|
กระทู้ธรรม รวมข้อธรรมะจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
๔. ศีล ศรัทธา สติ วิริยะ สมาธิ
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ที่พระคุณเจ้าว่าผู้ที่จักไม่กลับมาเกิดอีกเป็นเพราะกุศลกรรมเหล่าอื่นด้วยนั้น คือกุศลกรรมเหล่าไหน พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร กุศลกรรมเหล่านั้น ได้แก่ ศีล ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ม. ศีลมีลักษณะเช่นใด น. ศีลเป็นที่ตั้งอาศัยแห่งคุณธรรม เป็นที่เพาะปลูกคุณงามความดีอื่น ๆ อุปมาดังแผ่นดินที่ชาวสวนอาศัยปลูกดอกไม้ต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้จะอบรมคุณงามความดีอย่างอื่น จำป็นต้องรักษาศีลให้เป็นพื้น เพื่อคุณธรรมต่าง ๆ เหล่านั้นจะงอกงามและประทับอยู่มั่นคงได้ ม. ศรัทธาเล่ามีลักษณะอย่างไร น. ศรัทธามีลักษณะทำให้จิตผ่องใส เนื่องจากเมื่อเกิดขึ้นย่อมขจัดนิวรณ์ เมื่อนิวรณ์หมดไปจากจิต จิตก็ย่อมผ่องใส ม. พระคุณเจ้าจงเปรียบให้ฟัง น. อุปมาดังแก้วมณีวิเศษ เมื่อแช่ในน้ำขุ่นก็ทำให้ใสลงได้ เมื่อแช่ในแม่น้ำก็ทำให้จอกแหนหลีกออกไปได้ ศรัทธาเหมือนแก้วมณีนั้น นิวรณ์เหมือนจอกแหนและตมในน้ำ ขอถวายพระพร นอกจากนั้น ศรัทธายังมีลักษณะจูงใจ ม. ลักษณะจูงใจนั้นเป็นอย่างไรจงเปรียบให้ฟัง น. อุปมาดังคนที่ไม่กล้าข้ามแม่น้ำ เพราะไม่รู้ว่าแม่น้ำนั้นตื้นลึกเพียงใด ต่อเมื่อเห็นผู้หาญกล้าข้ามไปก่อน จึงกล้าข้ามตามไป ขอถวายพระพร ศรัทธาคือการนำเอาปฏิปทาของผู้อื่นมาเป็นทางดำเนินของตน แม้จะยากลำบากเพียงไหน ก็ยังจูงใจให้วิริยะพยายาม(ศรัทธาลักขณปัญหา) ม. ก็วิริยะเล่ามีลักษณะอย่างไร น. ขอถวายพระพร มีลักษณะค้ำจุนไว้ ม. ค้ำจุนอะไร น. ค้ำจุนความดีงามทั้งหลายมิให้เสื่อมทราม อุปมาดังเรือนที่ซวนเซจะล้ม เมื่อเอาไม้ค้ำไว้ก็ล้มไม่ได้ ( วิริยลักขณปัญหา) ม. สติเล่ามีลักษณะอย่างไร น. มีลักษณะให้นึกได้และถือไว้ ม. ให้นึกได้อย่างไรพระคุณเจ้า จงหาตัวอย่างมาเปรียบ น. เมื่อสติเกิดขึ้นย่อมทำให้นึกได้ถึงกุศลและอกุศลธรรม ตลอดจนลักษณะและผลของธรรมเหล่านี้ เหมือนเจ้าพนักงานคลังทำบัญชีพระราชทรัพย์ถวายพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นเหตุให้พระองค์ระลึกได้ถึงพระราชสมบัติเหล่านั้น ตลอดจนบุญบารมีที่สั่งสมมา ม. ที่ว่าสติมีลักษณะถือไว้นั้นเป็นอย่างไร น. สติเมื่อเกิด ย่อมให้เลือกถือเอาไว้ว่านี่มีคุณควรประพฤติ นี่มีโทษควรละ อุปมาดังนายทวารซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราคนเข้าออก ถ้าเห็นพิรุธก็ห้ามมิให้เข้า ถ้าเห็นสมควรก็อนุญาตให้เข้า ฉันใดก็ฉันนั้น สติย่อมกีดกันอกุศลธรรมมิให้เข้ามาประจำใจ และเลือกเฟ้นแต่กุศลธรรมให้กระทำไว้ในใจ (สติลักขณปัญญา) ม. ส่วนสมาธิเล่ามีลักษณะอย่างไร น. มีลักษณะเป็นประธานให้กุศลธรรมทั้งหลายประจำอยู่และพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปได้ อุปมาดังพระมหากษัตริย์ เป็นประธานบัญชาการให้เหล่าเสนาบดีประกอบกิจการต่าง ๆ ให้ลุล่วงลง (สมาธิลักขณปัญหา) ม. พระคุณเจ้าช่างสามารถจริง
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 30-05-2009 เมื่อ 23:49 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน อะไรเป็นผู้นึก ผู้จำกิจการที่ได้ทำ หรือคำที่ได้พูดไว้ให้อยู่คงนานได้
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร สติ ม. มิใช่จิตหรือพระคุณเจ้า น. หากยังสงสัย ขอพระองค์ตั้งพระราชหฤทัยนึกถึงพระราชกรณียกิจ ซึ่งได้ทรงไว้นานมาจนจำไม่ได้แล้ว เพื่อทดลองดูว่าจะทรงนึกขึ้นได้หรือไม่ ม. เมื่อนานจนจำไม่ได้แล้ว จะนึกขึ้นได้อย่างไรเล่าพระคุณเจ้า น. ก็ในขณะทดลองนี้ พระองค์ไม่มีพระหฤทัยซึ่งเป็นจิตใจหรือ ม. มีสิพระคุณเจ้า น. ขอถวายพระพร ด้วยเหตุนี้ อาตมภาพจึงทูลว่าสติเป็นผู้นึก ผู้จำ ผู้สาวเอากิจการที่ล่วงมาแล้วให้ปรากฏขึ้นได้ (จิรกตสรณปัญหา) ม. สตินั้นเกิดขึ้นเองหรือเกิดขึ้นต่อเมื่อมีคนเตือน น. เกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง (สติอิชานนปัญหา) หรือหากแจกแจงโดยพิสดาร สติเกิดขึ้นได้โดยอาการ ๑๗ ได้แก่ ๑. เกิดจากความรู้ ๒. เกิดจากการทำเครื่องหมายไว้ ๓. เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสถานะ ซึ่งทำให้ระลึกถึงสถานะเดิม ๔. เกิดจากการได้รับความสุข ซึ่งทำให้นึกไต่สวนเหตุที่มา ๕. เกิดจากการได้รับความทุกข์ ซึ่งทำให้นึกไต่สวนเหตุที่มา ๖. เกิดจากการเห็นสิ่งที่คล้ายแล้วเตือนให้จำ หรือระลึกถึงอีกสิ่งหนึ่งได้ ๗. เกิดจากการรู้เห็นสิ่งตรงข้าม ๘. เกิดจากการได้รับคำตักเตือน ๙. เกิดจากตำหนิในลักษณะ ๑๐.เกิดจากการนึกขึ้นได้โดยธรรมดา ๑๑.เกิดจากการกำหนดจำธรรมดา ๑๒.เกิดจากการพินิจพิเคราะห์ ๑๓.เกิดจากการนับจำนวนไว้ ๑๔.เกิดจากการอบรมสติ ๑๕.เกิดจากการบันทึก ๑๖.เกิดจากการเก็บไว้ ๑๗.เกิดจากการได้ประสบสิ่งที่เคยประสบพบเห็น(สติอาการปัญหา) ม. ช่างมากอย่างพิสดาร
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
๕. อัปปมาทะ (ความไม่ประมาท)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระคุณเจ้าพยายามฝึกฝนตนด้วยประสงค์จะละทุกข์ที่ล่วงมาแล้ว หรือทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง หรือทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้ พระนาคเสนตอบว่า ขอถวายพระพร หามิได้ อาตมภาพพยายามฝึกฝนตนเพื่อดับทุกข์ที่มีอยู่และเพื่อมิให้ทุกข์ซึ่งยังมาไม่ถึงเกิดขึ้น ม. พระคุณเจ้าจะพยายามมิให้ทุกข์ซึ่งยังมาไม่ถึงเกิดขึ้นได้ทำไม น. ขอถวายพระพร เมื่อพระองค์ถูกราชศัตรูยกพลมาเพื่อจะชิงเอาพระนคร พระองค์จึงตรัสสั่งให้ลงมือขุดคู สร้างป้อมปราการ และฝึกทหารซ้อมเพลงอาวุธอย่างนั้นหรือ ม. หามิได้ กิจการเหล่านี้ต้องเตรียมไว้ก่อน หากรอทำเมื่อศึกสงครามมาถึงตัว ไม่เพียงจะทำได้ยากเพราะฉุกละหุก หากเมื่อได้ทำก็ยังมีโอกาสสูงที่จะเพลี่ยงพล้ำแก่ข้าศึกเพราะการเตรียมการณ์ไม่ดีพอ ดังนั้น การจัดเตรียมกำลังไว้ก่อนในยามปกติ ย่อมกระทำได้ดีกว่า อีกทั้งยังเป็นที่เกรงขามของข้าศึกซึ่งยังมาไม่ถึงด้วย น. ฉันใดก็ฉันนั้น การที่อาตมภาพเพียรฝึกฝนกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในความควบคุมของจิตที่อบรมดีแล้ว ก็เพื่อปราบทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้ เพื่อไว้ต่อสู้หรือป้องกันทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ใจก็จะมีแต่ความอ่อนแอเป็นปกติ ถึงคราวเกิดทุกข์ก็จะเตรียมตัวไม่ทัน มีกำลังไม่พอจะต้านทาน ต้องยอมเป็นเชลยแห่งความทุกข์เรื่อยไป ด้วยเหตุนี้อาตมภาพจึงต้องพยายามฝึกฝนตนไว้ก่อน(อนาคตปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 01-06-2009 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
แก้ข้อสงสัยที่อาจมีต่อพุทธประวัติและพระธรรมวินัย
๑.พระวินัยและพุทธบัญญัติ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าย่อมทรงรู้เห็นสิ่งทั้งปวงจนหมดสิ้นมิใช่หรือ พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ถูกแล้ว ม. ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุไฉนพระองค์จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภายหลังเหตุการณ์ที่สาวกทำให้เกิดขึ้นเล่า น. อาตมภาพขอทูลถามพระองค์ว่า ธรรมดาแพทย์ผู้ชำนาญย่อมรู้สรรพคุณแห่งตัวยาจนหมดสิ้นมิใช่หรือ ม. ใช่สิพระคุณเจ้า น. ขอถวายพระพร แพทย์ผู้นั้นวางยาก็ต่อเมื่อมีโรคหรืออาการของโรคขึ้น หรือว่าวางยาตามปกติ ซึ่งยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีโรคภัยอะไรเกิดขึ้น ม. ยามปกติ แพทย์จะวางยาไปทำไมเล่า เพราะการวางยาในเวลานั้นอาจให้โทษแก่ร่างกายได้ แต่ถ้าถึงคราวเจ็บไข้ การวางยาเป็นสิ่งจำเป็น เพราะถ้าทอดทิ้งโรคนั้นจะกำเริบขึ้นทุกทีจนยากจะรักษาให้หายได้ น. ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าผู้ทรงทราบเหตุการณ์ทั้งปวง ก็เป็นเช่นเดียวกับแพทย์ผู้ชำนาญ การที่พระองค์ไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทล่วงหน้าไว้ให้ครบถ้วนเสียคราวเดียวนั้น ก็เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า ถ้าทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ครบถ้วนทั้งหมด ก็อาจเป็นข้อหยุมหยิมของผู้แรกเข้ามาบวชจนอาจให้เกิดความระอาใจได้ เนื่องด้วยทรงมีพระหฤทัยอนุเคราะห์อยู่เช่นนี้ จึงทรงรอไว้ต่อเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นก่อน แล้วจึงบัญญัติสิกขาบทห้ามมิให้สาวกล่วงละเมิดต่อไปเป็นข้อ ๆ ในเรื่องที่ทรงเห็นว่า หากไม่ห้ามจะนำความเสื่อมเสียมายังหมู่คณะ(สัมปัตตกาลปัญหาและสิกขาปทอปัญญาปนปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน การกล่าวเท็จพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นอาบัติ เบาก็มี หนักก็มี นั่นเป็นเพราะอะไร
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ที่เป็นเช่นนี้เพราะเจตนา ความพยายาม และวัตถุที่ล่วงละเมิดมากน้อยต่างกัน ถ้าเหตุทั้ง ๓ มาก ก็อาบัติหนัก ถ้าน้อย ก็อาบัติเบา (มุสาวาทครุลหุภาวปัญหา) ม. ส่วนผู้ที่ต้องอาบัติปราชิกโดยไม่รู้สึก แต่ภายหลังมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะได้บรรลุมรรคผลหรือไม่ น. ขอถวายพระพร ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะผู้นั้นได้เพิกถอนเหตุที่จะบรรลุมรรคผลแล้ว ม. พระคุณเจ้าเคยว่า ผู้รู้ว่าตนผิดย่อมมีจิตฟุ้งซ่าน ทำให้ไม่สามารถตั้งใจมั่นได้ ส่วนผู้ไม่รู้ก็ไม่น่าจะฟุ้งซ่าน ดังนั้น ถ้าเขาผู้นั้นตั้งใจมั่นกับการปฏิบัติชอบ ก็น่าจะบรรลุมรรคผลได้ในที่สุด น. ขอถวายพระพร พืชพันธุ์ที่บุคคลหว่านลงพื้นดินอันอุดมย่อมงอกงามขึ้นดีอยู่ แต่ถ้าหว่านพืชพันธุ์นั้นลงบนพื้นหิน พืชนั้นจะขึ้นหรือไม่ ม. จะขึ้นได้อย่างไรเล่า ก็หินไม่มีอาหารสำหรับเลี้ยงพืชพันธุ์นั้นให้งอกงามได้ น. ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ต้องอาบัติปราชิกก็เท่ากับสิ้นอาหารที่จะเลี้ยงมรรคผลให้เกิดขึ้น ม. ไม่น่าจะใช่เช่นนั้น หากบุคคลผู้ต้องอาบัติปราชิกไม่สิ้นความพยายาม น. ขอถวายพระพร ผู้ที่กลืนยาพิษโดยไม่รู้ จะตายหรือไม่ ม. ย่อมตายสิพระคุณเจ้า น. การต้องอาบัติปราชิกก็เช่นกัน แม้ไม่รู้ตัว แต่โทษนั้นสาหัสถึงขั้นทำให้มิได้มรรคผล (อภิสมยันตรายกราชปัญหา) ม. เข้าใจละ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสห้ามมิให้พระภิกษุกระทำอัตวินิบาต (การฆ่าตัวตาย) มิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ตรัสดังนั้นจริง ม. ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงทรงแสดงธรรมเพื่อตัดความเกิด ความแก่ ความตายเล่า น. ขอถวายพระพร เพราะมีเหตุผลต่างกัน คือที่บัญญัติห้ามพระภิกษุกระทำอัตวินิบาตกรรมนั้น ก็ด้วยทรงประสงค์จะอนุเคราะห์หมู่ชนมิให้ขาดแคลนพระสงฆ์อันเป็นเนื้อนาบุญของสัตว์โลก ส่วนที่ทรงแสดงธรรมเพื่อตัดความเกิด ความแก่ ความตาย ก็เพราะทรงเห็นว่าความเกิดเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์ ความโศก ความรำพันร่ำไร เมื่อตัดความเกิดอันเป็นต้นเหตุเสียได้แล้ว ก็ชื่อว่าได้กำจัดความทุกข์ทั้งหลายเสียสิ้น จะประสบก็แต่ความสุขยิ่งเท่านั้น ขอถวายพระพร เพราะมีเหตุมีผลต่างกันอยู่เช่นนี้ (อัตตวินิปาตนปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คนบวชแล้วสึกไม่น่าให้บวชในพระศาสนา ด้วยทำให้คนทั้งหลายกล่าวหาได้ว่า พระศาสนาหาสาระไม่ได้ คนที่ได้บวชจึงสึก
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร สระมีน้ำอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อผู้เปรอะเปื้อนไปถึงสระนั้นแล้ว ไม่ลงอาบน้ำชำระกายเอง คนทั้งหลายควรติเตียนสระหรือติเตียนคนผู้นั้น ม. จะติเตียนสระได้หรือพระคุณเจ้า ต้องติเตียนคนผู้ไม่ลงอาบชำระร่างกายนั้นสิ น. ฉันใดก็ฉันนั้น สระเปรียบเหมือนพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงขุดไว้ให้ผู้เปื้อนด้วยกิเลสได้ลงชำระ ผู้ไปถึงสระแต่มิได้ชำระล้างร่างกายคือผู้ที่บวชแต่มิได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ได้ขัดเกลานิสัยและความประพฤติให้สะอาด อนึ่ง ยังเป็นการดีเสียอีกที่คนบวชแล้วแต่เกียจคร้านต่อการศึกษาและอบรมขัดเกลากาย วาจา ใจ จะได้สึกออกไป ทั้งนี้ เพื่อให้คนทั้งหลายได้เห็นว่าพระศาสนาดำรงอยู่ได้ด้วยคนที่เป็นผู้มั่นคง หนักแน่นและเพียรชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดอยู่เสมอ (หินยานวัตตปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
๒. พุทธดำรัส
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราตถาคตไม่มีใครเป็นครูอาจารย์มิใช่หรือ พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระพุทธองค์ตรัสดังนั้น ม. ถ้าอย่างนั้น ไฉนพระองค์จึงตรัสว่า อาฬารดาบสผู้เป็นอาจารย์ตั้งเราผู้เป็นศิษย์ไว้เสมอด้วยตนเล่า น. เพราะอาฬารดาบสเป็นอาจารย์ของพระองค์ เมื่อยังมิได้ตรัสรู้และศึกษาอยู่ ณ สำนักของดาบสนั้น และหากจะว่าถึงพระอาจารย์ของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีอยู่มากรายเช่น พราหมณ์สัพพมิต ผู้ซึ่งพระชนกทรงฝากให้ศึกษาวิชาเบื้องต้น อุทกดาบสผู้เป็นอาจารย์พระพุทธองค์ก่อนอาฬารดาบส เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาจารย์เหล่านี้เป็นแต่สอนวิชาทางโลก หรือหากเป็นวิชาทางธรรมก็เป็นแต่ชั้นโลกียะเท่านั้น หาได้สอนถึงธรรมส่วนโลกุตตระด้วยไม่ ดังนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้โลกุตตระธรรม จึงดำรัสว่า เราตถาคตไม่มีใครเป็นครูอาจารย์ (พุทธอาจริยานาจริยปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราตถาคตเป็นผู้ยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น มิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นเช่นนั้น ม. ถ้าเช่นนั้นจะมิแย้งกับพระพุทธพจน์ที่ว่า เราตถาคตได้เห็นมรรคของเก่า ทางของเก่าอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อนเสด็จดำเนินมาแล้ว หรือ น. ขอถวายพระพร ไม่แย้ง เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนปรินิพพานไปแล้ว ศาสนาก็เสื่อมสูญไป ไม่มีใครสั่งสอนหรือปฏิบัติอีก จนกระทั่งพระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงอุบัติขึ้น อุปมาดังเช่นหนทางที่เคยกรุยและปราบเรียบแต่ต่อมากลับรกเรื้อเดินไม่ได้ ภายหลังมีผู้มาทำให้เตียน ให้เดินได้อีก ฉะนั้น ม. พระคุณเจ้าฉลาดว่า
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราตถาคตไม่มีความโกรธ เป็นผู้ปราศจากโทสะแล้วมิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ตรัสดังนั้นจริง ม. ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงขับไล่พระภิกษุที่ส่งเสียงอึกทึกซึ่งอยู่ในความดูแลของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเสียเล่า (ดูรายละเอียดใน จาตุมสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก) น. ที่ทรงทำเช่นนั้น มิใช่จากอำนาจความโกรธ แต่ทรงกระทำตามความผิดของพระภิกษุเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จะว่าเป็นความผิดของพระพุทธองค์ได้อย่างไร เหมือนคนเดินพลาดล้มลงกับพื้น จะโทษว่าแผ่นดินโกรธเคืองตนจึงทำให้ล้มได้หรือ ม. หามิได้ หากเป็นความผิดของคนที่เดินพลาดนั้นเอง น. ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์มิได้ทรงยินร้ายกับพระภิกษุเหล่านั้น การที่ทรงขับไล่ก็เพราะมีความผิดของท่านเหล่านั้นเป็นเหตุ และทรงเห็นว่าจะเป็นอุบายให้พระภิกษุเหล่านั้นได้คิด (ภิกขุปณามปัญหา) ม. ฟังได้ความ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “อิทธิบาท ๔ ประการ(คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ตถาคตได้เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
และด้วยอานุภาพแห่งการเจริญอิทธิบาทนั้น ถ้าตถาคตประสงค์จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปตลอดกัปหนึ่ง หรือเกินกว่ากัปขึ้นไป ก็อาจอยู่ต่อได้สมประสงค์” แต่ไฉนต่อมาพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ อีกสามเดือนตถาคตจักปรินิพพาน” ความสองตอนนี้ฟังดูไม่สมกัน พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์ตอนหลังนั้น พระพุทธองค์ตรัสเพื่อทรงกำหนดพระชนมายุซึ่งจะสิ้นสุดลงในขอบเขตที่ทรงทราบ ส่วนพระพุทธพจน์ตอนต้นนั้น พระองค์ตรัสเพื่อแสดงอานุภาพแห่งการเจริญอิทธิบาท ๔ ว่าเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จ ม. หากอานุภาพแห่งการเจริญอิทธิบาทอาจต่ออายุให้ยืนยาวได้ เหตุใดพระพุทธองค์ไม่เสด็จดำรงพระชนม์อยู่ต่อไป มาด่วนนิพพานทำไม น. หากพระพุทธองค์ประสงค์จะดำรงพระชนม์ให้ยืดยาว ก็อาจกระทำได้ด้วยอานุภาพแห่งการเจริญอิทธิบาท ๔ แต่พระพุทธองค์หามีประสงค์เช่นนั้นไม่ การมีชีวิตยืนยาวมิได้เป็นความปรารถนาของพระองค์ แต่ก็ไม่ถึงกับทรงรังเกียจการมีพระชมน์อยู่ต่อไป พระหฤทัยมิได้ฝักใฝ่กับการมีพระชนม์อันยืดยาว คติธรรมดาแห่งสังขารมีอยู่อย่างไร ก็ทรงปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น (อิทธิบาทพลสนปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 12-06-2009 เมื่อ 16:22 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้นไม้ไม่มีเจตนาจึงเจรจาไม่ได้
แต่เหตุใดจึงตรัส ณ ที่หนึ่งว่าต้นสะคร้อพูดกับพราหมณ์ ฟังดูไม่สมกันเลย พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ที่ตรัสว่าต้นไม้เจรจาไม่ได้นั้น พระองค์ตรัสตามความเป็นจริง คือต้นไม้ไม่มีจิตใจจึงพูดไม่ได้ ส่วนที่ตรัสถึงต้นสะคร้อพูดกับพราหมณ์นั้น พระองค์ทรงหมายถึงเทวดาผู้ซึ่งสิงอยู่ที่ต้นไม้นั้นเป็นผู้เจรจา แต่ที่ตรัสว่าต้นสะคร้อพูดนั้นก็เพราะตรัสตาม โลกบัญญัติ เหมือนคำที่เรียกว่า เกวียนข้าวเปลือกนั้น ที่จริงเป็นเกวียนบรรทุกข้าวเปลือก หาใช่เกวียนที่ทำจากข้าวเปลือกไม่ (รุกขเจตนาเจตนปัญหา) ม. เข้าใจล่ะ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ทุกจำพวกย่อมต้องสะดุ้งต่ออาชญา ย่อมกลัวต่อความตาย
แต่ไฉนจึงตรัสอีกที่ว่า พระอรหันต์ย่อมไม่กลัวต่อภัยอันตรายอะไร ถ้าตรัสไว้จริงทั้งสองประการ จะมิค้านกันหรือ พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร แท้จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะพระอรหันต์ท่านตัดรากแห่งความสะดุ้ง ความหวาดกลัวได้เด็ดขาดแล้ว อุปมาเช่นเวลาที่พระมหากษัตริย์ตรัสให้ประชาชนทั้งหลายกระทำพลี ทรงมิได้หมายรวมถึงอำมาตย์และขุนนางที่ทรงแต่งตั้งให้ควบคุมพลีกรรมนั้น ม. ข้อนี้พอเข้าใจละ แต่มานึกสงสัยว่า สัตว์นรกซึ่งทนทุกขเวทนาอยู่ทุกขณะ จะอยากตายให้พ้นทุกข์หรือว่าจะกลัวความตายเหมือนกับสัตว์จำพวกอื่นหรือ น. ขอถวายพระพร แม้สัตว์นรกจะระอาต่อความทรมานก็จริง แต่ก็ยังกลัวความตายอยู่นั่นเอง เพราะยังไม่สามารถถอนเหตุปัจจัยแห่งความกลัวได้ ม. พระคุณเจ้าจงยกตัวอย่างให้ฟัง น. คนเป็นฝีเดินโขยกเขยกเพราะเจ็บ เกิดความระอาใจจึงเรียกหมอมารักษา ครั้นเห็นหมอถือมีดและเหล็กนาบสุมไฟจนแดงมา เขาจะหวาดกลัวต่อการกระทำของหมอหรือไม่ ม. ย่อมหวาดกลัว แม้จะรู้ว่าหมอจะบำบัดโรคนั้นให้หายลง น. ฉันใดก็ฉันนั้น แม้จะมีความปรารถนาจะไปให้พ้นจากนรก แต่สัตว์นรกก็ยังคงหวาดกลัวต่อความตาย ดังเช่นคำพระพุทธองค์ว่าสัตว์ทุกจำพวกย่อมสะดุ้งต่ออาชญาและย่อมกลัวต่อความตาย (มัจจุภายนปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระอรหันต์ย่อมไม่มีความสะดุ้งหวาดกลัวอะไร ใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ตรัสเช่นนั้นจริง ม.ถ้าเช่นนั้น เมื่อพระเทวทัตมอมเหล้าช้างนาคีรีแล้วปล่อยให้วิ่งเข้าหาพระพุทธเจ้า เหตุใดพระอรหันต์ ๕๐๐ รูปจึงพากันทอดทิ้งพระพุทธองค์ไปเสียหมด ปล่อยให้พระอานนท์ออกไปยืนเบื้องพระพักตร์ยอมสละชีวิตถวายแทนเช่นนั้น น. ขอถวายพระพร พระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ท่านทรงตัดเหตุปัจจัยแห่งความสะดุ้งความหวาดกลัวได้เด็ดขาดแล้ว อุปมาดังแผ่นดิน แม้ใครจะขุดทำลายก็มิได้สะดุ้งหรือหวาดกลัวต่อการกระทำนั้น ด้วยเหตุนี้ ที่พระอรหันต์ทั้งหลายหลีกไปเสียจากช้างนาฬาคีรีนั้น มิได้เกิดจากความหวาดกลัว แต่เพราะท่านเหล่านั้นเห็นว่าพระอานนท์จักมีโอกาสแสดงความภักดีในพระพุทธเจ้าให้ปรากฏแก่หมู่ชนในที่นั้น แล้วหมู่ชนจะได้ฟังพระธรรมเทศนาจนได้บรรลุมรรคผลตามอุปนิสัยสามารถของแต่ละคน (ขีณาสพภายนปัญหา) ม.พระคุณเจ้าฉลาดว่า (หมายเหตุ เมื่อช้างนาฬาคีรีวิ่งเข้าหาพระพุทธเจ้านั้น พระอริยสาวกมีพระสารีบุตรเป็นต้น ได้กราบขออนุญาตพระพุทธองค์สกัดช้างนาฬาคีรี แต่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสีย แม้พระอานนท์นั้น พระพุทธองค์ก็ทรงบัญชาให้ถอยหลังหลบมาในที่สุด)
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
๓ พุทธประวัติ
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าทรงพยายามสร้างสมบารมีมาตลอดกาลเวลาอันยาวนาน ก็ด้วยมีพระพุทธประสงค์จะทรงนำหมู่ชนให้พ้นจากสังสารวัฏมิใช่หรือ พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังเช่นที่พระองค์ตรัส ม. ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเมื่อทรงตรัสรู้ใหม่ ๆ พระพุทธองค์จึงทรงน้อมพระหฤทัยไปในความขวนขวายน้อย กล่าวคือท้อพระหฤทัยที่จะสั่งสอนธรรมที่ตรัสรู้ให้กับชนโดยทั่วไป เสมือนผู้พยายามเรียนธนูเพื่อต่อสู้กับข้าศึก แต่ครั้นเกิดศึกขึ้นจริงใจกลับคิดไม่สู้ น. เป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงดำริถึงธรรมที่ได้ตรัสรู้ว่าเป็นของลึกละเอียด สวนทางกับกิเลสอันเคลือบคลุมบุคคลโดยทั่วไป พระหฤทัยจึงน้อมไปในความขวนขวายน้อย ม. พระคุณเจ้าจงหาตัวอย่างมาเปรียบเทียบ น. ธรรมดาหมอเมื่อตรวจดูอาการคนไข้ป่วยหนักย่อมรำพึงว่า คนไข้นั้นยากต่อการรักษามิใช่หรือ ม. เหตุการณ์มักเป็นเช่นนั้น น. ฉันใดก็ฉันนั้น พระพุทธองค์ก็เช่นนายแพทย์ ผู้คนโดยทั่วไปซึ่งหมักหมมด้วยกิเลสเปรียบเหมือนคนไข้อาการสาหัส เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาธรรมที่ตรัสรู้ว่าเป็นของลึกสุขุม ยากที่ผู้หนาด้วยกิเลสจะเห็นตามรู้ตามได้ ทรงท้อพระหฤทัยในการรักษาผู้คนเหล่านั้นให้หายจากกิเลสได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยทรงมีพรหมวิหารธรรม โดยเฉพาะพระกรุณาธิคุณเป็นที่ตั้ง จึงทรงกลับพระหฤทัยเพียรสอนผู้คนให้เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรมในการปลดเปลื้องตนออกจากกิเลสต่าง ๆ (ภควโตธัมมเทสนายอัปโปสุกตภาวปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ที่พระคุณเจ้าว่าพระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปทางใด แผ่นดินที่ลุ่มก็ฟูขึ้น ที่ดอนก็ยุบลงเรียบราบเสมอกัน ใช่หรือไม่
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังที่พระองค์ตรัสนั้น ม. แต่เหตุไฉนจึงมีเล่าไว้อีกที่ว่า พระบาทของพระพุทธเจ้าถูกสะเก็ดหินกระทบ น. เป็นเพราะสะเก็ดหินนั้นมิได้ตกลงมาตามธรรมดาของตน หากตกลงมาด้วยความเพียรของพระเทวทัต อย่างไรก็ตาม หินที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาด้วยความอาฆาตมีขนาดเท่าเรือนยอด โดยหวังจะให้ทับพระพุทธเจ้า แต่แล้วกลับมีภูเขาสองลูกผุดขึ้นรับไว้ ด้วยแรงปะทะของหินกับภูเขาจึงบังเกิดสะเก็ดหินที่กระเด็นไปต้องพระบาทของพระพุทธเจ้าเข้า ม. ก็เมื่อมีภูเขาสองลูกผุดขึ้นมารับแล้ว ทำไมยังมีสะเก็ดกระเด็นไปถูกได้เล่า น. แม้เมื่อมีของรองรับ แต่ก็ยังรั่วได้ เหมือนเทน้ำลงฝ่ามือ น้ำย่อมรั่วไหลออกตามนิ้วมือได้ฉะนั้น ม. เอาเถิด ข้อนี้ข้าพเจ้าเข้าใจ แต่ยังข้องใจว่า เหตุใดสะเก็ดหินจึงไม่ทำความเคารพยำเกรงพระพุทธองค์เหมือนผืนแผ่นดินที่พระคุณเจ้ากล่าวไว้เบื้องต้น น. ขอถวายพระพร เหตุปัจจัยที่กระทำให้ไม่เกิดความเคารพยำเกรง ได้แก่ ๑. อำนาจราคะ ๒. อำนาจโทสะ ๓. อำนาจโมหะ ๔. อำนาจโลภะ ๕. อำนาจพยาบาท ๖. อำนาจมานะ ๗. อำนาจอติมานะ ๘. ความไม่นิยมนับถือ ๙. ความเป็นคนเลวในสันดาน ๑๐.ความไม่มีอิสระแก่ตน ๑๑.ความตระหนี่ตน ๑๒.ความสาละวนแต่การงาน ขอถวายพระพร สะเก็ดหินชิ้นนั้นกลิ้งลงมาด้วยอำนาจแห่งความพยาบาทของพระเทวทัต แม้จะแตกออกเพราะกระทบกับภูเขา แต่แรงส่งนั้นยังคงมีอยู่ จึงกระเด็นไปถูกพระบาทพระพุทธเจ้าเข้า เหมือนละอองฝุ่นอันลมหอบย่อมกระจายไปทั่วทิศฉะนั้น (ภควโตปาทปัปปฏิกปติตปัญหา)
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คำที่พระคุณเจ้าว่า พระพุทธเจ้าทรงนำมาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่หมู่ชนนั้น จริงเสมอไปหรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร จริงเสมอ ม. ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระองค์จึงทรงแสดงอัคคิขันโธปมสูตร ซึ่งเกิดผลร้ายทำให้พระภิกษุ ๖๐ รูป (ซึ่งเป็นผู้ล่วงปฐมปาราชิกสิกขาบท ตามความในพระสูตร สัตตกนิบาตอังคุตตรนิกาย) กระอักเลือดเล่า น. ขอถวายพระพร การที่พระภิกษุ ๖๐ รูป กระอักเลือดนั้น เป็นเพราะความชั่วที่ตัวทำไว้ตามมาให้ผลต่างหาก ม. ถึงเช่นนั้น ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงแสดงพระสูตรนั้น ภิกษุเหล่านั้นก็คงไม่กระอักเลือด น. ก็ถ้าการกระอักเลือดนั้นเป็นเพราะการแสดงพระสูตรของพระพุทธองค์ เหตุใดพระภิกษุอื่นไม่กระอักเลือดไปด้วยเล่า ขอถวายพระพร นี่เป็นด้วยผลของความชั่วที่ตัวกระทำไว้เป็นเหตุ จึงเกิดผลร้ายเฉพาะแต่ผู้กระทำชั่วนั้น ม. แต่ข้าพเจ้ายังคิดว่า ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงแสดงพระสูตรนั้นเสียเลย ผลร้ายนั้นก็คงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ น. อาตมภาพขอเปรียบถวาย ธรรมดาช่างไม้ถ้ามัวเสียดายเนื้อไม้อยู่ จะกระทำไม้ที่คดงอให้ตรงได้หรือไม่ ม. ไม่ได้สิพระคุณเจ้า ตรงไหนคดงอมีแง่มีงอน ก็ต้องถากทิ้งเสีย ไม้นั้นจึงจะตรงได้ตามความประสงค์ น. ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกับช่างไม้นั้น กล่าวคือ พุทธบริษัทเหล่าใดคดงอจนทรงกระทำให้ตรงด้วยอาการปกติไม่ได้ พระองค์ก็ต้องถากทิ้งเสียโดยทรงแสดงโทษของความชั่วอย่างหนัก ให้เกิดความเกรงกลัว และให้ได้รับโทษเพื่อจะได้หลาบจำไม่กระทำต่อไปอีก การแสดงพระธรรมเทศนานี้ จึงเป็นการดัดนิสัยของผู้ฝ่าฝืนพระพุทธบัญญัติให้ละความประพฤติผิด หันมาดำเนินทางที่ถูกที่ควร แล้วได้บรรลุมรรคผลตามอุปนิสัยความสามารถของแต่ละคน อนึ่ง ถ้าพระองค์มัวคำนึงถึงความทุกข์เฉพาะของพระภิกษุ ๖๐ รูปนั้น แล้วไม่แสดงพระสูตรนี้ พระภิกษุอีกจำนวนมากก็จะไม่ได้บรรลุมรรคผลตามโอกาสอันควรของตน ขอถวายพระพร เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องจัดว่า พระพุทธองค์ทรงนำมาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่หมู่ชนทั้งนั้น(สัพพสัตตหิตจรณปัญหา) ม. จริงอย่างพระคุณเจ้าว่า
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธพจน์ที่ตรัสกับพระอานนท์ว่า ความรู้ทุกอย่างที่พระองค์มีอยู่
พระองค์หาได้ทรงปิดบังไม่ และได้ทรงเปิดเผยให้แจ่มแจ้งแล้วทุกอย่างนั้น จริงหรือ พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร จริง ม. ถ้าเช่นนั้น เมื่อพระมาลุงกยะทูลถามปัญหาเรื่องโลกเป็นต้น เหตุใดจึงไม่ตอบพระมาลุงกยะเสียเล่า น. ขอถวายพระพร อันลักษณะปัญหานั้นมีอยู่ ๔ อย่าง คือ ๑. ปัญหาที่ต้องอธิบายให้เด็ดขาดเป็นอย่างเดียว เช่น อธิบายว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง ๒. ปัญหาที่ต้องตอบแบบแยกแยะ ๓. ปัญหาที่ต้องย้อนถามแล้วจึงจะอธิบายต่อไป และ ๔. ปัญหาซึ่งไม่ควรตอบเพราะตอบไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผู้ฟัง ขอถวายพระพรปัญหาที่พระมาลุงกยะทูลถามนั้น มีลักษณะเป็นปัญหาแบบที่ ๔ และการที่พระพุทธองค์ไม่ทรงแสดงคำตอบนั้น ก็ด้วยทรงเห็นว่าแม้จะแสดงไป พระมาลุงกยะก็ไม่ได้รับผลคือสันติสุขอะไร กลับจะทำให้ความคิดความเห็นของพระมาลุงกยะห่างออกจากพระอริยมรรคอริยผลไปเสีย เนื่องจากปัญหาที่ถามเป็นปัญหาที่เดินออกนอกเขตแห่งมรรคผล (ฐปนีพยากรณปัญหา) ม. พระคุณเจ้าฉลาดว่า
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารที่นายจุนท์ถวายแล้วก็ประชวรเสด็จเข้าสู่นิพพานใช่หรือไม่
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังที่พระองค์ตรัสนั้น ม. ถ้าเช่นนั้น หมายความว่า การถวายอาหารของนายจุนท์เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าต้องปรินิพพานหรือ น. มิใช่อย่างนั้น เพราะก่อนที่นายจุนท์จะถวายอาหาร พระพุทธองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้วว่าจักต้องนิพพานในวันนั้นแน่นอน ม. ถ้าเช่นนั้น เป็นเพราะเหตุใดพระพุทธองค์จึงตรัสยกย่องทานของนายจุนท์ว่ามีอานิสงส์ล้ำเลิศเทียบเท่ากับผลทานของนางสุชาดาที่ถวายอาหารท่านก่อนตรัสรู้ น. ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยอาหารของนายจุนท์แล้ว ตอนปัจฉิมยามก็เสด็จเข้าสู่อนุปุพพวิหารสมบัติ ๙ ประการ (ได้แก่ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑) โดยอนุโลมและปฏิโลม ครั้นแล้วก็เสด็จปรินิพพาน (เทวปิณฑปาตมหัปผลภาวปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าทรงกระทำกิจเสร็จสิ้นแล้วทุกอย่าง กิจอื่นที่จะต้องกระทำไม่มีอีกแล้วมิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังที่พระองค์ตรัส ม. ถ้าอย่างนั้น ไฉนพระพุทธองค์ยังทรงเข้าฌานอยู่เป็นนิจเล่า น. การที่พระพุทธองค์ยังทรงเข้าฌานอยู่ก็เพราะฌานเป็นคุณธรรมที่ให้ประโยชน์แก่พระองค์มามาก ทั้งนี้เพราะพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ทรงเข้าฌานเป็นพื้นฐานก่อนการตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งนั้น ขอถวายพระพร เนื่องด้วยฌานมีคุณเช่นนี้ พระพุทธองค์จึงยังทรงฝักใฝ่ในการเข้าฌานอยู่ ม. พระคุณเจ้าจงหาตัวอย่างมาเปรียบ น. เหมือนบุคคลผู้หมั่นเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์และพยายามทำความดีความชอบเป็นเหตุให้ได้รับพระราชทานทรัพย์จนสามารถตั้งตัวได้ แต่ถึงจะมั่งคั่งเลี้ยงตัวได้แล้ว บุคคลนั้นก็ยังหมั่นเข้าเฝ้าอยู่เนือง ๆ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์นั้น ฉันใดก็ฉันนั้น การเข้าฌานเป็นพื้นฐานประการหนึ่งให้พระองค์ตรัสรู้ แม้เมื่อเสร็จกิจนี้แล้ว พระองค์ก็ไม่ทรงทอดทิ้งการเข้าฌาน ขอถวายพระพร อันการเข้าฌานนั้นมีคุณมากประการ เช่น กำจัดความรัก ความโกรธ ความหลง ความถือตัว และความวิตก มีใจเป็นอารมณ์หนึ่งเดียว พิจารณาเห็นความจริงทั้งหลายได้ง่าย ทำให้เกิดความอิ่มอกอิ่มใจ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานด้วยเหตุผล ๔ ประการ คือ ๑. ฌานเป็นวิหารธรรมอันสำราญ ๒. ฌานเกื้อหนุนคุณธรรมที่มีอยู่ ๓. ฌานเป็นวิถีแห่งพระอริยะทั้งหลาย ๔. ฌานเป็นคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสรรเสริญ (ตถาคตอุตตริกรณียาภาวปัญหา) ม. พระคุณเจ้าว่านี้ชอบแล้ว
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐ ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 22-06-2009 เมื่อ 19:39 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|