|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาไปถ้ำทะลุใหม่ ๆ จะมีงูเห่าดงอยู่คู่หนึ่ง ชอบมานอนกับพระ ทำให้พระขวัญหนีดีฝ่อ เพราะเวลางูตกใจจะยกหัวขึ้นมาขู่เสียงดังมาก บางทีพระกางกลดอยู่ เขาก็ไปม้วนอยู่บนหลังคากลด พอพระตื่นขึ้นมาจะเก็บกลด กลดเขย่าเขาก็ขู่ พระจึงไม่กล้าเก็บ ตอนแรกพระบอกว่า “อาจารย์..งูเห่าม้า” อาตมาก็งงว่างูเห่าม้าเป็นอย่างไร พอไปดูจึงรู้ว่าเป็นงูเห่าดง ตรงดอกจันของงูจะเป็นรูปเหมือนเครื่องหมายของการบินไทย แต่เครื่องบินหัวทิ่มลง เขาเห็นคล้ายรูปเกือกม้า เลยเรียกว่างูเห่าม้า
พวกงูเห่าดงค่อนข้างจะเกเร ใครอยู่ในเขตเขาไล่เลยนะ แต่ตัวนี้ไม่รู้ว่าเขามาก่อนหรือมาทีหลัง ถ้ามาทีหลังเห็นว่าที่น่าอยู่ แต่มีพระอยู่แล้ว เขาคงให้เกียรติเจ้าถิ่นกระมัง จึงไม่ไล่พระ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2012 เมื่อ 17:21 |
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเป็นฆราวาส จะมีความสามารถในการขโมยอารมณ์ปฏิบัติธรรมของคนอื่น เวลาเขามาเล่าอารมณ์การปฏิบัติของเขาว่า เขาทำอะไร ? ได้ถึงไหน ? อาตมาจะปรับอารมณ์ตาม แล้วได้เท่าเขาเดี๋ยวนั้นเลย เพราะฉะนั้น..อย่ามาเล่าให้ฟัง ถ้าอยากจะเก็บไว้คนเดียวโปรดอย่ามาบรรยาย บรรยายเมื่อไรเสร็จอาตมาหมด คือจะยกกำลังใจไล่ตามเขาได้เลย แล้วเสร็จแล้วมาทวนอีกสักครั้งสองครั้งก็ชำนาญ ไม่รู้พวกเรามีใครเป็นอย่างนี้บ้างไหม ?
อยากจะบอกว่า เรื่องนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการมีคู่มือชั้นดีในสมัยที่ยังไม่ได้บวช พอถึงเวลาทำอะไรได้ก็จะไปคุยกัน ไล่กันไปไล่กันมา แล้วท้ายที่สุดก็จะได้เท่ากัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 17:44 |
สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ถาม : ผมมีพระ อยากรู้ว่าแท้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถามอย่างนี้ปลอมหมด..! เพราะตัวเรายังขาดความมั่นใจ ต่อให้ได้ของแท้มาก็เท่ากับของปลอม ถาม : แท้จริง ๆ อยู่ที่ใจใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่...ถ้าไม่เชื่อมั่น ไม่ยึดมั่น มัวแต่ไปคิดว่าพระปลอม แล้วอีกกี่ชาติถึงจะได้ดี ขนาดทหารเขาออกรบ กำลังตีกันให้มั่วไปหมด ทีนี้ทำพระหล่น คว้ามาได้ก็ยัดใส่ปากใหม่ ที่ไหนได้กลายเป็นลูกเขียดไม่ใช่พระ เขียดที่โดนอมอยู่ในปากก็ดิ้นใหญ่ เขาก็มีกำลังใจ “หลวงพ่อไม่ต้องช่วย ผมไหว” ลุยกระจาย ตกลงอมลูกเขียดยังชนะเลย อย่าว่าแต่พระ..! ถ้าเรามั่นใจว่าพระพุทธคุณมีเต็มเปี่ยมอยู่ในทุกที่ทุกสถานแล้ว ไม่ต้องไปกังวล จะไปตัวเปล่าก็ยังไหว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 21-05-2012 เมื่อ 01:51 |
สมาชิก 242 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "แม่ชีสุอุตส่าห์ไปเรียนถักเชือกสร้างสมาธิกับพระทิเบต ท่านสอนมาว่า เรื่องของการทำวัตถุมงคลก็คือลักษณะอย่างนี้ ทำไปภาวนาไป เป็นการจับอิริยาบถและสัมปชัญญะ คนไม่รู้ก็ไปตำหนิว่านั่งทำอะไรกันทั้งวัน
หลวงปู่กินรีเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง หลวงปู่สอนให้ลูกศิษย์นั่งภาวนา นั่งภาวนาไปทั้งวัน แต่หลวงปู่กินรีไม่นั่งกับใครเลย ท่านไปกวาดวัด เย็บผ้า เหลาไม้กลด หลวงพ่อชาทนไม่ไหว “ไม่เห็นหลวงพ่อนั่งภาวนาบ้างเลย ให้แต่พวกผมภาวนา ?” หลวงปู่บอกว่า “คนฉลาดทำอะไรก็ภาวนาได้ แต่พวกคุณยังไม่ถนัดอย่างนั้น ต้องไปนั่งภาวนาอย่างเป็นทางการไปก่อน เมื่อคล่องตัวแล้วจะทำอะไรใส่สติลงไปด้วยก็เป็นการภาวนานั่นเอง” ต่อมาหลวงพ่อชาก็รำคาญใจอีกแล้ว หลวงปู่บอกให้ฉันอาหารอย่างช้า ๆ เคี้ยวอย่างมีสติ อย่าตกเป็นทาสของรสอาหาร แต่หลวงปู่กินรีจ้วงไม่ยั้ง หลวงพ่อชาก็อดรนทนไม่ได้ วันพระต่อไปก็ถาม “หลวงพ่อให้พวกผมฉันช้า ๆ ทำไมหลวงพ่อถึงฉันเร็ว ?” ท่านบอกว่า “คนขับรถเร็วแล้วปลอดภัยก็มี” จบเลย ของท่านอยู่ตัวแล้ว แต่พระใหม่ยังไม่อยู่ตัว ถ้าเผลอเมื่อไรจิตจะไปยินดีในรสอาหาร ต้องฉันช้า ๆ พยายามให้ใจเป็นอุเบกขา ได้รสที่ชอบก็ไม่ดีใจ ได้รสที่ไม่ชอบก็ไม่เสียใจ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 17:48 |
สมาชิก 238 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
มีโยมมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องแร่ที่เป็นส่วนผสมทอง พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ยังมีแร่เพรียงไฟอย่างเดียวที่ยังเป็นความลับอยู่ เพราะว่าอาตมาขุดหลายครั้งแล้วไม่เจอ สารปากนกแก้วเอาไปให้ทางวิทยาศรมพิสูจน์แล้วคือโปแตสเซียมไดโครเมต ทองแดงเถื่อนกับตะกั่วเถื่อนเป็นสารธรรมชาติ คาดว่าใช้ทองแดงบริสุทธิ์กับตะกั่วบริสุทธิ์น่าจะได้อยู่ ตะกั่วเถื่อนก็คือดีบุก
ตัวแร่เพรียงไฟคาดว่าน่าจะเป็นสารอะไรบางอย่าง ที่สามารถลดจุดหลอมเหลวของโลหะได้ เพราะสมัยโบราณเขาใช้หลอมด้วยกระทะใบบัว ถ้าเป็นทองแดงแท้ ๆ คาดว่ากระทะใบบัวคงจะละลายก่อน จุดที่อาตมาไป ถ้าว่ากันตามพิกัดทหาร เขาเรียกว่าเนิน ๕๕๑ คือเป็นเนินที่สูง ๕๕๑ เมตรพอดี แต่ว่าคงไม่ใช่วาระที่สมควร เพราะว่าอาตมาเองสอบวิชาแผนที่เข็มทิศได้ที่ ๑ แต่เดินขึ้นเนินผิด ๓ ครั้ง เหมือนอย่างกับโดนหลอกให้เดินหลงตลอด แร่เพรียงไฟที่ต้องการจึงยังหาไม่เจอ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 17:50 |
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
"เรื่องของทองคำ ไม่น่าเชื่อว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังแยกธาตุนี้ไม่ได้ แต่โบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุทำทองคำได้นานเนกาเลแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ทางสายวัดเขาอ้อที่พัทลุง มีใครสืบสายวิชาทองมหาสัตตโลหะอยู่หรือเปล่า ? นั่นคือทองคำที่เกิดจากเล่นแร่แปรธาตุจริง ๆ เขาใช้โลหะ ๗ อย่างผสมกันเป็นทอง
พอสิ้นหลวงปู่กลั่นแล้วอาตมาไม่ทราบว่าอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ได้รับการถ่ายทอดไว้หรือไม่ ? หลวงปู่กลั่นท่านบวชเมื่อตอนอายุมากแล้ว บวชตอน ๖๐ ปีแล้ว แต่ท่านอายุยืนอยู่จน ๙๓ ปี อาตมาไปที่นั่นก็ไปนั่งคุยกัน เคยได้วัตถุมงคลของท่านที่ทำด้วยทองมหาสัตตโลหะมา ๓ - ๔ องค์ คนอื่นเขาบูชาต่อไปหมด ถามท่านว่าทำไมไม่ประกาศไปตรง ๆ ว่าเป็นทอง ท่านว่าไม่ได้หรอก ของเราไม่ใช่ทองที่ร้านเขาขายกัน ตามสูตรทำทองของโบราณที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาเปิดเผยให้ทราบ เขาใช้ทองแดงเถื่อน ๑ ส่วน ตะกั่วเถื่อน ๑ ส่วน สารปากนกแก้ว ๑ ส่วน แร่เพรียงไฟ เศษ ๑ ส่วน ๔ ส่วน เอา ๓ อย่างแรกหลอมรวมกันไปก่อน แล้วเอาแร่เพรียงไฟค่อย ๆ ซัด คำว่าซัดของโบราณแปลว่าผสมทีละน้อย แล้วจะกลายเป็นทองคำ อาตมาพยายามหลายทีแล้ว แต่วาระคงยังมาไม่ถึง รู้ว่าทองแดงเถื่อนคืออะไร ตะกั่วเถื่อนคืออะไร สารปากนกแก้วคืออะไร แต่แร่เพรียงไฟขุด ๓ ครั้ง ก็ไม่เจอทั้ง ๓ ครั้ง ของที่วาระยังไม่ถึง เทวดาท่านต้องบังไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าลึกเมตรเดียว อาตมาจ้วงจนแทบจะมิดหัวแล้วยังไม่เจอ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 17:52 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่ไปร่วมงานฉลองพัดยศจะได้รับหนังสือปกิณกธรรม เล่ม ๓ จำนวน ๑ เล่ม มีพระนาคปรกลอยองค์ ฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี ๑ องค์ และกระเป๋ามีตราวัดกับเสาเสมาธรรมจักรที่ได้รับ น่าจะเป็นกระเป๋าใส่สตางค์เพราะใหญ่ประมาณธนบัตรใบละพัน ๑ ใบ ใครสละสิทธิ์ไม่ไปก็ได้นะ เดี๋ยวหลังงานจะเอาพระมาจำหน่ายแพง ๆ ต่อไป แต่ในงานแจกฟรี..!
สำหรับกระเป๋าเข้าพิธีเมื่อเสาร์ ๕ ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น..จึงแจกได้เต็มที่ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีแค่ ๑,๗๐๐ ใบ คนน่าจะไปวันนั้นสัก ๑,๐๐๐ คนเท่านั้นแหละ ถ้าไปเกินก็ต้องวัดดวงกันเอาเองว่าใครไปถึงก่อน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 17:54 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมาหนักใจมาก ที่หนักใจมากเพราะว่าหมอดูที่เชื่อถือได้ บอกว่าตอนนี้อาตมายังไม่ดังเลย จะมีดังมากกว่านี้อีก และจะดังยาวไป ๓๕ ปี นี่กะให้อาตมาอยู่ยัน ๙๐ เลยนะ แค่ปีนี้ก็อยากจะไปเต็มทีแล้ว นี่จะให้อยู่ยัน ๙๐ ปี..!
อาตมากำลังคิดว่าตัวเองไม่น่าจะอธิษฐานผิด อธิษฐานทุกครั้งก็ขอให้ในหลวงอยู่ถึงพระชนมายุ ๙๐ ปี ไม่ใช่ตัวเอง..เขาไปลงตัวเลขผิดบัญชีหรือเปล่า ? ขอให้ในหลวงอยู่ถึง ๙๐ ปี หมอดูดันมาดูดวงของอาตมาว่าจะดังยาวไปอีก ๓๕ ปี แบบเดียวกับครั้งที่อาตมาไปกวนพระองค์ที่ ๑๐ ขออนุญาตถ่ายรูปท่าน ท่านบอกว่า "ถ่ายไปแล้วจะอยู่ไปถึง ๑๒๐ ปีหรือ ?" อาตมาฟังก็เข้าใจว่ารูปนั้นจะอยู่ถึง ๑๒๐ หรือ ? จึงกราบเรียนว่า "ถ้าอย่างนั้นขอบารมีหลวงปู่ให้อยู่ถึงด้วยครับ" ท่านบอกว่า "เออ..จะเอาอย่างนั้นก็ได้" อาตมาก็ถ่ายรูปมา คนอื่นบอกว่า "พี่ไปรับปากท่านทำไมว่าจะอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ?" อาตมาบอกว่า "เฮ้ย..ไม่ใช่ ท่านหมายถึงรูป" เขาบอกว่าไม่ใช่ อาตมาก็แปลกใจกลับไปย้อนฟังเทปใหม่ เออ...มีเค้าจริง ๆ ว่า ที่ท่านว่าน่าหมายถึงตัวเองกระมัง ? เพราะฉะนั้น..บทที่ท่านจะใช้งานใคร ท่านหลอกจนโง่ไปเลย อาตมาก็เร่งวันเร่งคืน เมื่อไรจะตายสักที ลืมตาขึ้นมาวันไหนก็เฮ้อ..อีกแล้ว..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2012 เมื่อ 17:58 |
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยนี้เด็กไม่ค่อยกลัวพระ ตอนอาตมาเรียนอยู่ชั้น ป.๒ เจอพระยังวิ่งหนีอยู่เลย โดยเฉพาะพระธุดงค์ ผู้ใหญ่เขาชอบหลอกเด็กว่า ถ้าร้องไห้จะให้พระธุดงค์จับไปซะ..เด็กก็เลยกลัวพระ ยิ่งพระธุดงค์ใส่ชุดสีดำ ๆ ด้วย ยิ่งไปกันใหญ่
สมัยก่อนกลดของพระธุดงค์มีขนาดใหญ่มาก น่าจะถึง ๒ ๒.๕ เมตร กางลงไปก็เหมือนเต็นท์มหึมาดี ๆ นี่เอง เวลาปักกลดต้องขึงสายอัพโภกาส คือสายเชือก ปักกลดให้ว่าคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ขึงสายอัพโภกาสท่านให้ใช้คาถาตวาดป่าหิมพานต์ ถ้าทำด้วยกำลังใจมั่นคงจริง ๆ อันตรายจะเข้ามาในเขตนั้นไม่ได้ คือเราขึงเชือกกลดยาวถึงไหนก็กันได้แค่นั้น สำหรับพระธุดงค์ท่านปักกลดลงแล้วจะไม่ถอน ถึงแม้ตายลงไปก็ยอม ก็เลยมักจะโดนทดสอบกำลังใจ แต่ว่ามาสมัยหลัง ๆ เขาทุ่นแรงกันเยอะ ตอนที่หลวงพี่โอ หลวงพี่ยงยุทธออกธุดงค์ อาตมาแอบเห็นท่านเอากลดมาซุกเข้าพิธีพุทธาภิเษก ถึงเวลาอาตมาอยากรู้ว่าก้านกลดของพวกพี่เขาทำด้วยอะไร เป็นไม้ไผ่หรือก้านตาล จึงไปถาม "ขอดูหน่อยพี่..ก้านกลดทำด้วยอะไร ?" พอกางพรึ่บออกมา โอ้โห..ธงมหาพิชัยสงครามติดอยู่ที่กลดอีก ๑ ผืน เล่นประกันความเสี่ยง..(หัวเราะ)..อย่างนี้ไปที่ไหนก็ปลอดภัยแน่นอน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2014 เมื่อ 19:19 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "แมวตระกูลศุภลักษณ์สีจะออกทองแดง ถ้าหากว่าเป็นแมวสีสวาดจะเป็นสีเทาอมขาว บางคนเรียกสีควันบุหรี่ หรือสีกลีบบัวแห้ง
ปศุ เป็นภาษาบาลี แปลว่า สัตว์เลี้ยง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-05-2012 เมื่อ 18:20 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "เสียท่าไอ้วานร" รู้ไหมว่าไอ้วานรคือใคร ? วานรในที่นี้คือเห้งเจีย เห้งเจียมีนิสัยชอบปลอมตัวไปหลอกคนอื่น พอหลอกเสร็จคนที่ถูกหลอกก็บ่นว่า "เสียท่าไอ้วานรอีกแล้ว" เห้งเจียหลอกกระทั่งไท้เสียงเล่ากุน ถ้าว่ากันตามความเป็นจริง ไท้เสียงเล่ากุนคือท้าวสหัมบดีพรหม (หัวเราะ) จีนกลางเรียกไท่ซ่างเหล่าจวิน แต้จิ๋วเรียกไท้เสียงเล่ากุน"
ถาม : แล้วหลอกท่านได้จริงหรือคะ ? ตอบ : ยาก..ปิดบังท่านไม่ได้หรอก ต้องเป็นผู้ที่มีกำลังใจสูงกว่าเท่านั้นถึงจะปิดบังท่านได้ ซึ่งหาได้ยาก รับรองว่าในระดับโลกียะไม่มีหรอก เพราะท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นระดับอรหัตมรรค..(หัวเราะ)..เหลือแค่อีกนิดเดียวเท่านั้น ท่านปู่สหัมบดีพรหมเป็นคนดุ แต่ดุแบบคนเอาจริง ไม่ใช่ดุไปเรื่อยเปื่อย ถ้าลูก ๆ หลาน ๆ ตั้งใจทำอะไรจริงจัง ท่านจะสนับสนุนทุกอย่าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:31 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ชีว่า "บวชแล้วอย่านั่งท้าวพื้น เขาห้ามนักบวชนั่งท้าวพื้น พระพุทธเจ้าทรงเอากิริยามารยาทของบุคคลในรั้วในวัง มาสั่งสอนให้พระปฏิบัติ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของสารูป โภชนปฏิสังยุตต์ ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ และปกิณกะในส่วนของเสขิยวัตร ก็คือมารยาทของคนในรั้วในวัง ถ้าหากเราทำพวกนี้ได้ ก็จะดูงามสง่าน่าเลื่อมใส ถ้าหากว่าทำไม่ได้จะมีจริยาเหมือนขาดตกบกพร่อง คนเห็นจะไม่เลื่อมใส
ฉะนั้น..เรื่องของพระก็เลยจัดอยู่ในระดับเดียวกับบุคคลในรั้วในวัง เพราะว่ามีศัพท์เฉพาะของตน อย่างกินก็เรียกว่าฉัน เชิญก็เรียกว่านิมนต์" ถาม : แล้วแม่ชี ? ตอบ : แม่ชีจัดว่าเป็นนักบวชก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน อยู่ในมารยาทเดียวกัน ตอนนี้กำลังผลักดันให้แม่ชีมีฐานะเป็นนักบวชตามกฎหมายอยู่ ปกติแล้วถ้าแม่ชีไม่ได้สังกัดสถาบันแม่ชีไทย ก็จะถือบัตรประชาชน ไป ๆ มา ๆ พระเลยพลอยได้บัตรประชาชนไปด้วย ตอนนี้พระก็เลยตั้งใจช่วยแม่ชี พยายามช่วยผลักดันให้มีกฎหมายรับรองความเป็นนักบวชให้ จะได้สิทธิพิเศษและส่วนลดหลายอย่าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:33 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนมาแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสที่อาตมาจบปริญญาโท โดยถวายพระปิดตามาแล้ว ๗ องค์ ว่าจะให้เขาเอาไปออกประมูลงานกฐินปลดหนี้ในเว็บ ตอนนี้กำลังวางแผนจะให้ประมูลจีวรชุดรับปริญญา เพราะว่าตอนรับปริญญาตรีเขาบังคับให้พระนิสิตทุกรูปห่มจีวรสีเหลือง อาตมาก็ต้องเปลี่ยนไปห่มสีเหลือง
ปีนี้อาตมาจะเอาชุดเก่าห่มไปอีก ถ้ามหาวิทยาลัยถวายชุดใหม่มาก็ซุกใส่รถไปเลย ใส่ชุดเดิมตอนที่รับปริญญาตรีนั่นแหละ กลายเป็นว่าปริญญาตรีและปริญญาโทก็รับชุดนั้น เก็บไว้รับตอนปริญญาเอกแล้วค่อยประมูล (หัวเราะ) เขาเรียกวางแผนทำมาหากินระยะยาว อาตมาเรียนการจัดการไปแล้วนี่ เขามีแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ใช่ไหม ? นี่แผนเกิน ๓ ปีก็เรียกว่าแผนระยะยาว มีพระรูปหนึ่งจบปริญญาตรีการจัดการเชิงพุทธรุ่นแรก โดนส่งไปเป็นเจ้าอาวาสที่พิจิตร เจ้าประคุณเอ๋ย..วัดอยู่กลางทุ่งไม่พอ ยังมีวัดรอบ ๆ ข้างอีก ๒ - ๓ วัด ท่านเรียนการจัดการมาแล้ว ก็ไปดูว่าทำไมวัดนี้จึงร้าง แล้วอีก ๒ วัดรอบข้างจึงดัง ปรากฏว่าวัดหนึ่งดูหมอ อีกวัดหนึ่งใบ้หวย แล้วท่านจะเอาอะไรไปสู้เขา ท้ายสุดก็เลยใช้วิธีเผาศพฟรี เกือบจะโดนวัดข้าง ๆ ฆ่าตาย งานที่คนจะไปเยอะก็คืองานศพ ไม่ได้ไปเพราะเกี่ยวกับญาติอะไรกันหรอก จะไปเล่นการพนัน ตำรวจมักจะผ่อนผันให้ เขาถือว่ามาเล่นการพนันเพื่ออยู่เฝ้าเป็นเพื่อนศพ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:35 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการยึดถือตัวกูของกู บางทีมันก็คือตัวภูมิใจ ภาษาฝรั่งเรียกว่าอีโก้ บาลีเรียกว่าอัตตา ในเมื่อตัวกูของกู อะไร ๆ ก็กูดีหมด
อย่างเรื่องที่ชาวบ้านสองคนออกไปหาของป่าด้วยกัน พอเดินไปถึงท้ายหมู่บ้านคนหนึ่งก็บ่นว่า "ไอ้ห่..เอ๊ย ใครมาขี้แถวนี้วะ เหม็นฉิ..หายเลย" ปรากฏว่าเป็นขี้ของคนที่ไปด้วยกันแหละ เขาก็ด่าคืน "มึงว่าขี้กูเหม็นหรือวะ ?" ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ชักมีดที่พกไปใช้หาของป่ามาจ้วงแทงกัน ขนาดขี้ทิ้งไว้เป็นวันแล้วนะ ยังเป็นขี้ของกูอยู่เลย ขนาดขี้ยังเป็นของกู แล้วเรื่องอื่นจะไปเหลือหรือ ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:35 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ช้างป่ากับช้างบ้านขนาดตัวต่างกันลิบลับ เพราะว่าสัตว์ที่เลี้ยงตามบ้านมีข้อเสียอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือ การผสมพันธุ์สายเลือดชิด ทำให้แคระแกร็นลงไปเรื่อย เพราะว่าไม่มีตัวอื่นให้ผสม อย่างที่สองคือ ช้างกินอาหารมากวันละประมาณ ๓๐๐ กิโลกรัม แล้วชาวบ้านจะเอาอะไรไปเลี้ยงมากมายขนาดนั้น ช้างบ้านจึงไม่เคยกินอิ่มเลย ยิ่งแกร็นเข้าไปใหญ่
ครั้งแรกที่อาตมาไปเจอช้างในป่า ยังตกใจว่าใช่ช้างหรือเปล่า ในความคิดของอาตมาคิดว่าช้างบ้านใหญ่สุด ใช่ไหม ? ที่ไหนได้พอไปเทียบแล้วแค่รุ่นลูก ๆ ของช้างป่าเท่านั้นเอง อาตมาสูง ๑๗๒ เซนติเมตร บวกกับด้ามกลดอีกอันหนึ่ง เพิ่งจะเอื้อมแตะรอยขี้โคลนที่ช้างเอาสีข้างไปถูต้นไม้ไว้ ต้นไม้โตประมาณ ๒ คนโอบ เปลือกไม้หลุดเป็นแผงเลย แค่ช้างถูต้นไม้แก้คัน ถ้าไม่ได้คันแต่วิ่งชนเข้าจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น..?!! ในชีวิตนี้อาตมารอดูสัตว์อยู่ ๒ ชนิด อยากจะเห็นคาตา เพราะไม่เคยเห็นในธรรมชาติก็คือ แรดกับสมเสร็จ หลายคนเชื่อว่าแรดสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ได้ข่าวอยู่เรื่อย ๆ ว่า บริเวณรอยต่อไทย - พม่า ยังมีแรดข้ามไปข้ามมา สมเสร็จยังมีอยู่มากแต่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าดงดิบลึก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:37 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "มีซินแสดูว่าอาตมาเกิดธาตุไม้ แต่เป็นธาตุไม้ช่วงที่ร้อนจัดที่สุด ก็เลยอ้วนไม่ได้สักที เพราะเป็นไม้ที่ขาดน้ำ เขาบอกว่าต้องรอให้ถึงอายุ ๖๐ ปี รอบธาตุเวียนมาบรรจบใหม่ ธาตุน้ำมาถึงจะอ้วน
เขาว่าตอนอายุ ๖๐ ปีไปแล้ว ต่อให้ไม่กินอะไร นั่งเฉย ๆ ก็อ้วน อาตมากำลังรออยู่ ระยะนี้ได้แต่รำพึง "ต้องมีสักวัน..ต้องมีสักวัน ตูต้องอ้วนให้ได้"..(หัวเราะ).."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:38 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ชีเคิ่ลว่า "เกิดมาไม่เคยทำให้หนุ่ม ๆ น้ำตาร่วง แต่มาทำให้แม่น้ำตาร่วงไปแล้ว..(หัวเราะ)..
ถ้าหากว่าตัดใจในลักษณะนั้นได้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรที่ตัดไม่ได้ เพราะข้อสอบจะมาเบากว่านั้น เรารับศึกหนักมาแล้ว สงคราม ๙ ทัพรับมาแล้ว อย่างอื่นจึงเป็นเรื่องเล็ก ต่อไปก็เหลือแค่พยายามลดทิฐิมานะ ตัวกู ของกู กูดีกว่า กำลังใจกูสูงกว่า กูเรียนมาเยอะกว่า มีสารพัดที่จะมาเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลผู้อดทนต่อคำพูดของคนที่เลวกว่าได้ นับว่าเป็นสุดยอดของความอดทน อักโกสกพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนพราหมณ์..ญาติสาโลหิตสนิทมิตรสหายที่มาหาท่านมีอยู่บ้างหรือไม่ ?" อักโกสกพราหมณ์บอกว่า "ย่อมมีอยู่แล้ว เพราะเราไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ "ท่านจัดขาทนียะ โภชนียะ น้ำใช้น้ำดื่มให้แก่พวกเขาทั้งหลายหรือเปล่า ?" อักโกสกพราหมณ์บอกว่า "ย่อมจัดให้ เพราะเป็นธรรมเนียมในการต้อนรับ" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า "ถ้าเขาเหล่านั้นไม่รับไว้ สิ่งของเหล่านั้นจะเป็นของใคร ?" อักโกสกพราหมณ์ตอบว่า "ย่อมเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม" "เช่นกันพราหมณ์ ในเมื่อท่านด่าเรา เราไม่รับไว้ คำด่าทั้งหลายก็ย่อมเป็นของท่าน" ต้องบอกว่าคนอินเดียเก่งนะ ได้ฟังแค่นั้นก็ได้สติเลย อักโกสกพราหมณ์กราบพระพุทธเจ้างาม ๆ ๓ ครั้ง "สมณะ..คำพูดของท่านเป็นภาษิตเหลือเกิน เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนตามประทีปในความมืด" ทุกวันนี้คนอินเดียก็ยังมีนิสัยแบบนั้น สามารถเถียงกันได้เป็นวันเป็นคืน ผลักกันไปผลักกันมา แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกันจริง ๆ เพราะเขาชนะกันด้วยโวหารมากกว่า แต่ถ้าไปเจอคนไทยเข้าละก็..ทิ้งตูมหงายท้องตีนชี้ฟ้าไปเลย คนอินเดียเขาไม่ได้รุนแรงอย่างนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:41 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
"เรื่องนี้ต้องถามท่านอาจารย์วศิน (ผศ.ดร.วศิน กาญจนวณิชย์กุล) ท่านไปเรียนด็อกเตอร์ที่มหาวิทยาลัยปูนา ประเทศอินเดีย คราวนี้ท่านเผลอสูบบุหรี่ให้เขาเห็น ท่านลืมไปว่าทางอินเดียหรือลังการังเกียจพระสูบบุหรี่มาก พระสูบบุหรี่ในสายตาเขาเหมือนกับอาบัติปาราชิก เขาถือว่าท่านเป็นนักบวช เป็นผู้ละกิเลส แล้วทำไมยังติดของเหล่านี้อีก
แขกเหล่านั้นไม่โวยวายเปล่า กระชากบุหรี่ของท่านอาจารย์วศินทิ้งเลย ท่านอาจารย์วศินก็ทิ้งตูมด้วยกำปั้น (หัวเราะ) อาตมาถามว่า "แล้วท่านอาจารย์ทำอย่างไรต่อครับ ?" ท่านตอบว่า "ก็เผ่นสิครับ อยู่ได้ที่ไหน ตัวผมใหญ่ไม่ได้ครึ่งของเขา แล้วเล่นมากันเป็นฝูง..!" ปกติแต่งตัวแบบพระเขาถือว่าเป็นจันฑาล เป็นกาลกิณี แต่ท่านอาจารย์วศินไปแล้วเขาถือว่าอยู่ในวรรณะสูง เพราะท่านนามสกุลกาญจนวณิชย์กุล วานิช = พ่อค้า เป็นวรรณะแพศย์ ไม่ใช่จันฑาล ไวศยะหรือพวกแพศย์เป็นตระกูลพวกพ่อค้า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:43 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกวินาทีคือการฝึกฝนตนเอง โดยเฉพาะความอดทนอดกลั้น อย่าลืมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ ประโยคแรกเลย ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ความอดทนเป็นตบะ (เครื่องเผากิเลส) อย่างยิ่ง (ของนักปฏิบัติ)"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:44 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "นิกายเรืองโรจน์ หรือที่เขาเรียกว่านิกายแสงสว่าง หรือนิกายอสูร ในเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศนั้น จริง ๆ นิกายนี้ถือศีลกินเจเลยนะ แต่พอเผยแพร่เข้ามาแล้วกลับไปสนับสนุนการช่วงชิงราชบัลลังก์
สมัยก่อนบรรดาศาสนาต่าง ๆ เมื่อเข้าไปในพื้นที่ไหน ต้องเข้าไปครอบงำหรือยึดครองผู้นำให้ได้ เพราะถ้าผู้นำนับถือศาสนาแล้ว สั่งคำเดียวผู้อื่นก็ต้องตามทั้งหมด แต่พอแพ้ขึ้นมาก็เลยถูกตราหน้าว่าเป็นนิกายอสูร ไม่ว่าไปที่ไหนก็ถูกไล่กวาดล้างไปตลอด ทำชั่วครั้งเดียวกลายเป็นชั่วตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสได้แก้ไขเลย ปัจจุบันศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดู รู้ไหมว่าทำไมถึงเปลี่ยนไปเป็นศาสนาฮินดู ? เพราะว่านิกายที่คนนับถือมากไม่ได้นับถือพระพรหมเป็นใหญ่อีกแล้ว พราหมณะ แปลว่า เชื้อสายของพรหม ตอนหลังเขาแตกนิกายไปเป็นไวษณพนิกาย ถือพระวิษณุเป็นใหญ่ แตกไปเป็นไศวนิกาย ถือพระศิวะเป็นใหญ่ ตอนหลังแตกนิกายไปนับถือเทพองค์อื่น ๆ เช่น พระพิฆเนศ เจ้าแม่กาลี ถ้ายังใช้ว่าศาสนาพราหมณ์อยู่ก็จะไม่ครอบคลุม เพราะเขาไม่ได้ถือพรหมเป็นใหญ่แล้ว เรื่องของการแตกนิกาย ก็คือ พอผู้นำนิกายไหนขึ้นมาก็จะยกองค์นั้นเป็นใหญ่ ทำให้เขาเปลี่ยนจากคำว่าพราหมณ์ ที่แปลว่าเชื้อสายของพรหมมาเป็นฮินดู คำว่าฮินดูนี่คนไทยออกเสียงนะ ความจริงมาจากคำว่าสินธุ จริง ๆ ก็คือสินธู คนไทยออกเสียงเป็นฮินดู"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2012 เมื่อ 17:50 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|