|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
ถาม : คำว่า อายตนนิพพาน ทำไมเป็นสถานที่ครับ ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าความยึดติดของเรา เรายึดว่า ถ้ามีก็ต้องเป็นสถานที่ คือความเคยชินของเรา ถาม : ในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงสถานที่ไว้ ? ตอบ : ท่านใช้คำว่า ตะทายะตะนัง อายตนะนั้นมีอยู่ เป็นสถานที่ซึ่งเกินความเข้าใจของคนทั่ว ๆ ไป เกินกว่าที่สมมติจะก้าวล่วงเข้าไปถึง ก็เลยเป็นสิ่งที่พระองค์ท่านไม่ได้อธิบายเอาไว้ เพราะรู้ว่าอธิบายไป พวกเราก็มัวแต่ไปเปรียบเทียบกับสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ การที่เราไปเปรียบเทียบจะทำให้ยึดติด การยึดติดก็ทำให้หลุดพ้นยากขึ้นไปอีก บางคนก็เลยสงสัยว่า ในเมื่อพระนิพพานเป็นสุดยอดของพระพุทธศาสนา ทำไมพระพุทธเจ้าไม่อธิบายให้ชัดไว้ ก็ภาษามนุษย์จะไปอธิบายพระนิพพานได้อย่างไร ? พระนิพพานเป็นภาษาใจ ไม่สามารถที่จะใช้คำพูดหยาบ ๆ อธิบายได้ ถาม : ตราบใดที่กายสังขารยังไม่แตกดับ มนุษย์และเทวดาก็ยังไม่เห็นอายตนนิพพาน ? ตอบ : ถ้าเราไม่ได้เข้าถึงในหลักธรรมของพระองค์ท่าน ก็ไม่สามารถจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วพระองค์ท่านคืออะไร ? ที่พระองค์ท่านตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ก็คือเราต้องเข้าถึงความละเอียดระดับเดียวกันจึงสามารถที่จะรู้เห็นได้ มนุษย์กับเทวดายังอยู่ในภพภูมิที่หยาบเกินไป ไม่สามารถจะรู้เห็นอายตนนิพพานได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2015 เมื่อ 17:10 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
ถาม : ที่พระสาวกบอกว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จนิพพานโดยไม่เห็นในวันนั้น ?
ตอบ : ไม่ได้เห็นสังขารอีกแล้ว กายสังขารนี้ได้แตกดับไป ก็คือ สายตานี้จะไม่ได้เห็นกายหยาบพระองค์ท่านอีกแล้ว ต้องแปลอย่างนี้ถึงจะชัด..ใช่ไหม ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-09-2015 เมื่อ 18:12 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
วันก่อนมีคนถามว่าพระราหุลปรินิพพานตอนอายุเท่าไร ? ต้องใช้คำว่าประมาณการ เพราะในพระไตรปิฎกไม่ได้ระบุอายุที่ชัดเจน แต่ว่าตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตรพิจารณาว่า อัครสาวกกับพระพุทธเจ้าผู้ใดควรจะปรินิพพานก่อน และควรจะปรินิพพาน ณ ที่ใด ทั้งสองท่านรำพึงว่าพระราหุลปรินิพพานที่ดาวดึงสเทวโลก ก็แปลว่าพระราหุลไปก่อนแล้ว
ถ้าตีเสียว่าพระราหุลไปในปีนั้น เป็นปีที่พระพุทธเจ้า ๗๙ พรรษา ถ้าลบ ๗๙ ออก ๒๙ ปีที่พระองค์ท่านเสด็จออกบรรพชา ก็เหลือ ๕๐ แสดงว่าพระราหุลไปนิพพานตอนอายุไม่ถึง ๕๐ แต่คราวนี้พระราหุลท่านเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เด็ก ถ้านับอายุว่า ๗ ขวบ ก็แปลว่าท่านไปตอนอายุ ๔๓ ถ้านับทั่ว ๆ ไปคนที่อายุ ๔๓ พรรษานี่ไม่ถือว่าน้อย เพียงแต่ว่าภาระหมดก็ไป ไปจำพรรษาที่ดาวดึงส์ก็เลยนิพพานบนนั้น อายุที่น้อยที่สุดแล้วนิพพานในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกไว้ แต่อายุที่มากที่สุดก็คือพระพากุลเถระ ๑๕๐ ปีแล้วค่อยไป ไม่ได้ตายด้วยนะ พูดง่าย ๆ ก็คือถอดจิตไปเลย ไม่อยู่แล้ว เบื่อเต็มทีแล้ว ใครลองอยู่ ๑๕๐ ปีดูสิ คนที่รู้จักก็ไปหมดเกลี้ยงแล้ว รุ่นหลัง ๆ ที่รู้จัก ความผูกพันก็ไม่มี คงเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับคนทั่วไป แล้วท่านพากุละก็หมดภาระเพราะว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านอยู่จนถึงขนาดนั้น บาลีใช้คำว่า เข้าห้องปิดประตู แล้วก็นั่งกรรมฐานไปเลย อยู่ในพักกุลเถรัจฉริยัพภูตธัมมสูตร ก็คือพระสูตรที่แสดงออกซึ่งอัจฉริยภาพอันน่าอัศจรรย์ของพระพากุละ ประโยคนี้รับประกันว่าถ้าไม่ไปเปิดตำราดู ต้องถอดผิดแน่เลย เพราะเป็นเถระ + อัจฉริยะ + อัพภูตธรรม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2015 เมื่อ 19:55 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยจะดูกฎเกณฑ์ ไม่ดูกติกา เขาระบุให้จองตะกรุดมหาสะท้อนเนื้อทองคำได้คนละ ๑ ดอก ก็ตะบันจองไปคนละ ๒ ดอก ๓ ดอก นี่ถ้าปล่อยให้จองได้เกิน ๑ ดอก รับประกันได้ว่าจองได้แค่ไม่กี่คน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2015 เมื่อ 19:55 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ฝนทิ้งช่วงเร็วมาก ปกติที่ทองผาภูมิช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ฝนจะตกทั้งวันทั้งคืน ปรากฏว่าปีนี้ตกเป็นช่วง ๆ อย่างเช่นตกช่วงหัวค่ำหรือเช้ามืด ลักษณะนี้ปีหน้าจะแล้งจัดมาก ใครที่อยู่กรุงเทพฯ หาถังหาแท็งก์สำรองน้ำเอาไว้บ้างจะได้ปลอดภัย หรืออย่างน้อยให้มีใช้ไปสัก ๓ วัน ๗ วัน
ญาติโยมยุคนี้ไม่เคยเจอกรุงเทพฯ ในยุคที่ต้องตื่นมารองน้ำประปาตั้งแต่ตีหนึ่งยันสว่าง ถึงจะพอใช้งาน อาตมาขอยืนยันว่าเคยเจอมาแล้ว จะรองน้ำให้เพียงพอต่อการหุงข้าว ซักผ้า หรือว่าอาบ ต้องตื่นมาตั้งแต่ตีหนึ่ง รอให้บ้านอื่นเขาหลับแล้วไม่ได้เปิดน้ำก่อน น้ำถึงจะไหลแรงพอที่จะมาถึงบ้านเรา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2015 เมื่อ 19:56 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมจึงใช้คำว่าปรินิพพาน ?
ตอบ : บาลีเขาใช้อย่างนั้น ถาม : ปรินิพพานไม่ได้ใช้กับเฉพาะพระพุทธเจ้า ? ตอบ : จะใช้อะไรก็ตามก็ความหมายเดียวกันหมด ปริ แปลว่า รอบ, ทั่ว นิพพาน แปลว่า ดับ ปรินิพพาน แปลว่า ดับรอบ ดับทั่ว ดับไม่มีอะไรเหลือ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2015 เมื่อ 03:34 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
ถาม : ที่วัดจัดงาน มีฆราวาสท่านหนึ่งเอาใบไม้ใส่ลงไปในร่างกายแล้วก็ดึงของไสยศาสตร์ออกมา เกิดจากอะไรคะ ทำไมจึงดึงออกมาได้ ?
ตอบ : ก็มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือมีความสามารถจริง อย่างที่สองก็เล่นกล ระยะหลังเขาเล่นกลเยอะ ถ้าอยากรู้ว่าเล่นกลทำอย่างไร ? ถามทิดตู่ดู รายนั้นแหกตาชาวบ้านมาเยอะแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2015 เมื่อ 03:35 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มณฑปตั้งพระพุทธรูปทองคำประกอบเข้าไปแล้ว อาตมาลองขึ้นไปนั่งดู ปรากฏว่าขนาดตัวคนที่นั่งลงไป ถ้าไม่มีแท่นรองก็จะจมหายไปครึ่งตัว เนื่องจากว่าความสูงระดับแท่นนี้ เลยหัวอาตมาไปเกือบศอกแล้ว ถ้าแหงนขึ้นดูจะเห็นแค่ครึ่งตัว แล้วถ้าจะหนุนเอาพระทองคำขึ้นมา ก็คงต้องทำแท่นรองอีกชั้นหนึ่ง เข้าไปเห็นแล้วจะรู้ว่าใหญ่มาก แต่ตอนที่หน้าตาแค่นี้เรายังดูกันไม่ออก
ด้วยความที่คนออกแบบกับช่างคุ้นมือคุ้นงานกันมานาน ออกแบบเสร็จช่างก็ทำไปเรื่อย ปรากฏว่าช่างลงสีรองพื้นไว้แดงโร่เลย พอคนออกแบบไปถึงบอกว่าไม่เอา ของหลวงพ่อเล็กไม่เอาอย่างนี้ ต้องการให้ย้อมสีไม้อ่อนแก่สลับกัน จะได้โชว์ลายให้เด่นขึ้นมา พูดง่าย ๆ ก็คือส่วนหนึ่งจะโชว์เนื้อไม้ แต่รายโน้นเขาคิดว่าแกะสลักทีไรก็ปิดทองทุกที เขาก็เลยลงสีพื้นไว้ให้ สรุปแล้วช่างสีขาดทุน ต้องไปลอกสีออก เสียเวลาทำงานฟรี ๆ ส่วนหอจ่ายน้ำประปา ตอนนี้ถังเทเสร็จแล้ว กำลังหาบริษัทอุดรอยรั่ว ครั้นจะให้ทำเองก็กลัวมือไม่ถึง เพราะส่วนใหญ่ช่างของเราไม่ใช่ผู้ชำนาญการ ก็เลยต้องการบริษัทที่เขารับทำทางด้านนี้ เผื่อมีอะไรผิดพลาดเขาจะได้รับประกันแก้ไขได้ ส่วนเมรุวัดท่าขนุนหายไปจากโลกนี้แล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากพื้นเปล่า ๆ ช่างกำลังวางผังทำเมรุใหม่อยู่ ทองผาภูมิเป็นอำเภอที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้าใหญ่นายโตไปกันเยอะ งานศพแต่ละที รัฐมนตรี ส.ส. ส.จ. นายพล นายพัน ฯลฯ ไปกัน แต่ไม่มีเมรุที่เป็นหน้าเป็นตาให้แก่อำเภอเลยสักที่เดียว ท้ายสุดวัดท่าขนุนก็เลยต้องทำเอง แต่ประกาศบอกญาติโยมไปแล้วว่าเผาฟรีก็ได้ ไม่ใช่เห็นเมรุสวยแล้วไม่กล้าเข้าไปใช้ ช่วงนี้ก็ห้ามตาย..! ต้องรอสัก ๒ ปี เมรุเสร็จแล้วค่อยอนุญาตให้ตายได้ รวมทั้งเจ้าอาวาสด้วย ไม่อย่างนั้นไม่มีที่เผา ถ้าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนตายแล้วไปเผาวัดอื่นนี่น่าเกลียดมาก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2015 เมื่อ 12:54 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
ถาม : คนที่เอาตะปูสังขวานรจากโบสถ์เก่ามาละครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้จักชำระหนี้สงฆ์ก็ลงนรกไป ตะปูสังขวานรเป็นตะปูหล่อแบบโบราณ ส่วนใหญ่เอาไว้ยึดสิ่งที่ต้องการความแข็งแรง อย่างเช่น ประตูโบสถ์ ประตูวัง ถ้าโบสถ์ก็เป็นหนี้สงฆ์แน่ ๆ ถ้าวังก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรื้อแล้วจะโดนอะไรบ้าง เขาถือว่าโบสถ์เป็นสถานที่ซึ่งพระภิกษุทำสังฆกรรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะการสวดปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน พระภิกษุทุกรูปในพุทธศาสนาเกิดมาจากโบสถ์ มีการสวดญัตติ ประกาศยกเข้าเป็นอุปสัมบัน มีสิทธิ์ในการร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมทั่วทั้งสังฆมณฑล ส่วนวังเป็นที่พักของผู้มีบารมีสูงสุดของประเทศ ประกอบไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่ต้องอ่อนน้อมค้อมเข้าไปหา ดังนั้น..สิ่งของที่เนื่องด้วยทั้ง ๒ อย่างนี้จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีอาถรรพ์ มีความเป็นมงคลอย่างสูง จึงเอามาใช้งาน หล่อพระบ้าง สร้างเป็นวัตถุมงคลบ้าง ทำเป็นมีดหมอบ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมสมัยพุทธกาลจึงมีการสร้างวัดไม่กี่หลังครับ ?
ตอบ : เหตุที่มีอยู่ไม่กี่หลังเพราะไม่ค่อยมีเงินพอจะสร้างอย่างหนึ่ง อย่างวัดบุพพารามของนางวิสาขาหมดไป ๒๗ โกฏิสมัยนั้น ตีเสียว่า ๑ โกฏิเท่ากับสิบล้าน ๒๗ โกฏิก็สองร้อยเจ็ดสิบล้านในสมัยนั้น เป็นสมัยนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าหมื่นล้านจะเอาอยู่หรือเปล่า ? แล้วจะมีใครสร้างถ้าไม่ได้ศรัทธาขนาดนั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือนักบวชเป็นผู้เว้นจากการครองเรือน นิยมอยู่ถ้ำอยู่ป่ากัน สมัยต่อมาไม่มีป่าให้อยู่ จึงต้องสร้างวัดให้พระอยู่อาศัยแทน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:37 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
ถาม : ปราสาทเอาไว้ทำอะไรครับ ?
ตอบ : ปราสาทก็คือที่อยู่ เป็นที่อยู่ที่มีหลายชั้น อย่างเช่นสมัยนี้ ถ้าตึก ๒ ชั้น ๓ ชั้นขึ้นไป โบราณเขาเรียกว่าปราสาททั้งนั้น ส่วนโลหะปราสาทคือมีส่วนยอดหุ้มด้วยโลหะ เขาถึงเรียกว่าโลหะปราสาท ที่อยู่ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระอยู่ได้ ประกอบด้วย วิหาโร คือวิหาร อัฑฒโยโค แปลเป็นไทยว่า เรือนมุงซีกเดียว อย่างเพิงหมาแหงน ปาสาโท คือปราสาทหรือกุฏิหลาย ๆ ชั้น หัมมิยะ ท่านบอกว่าเรือนหลังคาตัด ฟังแล้วบ้าไปเลย รู้จักค่ายไหม ? ค่ายที่มีแต่รั้วรอบ ๆ นั่นแหละหัมมิยะ และ คูหา ก็คือถ้ำ ในเรื่องของปราสาทที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ เพราะว่านางวิสาขาสร้างขึ้นเพื่อถวายพระสงฆ์ที่วัดบุพพาราม ในบาลีบอกว่ามีห้องพัก ๕๐๐ ห้อง สมัยนี้ก็คอนโดมีเนียมดี ๆ นี่เอง ยูนิตเบ้อเริ่มเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
บางคนเข้าไม่ถึงรากศัพท์ แล้วก็แปลแบบโบราณมา ทำให้คนสมัยใหม่ฟังไม่รู้เรื่อง อย่างเรือนมุงซีกเดียว สมัยนี้เด็กรู้จักหรือเปล่าว่าเพิงหมาแหงนหน้าตาเป็นอย่างไร ? คือหลังคาลาดลงเหมือนหมากำลังแหงนหน้าขึ้น สมัยนี้ก็มีกันสาดข้างหน้ามาอีกหน่อยหนึ่ง ส่วนเรือนหลังคาตัด ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงค่ายทหารสมัยโบราณ ก็แค่เอาไม้มาปักล้อมรอบ ๆ ไม่มีหลังคา
เหตุนี้นาน ๆ ไปถึงต้องมีบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ มาอธิบายความเพิ่มเติม อาจารย์ที่อธิบายความในพระไตรปิฎกท่านเรียกว่า อรรถกถาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายอรรถกถา เรียกว่า ฎีกาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายฎีกาเรียกว่า อนุฎีกาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายอนุฎีกาท่านเรียกว่า เกจิอาจารย์ คำว่า เกจิ แปลว่า ต่าง ๆ กันไป ก็คืออาจารย์หลาย ๆ สำนัก แต่สมัยนี้คำว่าเกจิอาจารย์ความหมายเปลี่ยนไป กลายเป็นผู้มีฌานสมาบัติ มีความขลังกว่าพระอื่น ๆ ความจริงตามรากศัพท์แล้วไม่ใช่เลย ความหมายเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่พระไตรปิฎกต้องจารึกไว้เป็นภาษาบาลี เพราะภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง กี่ปี ๆ คำนี้ก็ต้องแปลว่าอย่างนี้ ภุญฺชติ ก็ต้องแปลว่ากิน กตฺตวา ก็ต้องแปลว่าไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พอมารผจญ ทำไมเทวดาจึงต้องเผ่น ?
ตอบ : สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านอธิบายต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชว่า ถ้าพรหมเทวดาอยู่ การชนะด้วยอานุภาพของพรหมเทวดา พระมหาบุรุษก็จะไม่เด่นขึ้นมา เปรียบเหมือนบรรดาแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จพระองค์ท่านไม่ทัน พระองค์ท่านเข้ายุทธนาการกับพระมหาอุปราชแล้วชนะด้วยพระองค์เอง พระเกียรติยศจึงได้เกริกไกรขึ้นมา แม่ทัพนายกองหัวจะขาดหมดอยู่แล้ว ...(หัวเราะ)... สมเด็จพระพนรัตน์ ซึ่งแต่เดิมก็คือพระมหาเถรคันฉ่อง เข้าไปกราบทูลขอชีวิตให้แม่ทัพนายกอง พระนเรศวรจึงเว้นโทษตายให้ แต่ให้ไปตีเมืองกัมพูชาเพื่อเป็นการแก้ตัว ไม่ต้องตายฟรี ถาม : ช้างของพระองค์เผ่น ? ตอบ : จะช้างหรืออะไรเป็นสาเหตุทหารก็ตามไม่ทัน โดนสั่งประหารหมดเลย พระองค์ท่านตีความว่า “มันเกรงกลัวข้าศึกมากกว่ากลัวโยม” ความจริงช้างของพระองค์ท่านตกมัน จึงวิ่งถลำไปโดยที่ไม่รอใครเลย สมัยก่อนที่เขาเอาช้างตกมันไว้ออกศึก เกิดจากช้างทั่วไปพอได้กลิ่นช้างตกมันก็จะหนี เหมือนอย่างกับรู้ว่าคนนี้กำลังบ้า เรื่องอะไรจะไปสู้กับมัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
ถาม : แต่ช้างตกมันก็ควบคุมไม่อยู่ ?
ตอบ : สมัยนั้นวิชาคชศาสตร์ของเขา ประเภทเอามือตบตะพองทีเดียวช้างตกมันหมอบกับพื้นเลย เขามั่นใจว่าคุมได้แน่นอน วิชาคชศาสตร์นี่รวมพวกไสยเวทย์อาคมเข้าไปด้วย ถ้าหากพวกเราเล่นพระเครื่อง จะมีพระเครื่องอยู่ชุดหนึ่งที่เขาเรียกว่า พระหูไห หรือบางคนเรียกว่า พระหูช้าง นั่นคือพระเครื่องที่เขาหล่อขึ้นมาเพื่อที่จะแขวนคอช้างม้าโดยเฉพาะ พระเครื่องชุดนั้นจะหล่อแบบมีหูในตัว เอาไว้ร้อยเชือกแล้วแขวนคอช้างม้าเพื่อกันอาวุธ อย่างนั้นเหมาะสำหรับคนมาก เพราะว่าช้างม้าวัวควายอาราธนาพระไม่เป็น คนเสกต้องเสกให้คุ้มได้ทุกที่เลย แต่คนแขวนก็ไม่ค่อยไหว องค์ใหญ่จัด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
ถาม : ช้างตกมันตรงไหนครับ ?
ตอบ : เป็นรูระหว่างหูกับตา จะมีรูเล็ก ๆ อยู่ ถ้าช่วงตกมันรูจะบวมและพองขึ้นมา น่าจะเป็นลักษณะของต่อมกลิ่นอะไรบางอย่าง เวลาบวมพองขึ้นมาแล้วน้ำมันไหล เจ้าของต้องคอยเช็ดให้ ตอนนั้นช้างจะซึมอยู่ตลอด อย่าให้น้ำมันนี้ไหลเข้าปาก ถ้าไหลเข้าปากทำให้เมา ถ้าอย่างนั้นแล้วช้างจะอาละวาด ถ้าเจ้าของช้างรู้จักดูแลคอยเช็ดให้ พอผ่านระยะนั้นไปก็จะเป็นปกติตามเดิม เปรียบเหมือนอย่างกับผู้หญิงมีประจำเดือน พ้นไปแล้วก็หายเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นแล้วมักจะหงุดหงิดงับหูคนใกล้ ๆ เป็นช่วงของระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ลักษณะเดียวกับผู้ชายวัยทองนั่นแหละ แบบที่ทิดอู๋บอกว่า “อย่าไปถือสาอะไรอาจารย์เล็กเลย ที่ท่านด่า ท่านดุ เพราะท่านอยู่ในวัยทอง..!”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2015 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้คนหมดความกล้า อย่างสมัยก่อนประเภทถือดาบเข้าไปลุยกัน ถ้าไม่เก่งจริง ใจไม่สู้จริง มีใครกล้าบ้าง ? สมัยนี้ห่างกันเป็นพันไมล์ จรวดนำวิถีระเบิดกระจายไปแล้ว เทคโนโลยีดีขึ้นแต่กำลังใจคนแย่ลง สมัยก่อนไปลุยกันซึ่ง ๆ หน้า สมัยนี้บางทีไม่รู้หรอกว่าข้าศึกหน้าตาเป็นอย่างไร รู้ว่าอยู่ตรงนั้นก็ตูมเดียวกระจายไปแล้ว
สมัยที่อาตมายังเป็นทหารอยู่ อาวุธที่ทันสมัยที่สุดก็คือจรวดดราก้อน ใช้ต่อสู้รถถัง จะมีเครื่องชี้เป้า ต้องไปรับการฝึกซ้อมกันจนกระทั่งเบ้าตาดำเป็นหมีแพนด้า เพราะต้องเอาตาประกบอยู่กับเครื่องเล็ง พอยิงทีก็จะมีแรงสะท้อนกระแทกถอยหลังที กว่าจะชำนาญก็เบ้าตาเขียวไปทุกคน นั่นถือว่าทันสมัยมากเพราะถ้าล็อกเป้าได้ โอกาสพลาดมีน้อยกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่สมัยนี้เขาก็หาทางป้องกัน อย่างพวกจรวดต่อสู้อากาศยานอากาศสู่อากาศ มีระบบล็อกเป้าอยู่ เขาก็จะปล่อยพวกแผ่นโลหะมาแทน อย่างเช่นว่าอยู่ ๆ ก็โรยแผ่นเคลือบตะกั่วออกมา ไอ้โน่นก็ไม่รู้ว่าเป้าไหนเพราะเครื่องบินเป็นโลหะเหมือนกัน พอเครื่องบินเลี้ยวทำมุมฉกาจหลีกออกไปจากเส้นทาง จรวดก็ไปตามแผ่นโลหะนั้นแทน”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
ถาม : พญามารมารังควานพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไหมครับ ?
ตอบ : ทุกพระองค์ ใครต้องการไปพระนิพพานเจอทุกคน ไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้า ถาม : พญามารกลัวว่าพระพุทธเจ้าจะสำเร็จหรือครับ ? ตอบ : ถ้าตามที่ท่านบอกนอกตำรา ท่านบอกว่าคิดผิดไปหน่อย กลัวว่าพระพุทธเจ้าเก่งขนาดนั้นจะเอาคนไปพระนิพพานหมด ถาม : พญามารท่านคิดอย่างไรครับ ? ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของท่าน เมื่อท่านทำตามหน้าที่ก็ไม่ต้องไปใส่ใจว่าคิดอย่างไร ถาม : พญามารไม่มีกรรม แต่มีเวรใช่ไหมครับ ต่อไปเขาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็โดนแบบนี้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไปถามท่านเอง อาตมาคงอยู่ไม่ถึงหรอก ตำรวจจับโจรจะไปมีเวรมีกรรมอะไร เขาทำตามหน้าที่ ผู้พิพากษาตัดสินให้อาชญากรโดนจำคุก มีกรรมไหมเล่า ? ไม่ใช่ความโกรธแค้นส่วนตัว แต่ทำตามหน้าที่ ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า กูหมั่นไส้ไอ้นี่ อย่างไรต้องเอาเข้าคุกให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
ถาม : มีโรคเกี่ยวกับตา มีอะไรพอจะแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : วัดไหนที่เขาสร้างพระพุทธรูป ก็ไปขอสร้างพระเนตรถวาย แล้วอธิษฐานขอตัดกรรมตรงนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
ถาม : คนจีนเขาชอบทำของปลอม เป็นเพราะเขาไม่มีคุณธรรมหรือครับ ?
ตอบ : เรื่องของคุณธรรมเกิดจากมโนธรรม ความรู้ผิดชอบชั่วดีในใจของตนก่อน รู้อยู่ว่าผงเมลามีนไปผสมนมผงให้เด็กกิน อย่างไรเด็กก็ตายแน่ เพราะทำให้ไตอุดตันแต่เขาก็ทำ แสดงว่ามโนธรรมไม่มีเลย คนมีมโนธรรมจึงเข้ามาหาศีลธรรม ปฏิบัติตามศีลธรรมจึงมีคุณธรรม เมื่อมีคนเห็นความดีแล้วปฏิบัติตามแบบอย่างก็กลายเป็นจริยธรรม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าผมโดนมารเล่นเรื่องผู้หญิง โดยผมคิดว่าจะไม่ไปพระนิพพานแล้ว ขอมีคู่ครองก่อน ผมจะโดนเล่นงานน้อยลงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : หนักขึ้น...คุณเห็นคนมีครอบครัวภาระน้อยลงไหมเล่า ? แทนที่จะตัวคนเดียว คราวนี้ก็ไหนจะเมีย ไหนจะลูก ไหนจะพ่อตาแม่ยาย พูดง่าย ๆ ว่าเหยียบเราได้จมลึกเท่าไรเขาก็เอา ถาม : หลอกเขาก่อนแล้วตอนหลังเราค่อยตั้งใจไปพระนิพพาน ? ตอบ : ยังไม่มีใครหลอกมารได้ มีแต่โดนมารหลอกหลาย ๆ ชั้น ถ้าคุณหลอกได้ถือว่าเป็นคนแรกในโลก ลองดู..เผื่อจะสำเร็จ ไม่ใช่ว่าคิดแล้วเขาถึงรู้นะ คุณยังไม่ทันจะคิดเขาก็รู้แล้ว จะไปสู้กันอีท่าไหน ? ก็เหลือแต่กำลังใจอย่างเดียวที่จะต้องเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อการทำความดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2015 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|