|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : คงต้องวางเฉยอย่างเดียว หรือไม่ก็ท่อง เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา เทวปุตตมาร จริง ๆ แล้วเป็นเทวดาหรือพรหมนี่แหละ บางทีก็ตั้งใจมาทดสอบเรา บางท่านก็ตั้งใจมาก่อกวนจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะลักษณะไหนก็ตาม ถ้าเรามั่นคงอยู่ในศีล ท่านก็เล่นเราได้ยาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2014 เมื่อ 11:08 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ถาม : ถามเรื่องการวางกำลังใจ เพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนขี้อิจฉา ?
ตอบ : ถือว่าเป็นเรื่องปกติ คราวนี้เราก็เปลี่ยนใหม่ แทนที่จะอิจฉาเขา ก็ให้คิดว่า เราทำอย่างไรให้ได้อย่างเขา แสดงว่าตอนนี้เราขาดมุทิตาจิต ต้องเน้นในพรหมวิหาร ๔ ยินดีในความดีของคนอื่นเขา และอุเบกขา วางเฉย ไม่ซ้ำเติมใคร แปลว่าสมาธิยังน้อยไป ไม่สามารถที่จะห้ามใจตัวเองได้ ไปเน้นการฝึกสมาธิอีกหน่อย สมาธิน้อยไป กำลังไม่พอ เมื่อกำลังไม่พอ กิเลสก็โผล่มาก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2014 เมื่อ 11:09 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาไปประเทศเนปาลมา พระพุทธศาสนาในเนปาลส่วนใหญ่เป็นมหายาน เพราะว่าสืบสายมาทางทิเบต แล้วเป็นพระพุทธศาสนาที่แปลกมาก คือเขาไม่ต้องมีพระสงฆ์ก็อยู่กันได้ ถึงเวลาญาติโยมก็จะเข้าวัด ไปสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าอยากรู้อะไรก็ไปค้นพระไตรปิฎกมาอ่านกันเอง ดูแล้วยังงง ๆ ว่าเขาทำอย่างไร ? ถ้าเป็นบ้านเรามีหวังได้ตีกันบ้านแตก แล้วที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือวัดพุทธมีแต่คนฮินดูเข้ากันมากมาย
ขณะเดียวกันคนพุทธก็ไปเข้าเทวสถานของฮินดู เหมือนกับว่าเขาไม่รังเกียจว่าจะเป็นศาสนาไหน ขอให้เป็นที่เคารพที่บูชา เขาเข้าหมด ทุก ๓ ก้าว ๕ ก้าว จะต้องมีที่ให้เขาบูชาสักแห่ง แม้กระทั่งตามพื้นตามอะไรเดินไปส่งเดชไม่ได้นะ เดี๋ยวไปเหยียบที่บูชาของเขา เขาขุดดินลงไปเจอหินกลม ๆ ก้อนหนึ่งก็ก่อขอบล้อมไว้ บูชาเป็นศิวลึงค์ เออ..ดูแล้วบ้านเขาใจคนอยู่กับเทวตานุสติตลอด เขาจะมีที่สักการะที่บูชาของเขาทั่วไปหมด บางทีกลางถนนเลย รถก็แน่นอย่าบอกใคร บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว กลางถนนเลยดันมีเทวาลัยให้คนไปบูชา ไม่ยักโดนรถเหยียบตาย คนของเขาค่อนข้างจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แล้วก็ใจเย็นมาก บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว พวกเราฟังไม่รู้หรอก แต่เขาดันรู้ว่าคันไหนบีบ แล้วบีบเตือนเรื่องอะไรก็ดันรู้อีกด้วย ถึงเวลาถนนบางสายรถวิ่งไปคันเดียวเต็มถนนเลยนะ แล้วดันมีรถสวนมา เขาก็ไปของเขาได้ มีการหยุดรอ มองซ้ายมองขวา อ้อ..ข้างหลังมีที่ว่าง ก็ถอยปรู๊ดไปมุดเข้าซอย อีกคันวิ่งขึ้นหน้าเลยซอย คันนั้นออกมาก็วิ่งต่อ บางทีก็วิ่งไปกลับรถ รถติดเต็มไปหมด ติดซ้ายติดขวา แต่เขาก็ไปของเขาได้”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2014 เมื่อ 11:12 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
“ในเมื่อเขาสืบสายมาจากทิเบต การไหว้พระจะมี ๒ อย่าง คือ ยืนไหว้ และกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ คือกราบแบบองค์ ๘ ไม่ใช่องค์ ๕ อย่างเรา คือกราบราบลงกับพื้นเลย แล้วที่น่าทึ่งคือพวกฝรั่ง ไปตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันจริง ๆ จัง ๆ ไปนั่งสมาธิกันเป็นวัน ๆ ไปกราบกันเป็นวัน ๆ พวกนี้เขากราบกันทีเป็นพัน ๆ ครั้ง รู้สึกว่าฝรั่งเขาทำอะไรจริงจังกว่าพวกเรา พวกเรากราบเบญจางคประดิษฐ์ยังไม่ค่อยจะครบเลย ส่วนใหญ่แล้วลงไม่ถึงพื้น บางคนก็เอามือแปะ ๆ เท่านั้น ลงไม่ได้เพราะติดพุง ก้มไม่ลง ต้องไหว้อย่างทิเบต ลงไปทั้งตัว เล่นกราบเป็นพัน ๆ ครั้ง รับรองไม่มีพุง ไขมันละลายหมด ตอนเช้า ๆ ก่อนไปทำงาน เขาจะไปเดินสวดมนต์รอบพระสถูปเจดีย์ ๑๐๘ รอบ แล้วก็ไปทำงาน ตอนเย็นกลับมาสวดมนต์อีก ๑๐๘ รอบ แล้วค่อยกลับบ้าน ถ้าเอาคาถาเงินล้านไปเผยแผ่คงรวยกันทั้งประเทศ
การบูชาพระ การสักการะสถูป เขามีผางประทีป ส่วนใหญ่ก็ทำด้วยเนย มีไส้ เป็นผางประทีปเล็ก ๆ มีผงหอม ไม้หอมต่าง ๆ โดยเฉพาะไม้สน เขาเผาจนกระทั่งพวกเราที่ไม่เคยชิน รู้สึกว่าฉุนมาก แล้วก็มีพวกผงสีต่าง ๆ ผงสีจะใช้สีแดงสีเหลืองเป็นหลัก อันนี้มาจากฮินดูแน่นอน แล้วก็มีข้าวสาร ข้าวโพด ถั่วเขียว ในลักษณะของเมล็ดพืช ซึ่งจริง ๆ ก็คือข้าวปลาอาหารที่เป็นเครื่องให้ชีวิต ซึ่งเขาถือเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง อย่างที่ในสมัยพุทธกาล ท่านห้ามพระภิกษุจับข้าวเปลือกที่ติดอยู่กับรวง เพราะว่าถ้าหากมีเถยยจิตคิดจะขโมย จะต้องอาบัติปาราชิกไปเลย กลายเป็นว่าเขาถือว่าพวกธัญพืชต่าง ๆ มีข้าว มีถั่ว มีงา อะไรพวกนี้ เป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เอาไปบูชาพระพุทธเจ้า บูชาเทพกัน ก็เลยเป็นเหตุให้มีนกพิราบอยู่เป็นพัน ๆ ตัวทุกวัดเลย เพราะมีคนเอาอาหารไปให้กินโดยปริยายทุกวัน”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนถึงได้บอกไปว่า พระเราไม่มีฤทธิ์บ้างเลยก็ไม่ดี มีมากไปคนก็ไปติดอยู่ตรงนั้นอีก พวกมาเลเซีย สิงคโปร์ เขามาแล้ว อย่างกับว่าจะให้เราเสกให้เขาสำเร็จเดี๋ยวนั้น โดยไม่คิดจะใช้ความพยายามของตัวเองเลย อาตมาไม่ค่อยอยากจะคบหรอก แต่คนอื่นบอกว่าคบพวกนี้ไว้แหละดี จะสร้างวัดกี่วัดก็ได้เพราะเงินเขาเยอะ คือพวกนี้เขาทำบุญ แบบคิดว่าทำมากได้มาก จะทุ่มเท พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ทำบุญโดยที่ตัวเองและคนรอบข้างไม่เดือดร้อน ดันมีการแปลงคำสอนเป็นทำมากได้มาก”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 03:55 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ไปเทศน์งานทำบุญ ๕๐ วันหลวงพ่อพระเทพเมธากร วัดท่ามะขาม หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านไปเป็นประธาน ท่านประทานผ้าไตรมาชุดหนึ่ง อาตมาก็ดีใจ คราวนี้มีซองปัจจัยมาด้วย ก็ไม่ได้คิดอะไร รับไป กลับไปที่วัด รุ่งขึ้นเปิดออก ช็อก..! ท่านถวายกัณฑ์เทศน์มา ๕ หมื่นบาท ไม่นึกว่าจะได้เยอะอย่างนั้น กลับไปก็ทิ้งไว้เฉย ๆ รุ่งขึ้นจะลงบัญชี แกะออกมา ช็อกไปเลย
แต่คราวนี้ในงานที่เห็นแล้วไม่ชอบใจอย่างหนึ่งก็คือ ประธานฝ่ายฆราวาสใส่รองเท้าเดินลุยอยู่ในศาลา เขาปูพรมอย่างดี ปกติแล้วในเรื่องของศาสนาบ้านเราไม่ค่อยเคร่งครัด ถ้าของพม่าตั้งแต่ประตูวัดเลย ก่อนเข้าเขตวัดต้องถอดรองเท้า บางท่านพูดขำ ๆ ว่า บ้านเราถือดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระ แต่พม่าถือรองเท้าไปไหว้พระ เพราะถอดแล้วบางคนก็เหน็บหลัง บางคนก็ถือไป สถานที่สำคัญ ๆ อย่างพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เขาจะมีถุงพลาสติกให้ ถอดใส่ถุงแล้วหิ้วไป อีกอย่างก็คือการกราบ ในพิธีต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะไปตั้งเก้าอี้กราบให้ ซึ่งไม่ควรจะมี เพราะว่าของเรากราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ กราบกับเก้าอี้ไม่ได้หรอก อย่างเก่งก็แค่หัวเข่าโดนพื้น ๒ ข้าง ข้อศอกกับศีรษะลงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะติดอยู่กับเก้าอี้ ฉะนั้น..เวลาอาตมาไปเป็นประธานในงานไหน เวลากราบจะถอยพ้นเก้าอี้แล้วกราบลงกับพื้น คนทั่ว ๆ ไปก็จะมองแปลก ๆ ว่า ท่านไม่รู้จักกราบกับเก้าอี้หรืออย่างไร ? ให้เขามองไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะถาม แล้วถึงจะบอก อะไรที่ทำแล้วถูกต้องเป็นแบบอย่างที่ดีได้ ให้ทำไว้ก่อน อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำเหมือนกัน ท่านจุดธูปก่อนทุกครั้งแล้วค่อยจุดเทียน อย่างที่เราเรียกกันว่า "จุดธูปเทียน" แต่มาระยะหลังรำคาญโฆษกที่นิมนต์หรือเชิญท่านประธานจุดเทียนธูป การจุดเทียนธูปหมายถึงว่าไม่มีการเตรียมอะไรไว้เลย เราต้องจุดเทียน ตั้งเทียนเสร็จเรียบร้อยถึงจุดธูปได้ แต่ในงานพิธีเขามีการเตรียมไว้ก่อนแล้ว กรุณาจุดธูปเทียนเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็ทำผิดอยู่เรื่อย หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำก็จุดธูปเทียนของท่านให้ดู แต่ไม่มีใครจำเป็นตัวอย่างหรอก ดีไม่ดีไปคิดว่าท่านทำผิดอีกด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 23-08-2022 เมื่อ 22:39 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ถาม : มีผลต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : มันไม่ได้ต่าง แต่ว่าสิ่งที่เราทำเหมือนอย่างกับว่า พระรัตนตรัยมาก่อน เพราะว่าธูป ๓ นี่แทนพระรัตนตรัย เทียน ๒ เขาตีความหมายไว้ ๒ อย่าง ก็คือเทียนแทนดวงปัญญาคือพระธรรม อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเทียนหมายถึงแสงสว่างหรือดวงตาเห็นธรรม ก็ได้ เรื่องที่ว่านัตถิ ปัญญา สมาอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี แต่คนสวนใหญ่จะไปมองว่า ในเมื่อเป็นเทียนก็ต้องแทนพระธรรม แต่ความจริงไม่ใช่ เขาไปตีความว่าโลกียธรรม โลกุตรธรรม แต่วัดท่าขนุนบางทีใส่ไป ๔ ต้น ๕ ต้นแล้วจะตีความอย่างไร ยิ่งหลังงานวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะมีญาติโยมไปจุดธูปเทียนบูชาพระเยอะมาก ถึงเวลาก็ต้องมาจุดที่เหลือให้หมดทีหลัง บางทีอาตมาใส่เป็นราวเลย แล้วอย่างนั้นจะแทนอะไร สำคัญตรงใจเราตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย ถ้าตั้งใจบูชาก็ได้อานิสงส์บูชาด้วยของหอมคือธูป ด้วยแสงสว่างคือเทียน แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า ปฏิบัติบูชาดีที่สุด แต่ถ้าอย่างไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ควรจะบอกกล่าวเพื่อให้คนเขาจดจำเป็นแบบอย่างกันสืบไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 29-06-2014 เมื่อ 21:26 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"อย่างปัจจุบันงานศพ อาตมาบ่นแล้วบ่นอีก ประเภทถึงเวลาพระท่านจูงสายสิญจน์ โยมก็แย่งกันจูง แถมยังดุพระด้วย ว่าปล่อยสายสิญจน์ยาว ๆ หน่อยไม่พอจูง ต้องบอกเขาว่า ผู้ที่จูงศพ นำศพขึ้นเมรุคือพระเณร ส่วนญาติโยมไปส่งศพ ไม่ต้องไปแย่งพระจูง ให้เดินส่งตามหลังไป คนที่จะเดินนำหน้าได้คือลูกหลานที่จะถือรูปถ่ายกับกระถางธูปเท่านั้น นอกนั้นให้เดินตามหลังโลงไป บอกแล้วบอกอีกกว่าเขาจะรู้กัน มาตอนหลังนี้เริ่มจะดีขึ้น
อีกอย่างคือการแต่งตัวไปงานศพ ปกติแต่โบราณมา ถ้าหากว่าคนตายสูงด้วยวัยวุฒิ คืออายุมากกว่า สูงด้วยคุณวุฒิคือฐานันดรศักดิ์สูงกว่า เราต้องแต่งชุดขาว แต่ปัจจุบันนี้คนตายอายุ ๘๐ คนไปอายุ ๑๐ กว่าขวบแต่งชุดดำ เราจะแต่งชุดดำได้ก็ต่อเมื่อ อายุมากกว่าคนตาย หรือว่ายศศักดิ์ใหญ่กว่าคนตาย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:58 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะดูเรื่องพวกนี้ ต้องดูสำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังยังยึดถือธรรมเนียมโบราณอยู่ อย่างเมื่อล่าสุดงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เราจะเห็นว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ท่านแต่งดำ เพราะว่าโดยฐานันดรศักดิ์ท่านสูงกว่า แต่คนอื่นที่ฐานันดรศักดิ์ต่ำกว่าต้องแต่งขาว เพราะเป็นการให้เกียรติว่าท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยยศและด้วยอายุ แต่ว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หรอก ตัวเองอายุไม่กี่ขวบ คนตายอายุ ๘๐-๙๐ ตูก็ไปดำปี๋อย่างนั้น
มีในหลวงรัชการที่ ๖ ที่บางงานผู้ตายยศศักดิ์ต่ำกว่า แต่พระองค์ท่านบอกว่ารักและสนิทมาก พระองค์ท่านทรงแต่งขาวให้ อันนั้นถือว่าให้เกียรติกันอย่างสูงเลย เพราะว่าในแผ่นดินจะเอาใครไปยศใหญ่กว่าในหลวงได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 02-07-2014 เมื่อ 22:56 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวเมื่อมีผู้ถวายธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทรุ่นใหม่ว่า "ของใหม่ ๆ ออกมาก็ไม่เคยชิน เดี๋ยวพอนาน ๆ ไปก็ชินไปเอง บางทีเอาธนบัตรรุ่นเก่าไปแล้วเด็กรุ่นใหม่ไม่เคยเห็น ท่านกอล์ฟเอาแบงก์ ๕๐๐ รุ่นเก่าใบใหญ่ ที่ด้านหลังเป็นเรืออนันตนาคราชไปซื้อของ เด็กวิ่งไปหาผู้จัดการ ผู้จัดการบอกว่า อ๋อ..ธนบัตรรุ่นเก่า ให้ทอนไปตามปกติ เด็กรุ่นใหม่ไม่เคยเห็น ของอาตมามีธนบัตรใบละ ๑๐๐ หยวน ของจีน รุ่นที่มีรูป ดร.ซุนยัดเซ็น ไปซื้อของแล้วคนจีนทอนมาให้แท้ ๆ แต่ร้านอื่นกลับไม่รับ บอกว่าเก่าจนตกรุ่นไปแล้ว พี่จี๋ขอแลกไปเป็นที่ระลึก อาตมาใช้เป็นที่คั่นหนังสืออยู่หลายปี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2014 เมื่อ 11:25 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "การจัดธูปเทียนแพ ถ้าโดยทั่ว ๆ ไป อย่างพิธีชาวบ้าน เขาจะหันด้านที่เป็นเทียนขึ้นข้างบน กรวยดอกไม้ เทียนแล้วธูปอยู่ข้างล่าง
แต่ถ้าเป็นพิธีหลวง จะหันด้านธูปไม้ระกำขึ้นข้างบน จะเป็นดอกไม้ ธูป เทียน จำให้แม่น ๆ ถ้าเห็นลักษณะนั้น เราจะรู้ว่าเป็นพิธีหลวง หรือพิธีชาวบ้าน เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าไม่ต้องการให้ชาวบ้านทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย ถ้าเป็นสมัยก่อนทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย เขาจะถือว่าจัญไรจะกินหัว หรือว่าคิดขบถไปเลย เรื่องพวกนี้มีหลายต่อหลายอย่าง อย่างเช่นว่า สมัยก่อนห้องส้วมจะอยู่นอกบ้านทั้งหมด ผู้ที่จะมีส้วมอยู่ในห้องนอนได้คือพระเจ้าแผ่นดิน ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครทำตามนั้นถือว่าขบถ มาสมัยนี้ขบถกันทั้งประเทศ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2014 เมื่อ 11:26 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ยายทวดมาอวยพรให้พระเรวัตตะ ตอนนั้นพระเรวัตตะยังเป็นเรวัตตกุมาร อายุ ๗ ขวบ โดนจับแต่งงานแล้ว ยายทวดอายุ ๑๒๐ มาอวยพรให้ บอกว่าขอให้เห็นธรรมที่ยายได้เห็น คืออายุยืนเหมือนยาย พระเรวัตตะเห็นเข้าแล้วใจหายวาบเลย อยู่ไปแล้วผมจะแก่แบบนั้นไหม ? ภรรยาผมก็เป็นแบบนั้นใช่ไหม ? ยายทวดบอกว่า ถ้าอยู่ถึงก็เป็นแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เอา เด็ก ๗ ขวบมีปัญญามากขนาดนั้น จะว่าไปแล้วถ้าเราดูในเถราปธาน หรือว่าเถรคาถา จะเห็นว่ามีหลายต่อหลายรูป อายุ ๔ ขวบบ้าง ๕ ขวบบ้าง บรรลุอรหันต์ ก็เลยกลายเป็นว่าที่เขาเอาเกณฑ์ ๗ ขวบเพื่อให้มีปัญญาพอที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะว่าเรื่องการบรรลุธรรม ถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็ไม่มีโอกาส แต่ว่าท่านที่บรรลุตอน ๔ ขวบ ๕ ขวบเป็นบารมีที่สร้างมาเต็มที่เลย เหมือนดอกบัวที่กระทบแสงแดดก็บานเลย
มีคนถามว่าแล้วอายุขนาดไหน จึงจะเหมาะสมที่จะบวชเณร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าหากว่าให้เฝ้าของไว้ แล้วสามารถไล่กาหรือสัตว์ที่จะมากินของได้ ก็บวชได้ ก็แปลว่ารู้ภาษาแล้ว แต่บ้านเราเดี๋ยวนี้ตัดสินใจยาก ๗-๘ ขวบแล้วแม่ยังไล่ป้อนข้าวอยู่เลย ถ้าอยากนั้นบวชแล้วพระพี่เลี้ยงเหนื่อยแย่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-06-2014 เมื่อ 11:42 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ของพระราหุลต้องบอกว่าบุญของท่านเอง พระนางพิมพาเห็นพระพุทธเจ้าพาหมู่สงฆ์ออกบิณฑบาต ก็ชี้บอกพระราหุลว่า “มหาสมณะที่เดินนำหมู่ ประดุจดวงอาทิตย์ที่แวดล้อมด้วยหมู่ดาว นั่นก็คือพระราชบิดาของเจ้า ให้เจ้าไปทูลขอราชสมบัติของพระราชบิดา” เพราะว่าตอนพระพุทธเจ้าประสูติ มีขุมทรัพย์เกิดขึ้นที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ แล้วขุมทรัพย์นั้นเป็นของคู่บุญ ถ้าไม่ใช่พระองค์ท่านแล้วคนอื่นเอาไปไม่ได้
พระราหุลได้ยินแม่สอนดังนั้นก็ย่องตามไป พระพุทธเจ้าบิณฑบาตเสร็จแล้วกลับวัดไปฉัน ท่านก็ตามไป ด้วยความที่เป็นเด็ก จิตใจยังบริสุทธิ์สะอาด พอเดินเข้าเขตวัดก็รู้สึกเย็น สบายกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ท่านก็หลุดปากออกมาว่า “โอหนอ..สมณะ ร่มเงาของท่านช่างร่มเย็นจริงหนอ” พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสถามว่า "ดูก่อน..ราชกุมาร ท่านมาด้วยเหตุใด ?" พระราหุลก็ทูลว่ามาขอราชสมบัติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทรัพย์อื่นที่จะยั่งยืนเหมือนอริยทรัพย์นั้นไม่มี ถ้าอยากได้สมบัติของพ่อ ก็ให้บวช" แล้วส่งให้พระสารีบุตรไปบวช พระเจ้าสุทโธนะเสียใจมากว่า พระพุทธเจ้าหนีไปบวชคนหนึ่ง ราชสมบัติไม่มีใครสืบทอด หวังให้พระราหุลที่เป็นหลานสืบทอด ก็มาบวชเสียอีก เลยขอร้องพระพุทธเจ้าไว้ว่า "ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากจะให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรใด ขอให้บิดามารดาอนุญาตก่อน" จึงกลายเป็นธรรมเนียม ถึงเวลาจะบวช พระคู่สวดต้องถามว่า “อนุญฺญาโตสิ มาปิตุหิ” บิดามารดาอนุญาตแล้วหรือยัง ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2014 เมื่อ 04:04 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
"แต่ว่าก็มีตัวอย่างเช่นพระเรวัตตะ แม่ท่านเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่รู้เป็นได้อย่างไร ลูก ๗ คนเป็นพระอรหันต์หมด แม่เป็นมิจฉาทิฐิ ต่างกันสุดยอด พระสารีบุตรรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วน้องชายคนเล็กต้องออกบวชแน่ จึงสั่งพระท่านเอาไว้ว่า ถ้ามีกุมารชื่อเรวัตตะมาขอบวช แล้วบอกว่าเป็นน้องของผมคืออุปติสสะ ก็ให้ทำการบวชได้ เพราะว่าโยมแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ผมเป็นพี่ชายคนโต ต้องถือว่าผมเป็นผู้ปกครองโดยธรรม ผมเป็นคนอนุญาต
พอพระเรวัตตะหนีการแต่งงาน ไปถึงสำนักสงฆ์ ก็ไปขอบวช พระท่านถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ท่านแจ้งให้ทราบว่าพี่ชายใหญ่ของผมบวชอยู่ที่นี่ชื่ออุปติสสะ พระส่วนใหญ่ท่านรู้จักในนามพระสารีบุตร ถ้าไม่ได้สั่งไว้ก็เรียบร้อย ดีที่สั่งไว้ พอรู้ก็ อ๋อ..จัดการบวชให้ บ้านนั้นก็มีพระสารีบุตรคืออุปติสสะ น้องรองก็คืออุปเสนะ น้องสาวชื่อจาลา อุปจาลา สีสุปจาลา น้องสาว ๓ คนติดกันเลย แล้วก็น้องชายคือจุนทะ น้องคนเล็กชื่อเรวัตตะ ๗ คน เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด แม่เป็นมิจฉาทิฐิจนนาทีสุดท้าย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:59 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
"พระสารีบุตรก่อนนิพพานกลับไปเทศน์โปรด ต้องบอกว่าไปถึงแม่ก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก แถมยังดุด่าว่ากล่าวอีก ว่ามีสมบัติอยู่มากมายมหาศาลไม่ชอบ ชอบเป็นคนกินเดน สมัยก่อนนี่เขาด่าคำนี้จะแสบมากเลยนะ พระสารีบุตรท่านก็ไม่สนใจ ว่าอะไรก็ว่าไป รับบิณฑบาตได้ก็ฉัน บรรดาพระติดตามก็บ่นว่า "อัศจรรย์จริงหนอ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรของเรา โดนคนด่าว่ากระทบกระเทียบแรงขนาดนั้นยังวางเฉยอยู่ได้" พระสารีบุตรท่านถึงบอกว่า สภาพจิตที่บริสุทธิ์ รับการกระทบจากโลกธรรมแล้วย่อมหาความหวั่นไหวไม่ได้
คราวนี้ก็ไปขอโยมแม่ว่าขอพักในห้องที่ตัวเองเกิด แม่ก็คิดว่าลูกชายใจอ่อนแล้ว อาจจะสึกออกมาครองเรือนทรัพย์สมบัติก็ได้ จริง ๆ แล้ว แม่ก็ลืม ลูกอายุมากขนาดนั้นแล้ว แม่ยังอยู่ได้..สุดยอดจริง ๆ แม่คงลืมว่าลูกแก่ขนาดนั้นแล้ว จะครองสมบัติอยู่ได้สักกี่วัน พระสารีบุตรท่านป่วย ถ่ายเป็นเลือด พระจุนทะก็ต้องนั่งเฝ้า แม่ก็ขยันตามแบบพราหมณ์ที่ดี นั่งสวดมนต์ทั้งคืน พอยามต้นท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาเยี่ยม พอท่านมารัศมีสว่างไปถึงอยู่ สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า อยู่ ๆ สว่างขนาดนั้นแล้วได้ยินเสียงพูดคุย แม่ก็ตะโกนถามว่า “จุนทะเอ๊ย..ใครมาหาพี่แก ?” พระจุนทะตอบว่า “อ๋อ..ท้าวมหาราชมาเยี่ยมนะแม่” นางสารีถามว่า “พี่แกใหญ่กว่าท้าวมหาราชอีกหรือ ?” พระจุนทะก็บอกว่า “ใหญ่กว่าเยอะเลยแม่” นางสารีพราหมณีก็คิดว่า "ไม่เป็นไร ใหญ่ขนาดไหนก็ไม่ใหญ่กว่าพระพรหม ผู้เป็นเจ้าของเรา" ว่าแล้วก็สวดมนต์ต่อ พอยาม ๒ พระอินทร์มาเยี่ยม เห็นแสงสว่างมาถึงอีก ก็ถามอีก “จุนทะเอ๊ย ใครมาเยี่ยมพี่แก ?” พระจุนทะก็ตอบ “ อ๋อ..พระอินทร์มาเยี่ยม” นางสารีเลยถามว่า “พี่แกใหญ่กว่าพระอินทร์อีกหรือ ?” พระจุนทะก็บอกว่า "ใหญ่กว่า" นางสารีถือทิฐิ ใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใหญ่กว่าพระพรหม ผู้เป็นเจ้าของเรา พอยาม ๓ ท้าวสหัมบดีพรหมมาเยี่ยม คราวนี้สว่างหนักเข้าไปอีก แม่ก็แปลกใจถามว่า “จุนทะเอ๊ย ใครมาเยี่ยมพี่แกอีก ?” พอบอกว่าท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นอธิบดีของพรหมทั้งหลายมาเยี่ยม แม่ก็แปลกใจ "พี่แกใหญ่กว่าพระพรหมอีกหรือ ?" พระจุนทะบอกว่า "ใหญ่กว่าแม่" นางสารีก็เลยเข้าไปดู เห็นท้าวสหัมบดีพรหมอยู่จริง ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:59 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
"ตัวเองเป็นพราหมณ์ เคารพพระพรหมเป็นใหญ่มาตลอดชีวิต ไม่เคยได้เห็นตัวจริง เพิ่งจะได้เห็นครั้งนี้ แล้วเห็นพระพรหมผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดด้วย ก็เพิ่งจะรู้ว่าลูกตัวเองมีความดีมากขนาดนั้น จึงกล่าวว่า "ในเมื่อพ่อคุณมีความดีมากขนาดนี้ ทำไมไม่บอกแม่บ้าง ?" คิดว่าบอกไปแล้วจะฟังไหม ...(หัวเราะ)...
พระสารีบุตรก็บอกว่า "เวลามีน้อย แม่อย่าเพิ่งต่อว่าเรื่องอื่น ให้ทำใจให้เลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยที่ลูกยึดเป็นที่พึ่ง แล้วตั้งใจฟังธรรม" นางสารีพอฟังธรรม ด้วยความเลื่อมใสอยู่แล้ว ส่งจิตตามธรรมไปก็บรรลุพระโสดาบัน พระสารีบุตรท่านก็หมดลมพอดี คราวนี้แม่บ่นอีก "ทำไมพ่อคุณมาสอนแม่ช้าไป" แต่ต้องบอกว่าแม่ของพระสารีบุตรท่านรวยจริง สั่งเปิดคลัง สั่งสร้างจิตกาธานด้วยไม้หอม ไม้หอมธรรมดาท่อนหนึ่งก็แพงหูดับแล้ว นี่กองฟอนทั้งหมดสร้างด้วยไม้หอม สร้างอาคารอีก ๕๐๐ หลัง สำหรับรองรับพระภิกษุที่มาร่วมงาน ไม่รู้หมดไปเท่าไร จัดงานอย่างสมเกียรติ พอเผาเสร็จสรรพเรียบร้อย พระจุนทะก็เอาบาตรบรรจุอัฐิที่เหลือ ไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:59 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
"พระสารีบุตรนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๖ เดือน ท่านนิพพานวันลอยกระทงพอดี วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระพุทธเจ้ารับเอาอัฐิมาแล้วสั่งให้ก่อสถูปไว้ที่ใกล้ประตูเชตวันมหาวิหาร พระโมคคัลลานะก็ปรินิพพานก่อน ตอนช่วงนั้นเหมือนพระพุทธเจ้าไม่มีใคร พระน้านางก็คือ พระนางปชาบดีโคตมีก็ลาไปนิพพาน
ถามว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่ไปก่อน ไม่คิดห่วงพระพุทธเจ้าเลยหรือ ? ตอบได้ ๒ แบบด้วยกัน คือแบบแรกพระระดับนั้น ท่านปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวาระ ไม่มีความห่วงใยใด ๆ แล้ว ประการที่ ๒ ท่านตรวจดูแล้วว่าโดยธรรมเนียมแล้ว ระหว่างพระอัครสาวกกับพระพุทธเจ้า ใครนิพพานก่อนกัน แล้วก็ได้คำตอบว่า พระอัครสาวกมีปกตินิพพานก่อน บางคนว่าเหมือนกับชิงตายก่อน กลายเป็นพระพุทธเจ้าต้องจัดงานศพให้ พระพุทธเจ้าจัดงานศพให้พระน้านางได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก เพราะว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นคนแบกแคร่ศพ มีพระอินทร์เดินนำไปที่จิตกาธาน มีพระพรหมพร้อมทั้งหมู่เทวดาและพรหมเดินตามยาวเป็นโยชน์ แล้วพระพุทธเจ้าเสด็จตามไปพร้อมกับหมู่ภิกษุสงฆ์ คิดว่าคงไม่มีงานศพใครในประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ก็คงลักษณะคล้าย ๆ กับสมเด็จพระสังฆราชจัดงานศพให้แม่ แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ยังไม่มีพระสังฆราชองค์ใดเหลือโยมแม่ให้จัดงานศพ ส่วนใหญ่โยมแม่ไปก่อนที่ลูกจะเป็นพระสังฆราช"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 13:59 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
ถาม : ไปสัมภาษณ์งานมา เขาเรียกไปเริ่มงานเมื่อไรคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ใช่เจ้าของบริษัทนี่ถึงจะบอกได้ ฮ่วย..! ถามผิดที่แล้ว ถ้าถามว่าเขาจะเรียกสัมภาษณ์อย่างไรถึงจะได้งานก็พอบอกได้ ถามว่าเรียกวันไหนใครจะบอกได้ รอไปก่อนก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-07-2014 เมื่อ 09:19 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเทวดาจัดเป็นเทวตานุสติในคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีคนเคารพบูชาเมื่อไร พระอินทร์หรือท้าวสหัมบดีพรหมก็จะหาตัวผู้ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงมารับตำแหน่งนั้น ถ้าพูดกันแบบขำ ๆ ก็คือฮินดูตั้งเทวดาได้ คือต้องหาคนมาสวมตำแหน่ง แต่ว่างวดนี้ที่ไปเนปาลเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ปกติจะเจอแต่เจ้าพ่อหลักเมือง แต่เนปาลเป็นเจ้าแม่หลัก ถ้าในเขตนั้นถ้าใครบูชาเจ้าแม่อุมาเทวี ไภรวเทวี พระสุรัสวดี พระลักษมี แกรับหมด เหมาคนเดียวเลย ชื่อจริงชื่อนภิสราเทวี ชื่อก็เพราะ สวยมากอีกด้วย แต่หลอกต้มอาตมาหัวทิ่มหัวตำ เขาบอกว่าผู้หญิงคบไม่ได้ ยิ่งสวย ๆ แบบนี้คบยากใหญ่ อาตมาไม่ค่อยรอบคอบ เพราะเป็นคนซื่อ บอกอะไรก็เชื่อแค่นั้น ใครจะไปรู้ว่าแม่เจ้าพระคุณลื่นยิ่งกว่าปลาไหลแช่น้ำมัน..!
ส่วนเจ้าพ่อหลักเมืองที่มาเลเซีย เป็นอินทกะของท้าววิรูปักษ์ ท่านชื่อนาคเทวราช (อ่านว่านาคะ) แต่ท่านแต่งตัวราวกับงิ้วมา ถามว่าทำไมแต่งตัวอย่างนี้ ? ท่านบอกว่า ที่มาเลเซีย คนตั้งศาลหลักเมืองเป็นคนจีน เมื่อคนจีนเป็นคนทำพิธีเชิญ ท่านเองพอรู้ธรรมเนียมจีนก็เลยได้รับคำสั่งให้มาดูแลตรงนั้น ท่านเลยแต่งตัวราวกับนักรบจีนของงิ้ว ถือง้าวอันเบ่อเริ่ม ถ้าท่านหนวดยาวสัก ๓ ศอกแล้วหน้าแดงหน่อย อาตมาคงคิดว่าเป็นกวนอู แต่เผอิญว่าท่านหล่อมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2014 เมื่อ 04:20 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ถาม : แล้วบรรดาพระโพธิสัตว์องค์ต่าง ๆ ของมหายานท่านมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ตัวตนท่านมีเยอะ จริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน เพราะว่าท่านถือเป็นเรื่องที่เนิ่นช้า แต่พอคนรุ่นหลัง ๆ ตั้งแต่สมัยพระนาคารชุน ไปพบเห็นเข้าเกิดชอบใจแล้วไปเผยแผ่ เกิดเป็นสายมหายานขึ้นมา ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งระยะเวลานานมากกว่าที่จะได้บรรลุ พระพุทธเจ้าท่านหวังประโยชน์ในปัจจุบันของเรา ประโยชน์ในอนาคตคือตายแล้วจะเป็นอย่างไร และประโยชน์สูงสุดคือบรรลุธรรม แต่คราวนี้การเป็นพระโพธิสัตว์จัดอยู่ในธรรมอันเนิ่นช้า เพราะเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ของเจ้าแม่กวนอิมท่านไปแล้ว แต่ว่าเขายังนับถืออยู่ก็มีคนทำหน้าที่แทน จริง ๆ ก็คือพระอรหันต์ อย่างอุ้ยท้อ คือองคุลีมาล ส่วนใหญ่ฟังคนจีนเขาสวดมนต์จะได้ยินเสียงเพี้ยน ๆ ฉะนั้น..ชื่อพระอรหันต์ก็จะเพี้ยนไปหมด ไปอ่านชื่อพระอรหันต์ในภาษาจีนแล้วกลุ้มใจ บางทีทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ อยู่ ยังไม่รู้เลยว่าองค์นี้คือใคร พระราหุลเป็นราหู่ล้อ มาจากบาลีว่าราหุละ พระอานนท์เป็นอานันท้อ พระปิณโฑลภารทวาชเป็นปิงโทล่อ คนจีนจะดัดแปลงชื่อเป็นภาษาจีนหมด สินค้าจากต่างประเทศจะมีชื่อดังขนาดไหน ไปเมืองจีนจะมีชื่อจีนหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2014 เมื่อ 04:24 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|