|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
ถาม : ช่วงนี้เวลาทำกรรมฐาน ทำไมอยากกลับไปที่บ้านเก่า ?
ตอบ : อยากกลับก็กลับสิ ใครจะไปว่าอะไร ไปวนดูซะให้สะใจ อย่าลืมว่าเราไปตอนนั้นจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว ในเมื่อจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว เราก็ไปสำรวจให้ทุกซอกทุกมุม เพราะสภาพจิตของเราอาจจะมีความผูกพันอยู่กับสถานที่ จึงต้องการจะไป แต่บางทีก็ไม่แน่เหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งอาตมาตั้งใจจะไปกราบพระ แต่พอออกจากร่างแล้วไปตกอยู่ที่หน้าบ้านของใครก็ไม่รู้ มารู้ทีหลังว่าครอบครัวนั้นเป็นกระสือ จึงไปสอบถาม ไปพูดคุย รับรู้รายละเอียดของเขามา หลังจากนั้นประมาณสองวันก็มีคนมาถามเรื่องนี้ จึงพูดคุยกับเขาได้ ฉะนั้น..บางอย่างอาจจะมีเหตุ ต้องรอจนเกิดแล้วเราถึงจะรู้ว่าเพราะอะไร เราไปลักษณะอย่างนั้นไม่ขาดทุนหรอก อย่างน้อยเราก็ทรงสมาธิอยู่ กิเลสกินไม่ได้ เราก็แค่ไปเที่ยวบ้านเก่าของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 09:18 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขา แต่เราไม่อยากไปยุ่งกับเขา ?
ตอบ : ให้ตั้งใจอโหสิกรรมให้กับทุกคน ถาม : ก็คือ อโหสิกรรมให้ฝั่งเราด้วย ฝั่งเขาด้วย ? ตอบ : อโหสิกรรมเฉพาะฝั่งเรา เพราะเขาคงไม่รับรู้ด้วย แต่นี่เป็นการปลดตัวเราออกจากสิ่งนั้นมา เวรกรรมจะไม่สามารถเบียดเบียนเราในชาติต่อ ๆ ไปได้ ส่วนเขาจะจองเวรหรือให้อภัยก็แล้วแต่เขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 20:56 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
ถาม : สอนให้ลูกภาวนาพุทโธ บอกเขาว่าถ้าจำภาพได้ก็ให้จำไปด้วย ทีนี้ลูกเขาฟังแล้วเข้าใจผิด จำแต่ภาพพระอย่างเดียวค่ะ
ตอบ : ไม่เป็นไร ขอให้ได้สักอย่างหนึ่งก็ใช้ได้ ถาม : หนูจึงไปเปลี่ยนเขาให้ภาวนาแทน ภาพพระเอาไว้ทีหลัง ตอบ : อย่าลืมว่าภาพพระจำได้ยากกว่า ถาม : หนูนึกว่าคำภาวนาสำคัญกว่า ตอบ : จริง ๆ จะสำคัญก็ต่อเมื่อรู้จักเรื่องของสมาธิอย่างแท้จริง คำภาวนาเป็นเครื่องโยงจิตใจให้เป็นสมาธิที่แน่นขึ้นไป ระหว่างการจำภาพพระกับการจับลมหายใจ การจับภาพพระจะยากกว่ามาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 20:56 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้หญิงพออายุมากแล้วจะขาดความมั่นใจในตัวเอง มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราอยู่คนเดียว เกิดเป็นอะไรไปแล้วใครจะดูแล ก็เลยมีจำนวนมากกระโดดลงเหวไปอย่างเต็มใจ เพราะอยากได้คนดูแล ท้ายสุดก็ซวยหนักเข้าไปอีก เพราะต้องไปดูแลเขา
ฉะนั้น..ความรู้สึกที่กลัวว่าจะไม่มีคนดูแลนี่เลิกคิดไปเลย แต่ถ้าคิดว่า เดี๋ยวไม่มีใครเอาไว้ข่มเหงรังแกก็ว่าไปอย่าง ถ้ารู้สึกอย่างนั้นก็พยายามหามาสักคน จะได้ข่มเหงรังแกได้..! จากที่กล่าวมา เรื่องสำคัญก็คือ กำลังใจยังไม่มั่นคง ก็เลยต้องการที่พึ่ง เราจึงต้องเร่งกำลังใจให้มั่นคง ถึงเวลาแล้วเราจะได้ไม่ต้องพึ่งใคร และจะได้ไม่ต้องไปกระโดดลงเหว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 09:20 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอ่านเจอศีลข้อหนึ่ง ในโภชนปฏิสังยุต ของเสขิยวัตร ข้อที่ว่า ภิกษุห้ามฉันเลียบาตร
อาตมาก็สงสัยว่าบาตรจะเลียได้อย่างไร จะมุดเข้าไปในบาตรได้อย่างไร พอไปเจอบาตรพม่าจึงรู้ เพราะบาตรพม่าตื้นนิดเดียว ลักษณะเหมือนกับชามตื้น ๆ จึงได้เลียได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าเรื่องเสียงดังให้ฟังว่า "ท่านโฆสกเทพบุตร เสียงปกติเวลาท่านพูด ได้ยินไปถึง ๑ โยชน์ แต่ถ้าท่านพูดเต็มเสียงได้ยินไปทั่วดาวดึงส์
พวกเรามีใครบ้างไหมที่เสียงดังระดับนี้ ? สมัยก่อนมีพระครูมะลิ วัดเทพศิรินทร์ ท่านขึ้นนะโมเสียงดังจนเด็กร้องไห้ เวลาค่ำตอนสวดศพ พระครูมะลิสวดคนเดียวโดยไม่ต้องใช้ไมค์ได้ยินไปถึง ๓ - ๔ ศาลา เพื่อน ๆ ต้องใช้ไมค์ช่วย แต่พระครูมะลิไม่ต้องใช้ หุ่นของท่านล่ำสันสูงใหญ่ สงสัยชาติก่อนคงจะถวายระฆังเอาไว้เยอะ หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานก็เคยขึ้นนะโมแล้วเด็กตกใจจนร้องไห้ ตอนนั้นหลวงปู่เสียงดังมาก หลวงปู่ปานมาบอกทีหลังว่า วันนั้นไม่ค่อยมีแรง ท้าวมหาราชท่านก็เลยช่วย เรื่องเสียงดังของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็เคยเจอกับตัวเอง ตอนนั้นอาตมาเพิ่งบวชใหม่ ๆ ยังไม่ได้พรรษา มีหน้าที่ขึ้นไปช่วยงานบนศาลานวราชบพิตรเพื่อจำหน่ายวัตถุมงคล วันนั้นพอหลวงพ่อลงรับสังฆทาน มีรถทัวร์เข้ามา ๔ คัน ได้คุยกับโยมทีหลังว่าเขามาจากสัมพันธวงศ์ พวกเราก็รู้ว่าสัมพันธวงศ์เป็นดงของคนจีน เวลาคนจีนคุยกันเหมือนกับคนทะเลาะกัน แล้วคนจีนจำนวน ๔ คันรถทัวร์ เบียดกันขึ้นไปบนศาลานวราชบพิตร เวลาคุยกันเสียงจะดังแค่ไหน ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 09:23 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
"หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ก่อนแล้ว และมีโยมประมาณ ๕ - ๖ คน ถามปัญหาธรรมะอยู่ตรงหน้า บรรดาอาซ้อ อาซิ้ม อาเจ็ก ขึ้นมาก็ส่งเสียงเกรียวกราว
หลวงพ่อท่านเตือนว่า "โยมเบา ๆ หน่อย ข้างหน้าเขาคุยธรรมะกันอยู่" ปรากฏว่าไม่มีเบาแม้แต่นิดเดียว แถมยังดังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะข้างหลังประดังกันเข้ามาอีก พออีกสักพักหนึ่ง ท่านก็เตือนอีก "โยมเบา ๆ หน่อย คุยกลบเสียงธรรมะอันตรายนะ" ก็ยังคงเหมือนเดิม มีแต่ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะเขาบูชาวัตถุมงคลกัน "โคตรแม่มึง..ถ้าจะคุยกันก็กลับไปคุยที่บ้านโน่น..!" เสียงท่านดังชนิดกระเบื้องหลังคากระพือ ทั้งหมดเงียบสนิทชนิดเข็มตกยังได้ยิน พอตั้งสติได้ คนแรกก็ย่องลงบันได คนที่สองสามสี่ก็ตามกันไปจนหมด สี่คันรถไม่เหลือเลย หลวงพ่อท่านมาบอกทีหลังว่า "จำเป็นต้องดุ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นโทษจะเกิดแก่เขามาก ประเภทนี้มาวัดก็ไม่รู้บุญบาปคุณโทษว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..อย่าให้มาได้อีกเลยเป็นดี" เพิ่งจะรู้ว่าเสียงคนดังได้ขนาดนี้ คงจะลักษณะเดียวกันกับท่านท้าวมหาราชท่านช่วย หลวงปู่ปานท่านทำได้ หลวงพ่อท่านทำได้ ถือว่าปกติ แต่พระครูมะลิไม่ต้องมีใครช่วย ท่านก็เสียงดังได้ มีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ เคยเจอหลวงพ่อท่านส่งเสียงทางลมปราณ ถ้าใครเคยอ่านหนังสือกำลังภายในจะรู้ เป็นเสียงประเภทที่ได้ยินเฉพาะคนที่ตั้งใจให้ได้ยิน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 09:25 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
"อาตมานั้นสวดมนต์ได้ตั้งแต่ตอนเป็นนาค พอบวชแล้วเขาจึงให้ออกกิจนิมนต์ ตอนนั้นไปชัยนาท พอโยมเขาถวายปัจจัยไทยธรรมมา อาตมาก็มักจะเอาไปถวายหลวงพ่อ
พอสวดมนต์ฉันเพลเสร็จ อาตมากลับมาถึงวัด ได้เวลาหลวงพ่อรับแขก อาตมาจึงหิ้วถังสังฆทานขึ้นไปบนศาลา ญาติโยมนั่งอยู่ประมาณ ๒๐ - ๓๐ คน ตอนที่อาตมาเดินเข้าไป ญาติโยมเขาก็หลีกทางให้ เพราะเราประเภทเดินไปไม่เกรงใจใครเลย เดินไปถึงตรงหน้าหลวงพ่อ คุกเข่าลง ยกถังสังฆทานพร้อมกับซองปัจจัยถวายท่าน เพื่อน ๆ น้อง ๆ ข้างหลังก็ตามมาอีกหลายรูป หลวงพ่อหยิบแก้วน้ำขึ้นมา คนอื่นเห็นหลวงพ่อยกแก้วน้ำอยู่ แต่เราได้ยินเสียงหลวงพ่อลอดใต้แก้วมาว่า "โคตรแม่มึง..เดินดูชาวบ้านเขาบ้าง จะเหยียบเขาคอหักตายอยู่แล้ว..!" เสียงเหมือนฟ้าผ่า แต่อาตมาได้ยินอยู่คนเดียว..! พอลงมาจากศาลา ท่านประสิทธิ์ที่เป็นรุ่นน้องเดินตามหลังมาติด ๆ ถามว่า "หลวงพ่ออวยพรอะไรให้พี่คนเดียว ไม่เห็นให้ผมบ้างเลย" เพิ่งจะรู้ว่าเสียงที่เราได้ยินอย่างกับฟ้าผ่า เราได้ยินเพียงคนเดียว คนอื่นไม่ได้ยิน ตกกลางคืนก็ไปเล่าเรื่องนี้กันในห้องฉันน้ำปานะ หลวงตาวัชรชัยบอกว่า "กูเห็นท่ามึงเดินขึ้นไป กูก็รู้แล้วว่ามึงโดนแน่เลย กูแปลกใจว่ามึงรอดมาได้อย่างไร ?" อาตมาบอกว่า "ไม่ได้รอด ผมโดนเต็ม ๆ เลย แต่ผมได้ยินคนเดียว" ฉะนั้น..เรื่องนี้ยังไม่เห็นคนอื่นทำได้ แต่หลวงพ่อทำได้แน่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 09:27 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
มีโยมนำพระพุทธรูปปางประสูติมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงถามโยมว่า "เราเรียกว่าพระพุทธเจ้าได้หรือไม่ ? ตอนประสูติ เจ้าชายชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน พร้อมกับประกาศว่า อะหัง อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ที่เลิศที่สุดในโลก อะหัง เชฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ที่เจริญที่สุดในโลก อะหัง เสฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ทันทีที่เกิดมามีใครกล้าประกาศอย่างนี้บ้างไหม ? เราเรียกรูปนี้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้ แม้ว่าความเป็นพระพุทธเจ้าจะมาเมื่อท่านพระชนมายุ ๓๕ พรรษา แต่ที่เราเห็นรูป เรานึกถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้นึกถึงความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะฉะนั้น..เรียกว่าพระพุทธเจ้าได้ ท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ ให้เขาทำภาพพระพุทธเจ้าปางประสูติ และติดเอาไว้ในงานสาธยายพระไตรปิฎก พอโยมเขาเห็น เขาถามว่า "กุมารทองวัดไหน ?" เห็นพระพุทธเจ้าเป็นกุมารทองไปได้..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 11:25 |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
"กุมารทองในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ กุมารทองของหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐม แต่ท่านไม่ได้เรียกกุมารทอง ท่านเรียกว่า ตุ๊กตาทอง
บางคนเอาวัตถุอาถรรพ์ อย่างขี้เถ้ากระดูกผี ๗ ป่าช้า มาปั้นเป็นรูปเด็กแล้วให้หลวงปู่ท่านเสก แล้วเขาเกิดสงสัยทีหลังว่าจะมีโทษหรือเปล่า ? หลวงปู่ท่านยืนยันว่า "ข้าอุทิศส่วนกุศลให้ จนเป็นเทวดาไปหมดแล้ว" เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นกุมารทองของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม มั่นใจได้ว่าไม่มีโทษแน่ มีแต่ก่อประโยชน์ให้อย่างเดียว แต่ถ้าเป็นกุมารทองของเณรแอก็ต้องคิดกันหน่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 11:26 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
ถาม : ปฏิบัติสมาธิแล้วเกิดการชา เหมือนเป็นจุด ๆ ตรงกลางหน้าผาก บางทีก็ไหลมาอยู่ตรงจมูก ถ้านั่งสมาธิแล้วเห็นเป็นกายของเรา พิจารณาไปว่ามันเป็นกาย ถ้ามีอาการเจ็บปวด ก็ตามดูเวทนา ดูที่จิตเหมือนกับว่ามีแสงเหมือนสามเหลี่ยมตรงตัวผม พอจะรีบออกจากสมาธิ มันออกไม่ได้ มันมึนครับ อีกข้อ ที่ปรารถนาอยู่ ถ้ายังโลเลอยู่ จะเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าบารมียังไม่เข้มข้นพอ ตกลงทั้งหมดที่ว่ามามีคำถามนี้คำถามเดียว นอกนั้นเป็นคำบอกเล่าเฉย ๆ ไม่ถามก็ไม่เป็นไร แต่อาตมาอยากจะบอก ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เขาไม่ให้ใส่ใจ เพราะถ้าใส่ใจสมาธิจะไม่ก้าวหน้า ต้องตัดสินใจว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ตามที ถึงจะตายลงไปตอนนั้นก็ตาม เรากำลังทำความดีอยู่ เราต้องไปดีแน่ ถ้าตัดใจได้ขณะนั้น ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมี พอเราเข้าถึงอุปจารสมาธิ ภาพและแสงสีต่าง ๆ ก็จะปรากฏ ถ้าเราไปให้ความสนใจ ความก้าวหน้าในสมาธิก็จะไม่มี จะติดอยู่แค่นั้น ถ้าเราไม่สนใจ ภาพนั้นจะยิ่งชัด เหมือนกับตั้งใจจะก่อกวนเรา เราจึงจำเป็นที่จะต้องสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ส่วนข้อสุดท้ายมีใครบอกไหมว่า คุณพูดเร็วฉิบหายเลย..! ถาม : ใช่ครับ มีคนบอก ตอบ : ระวังเอาไว้บ้าง คนแก่เขาจะฟังไม่ทัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 20:57 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
ถาม : หลังจากนั่งสมาธิ ถ้าเห็นเหมือนแสงเล็ก ๆ ตรงพระพุทธรูป ก็อย่าไปสนใจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ให้กำลังใจทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีลมหายใจอยู่..กำหนดรู้ลม ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่..กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าลมหายใจเบาลง คำภาวนาหายไป หรือลมหายใจหายไปด้วย เรากำหนดรู้อย่างเดียว อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น และอย่าอยากเลิกเป็นอย่างนั้น มีหน้าที่กำหนดรู้ไปเท่านั้นเอง ถ้าหากเราไปดิ้นรนอยากให้เป็นอย่างอื่น หรืออยากให้หายจากอาการอย่างนั้น สมาธิจะถอยออกมา แล้วพอถึงสมาธิระดับนั้นก็จะเป็นอีก ทำให้เราไม่ก้าวหน้า ติดอยู่แค่นั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-10-2010 เมื่อ 12:34 |
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเวลาอธิษฐาน มีสิ่งเข้ามาแทรกแล้วเราตามรู้ไป ควรตั้งจิตอธิษฐานใหม่ แผ่เมตตาใหม่ หรือควรจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ช่างมัน เราทำกุศลอยู่ อกุศลก็พยายามขัดขวาง จิตของเราตั้งอยู่ในเรื่องไหนให้ตั้งในเรื่องนั้นต่อไป อย่างเช่น อธิษฐานปรารถนาโพธิญาณ อธิษฐานปรารถนานิพพานชาตินี้ หรือเกิดเมื่อไรขอให้รวยก็ว่าไป แล้วความตั้งใจของเราจะมีผลตามนั้น แต่ถ้าหากจิตมั่นคง เหลืออยู่อารมณ์เดียว คำอธิษฐานนั้นจะได้ผลเร็วขึ้น เวลาที่อกุศลกรรมแทรก ไม่ได้หมายความว่าคำอธิษฐานจะไม่มีผล แต่ว่ามีช้าหน่อย ถ้าจิตใจมีคุณภาพ สมาธิทรงตัวตั้งมั่น ไม่เคลื่อนไปไหน คำอธิษฐานจะมีผลเร็วขึ้น โดยเฉพาะเร็วขึ้นอีกหลายชาติ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 11:30 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : พระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกับพระพุทธเจ้าทุกประการ เพียงแต่สร้างบารมีมาน้อยกว่า ขาดแต่สัพพัญญุตญาณเท่านั้น นอกนั้นสามารถรู้เท่าพระพุทธเจ้า เหตุที่ท่านขาดสัพพัญญุตญาณ เพราะท่านไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ท่านไม่ได้ประกาศพระศาสนา สมมติว่าวัดอาตมามีรถโฟร์วีลอยู่หนึ่งคัน อีกวัดหนึ่งไม่มี เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าป่าเข้าดง ก็ลักษณะเดียวกัน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เลยไม่จำเป็นต้องมีสัพพัญญุตญาณเพราะท่านไม่ได้ประกาศพระศาสนา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 11:32 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
ถาม : น้องสาวของหนู ชอบนั่งสมาธิแล้วเขาจะเห็นเป็นวิญญาณ เห็นอยู่เรื่อย ๆ จนเขาไม่กล้านั่ง ไม่คิดจะนั่งต่อ
ตอบ : บอกเขาว่าทำต่อไป เริ่มดีแล้ว การที่เรารู้เห็นท่านทั้งหลายเหล่านั้น ให้ตั้งใจว่า ผลบุญที่เราทำในครั้งนี้หรือบุญจากกรรมฐาน ขอให้วิญญาณ ผี หรืออะไรที่เราเห็น ให้โมทนาบุญเราด้วย เราได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย แล้วเขาก็จะไปเองจ้ะ ส่วนใหญ่เขามาเพราะลำบาก เขาต้องการการช่วยเหลือ ถาม : แล้วอีกอย่างที่เขาไม่กล้านั่ง เพราะเขารู้สึกว่าตัวเขายืดขยาย หายใจไม่ค่อยออก ตอบ : เป็นอาการของปีติ ในส่วนของผรณาปีติ ไม่มีอะไรน่ากลัว เราอาจจะสงสัยว่าปีติเป็นเรื่องดี แต่ทำไมจึงมีอาการแปลก ๆ โบราณเขาเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนกับพ่อแม่ ทิ้งลูกให้อยู่บ้าน ส่วนตัวเองไปตลาด ไปไร่ไปนาทั้งวัน พอกลับมาตอนเย็น เด็กก็คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ เห็นพ่อแม่กลับมาก็ดีใจกระโดดโลดเต้น บางคนก็ร้องไห้ดีใจ นั่นคือปีติ การปฏิบัติก็เหมือนกัน จิตที่เริ่มเข้าถึงความสงบ สิ่งที่ในอดีตเราเคยคุ้นเคยมาก่อน เมื่อเข้าถึงจุดนั้น อาการปีติก็เลยเกิดขึ้น แต่คนเราไม่เข้าใจว่าปีติมีหลายอย่าง หลายรูปแบบด้วยกัน ต่อไปจะมีอาการมากกว่านั้นอีก ฉะนั้น..แรก ๆ ปล่อยให้เป็นไปเต็มที่ ไม่ต้องไปกลัว ถ้าขึ้นเต็มทีแล้วก็จะเลิกไปเอง ถาม : เขาบอกว่าหายใจไม่ออก สมควรจะหยุดหรือนั่งต่อ ? ตอบ : ปล่อยต่อไป ให้ตัดสินใจว่าเรากำลังทำความดีอยู่ ถึงตายไปตอนนี้เราก็ยอม เพราะอย่างไรเราไปดีแน่นอน ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้ก็ก้าวข้ามไปเลย ถ้าตัดใจไม่ได้ ทำเมื่อไรก็จะติดอยู่แค่นั้นแหละ บอกว่าสู้ต่อไปไอ้มดแดง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 11:34 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "รู้ไหมว่านั่งอยู่ตรงนี้ นั่งด้วยความหวัง ความหวังอันสูงสุดว่าจะมีใครถามปัญหาการปฏิบัติที่ไม่ใช่ระดับพื้น ๆ แบบนี้บ้าง เดี๋ยวจะเหมือนกับครูจบปริญญามา อยากให้ความรู้แก่เด็กมากเลย แต่กี่ครั้ง ๆ ก็ถามแค่ไม่เกิน ป.๕ หรือ ป.๖..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 16:06 |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าตอนที่อารมณ์เราดีสุด ๆ เหมือนกับว่า กำลังทำความดี แล้วฟูมาก ๆ เราควรจะเอาอารมณ์ตอนนั้นไปทำอะไร ?
ตอบ : ตอนนั้นให้ระมัดระวังตัวให้สุดขีดเลยว่า มารจะแทรกได้ เพราะตอนที่เราฟูมาก ๆ จริง ๆ แล้วสมาธิเราตก ขึ้นไม่ถึงฌาน ปีติจึงเกิดได้ เท่ากับเปิดโอกาสให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เข้าได้มาก โดยเฉพาะการยินดีในอารมณ์นั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของราคะอยู่แล้ว ช่วงนั้นมารจะแทรกได้ง่าย ถ้าเผลอเมื่อไรก็โดนจูงผิดทาง อย่างเช่นปีติมาก ๆ อาจจะทำบุญจนหมดตัว แล้วทำให้ครอบครัวเดือดร้อน หรือไม่ก็ปีติมาก ๆ ภาวนาไม่เลิก จนร่างกายทนไม่ไหว สติแตกไปอีก..! ต้องระวังตัวสุดขีด..ไม่ใช่อารมณ์ฟูแล้วจะเอาไปทำอะไร แต่ต้องระวังสุดชีวิตเลย ถ้าถึงระดับนั้นแล้วจะทำอะไรต้องใช้สติสัมปชัญญะให้รอบคอบ พิจารณาแล้วว่าตนเองและคนรอบข้างไม่เดือดร้อนถึงทำ หรือปฏิบัติธรรมไปแล้วก็ให้ตั้งเวลาไปเลย ว่าไม่เกิน ๑ ชั่วโมงเราจะพัก ไม่เกิน ๓ ชั่วโมงเราจะพัก ถ้าหากไม่มีอย่างนั้นแล้ว เดี๋ยวทำข้ามวันข้ามคืนไม่เลิก เพราะใจกำลังฟูอยู่ จะไม่รู้สึกเหนื่อยหรอก แต่ร่างกายจะอ่อนล้าสะสมไปเรื่อย พอถึงระดับที่ร่างกายทนไม่ได้ก็จะพัง..! แต่สำหรับพวกเราคงไม่ต้องเตือนข้อนี้หรอก ขี้เกียจอยู่แล้วนี่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 16:09 |
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
ถาม : แล้วการทรงฌานสี่ทั้งวัน ไม่ตึงเกินไปหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากทำได้คล่องตัวจริง ๆ จะไม่เป็นไร ยกเว้นคนฝึกใหม่ ๆ จะรู้สึกตึงและเครียด เพราะสภาพจิตที่เคยดิ้นรน โดนกดนิ่งสนิทไป จึงควรซ้อมการเข้า-ออก ขึ้น-ลงฌานต่าง ๆ ให้คล่องไว้ พอคล่องชนิดที่จะเข้าเมื่อไรก็ได้ ก็จะเกิดความเบาขึ้น พอคล่องตัวมากจริง ๆ ต้องการเมื่อไรก็จะมา ต้องการเมื่อไรก็จะเปลี่ยนระดับฌานได้ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นของเบา ไม่ใช่ของหนัก คราวนี้ก็จะไม่ตึง ไม่เครียดแล้ว สามารถทรงได้เป็นเดือน เป็นปี สมัยอาตมาฝึกใหม่ ๆ ก็ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่กับฌาน จนกระทั่งสามารถทรงได้เป็นระยะเวลา ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือนต่อเนื่อง คิดว่าเราแน่...ที่ไหนได้..พลาดทีเดียว หายจ้อยไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 16:10 |
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
ถาม : อย่างเมื่อก่อนเวลาหนูพยายามจะทรงฌานสี่ให้ได้ตลอดเวลา แต่พอไปนาน ๆ เรื่อย ๆ ก็เริ่มหนัก พอเริ่มหนักหนูก็ถอยให้เบาลง แต่ก็ยังรู้สึกว่าหนักอยู่ดี ก็ถอยให้เบาลงอีก ก็ยังหนักอยู่ดี จนกระทั่งสุดท้ายหนูเลยตัดสินใจว่า ไม่เอาอะไรแล้ว ไม่เอาแม้กระทั่งอารมณ์ในการปฏิบัติ คราวนี้ปรากฏว่าเบา โล่ง พอเราได้อารมณ์ที่เบาโล่งของเรา เราก็ล็อกตรงนั้นไว้ให้อยู่ลักษณะนั้นตลอด พอหนูคิดว่าอยากจะให้อารมณ์มากกว่านี้ ก็กลายเป็นเครียด หนักไป ก็เลยให้เหลืออารมณ์แค่นี้ หนูควรจะรักษาอารมณ์ลักษณะอย่างนี้ไปตลอดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้ารักษาไปตลอด โอกาสจะพลาดก็มี เพราะว่ายังเบาไป ต้องมีเวลาเฉพาะของเราสักเช้า ๑ ชั่วโมง เย็น ๑ ชั่วโมง ที่ตั้งอารมณ์สมาธิให้ทรงฌานเต็มที่ก่อน แล้วค่อยถอยออกมา ถาม : แต่ในขณะที่เห็นว่าเบาลง เราก็เห็นว่าแม้กระทั่งอารมณ์การละ เมื่อก่อนเราจะแต่ละที เราจะต้องรวบรวมกำลังใจในลักษณะที่สูงมาก แต่ตอนนี้คือ ละก็เหมือนไม่ได้ละ จะเบาลง ตอบ : ขอให้ปล่อยได้เท่านั้น จะหนักหรือเบาช่างมัน เคยบอกเอาไว้ว่า ถ้าทำถูกแล้วจะเบา ถ้าหากยังหนักอยู่ ยังไม่ถูกจริง ค่อยยังชั่วหน่อย มีคำถามเลย ป.๗ ไปบ้าง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 16:13 |
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาอ่านหนังสือที่หลวงพ่อสอน ท่านบอกให้ทรงอารมณ์แล้วก็ไล่ฌานสี่ ไล่พรหมวิหาร อ่านไปก็นึกตามไป รู้สึกตามไป สุดท้ายก็ไปจับอารมณ์พระนิพพาน อันนี้เป็นกำลังของมโนมยิทธิครึ่งกำลัง หรือว่าทรงอารมณ์ได้ตามที่หลวงพ่อสอนจริง ?
ตอบ : ตอนนั้นอย่างน้อยจิตของเราไม่มีกิเลส ในเมื่อไม่มีกิเลส การที่เราจะไล่ตามอารมณ์ โดยเฉพาะในอารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้าที่หลวงพ่อท่านสอน สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยง่าย แต่สำคัญตรงที่ว่า เราเข้าถึงแล้ว เราทรงอยู่ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้น..ตรงจุดนี้เราก็ต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง และหมั่นทำบ่อย ๆ หมั่นย้ำบ่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นความเคยชินเฉพาะตัวว่า ทำเมื่อไรต้องให้ได้อารมณ์นี้เลย ถาม : ไม่ต้องไล่ตามขั้นแล้ว ตอบ : ไม่ต้อง แรก ๆ ก็เหมือนตีอวนเอาปลาทั้งทะเล ต่อไปพอเรารู้ว่าปลาตัวไหนดีที่สุด เราก็คว้าเอาปลาตัวนั้นตัวเดียว แรก ๆ จะทำเยอะ แต่พอซักซ้อมจนคล่องตัวแล้วก็จะเหลือเพียงนิดเดียว ถาม : อย่างนี้ถ้าเราตั้งอารมณ์เข้านิพพานอย่างเดียวก็จบเลยสิ ? ตอบ : ถ้าทำได้จริง ๆ ก็จบ ระยะหลัง ๆ อาตมายังขี้เกียจไปกราบท่านปู่ท่านย่าเลย พอไปถึงนิพพานแล้วก็เชิญท่านขึ้นมากราบ ตอนที่ยังไม่หายคัน ก็จะแวะนั่นแวะนี่ เที่ยวไปเรื่อย พอนาน ๆ เข้าก็จะเริ่มเบื่อ เหมือนโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะไม่เล่นซนอย่างเด็กแล้ว จะเหลือแค่ไม่กี่จุดที่เราจะไป ถาม : แต่ก็ไม่เคยเห็นชัดจริง ๆ เลย อารมณ์พระนิพพานก็ไม่เห็นชัด ตอบ : ไม่เป็นไร อย่าลืมว่าพระสุกขวิปัสสโกท่านไม่ได้เห็นอะไร แต่ขณะเดียวกันทำไมท่านถึงได้มั่นใจ ก็เพราะท่านเข้าถึงอารมณ์นั้นจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 16:15 |
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|