแตกดับ ระยะเวลาตรงกับที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเลย ตรงนี้มีบันทึกเอาไว้ พวกบรรดาปุโรหิต ราชครูก็ศึกษากันต่อ ๆ มา จนกระทั่งมาถึงยุคของพระเจ้าฮั่นหมิงตี้ เวลาผ่านไปครบ ๑,๐๐๐ ปีพอดี อยู่ ๆ พระองค์ท่านฝันเห็นชายผู้มีร่างกายเป็นทองคำใหญ่โตมโหฬารมาก มีรัศมีสีทองสว่างรุ่งเรืองอย่างยิ่ง เดินเข้ามาหา พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ถามปุโรหิตาจารย์ว่า นิมิตนี้หมายถึงอะไร ? ปุโรหิตบอกว่า ธรรมะของอัจฉริยะบุรุษที่มีบันทึกเมื่อพันปีก่อน ได้เวลาที่จะมาถึงเมืองจีนแล้ว สืบเนื่องกันมากี่รุ่นแล้ว ตั้ง ๑,๐๐๐ ปี..! แสดงว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมีอยู่ในทุกยุคสมัย เพียงแต่ว่าเขาได้ทำหน้าที่ของเขาในจุดที่เป็นประวัติศาสตร์หรือเปล่า ? ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ก็จะมีการบันทึก พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ก็ส่งราชทูตไป พอดีเจอคณะของพระกาศยปมาตังคะกับพระธรรมรักษิตะ กำลังนำเอาพระพุทธรูปและคัมภีร์พระธรรมเดินทางเข้ามาสู่เมืองจีน ก็เลยรับตัวมา ด้วยความที่คนจีนขยันจดบันทึก เขาจึงสามารถสืบประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี เพราะเขาบันทึกกันมาตั้งแต่อดีต ส่วนของเราพวกคลังสมองส่วนนี้ยังไม่ค่อยมี ใช้วิธีมุขปาฐะ จำแล้วก็บอกเล่าต่อ ๆ กันมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 14:35 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
ถาม : ใช่พระถังซำจั๋งหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..พระถังซำจั๋งนั่นมาสมัยพระถังไท่จงฮ่องเต้แล้ว สมัยพระถังซำจั๋งบ้านเมืองเกิดสงครามกันมาหลายยุคหลายสมัย หลักธรรมกระพร่องกระแพร่งไปหมด ใครฉวยตรงส่วนไหนได้ก็ไปทางด้านนั้น เมื่อพระธรรมไม่ได้รวมอยู่ที่เดียวกัน การศึกษาก็ไม่ทั่วถึง พระถังซำจั๋งจึงทูลขออนุญาตไปสืบพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย เพื่อที่จะเอาหลักธรรมที่สมบูรณ์กลับคืนมา ก็หมายความว่าพระพุทธศาสนายุคนั้นเจริญรุ่งเรืองมาจนกระทั่งเสื่อมแล้ว เสร็จแล้วก็รุ่งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อพระถังซำจั๋งอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 14:35 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีภรรยาได้ ?
ตอบ :เราไม่เข้าใจสภาพบ้านเมืองเขาและไม่ได้คุยกับเขา เราจึงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีลูกมีเมีย พออาตมาไปคุยกับพระญี่ปุ่นแล้วจึงเข้าใจสภาพสังคมยุคนั้น ศาสนาพุทธในญี่ปุ่นพอเจริญรุ่งเรืองมาระยะหนึ่ง ก็เข้าสู่ยุคเจ้าผู้ครองนครหรือที่เขาเรียกว่าไดเมียว มีพวกบรรดาโชกุนต่าง ๆ เป็นเหมือนกษัตริย์ ในยุคนั้นบรรดาเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ก็รบทัพจับศึกกันตลอดเวลา บ้านเมืองไม่สงบ พระจะออกไปเผยแผ่ธรรมก็ไม่ได้ พอเดินทางไปเผยแผ่ธรรมก็โดนจับโดนฆ่า เพราะเขาหาว่าเป็นจารบุรุษปลอมตัวมา ท่านก็เลยมีแนวคิดว่า ถ้าเราไม่สามารถเผยแผ่ธรรมอย่างนี้ได้ ก็ต้องปักหลักอยู่กับที่ การปักหลักอยู่กับที่ในสภาพบ้านเมืองอย่างนี้ก็ไม่มีคนเข้ามาหาหลักธรรม จึงเกิดแนวคิดขึ้นมาว่า ถ้าตัวเองมีครอบครัวอย่างน้อยก็สามารถที่จะสอนภรรยาตัวเองได้ ถ้ามีลูกจะได้สอนลูกตัวเองได้ ถ้าพ่อแม่ตัวเองหรือพ่อตาแม่ยายฟังด้วยก็จะได้เพิ่มขึ้นอีก ก็เลยเปลี่ยนมามีครอบครัวแทน เพื่อที่จะเผยแผ่และรักษาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 17:53 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
ในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าเราเห็นพระญี่ปุ่นบางทีก็คิดว่าเป็นคนธรรมดา เพราะเขามีแค่แถบแสดงสัญลักษณ์อยู่ที่คอเสื้อเท่านั้นเอง ยกเว้นว่ามีพิธีทางศาสนาเต็มรูปแบบจึงจะเอาชุดมาใส่
ทำให้นึกถึงอันตรธานปริวรรต ปฐมสมโพธิกถา ตรงจุดที่ว่าลิงคอันตรธาน การเสื่อมสูญไปของเพศพระภิกษุ ที่ว่าพอนานไปเพศของพระภิกษุจะเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหู หรือว่าผ้าเหลืองพันข้อมือ เพื่อแสดงเพศภาวะว่าเป็นพระภิกษุเท่านั้น สามารถทำมาหากินได้อย่างฆราวาส พระของญี่ปุ่นน่าจะถึงยุคนั้นแล้ว มาเร็วเหลือเกิน เพราะว่าตอนนี้เครื่องหมายของเขาเหลือหน่อยเดียวตรงแถบที่คอเสื้อเท่านั้น แต่ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ประหลาดที่สุด หลาย ๆ ศาสนาเขาอยู่รวมกันได้ คนญี่ปุ่นเกิดมาก็ไปทำพิธีรับแบบศาสนาชินโต แต่งงานก็แต่งแบบศาสนาคริสต์ พอตายก็ทำศพแบบศาสนาพุทธ ก็แปลว่าศาสนาอะไรถ้าเข้าไปข้างในนั้นก็โดนกลืนหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 17:53 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
ไม่รู้ว่ารุ่นน้องปีนี้เขาจะได้ไปดูงานกันที่ไหน อาจารย์ท่านอยากให้ไปประเทศศรีลังกา เพราะว่าพระสงฆ์ในศรีลังกามีบทบาทมากเป็นพิเศษ เล่นการเมืองได้ เป็นส.ส.ได้ เป็นรัฐมนตรีได้
จริง ๆ แล้วเรื่องของทางโลกต้องให้คนที่เขามีกิเลสไปตีกัน ไม่ใช่เรื่องของพระที่จะไปยุ่งกับเขา จำไว้ว่าถ้าทำผิดหน้าที่พระเมื่อไร ความเคารพเลื่อมใสของคนจะน้อยลง ไม่เห็นหรือว่านักการเมืองจะดีแค่ไหนก็ตาม พอเข้าไปก็โดนเขาถลกหนังทุกราย จนเขาบอกว่า "ถ้าคุณไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ให้ไปสมัครเล่นการเมือง เดี๋ยวก็มีคนขุดคุ้ยประวัติให้เอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 17:54 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมคนพม่าถึงนิยมสร้างเจดีย์คะ ? สร้างด้วยจิตที่เป็นกุศล หรือว่าสร้างแข่งดีกัน ?
ตอบ : ดูแล้วน่าจะมี ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ คำว่าเจดีย์ มาจากภาษาบาลีว่า เจติยะ คือ เครื่องยังความระลึกถึง โดยเฉพาะนึกถึงในลักษณะของพุทธานุสติ เมื่อสร้างเจดีย์แล้วก็จะสร้างพระประธานด้วย บางทีก็จารึกพระธรรมบรรจุไว้ด้วย ก็เท่ากับว่าเป็นทั้งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ ถ้าพระสงฆ์นำสร้างก็ได้สังฆานุสติอีกด้วย ทำแล้วจึงได้บุญมากเป็นพิเศษ ประการที่สองคือ เราจะเห็นความใจกว้างของผู้นำสมัยนั้นว่า ท่านไม่หวงอำนาจ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมกันสร้างบุญ ใครมีความสามารถเท่าไรทำไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วในสมัยนั้น การที่เราไปสร้างแข่งดีแบบนั้น ท่านอาจจะถือว่าตั้งใจจะเป็นขบถ คิดการใหญ่ เพราะว่าเจดีย์มหึมาแต่ละหลัง ถ้าไม่ใช้กำลังคนมากก็สร้างไม่ได้หรอก เมื่อมีกำลังคนมาก อาจจะคิดขบถก็ได้ อย่างที่พระเจดีย์โลกนันดา มีสระน้ำใหญ่อยู่ อาตมาพิจารณาอยู่ตั้งนานว่า เขาต้องการน้ำใช้ขนาดนั้นเชียวหรือ ? กลายเป็นว่าไม่ใช่หรอก เขาขุดดินมาปั้นอิฐจนกลายเป็นสระน้ำขนาดมหึมาไปเองต่างหาก ที่พุกามที่มีสภาพเป็นกึ่ง ๆ ทะเลทรายก็เพราะเรื่องการสร้างเจดีย์นี่แหละ ขุดดินมาปั้นอิฐจนหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์หมดไป แถมยังตัดต้นไม้มาเผาอิฐอีก แล้วจะเหลืออะไรล่ะ ? จะปลูกต้นไม้ใหม่ก็ไม่ขึ้น เพราะหน้าดินที่เป็นปุ๋ยไม่มี สรุปแล้วกลายเป็นสภาพกึ่งทะเลทรายไปทั้งเมือง ไปพม่าแล้วถ้ารู้จักดู รู้จักมอง รู้จักคิด เราจะเห็นอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 19-01-2012 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
อาตมาไปประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ประเทศอินโดนีเซียเมื่อก่อนนับถือพระพุทธศาสนา แผ่นดินพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ยังโดนอิสลามเบียดจนไม่เหลือ เหลือเชื่อจริง ๆ
เรื่องของศาสนาสำคัญตรงผู้นำประเทศ ผู้นำประเทศถือศาสนาอะไร ก็มักจะบีบบังคับให้ประชาชนนับถือศาสนานั้นตามไปด้วย อย่างที่นั่นระเด่นปาทาแย่งชิงราชสมบัติไปได้ แล้วไม่นับถือศาสนาพุทธแบบพี่ชาย ไปนับถือศาสนาอิสลาม เขาว่าชายาของท่านเป็นอิสลาม ก็เลยยุสามีให้ถืออิสลามไปด้วย ในเมื่อผู้นำถืออิสลามแล้วขึ้นปกครองประเทศ ก็เลยบังคับชาวบ้านให้ถืออิสลามตามกันไปหมด แบบเดียวกับพุทธศาสนาในอินเดียที่เจริญมากไม่ได้ เพราะผู้ปกครองเป็นพราหมณ์หรือฮินดู ที่ประเทศอินเดียถึงคุณนับถือศาสนาพุทธก็ยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะว่าตอนช่วง ๒,๕๐๐ ปีพุทธชยันตี ดร.เอมเบ็ดการ์นำพวกวรรณะศูทรห้าแสนคนปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ฟังดูแล้วเป็นจำนวนมากมโหฬาร แต่ที่ไหนได้ ไปเปรียบกับประชากรยุคนั้น ๙ ร้อยล้านคน สมัยนี้พันกว่าล้านคนแล้ว เท่ากับน้ำหยดเดียวในทะเลทราย เนื่องจากความถือชั้นวรรณะฝังอยู่ในดีเอ็นเอของอินเดียแล้ว พอวรรณะต่ำถือศาสนาพุทธ พวกวรรณะสูงก็เลยไม่นับถือด้วย เพราะไม่อยากจะไปปนกับวรรณะต่ำให้เสนียดกาลกิณีมาติดตัวเอง ศาสนาพุทธก็เลยกลายเป็นศาสนาของชนชั้นต่ำไป ชนชั้นสูงก็ถือพราหมณ์ฮินดูหรือถือคริสต์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-01-2012 เมื่อ 16:02 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
เมื่อเป็นดังนั้นในอินเดียศาสนาพุทธจึงเจริญยาก ถ้าเรามาคิดดู จริง ๆ แล้วสิ่งที่ ดร.เอมเบ็ดการ์ทำ น่าจะดีกับศาสนาพุทธในระยะยาว เพราะว่าพวกวรรณะต่ำมีมากเป็นพิเศษ พอโดนเขาข่มเหงรังแก เกิดความทุกข์มาก ๆ เข้า ก็จะหันมายึดศาสนาพุทธเป็นที่พึ่ง แม้ว่าจะช้าหน่อย แต่ว่าท้ายสุดประชากรโลกที่เป็นพุทธศาสนิกชนน่าจะมากขึ้น
ปัจจุบันนี้ต่อให้เขานับถือศาสนาพุทธ เวลานิมนต์พระเข้าไปในบ้าน เข้าไปเราจะไม่เห็นอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพุทธ พอเขาเห็นพระมาถึงจึงปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน แล้วก็เปิดตู้นิมนต์พระพุทธรูปขึ้นมา ไม่อย่างนั้นต้องเก็บซ่อนเอาไว้ ตอนนี้บางรัฐมีการรณรงค์ให้ชาวพุทธทำป้ายบ้านเลขที่ให้มีรูปธรรมจักรหรือรูปพระพุทธเจ้าติดไว้ด้วย ให้รู้ ๆ กันไปเลย แล้วก็มีกลุ่มคนที่เปลี่ยนนามสกุลให้รู้ว่าถือพุทธ อย่างเช่นเปลี่ยนเป็นศากยบุตร เป็นต้น แสดงว่าพอเทคโนโลยีของอินเดียเปิดกว้าง สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกช่องทาง ความกล้าคิดกล้าทำของคนก็มีมากขึ้น ประกาศตัวเองเป็นพุทธไม่พอ ติดบ้านเลขที่มีธรรมจักรไปเลย ถาม : ที่ศรีลังกามีธงศาสนาพุทธเป็นสี ๆ แต่ทำไมของไทยเราเป็นภาพธรรมจักร ? ตอบ : เพราะไทยเราถือว่าธรรมจักรกัปวัตนสูตรเป็นปฐมเทศนา อย่างของเขาไม่เรียกว่าธงธรรมจักร เขาเรียกว่า ธงฉัพพรรณรังสี คือรัศมี ๖ ประการของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าลังกาหรือพม่าจะใช้แบบนี้ ถ้าเห็นธงธรรมจักรให้รู้ว่าเป็นไทย ของเราแหกคอกไม่เหมือนเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2012 เมื่อ 14:39 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
ถาม : อนันตริยกรรมที่ว่ายุให้สงฆ์แตกกัน คนที่ยุต้องเป็นพระเท่านั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ฆราวาสก็ทำได้ ขอให้ยุให้พระแตกกันได้ก็ใช้ได้แล้ว สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็เกิดลักษณะที่คล้ายคลึงกับสังฆเภทขึ้นมา แต่ไม่ใช่สังฆเภท คือพวกเดียรถีย์เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินนับถือศาสนาพุทธ ให้การอุปถัมภ์นักบวชในพุทธศาสนามาก จึงปลอมบวชเข้ามา โกนหัวห่มผ้ากาสาวพัสตร์เข้ามาเอง โดยไม่ได้ศึกษาหลักธรรมอะไร ส่วนใหญ่ก็เอาลัทธิเดิม ๆ ของตัวมาสั่งสอนชาวบ้านที่นับถือเลื่อมใส ทำให้ศาสนาพุทธสับสนปนเปมาก เมื่อต้องไปลงอุโบสถ บรรดาพระที่ท่านบวชมาถูกต้อง ท่านก็ไม่ต้องการที่จะลงอุโบสถด้วย ก็คือไม่ลงโบสถ์ร่วมกัน เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งเท่ากับเป็นฆราวาส เป็นอนุปสัมบันเข้าไปอยู่ในเขตสีมาแล้ว การทำสังฆกรรมก็ไม่มีผล พอเรื่องไปถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านก็ใช้ให้อำมาตย์ไปบอกให้สงฆ์ลงสังฆกรรมร่วมกัน โดยที่พระองค์ท่านไม่มีความเข้าใจว่า ผู้ที่อยู่ในแวดวงสังฆกรรมนั้นต้องมีศีลเสมอกัน เมื่ออำมาตย์ไปถึงก็ไม่เข้าใจคำสั่งเจ้านาย ใช้วิธีบังคับพระให้ลงสังฆกรรม พระที่รักศีลท่านก็ไม่ยอมลงสังฆกรรม อำมาตย์เห็นว่าขัดคำสั่งก็ชักดาบตัดหัวเลย ศพที่ ๑ ผ่านไป หันมาชี้รูปที่ ๒ ท่านจะลงหรือไม่ลง ? พอไม่ลงก็ฟันหัวขาดไปอีกคน คราวนี้พระติสสะเถระท่านเห็น เกรงว่าจะลงนรกไปมากกว่านี้ ท่านก็เลยมานั่งอาสนะที่ ๓ พอท่านมานั่งเท่านั้น อำมาตย์เห็นเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะท่านเป็นพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดิน อำมาตย์จึงกลับไปกราบทูลพระเจ้าอโศกมหาราชให้ทราบ พระเจ้าอโศกพอได้ยินก็พระทัยหายวาบ บอกว่าให้ไปขอให้พระสงฆ์ลงสังฆกรรมร่วมกัน แต่อำมาตย์ดันทำเกินเหตุ ก็เลยไปกราบขอขมาพระ ปรึกษากับพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า โยมจะแก้ไขอย่างไรถึงจะลดกรรมนี้ได้ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่ามีวิธีเดียว คือจัดสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่ ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่า ท่านจะจัดการทางด้านคณะสงฆ์เอง ว่าจะจัดผู้ใดเข้าทำการสังคายนาพระไตรปิฎก ส่วนทางบ้านเมืองพระเจ้าอโศกมหาราชต้องเป็นผู้จัดการ และให้การอุปถัมภ์พระที่ทำสังคายนาด้วย พระเจ้าอโศกมหาราชก็ตกลง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2012 เมื่อ 14:42 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
ก่อนที่จะทำสังคายนาก็มีการชำระพระศาสนา ประกาศให้นักบวชทั้งหมดมารวมกัน ใครเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาให้ออกมาข้างหน้า พอออกมาแล้วก็กวาดต้อนเข้าไปข้างใน ปิดประตูวัง ถามว่าใครปลอมบวชมา ? ถ้าหากว่ายอมสละผ้ากาสาวพัสตร์ออกแต่โดยดีจะไม่เอาโทษ เปิดประตูให้ออกได้ ก็มีพวกรู้ตัวรีบเผ่นกันเยอะ แต่ก็มีพวกหน้าด้านอยู่ เพราะเห็นว่าลาภผลมาก เพราะพระเจ้าแผ่นดินอุปถัมภ์ทุกวัน จึงไม่ยอมไป
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงถามพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า ควรจะแก้ไขอย่างไร ? ท่านทูลว่า ให้ถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ถ้าเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศานาจริงต้องตอบได้ สรุปว่าครั้งนั้นโดนประหารไปประมาณ ๒-๓ หมื่นคน..! ขนาดไปก่อนหน้านั้นเป็นครึ่ง ๆ แล้วนะ เวลาพระเจ้าอโศกมหาราชออกรบครั้งหนึ่ง ท่านจัดการไป ๒-๓ แสนศพ เสร็จแล้วท่านก็ไปนั่งสลดใจว่าต้องฆ่าเขามากขนาดนี้ พอดีไปเจอนิโครธสามเณรแนะนำหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้ พระองค์ท่านเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา เปลี่ยนจากยุทธวิชัยมาเป็นธรรมยุทธแทน จะไม่ชนะด้วยการรบแต่เอาชนะด้วยธรรม พระองค์จึงให้การคุ้มครองอุปถัมภ์ค้ำชูแก่ประเทศเล็กกว่า อ่อนแอกว่า พอพระองค์ท่านมีแสนยานุภาพมากและให้การปกป้องคุ้มครองลักษณะนั้น เมืองอื่นเห็นว่าไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกัน ก็ยอมมาเป็นเมืองขึ้นแต่โดยดี นั่นฝีมือสามเณรตัวนิดเดียวแนะนำให้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2012 เมื่อ 14:44 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
พระองค์ท่านเห็นประโยชน์ จึงอุปถัมภ์ศาสนาพุทธเป็นการใหญ่ งานนั้นก็เลยมีการสังคายนาพระธรรมวินัยอยู่ ๙ เดือน พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ รวบรวมพระอรหันต์ทั้งหมด ๑,๐๐๐ รูป ทำการสังคายนาอยู่ ๙ เดือน แล้วก็ทูลให้คำแนะนำว่า ควรที่จะส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ในแคว้นต่าง ๆ เพื่อที่พระธรรมวินัยจะได้กว้างไกลออกไป
ตรงจุดนี้เป็นจุดที่บอกว่าพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระท่านเห็นอนาคตชัดเจนเลยว่า ต่อไปศาสนาพุทธจะอยู่ในอินเดียไม่ได้ ถ้าไม่เร่งส่งออกไปข้างนอกก่อน เดี๋ยวพุทธศาสนาจะสูญหมด จึงส่งออกไป ๙ สาย สายที่ ๘ มาถึงสุวรรณภูมิ พอสายที่ ๘ มาถึงสุวรรณภูมิก็ตียาวลงไปถึงทวารวดี ศรีวิชัย ตอนนี้ศรีวิชัยกลายเป็นอาณาจักรของอิสลามไปแล้ว ยังโชคดีที่อิสลามเก่า ๆ ถือหลักศาสนาเคร่งครัด เขาถือว่าการเหยียบย่างเข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่นจะทำให้ตกนรก บุโรพุทโธก็เลยเหลืออยู่ได้ ถ้าเป็นสมัยนี้โดนระเบิดเกลี้ยงไปแล้ว เห็นศรัทธาของศาสนิกของเขาแล้วเสียดายมาก ถ้าเลี้ยวมาถูกทางคงจะบรรลุกันนับไม่ถ้วนเลย เขาศรัทธาขนาดยอมมอบกายถวายชีวิตให้ศาสนาได้ขนาดนั้น ถาม : แล้วเขาจะมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์บ้างไหม ? ตอบ : อาตมาเจอเหมือนกัน แต่เจอในลักษณะที่เหมือนกับเทข้าวสารมากระสอบหนึ่ง แล้วหาข้าวเปลือกให้เจอ ถือว่าหายากสุด ๆ ส่วนใหญ่ที่ไปก็คือไปสวรรค์ได้เพราะโมทนาบุญของคนอื่น ไม่ใช่ว่าทำเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2012 เมื่อ 14:54 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
ขอประกาศให้ทราบว่า ข้อความใดที่เกี่ยวข้องหรือพาดพิงถึงศาสนาอื่นในเว็บนี้ ไม่อนุญาตให้นำออกไปโพสต์นอกเว็บเพื่อเกิดการทุ่มเถียงใด ๆ ค่ะ
และขอความร่วมมือจากทุกท่านด้วย หากได้เคยนำข้อความจากเว็บนี้ไปโพสต์ แล้วเป็นเหตุให้เถียงทะเลาะกัน รบกวนช่วยลบออกไป เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องราว พาดพิงมาถึงพระอาจารย์ค่ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-01-2012 เมื่อ 11:27 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
ถาม : ความมั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อกฎแห่งกรรม กับความไม่ประมาท แยกกันตรงไหน ?
ตอบ : แยกกันตรงความประมาท ถ้าไม่ประมาทเราก็ทำทุกอย่างเพื่อความมั่นคงในพระรัตนตรัยและความเชื่อในกฎของกรรม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2012 เมื่อ 18:52 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
ถาม : สงสัยในอสัญญีสัตตาพรหม จิตไม่มีหรือครับ ?
ตอบ : มีทุกอย่าง แต่สภาพจิตอยู่ในฌาน ๔ เต็มระดับก็เลยไม่รับรู้อาการภายนอก นิ่งอยู่แต่ข้างในไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าหากว่าเราดูในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พอถึงเวลาบรรดาพรหมเทวดาต่าง ๆ แซ่ซ้องสาธุการที่มีพระรัตนตรัยเกิดขึ้นครบถ้วนแล้วในโลก แต่จะไม่มีอสัญญีสัตตาพรหมเพราะท่านไม่รับรู้ ถ้าหากว่าเข้าสมาธิระดับนั้นแม้แต่ฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่ได้ยิน ถาม : ส่วนใหญ่ท่านมีพื้นฐานจาก...(ไม่ได้ยิน)..หรือกสิณครับ ? ตอบ : จะมีพื้นฐานจากอะไรก็ตามขอให้ถึงฌาน ๔ ก็แล้วกัน คราวนี้ท่านเองยังไม่ใช่ฌาน ๔ ละเอียด ยังเป็นฌาน ๔ หยาบอยู่ ถ้าฌาน ๔ ละเอียดกับฌานใช้งานก็จะสามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง ฌาน ๔ ละเอียดก็จะเป็นเวหัปผลาพรหม ถาม : คนที่ได้ฌานสี่หยาบ..(ไม่ได้ยิน)...? ตอบ : ถ้าไม่มีพัฒนาการแล้วตายช่วงนั้น ถ้าเราได้แล้วพยายามพัฒนาตัวเองจนเป็นฌาน ๔ ละเอียดก็จะก้าวข้ามตรงจุดนั้นไป ถาม : ไม่ใช่ว่าได้ฌานสี่แล้วปรารถนาไม่ขอมีนาม ? ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ถาม : ....(ไม่ได้ยิน).....เขาบอกว่าจิตดับไปเลย ตอบ : ทำให้ถึงจะได้คำตอบที่ชัดที่สุด สภาพจิตที่สนใจจดจ่ออยู่เฉพาะที่ ถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะไม่รับรู้เรื่องอื่น หลักการปฏิบัติต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่เอามาคุยกันเท่ ๆ ส่วนใหญ่แล้วต้องทำให้ถึง จึงจะหมดสงสัย ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ถาม ๆ อยู่ร่ำไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2012 เมื่อ 18:52 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อให้มีของใหม่อยู่ แต่ถ้าของเก่ายังอยู่อาตมาก็ไม่ใช้ของใหม่ ตอนไปเรียนเพื่อนพระด้วยกันเขาบอกว่า "เดี๋ยวผมถวายจีวรใหม่ให้ชุดหนึ่ง" เขาเห็นว่าจีวรเก่า อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องหรอก ผมมีเยอะกว่าคุณอีก" (หัวเราะ)
บริขารต่าง ๆ ปัจจุบันเป็นของหาง่าย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องหาผ้ามาซัก มาเย็บ มาย้อม เพื่อทำเป็นจีวร แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหาง่ายแล้วจะฟุ่มเฟือยได้ ต้องใช้สอยอย่างประหยัดมัธยัสถ์เหมือนเดิม ถ้าขืนไปฟุ่มเฟือยก็ผิดหลักโภชเนมัตตัญญุตา เราจะสรุปว่าโภชเนมัตตัญญุตารู้ประมาณในการกินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้ประมาณในการอุปโภคและบริโภค คือทั้งกินและใช้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2012 เมื่อ 18:52 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|