#61
|
||||
|
||||
เสือแกะจากเขี้ยวหมี ของหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ครูบาอาจารย์ที่สร้างเครื่องรางจากเขี้ยวเสือกลวง ที่โด่งดังแม้กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ ยังมีพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ ได้แก่ หลวงปู่ปาน (พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ) วัดบางเหี้ย (วัดมงคลโคธาวาส) ท่านสามารถเสกจนเสือแกะจากเขี้ยวเสือกลวงนั้นวิ่งออกจากบาตรได้ เมื่อทำหล่นหาย เพียงเอาเนื้อหมูไปแกว่งล่อในบริเวณนั้น เสือแกะจะงับติดเนื้อหมูมาเลยทีเดียว ผู้สืบสายวิชาของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย คือ หลวงพ่อนก วัดสังกะสี (วัดนาคราช) ซึ่งสามารถสร้างเขี้ยวเสือแกะได้เข้มขลังไม่แพ้ครูบาอาจารย์ แต่เขี้ยวเสือกลวงนั้นหายากมาก เสือหลวงพ่อนกส่วนใหญ่จึงแกะจากเขี้ยวหมี ซึ่งถือว่าดีทางมหาอำนาจเช่นกัน |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
เพชรตาแมว ตั้งแต่ครั้งโบราณนานมา ชาวไทยเรามีความเชื่อในเรื่องของสิ่งลี้ลับ รวมทั้งวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่เชื่อกันว่า จะช่วยคุ้มครองภัยอันตราย รวมถึงนำพาโชคลาภ และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งเพชรตาแมวก็เป็นวัตถุมงคลที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงกันมาช้านาน ทั้งที่ไม่มีประวัติความเป็นมาที่ชัดเจนว่า เรื่องของเพชรตาแมวนั้น มีมาตั้งแต่ยุคใดสมัยใด นอกจากเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาว่า กำเนิดของเพชรตาแมวนั้น มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อเทพจากสรวงสรรค์จุติลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อสร้างบุญบารมีหรือชดใช้กรรมของตน โดยเทพดังกล่าวนั้นเมื่อจะมาเกิดเป็นแมว ก็ได้นำเอาแก้วมณีสารพัดนึก ซึ่งเป็นของวิเศษประจำตัวลงที่มาโลกมนุษย์ด้วย ก่อนที่เทพองค์นั้นจะละสังขารแมว ท่านจะประทานแก้ววิเศษที่รู้จักกันในนาม "เพชรตาแมว" ให้แก่ผู้ที่มีพระคุณที่เลี้ยงดูมา จนถึงวาระที่ได้สร้างบุญบารมีตามที่ต้องการ หรือชดใช้กรรมหมดสิ้นแล้ว ก่อนจากไปท่านจะทิ้งดวงแก้ววิเศษของตนไว้ให้ ก่อนจะกลับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ดังเดิม ในขณะเดียวกัน หากมองในแง่ของวิทยาศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่า เพชรตาแมวเกิดจากแมวที่ตาเป็นต้อหิน แม้แมวจะไม่เจ็บปวด แต่ตาข้างนั้นก็ไม่สามารถใช้การได้ ครั้นแมวตัวดังกล่าวได้ตายลง ต้อหินนั้นก็หลุดออกมา เป็นสิ่งที่เรียกกันว่าเพชรตาแมว แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2013 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
เพชรตาแมวชั้น ๒ ดวงนี้เจ้าของประกาศขาย ๓๙ ล้านบาท..! เพชรตาแมวมักมีลักษณะ ดังนี้ ๑. เพชรตาแมวชั้น ๑ เป็นเพชรตาแมวชนิดใสเป็นแก้ว เพชรตาแมวชนิดนี้จะมีลักษณะเหมือนดวงตาแมวขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความใสไม่มีความขุ่นมาเจือปน มีมิติซับซ้อนจนไม่สามารถที่จะทำเทียมเลียนแบบได้ เนื่องจากเนื้อใสบริสุทธิ์ และมีความแวววาวมาก ๒. เพชรตาแมวชั้น ๒ เป็นเพชรตาแมวชนิดหินใส มีลักษณะใสปนขุ่น ในความใสจะมีเหมือนกับเสี้ยนไม้อยู่ข้างใน เมื่อส่องด้วยกล้องขยายจะเห็นเหมือนมีรังผึ้งขนาดเล็กอยู่ และมีเส้นเลือดขนาดเล็กด้วย เพชรตาแมวประเภทนี้มักมีสีฟ้าน้ำทะเล สีเหลือง สีเขียวอมฟ้า หรือสีม่วงอมชมพู ๓. เพชรตาแมวชั้น ๓ เป็นเพชรตาแมวชนิดหินสีขาว มีลักษณะสีขาวทึบ เหมือนกับก้อนหินขัดหรือกลึงขึ้นมา บางดวงมีจุดสีดำเล็ก ๆ แทรกอยู่ด้วย เป็นเพชรตาแมวชนิดที่พบกันมากที่สุด บางท่านว่าเป็นต้อหินที่เกิดกับดวงตาแมว เชื่อกันว่าเพชรตาแมวมีความเกี่ยวพันกับแมวมงคลชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะแมวสีสวาด เพชรตาแมวชั้นเลิศนั้น เมื่อแมวตาเพชรยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาของแมวตาเพชรนั้นจะเป็นสีเดียวทั้งดวง ไม่มีตาดำเหมือนกับแมวทั่วไป เป็นสีใสแวววาวเหมือนกับเพชรชั้นดี มีทั้งสีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน สีฟ้าเข้ม สีเหลืองเข้ม เป็นต้น จึงทำให้เพชรตาแมวที่ได้จากแมวสีสวาด มีสนนราคามหาศาล เพราะหาได้ยากกว่าเพชรตาแมวทั่ว ๆ ไป |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
ของทำปลอมฝังแก้วไพฑูรย์ไว้แทนที่ดวงตาแมว มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนที่แมวตาเพชรยังมีชีวิตอยู่ เมื่อมองไปที่เหยื่อประเภทจิ้งจก นก หนู สัตว์เหล่านั้นจะตกลงมาเป็นอาหารแมว โดยที่แมวไม่ต้องทำอะไรเลย วิธีได้มาซึ่งเพชรตาแมว เมื่อแมวตาเพชรที่ท่านเป็นเจ้าของได้ตายลง ให้นำใส่ไว้ในหม้อดิน เอาไปฝังทรายไว้ตั้งแต่ ๑๐๐ วันถึงหนึ่งปี เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้ขุดเอาหม้อดินนั้นขึ้นมา จัดพิธีเหมือนกับทำบุญงานศพทั่วไป คือนิมนต์พระมาสวดมาติกาบังสุกุล ถวายภัตตาหารเพล อุทิศส่วนกุศลให้กับแมวนั้น แล้วเอาผ้าขาวมาปูรองรับ เทเอาซากแมวในหม้อดินออกมา ซึ่งเท่าที่มีผู้พบมานั้น แมวตาเพชรเมื่อตายแล้วมักจะไม่เน่าเปื่อย แต่เป็นซากแห้งไปเฉย ๆ เมื่อได้เพชรตาแมวที่ต้องการแล้ว ก็นำเอาซากแมวไปเผา โดยทำพิธีเหมือนกับการฌาปนกิจศพบุคคลทั่วไป ถ้าบุคคลที่ใจร้อนและไม่รู้วิธีการ เมื่อแมวตาเพชรตายลง ก็รีบควักเอาดวงตาแมวออกมา ดวงตานั้นจะเน่าเปื่อยสลายไป ไม่เหลืออะไรไว้ให้เลย หรือบางท่านก็ได้แค่เศษแก้วตาชิ้นเล็ก ๆ ไว้เท่านั้น |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
เพชรตาแมวชั้น ๓ ที่หลายท่านเชื่อว่าเป็นต้อหิน มีความเชื่อกันว่า ผู้ที่ได้ครอบครองเพชรตาแมวนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนามาตั้งแต่ชาติปางก่อน จึงทำให้มีสัตว์เทพตามมารับใช้ ซึ่งอานุภาพของเพชรตาแมวนั้น มีคุณวิเศษดั่งแก้วสารพัดนึก หากผู้ครอบครองได้มาอย่างถูกต้อง และหมั่นสร้างบุญบารมี ทำคุณงามความดี ก็จะทำให้เจ้าของเพชรตาแมวนั้น พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง และแคล้วคลาดจากอันตราย แต่หากผู้ใดครอบครองเพชรตาแมวด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง และทำแต่ความชั่ว บุคคลนั้นอาจจะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานาได้ ปัจจุบันเพชรตาแมวยังคงเป็นวัตถุมงคลที่บุคคลจำนวนมากอยากได้มาครอบครอง แต่เนื่องจากเป็นของหายาก และมีโอกาสเกิดขึ้นได้ราว ๑ ในล้าน ดังนั้น..สนนราคาของเพชรตาแมวจึงอยู่ในหลักสิบล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะเพชรตาแมวชั้นดีเลิศ หรือที่เป็นของเก่าแก่สืบทอดกันมานับร้อยปี อย่างไรก็ดี เพชรตาแมวที่จำหน่ายได้ราคาสูง ต้องผ่านการรับรองจากสถาบันต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ เช่น สถาบันวิจัยพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ใบรับรองว่าเป็นวัตถุธรรมชาติจากกรมทรัพยากรธรณี หรือใบรับรองจากสัตวแพทย์ว่าเป็นวัตถุที่มาจากดวงตาสัตว์ เป็นต้น |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
เพชรหน้าทั่ง เพชรหน้าทั่งทางใต้เรียกว่า"ตาหินเพชร" เวลาบูชาให้ใส่พานหรือภาชนะปากกว้าง ใส่น้ำสะอาดลงไปพอไม่ให้หินจม ผู้บูชาจะอยู่เย็นเป็นสุข ขอโชคขอลาภได้สมปรารถนา ให้ตาหินเพชรช่วยดูแลบ้านก็ได้ เรียกว่าสารพัดประโยชน์ สรรพคุณ ดีทางอยู่ยงคงกระพัน เชื่อกันว่าเพชรหน้าทั่งมีสรรพคุณเป็นรองแค่เหล็กไหลเท่านั้น หากพกติดตัวไว้ จะช่วยคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้ บูชาไว้กับบ้านช่วยป้องกันภัยในครอบครัว ค้าขายก็ดี ดูดพิษสัตว์ก็ได้ ถ้าเป็นงูสวัดให้ฝนกับน้ำซาวข้าวทาหาย ผู้มีวาสนาจึงควรมีไว้บูชา วิธีบูชา ตำราว่าให้เอาเพชรหน้าทั่งแช่กับน้ำฝนหรือน้ำสะอาด ควรหาดอกมะลิมาบูชา ขอให้มีโชคลาภ ให้ปลอดภัยมีความสุข แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2013 เมื่อ 05:00 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
แก้วโป่งข่าม แก้วโป่งข่าม หมายถึง แก้วประเภทหินเขี้ยวหนุมาน ที่มีลวดลายภายในตามธรรมชาติ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวโดยไม่ต้องผ่านการปลุกเสก ถ้าได้รับการปลุกเสกซ้ำ ย่อมทำให้ทวีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แก้วโป่งข่ามของอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมานาน ๔๐ - ๕๐ ปีมาแล้ว เมื่อย้อนไปในอดีตก็พบว่า คุณวิเศษแห่งแก้วโป่งข่ามนั้น เป็นที่นับถือกันมานานกว่า ๕๐๐ ปี แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งแก้ววิเศษ ที่มีพลังงานลี้ลับอยู่ภายใน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2013 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
แก้วโป่งข่ามเชื่อกันว่า เป็นแก้วที่มีเทวดารักษา แต่ละดวงเปรียบเสมือนวิมานที่อาศัยของเทพยดาเหล่านั้น ท่านเหล่านี้มีสัมมาทิฐิ หากเราปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา มาพอสมควร ย่อมมีบารมีพอที่จะได้แก้ววิเศษนี้มาครอบครอง แก้วบางดวงมีเทพที่เป็นพญานาค ฤๅษี คนธรรพ์ อสูร รักษาอยู่ ผู้ได้ทิพจักขุญาณจะรู้เรื่องเหล่านี้ดี สรุปว่า แก้วโป่งข่ามเป็นของดี มีเทพรักษาทุกดวง เชื่อกันว่าคนที่มีวิชาหรือมีสมาธิจิต สามารถอัญเชิญเทวดามาประจำในดวงแก้วได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ดวงแก้วแต่ละดวงบังเกิดฤทธิ์ สามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาเป็นทวีคูณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติเป็นสำคัญ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2013 เมื่อ 08:35 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
การค้นพบแก้วโป่งข่าม ย้อนอดีตไปประมาณ ๑๑๐ ปี นายจี๋ คำภิโลชัย เป็นพรานป่า ไปล่าสัตว์ที่บริเวณป่าดอยโป่งหลวงหลายครั้ง ทุกครั้งที่ไปล่า ไม่เคยที่จะได้สัตว์ป่าติดมือกลับมา แม้กระต่ายป่าสักตัวก็ยังไม่เคยได้มาเลย ทั้งนี้เพราะทุกครั้งที่เข้าไปล่าสัตว์ในบริเวณป่าดอยโป่งหลวงนั้น จะต้องเกิดอุปสรรค เช่น ปืนซึ่งเคยใช้การได้เป็นอย่างดีนั้น เกิดขัดลำ ยิงไม่ออกเอาเสียเฉย ๆ ต่อมาพรานจี๋ได้ใช้วิธีใหม่ในการล่าสัตว์บริเวณดอยโป่งหลวง โดยทำเป็นคอกดักสัตว์ สามารถดักเก้งได้ตัวหนึ่ง และพยายามฆ่าเก้งตัวนั้น เพื่อที่จะได้นำกลับบ้าน โดยใช้ไม้หลาวแทง ปรากฏว่าเก้งตัวดังกล่าว สามารถหลบคมหลาวได้ทุกครั้ง และยังหลุดหนีจากคอกไปเสียอีก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2013 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
เหตุการณ์นี้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับพรานจี๋เป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่เป็นพรานมา ออกป่าที่ไหนก็ได้สัตว์ทุกที่ทุกครั้งไป แต่กับบริเวณป่าดอยโป่งหลวงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ แม้จะมีฝีมือดีอย่างไรก็ตาม ก็ไม่เคยที่จะล่าสัตว์ในบริเวณนี้ได้เลย จึงเป็นที่เล่าลือกันถึงสถานที่แห่งนี้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พรานทั้งหลายไม่กล้าเข้าไปล่าสัตว์ในบริเวณนั้นอีก ไม่ใช่แต่เพียงการไปล่าสัตว์เท่านั้น เคยมีคนเผาป่า ไฟก็ไม่ไหม้ จุดไฟในบริเวณดังกล่าวเท่าไรก็จุดไม่ติด ไฟไม่เคยไหม้ป่าแถวนั้นเลย และยังมีผู้เคยเห็นแสงประหลาด ลอยอยู่ในป่าเขตที่ภายหลังเป็นบ่อแก้วโป่งหลวงแห่งนี้บ่อย ๆ โดยเฉพาะยามพระจันทร์เต็มดวง จะเห็นเหตุการณ์เด่นชัดมาก จึงเป็นที่เชื่อถือกันมากว่า ในบริเวณดอยโป่งหลวงนี้ มีเทพยดารักษาอยู่อย่างแน่แท้ และเป็นที่มาของการค้นพบบ่อแก้วโป่งข่าม และการตั้งชื่อบ่อแก้ว โดยบ่อที่สำคัญและขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มากก็คือ บ่อหลวง แก้วโป่งข่ามจากบ่อนี้น้ำดี มีราคา และมีความเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
ความเชื่อและความนิยมเกี่ยวกับแก้วโป่งข่าม สำหรับแก้วโป่งข่ามแบบต่าง ๆ นั้น มีผู้นิยมตามประสบการณ์ และความเชื่อถือเก่า ๆ ดังนี้ อำนาจอยู่ยงคงกระพัน - แก้วสีฟ้า (บ่อแก้วโป่งข่ามหลวง แก้วสีฟ้า แก้วแร แก้วใส) - แก้วปวกเขียว และปวกสีต่าง ๆ - แก้วขนเหล็ก แก้วไหมเงิน ไหมทอง - แก้วขาว - แก้วเข้าเป็ก แก้วเข้าแก้วแบบต่าง ๆ (บ่อแก้วดอยเขาควาย) - แก้วขนเหล็กน้ำตัน อำนาจชุ่มเย็นกันไฟ - แก้วน้ำหาย - แก้วเข้าแก้ว - แก้วขาวใสต่าง ๆ การมีโชคได้ลาภเนืองนอง - แก้วแร - แก้วเนื้อลำไย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2013 เมื่อ 19:17 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
ความร่ำรวย มั่นคง - แก้วสามกษัตริย์ - แก้วเข้าแก้ว - แก้วประภาชมชื่น - แก้วเข้าหลักเงินหลักคำ - แก้วทรายคำ เมตตามหานิยม - แก้วแรสีฟ้า - แก้วเนื้อลำไย - แก้วปวกเขียวสีต่าง ๆ - แก้วกาบ - แก้ววิฑูรย์สีต่าง ๆ ความร่มเย็นเป็นสุข - แก้วปวก - แก้วกาบ - แก้ววิฑูรย์น้ำตันสีต่าง ๆ อำนาจวาสนา ลาภยศตำแหน่ง - แก้วกาบ - แก้วพรหมสามหน้า ความมีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จ - แก้วสีฟ้า - แก้วหมอกมุงเมือง - แก้วปวกสามสี แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2013 เมื่อ 19:20 |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
ตามตำนานโบราณของล้านนา กล่าวถึงดวงแก้ววิเศษ ๒๔ ดวง ที่เชื่อกันว่ามาจากฟากฟ้า ซึ่งพระอินทร์ได้ประทานลงมาให้แก่คนมีบุญ หรือผู้ที่นับถือพระรัตนตรัย จะนำซึ่งโชคลาภเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติคุณ และความสำเร็จทุกประการแก่ผู้ที่ได้ไว้ครอบครอง ดวงแก้ว ๒๔ ดวงนั้น ได้แก่ ๑. แก้วมหานิลไชยโชค (เนื้อสีดำดุจนิล) ๒. แก้ววิฑูรย์ เป็นแก้วที่มีหลายสี ในที่นี้ไม่ได้ระบุว่าเป็นสีใด ๓. แก้วผักตบ สีดั่งดอกผักตบ ๔. แก้วฝนแสนห่า มีลายเนื้อแก้วดั่งสายฝนตกลงมา ส่องกับแดดดูแล้วเหมือนยามที่ฝนตกแดดออก ๕. แก้วบัวมรกต (แก้วสีเขียวมรกต) ๖. แก้วสุริยะประภา (มีสีแดงดั่งพระอาทิตย์) |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
๗. แก้วประภาชมชื่น ๘. แก้ววชิระ (เป็กพรหมสามหน้า) ๙. แก้ววิฑูรย์ขันธะ ๑๐. แก้วปัทมราช มีสีแดง บางชนิดมีลายดาวอยู่ด้วย ๑๑. แก้วจันทะแพงค่าหมื่น ๑๒. แก้วสุริยะ |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
๑๓. แก้วมหานิลทรายคำ ๑๔. แก้วพระยาอิศวร ๑๕. แก้ววิฑูรย์องค์วิเศษขนบุ้งเทศไหมสน ๑๖. แก้วก้อแดงผจญปราบแพ้ศัตรู ๑๗. แก้วสีปะ สีใสสะอาด ๑๘. แก้วปะทัมก่าน หมายเหตุ : ปราบแพ้ศัตรู = ปราบศัตรูพ่ายแพ้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2013 เมื่อ 03:03 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
๑๙. แก้ววิฑูรย์เทศ ๒๐. แก้ววิฑูรย์ผิวเผือก เป็นแก้วน้ำตัน ไม่ใส สีออกงาช้าง บ้างเรียกว่าแก้วงาช้าง ๒๑. แก้วหมอกมุงเมือง เป็นแก้วน้ำใส แต่มีลายเมฆอยู่ภายใน ดูเหมือนมีเมฆหรือหมอกปกคลุมอยู่ ๒๒. แก้วเนระกัณตี ๒๓. แก้วมธุระกัณตี ๒๔. แก้วอินทนิลเผือก แก้ว ๒๔ ดวงนี้ ถือว่าเป็นแก้วชั้นสูง มีค่ายิ่งนัก ตามตำนานกล่าวว่า แก้ว ๒๔ ดวงนี้ แต่โบราณมีกฎหมายตราไว้ว่า หากผู้ใดครอบครองย่อมมีความผิด เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า ผู้ครอบครองจะมีอำนาจเหนือปุถุชน จึงอาจก่อกบฏ สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่บ้านเมืองได้ แก้ววิเศษนี้จึงเป็นของล้ำค่า ที่มีได้แต่ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองเท่านั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2013 เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
อุลกมณี ธาตุกายสิทธิ์จากต่างดาว โลกเรารู้จักอุลกมณีมานานแล้ว เพราะมีผู้สังเกตเห็นดาวตกมาตั้งแต่สมัยโบราณ อุกกาบาตหรือดาวตกที่พุ่งฝ่าบรรยากาศ จนตกลงมาสู่ผิวโลก จะถูกเสียดสีเผาไหม้จนเป็นก้อนแข็งแกร่ง สีดำสนิท เป็นรูปทรงต่าง ๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง จัดเป็นวัตถุธาตุที่หาได้ยากมาก เพราะต้องเป็นอุกกาบาตที่ใหญ่พอ จึงจะหลงเหลือจากการเผาไหม้ จนตกลงมายังโลกของเรา อุลกมณีถือเป็นวัตถุธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง มีหลายชื่อที่เรียกหากัน เช่น หินสะเก็ดดาว อุกกามณี เหล็กไหลต่างดาว พลอยจันทรคราส หยดน้ำฟ้า เป็นต้น |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
อุลกมณีเป็นวัตถุที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ วิ่งฝ่าจักรวาลอันกว้างขวางไร้ขอบเขต จึงมีพลังงานสะสมอยู่มหาศาล จึงเรียกได้ว่ามีฤทธิ์ในตัว เชื่อว่าสามารถสลายพลังงานเชิงลบที่ไม่พึงประสงค์ออกไปได้ และสามารถดึงดูดแต่พลังที่ดี ๆ เข้ามาหา อีกทั้งยังส่งเสริมพลังเชิงบวกแก่วัตถุอื่น ๆ ให้มีพลังสูงขึ้นได้อีกด้วย นับเป็นวัตถุเหนือโลกที่ช่วยบันดาลสิ่งดี ๆ แก่ผู้ครอบครอง ส่งเสริมให้ชีวิตเจริญขึ้น เสริมเสน่ห์ชักจูงให้ผู้อื่นรักใคร่นับถือ เรียกว่ากลับร้ายกลายเป็นดี ทวีลาภเลยทีเดียว |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
นักหลอมสร้างอาวุธตั้งแต่สมัยโบราณ แทบทุกคนมุ่งหวังให้ได้อุลกมณีมาครอบครอง เพื่อนำมาเป็นส่วนผสมในการหลอมสร้างอาวุธ ให้เกิดเป็นอาวุธวิเศษที่มีฤทธิ์เดชอำนาจเหนืออาวุธอื่น ๆ เพื่อช่วยให้เจ้าของสามารถพิชิตชัยในการออกรบทุกครั้งไป เชื่อกันว่าอุลกมณีมีพลังที่ครอบคลุมหลายรูปแบบ กล่าวคือเป็นแหล่งของพลังกระตุ้นเตือนจิตสำนึก ก่อให้เกิดการจดจำที่แม่นยำ ลึกซึ้ง หากนำมาใช้ตอนปฏิบัติทำสมาธิจิต จะช่วยเพิ่มพลังสมาธิจิตให้เข้มเข็งมั่นคง ปกป้องคุ้มครอง ขับไล่พลังชั่วร้ายที่มารุกราน ขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ออกไป คนไทยเรามีความเชื่อว่า การเก็บอุลกมณีไว้ในบ้าน จะช่วยป้องกันอัคคีภัย และภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้ เหล็กไหล เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง เป็นที่แสวงหากันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่น้อยคนนักที่จะได้ไว้ครอบครอง เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์มากมายสุดที่จะพรรณนา หากไม่ได้สร้างบุญบารมีเนื่องกันมา แม้ว่าจะทุ่มเททรัพย์สินเงินทองสักเท่าใด ก็อย่าหมายว่าจะได้มาเลย เหล็กไหลแม้จะเป็นโลหะธาตุ แต่ก็พัฒนาขึ้นมาถึงระดับมีจิตวิญญาณ สามารถเคลื่อนที่ได้ กินอาหาร (น้ำผึ้ง) ได้ มีความรักชอบเกลียดชัง หากว่ารักชอบผู้ใด จะด้วยความผูกพันจากกรรมเก่า หรือว่าถูกชะตากันก็ตาม ก็จะอยู่กับผู้นั้น ถ้าไม่ชอบเสียแล้ว ต่อให้ใช้คาถาอาคมผูกมัดอย่างไร ก็หาทางหนีไปจนได้ เหล็กไหลต่าง ๆ ที่เรียกหาและซื้อขายกันในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เหล็กไหลที่แท้จริง เหล็กไหลที่แท้จริงนั้น มีอานุภาพที่ทดสอบได้ในทุกที่ทุกเวลาดังนี้ |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|