|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อประมาณ ๑๐ ปีก่อน มีเด็กจมน้ำตายหลังวัด อายุประมาณ ๑๒-๑๓ ขวบเอง ที่จมน้ำตายเพราะพ่อไปช่วย น้ำตอนนั้นแรงมาก บริษัทท่องเที่ยวก็ดันปล่อยให้เขาล่องเรือแคนูกัน คราวนี้พอกระแสน้ำแรงเอาไม่อยู่ ก็พุ่งชนเสาสะพานหลังวัด เรือแคนูพลิกคว่ำ เด็กพลาดตกจากเรือ พ่อเอื้อมมือคว้า ดันไปจับถูกเสื้อชูชีพแล้วดึงหลุดมาทั้งตัว ถ้าเสื้อชูชีพไม่หลุดเด็กจะไม่เป็นอะไร
คนเราจะถึงที่อย่างไรก็ตาย อาตมาพาพระพาเณรไปช่วยกันงมเป็นวันเป็นคืน ก็หาไม่เจอ เพราะผีไม่ยอมให้ เลยไปยืมปืนชาตรีส่งให้ "น้าวัฒน์" ไป บอกให้หันไปห่าง ๆ ตรงนั้นหน่อย เดี๋ยวศพเป็นรูแล้วจะซวย พอซัดตูมลงไปผีเผ่นกระเจิง ทีนี้งมได้ ไม่อย่างนั้นงมเท่าไรก็หาศพไม่เจอ อยู่ตรงนั้นแหละ พระเณรลุยผ่านกี่รอบ ๆ ก็หาไม่เจอ เพราะผีบังเอาไว้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-11-2011 เมื่อ 17:41 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ถาม : กุมารทอง ?
ตอบ : กุมารทองมีเป็นปกติ จริง ๆ แล้วถ้าเป็นวิชาที่เขาอาราธนาบารมีพระสงเคราะห์ กุมารทองก็จะเป็นเทวดา แต่ถ้าหากเป็นวิชาทางไสยศาสตร์ก็จะได้กุมารทองที่เป็นผีไปเลย ถ้าเป็นกุมารทองที่เป็นเทวดา เวลาสนุกเขาจะมาชวนเด็ก ๆ เล่นด้วยกัน แต่อย่างหลังที่เป็นผีนี่จะกวน ไม่ได้อย่างใจก็จะอาละวาดอีกต่างหาก กุมารทองรายล่าสุดที่ทำแล้วได้ผลคือ กุมารทองของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม แต่ท่านยืนยันว่าท่านเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว ก็แสดงว่าท่านขอบารมีพระให้เทวดาท่านสงเคราะห์ ถาม : ถือว่าเป็นวัตถุมงคลหรือไม่ครับ ? ตอบ : ถือว่าเป็นวัตถุมงคลนั่นแหละ แต่จัดอยู่ในประเภทเครื่องราง ถาม :เทวดาที่มาประจำต้องดูแลในลักษณะไหนครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องของลาภผล สงเคราะห์ในเรื่องของการทำมาหากิน ลาภผลเงินทอง แสดงว่าอย่างน้อย ๆ บารมีเก่าของท่านต้องมาในด้านทานบารมี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2011 เมื่อ 16:09 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น คุณยายอายุ ๘๐ กว่าปีกับหลานชายอายุ ๑๗ ติดอยู่ในบ้าน ภายในบ้านนั้นมีอาหารอยู่ในครัว พอ ๕ วันให้หลังหน่วยกู้ภัยไปเอายายและหลานออกมาได้ คุณยายอายุ ๘๐ กว่ายังเดินได้ แต่หลานอายุ ๑๗ ปี หน่วยกู้ภัยต้องหามออกมา..!
สภาพจิตใจของหลานชายที่โดนภัยพิบัติรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ส่วนคุณยายเคยผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาแล้ว แกรู้ว่าเรื่องร้ายแบบนี้เดี๋ยวก็ผ่านไป เพราะฉะนั้น..คุณยายอายุ ๘๐ กว่าปีกำลังใจยังดีอยู่ ถึงเวลาเดินออกมาได้เพราะไม่ได้ขาดอาหาร แต่หลานต้องให้หน่วยกู้ภัยหามออกมา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เรื่องของกำลังใจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดูตัวอย่างคนงานที่ติดอยู่ในเหมืองใต้ดินที่ชิลี แต่ละคนหาเกมมาเล่น กินอาหารกันวันละ ๒ ช้อนเท่านั้น แต่เขามีความหวังว่าอย่างไรก็ต้องออกไปได้ ท้ายสุดเขาก็เจาะช่องเอาแคปซูลหย่อนลงไปรับออกมาได้ ถ้าหากว่าใจไม่สิ้นหวัง มโนสัญเจตนาหารมั่นคง โอกาสที่จะรอดก็มีสูงกว่าคนอื่นเขา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2011 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
ถาม : เรื่องศีลข้อกาเมฯ ครับ ถ้าสามีข่มขืนภรรยาจะผิดไหมครับ?
ตอบ : ถึงขนาดข่มขืนเลยหรือ..?!? ถ้าเป็นสามีภรรยากันก็ไม่ถือว่าผิด แต่เป็นการทำร้ายจิตใจกันจนเกินไป ถาม : แล้วถ้าตอนนั้นเขาถือศีล ๘ อยู่ ? ตอบ : ถ้าลักษณะนั้นความซวยจะมาเยือน ไม่ได้ผิดศีลข้อกาเมฯ แต่เป็นการละเมิดผู้ที่กำลังประพฤติพรหมจรรย์ จะเจอลักษณะเดียวกับนกแสกที่บินผ่านพระมหาโมคคัลลานะที่กำลังเข้าสมาบัติอยู่ นกแสกแหกปากร้องขู่ จนป่านนี้ยังอยู่ในนรกเลย..! ไม่รู้จะหวงที่อะไรขนาดนั้น พระเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ไปยุ่งอะไรด้วยสักหน่อย ถาม : เป็นเรื่องในชาติที่แล้วครับ ตอบ : เรื่องอดีตชาติอย่าเอามาปะปนกับปัจจุบัน ต่อให้คุณรู้จริงแค่ไหนก็ต้องมีสติว่านี่คือปัจจุบัน เรื่องที่เป็นอดีตผ่านไปแล้วไม่ต้องไปใส่ใจ อันไหนที่เป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ก็ทำให้เขาไป ถ้าทำทดแทนกันไม่ได้ เขาไม่อโหสิกรรม ไม่เลิกจองเวร ก็ปล่อยให้เขาจองไป เราอย่าไปจองด้วยก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2011 เมื่อ 10:12 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ญาติโยมพอน้ำท่วมก็เครียด ไม่มีอารมณ์ที่จะปฏิบัติกรรมฐาน พอเรายิ่งเครียดกำลังใจยิ่งตกง่าย ก็แปลว่าพอกำลังใจตก คราวนี้จะตีคืนได้ยาก
สำหรับนักปฏิบัติแล้ว ในส่วนที่ถือว่าน่ากลัวก็คือการที่กำลังใจตก กำลังใจตกสำคัญที่สุดก็เพราะเหตุที่สมาธิตก เพราะฉะนั้น..สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องประคองสมาธิให้นานที่สุด ถ้าไม่ได้คล่องตัวถึงขนาดจะเข้าฌานเมื่อไรก็ได้ โอกาสที่จะกำลังใจตกมีสูงมากเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่บางทีคนเราพอฟังครูบาอาจารย์พูดเข้า ก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว เหมือนกับผ่านหูไปเฉย ๆ เพราะกำลังใจของเราไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้น เมื่อผ่านหูไปเฉย ๆ ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ถึงเวลาก็ทำให้กำลังใจตกอีก จนกว่าจะตกแล้วตกเล่า ตกจนเข็ด คราวนี้ก็เริ่มจะคิดหาช่องทางว่าจะทำอย่างไรถึงจะรักษากำลังใจไม่ให้ตก หลังจากนั้น ถึงจะหาวิธีประคับประคองอย่างไรจึงจะรักษากำลังใจเอาไว้ได้ แรก ๆ ก็ได้เดี๋ยวเดียวแล้วก็ตกอีก แต่พอหมั่นทำบ่อย ๆ เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ก็จะตกช้าลงไปเรื่อย ๆ ระยะเวลาก็ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนท้ายสุดก็อยู่ได้เป็นเดือนเป็นปี แต่พอเผลอก็ตกอีก ถ้าหากว่าถึงเวลาอยู่ได้เป็นเดือนเป็นปีแสดงว่าตกมาจนเข็ดแล้ว รู้วิธีรักษาอารมณ์แล้ว แต่ถ้าไปเผลอขาดสติเข้าก็ทำให้กำลังใจตกลงได้อีก ดังนั้น จงอย่าเชื่อว่าตัวเองดีแล้วเป็นอันขาด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-11-2011 เมื่อ 19:22 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเมืองไทยมีจระเข้มากเป็นปกติ ช่วงประมาณรัชกาลที่ ๗-๘ ทางการปล่อยให้คนญวนมาล่าจระเข้ พอสมัยต้นรัชกาลที่ ๙ คนญวนก็ยังล่าจระเข้อยู่ อย่างจระเข้ที่บึงบอระเพ็ด โดนคนญวนกวาดจนเกลี้ยงเลย
เขาบอกว่าคนญวนไม่กลัวจระเข้ ถ้าพายเรือไปเห็นจระเข้มาก็พุ่งเข้าล็อกเลย จระเข้เป็นสัตว์ที่ถอดใจง่ายที่สุด สัตว์ทุกชนิดพอเจอสัตว์อื่นที่แข็งแรงกว่ามักจะยอมแพ้ อย่างที่เราเห็นว่าตัวเงินตัวทอง ๒ ตัวกอดกันอยู่ จริง ๆ นั่นเขากำลังสู้กัน ผลักกันไปผลักกันมา ถ้าตัวไหนแข็งแรงกว่า อีกตัวจะยอมแพ้แล้วหนีไปให้พ้นเขต ไม่ใช่กอดกันเพราะดีใจได้เจอเพื่อน ถ้าคนญวนจับจระเข้ เขาจะกระโดดไปเกาะหลัง เสร็จแล้วเอาเท้ารัดช่วงขาหลัง เอาแขนรัดขาหน้า แล้วกลั้นหายใจ จระเข้ก็พลิกซ้ายพลิกขวาไปเรื่อย พอพลิกไป ๗-๘ รอบ เห็นว่าสะบัดไม่หลุด ก็จะยอมแพ้ ลอยนิ่ง ๆ ให้จับ แล้วเวลาจระเข้งับปากลง แรงงับจะมาก แต่จะไม่มีแรงอ้าปากขึ้น เพราะฉะนั้น..แค่เอาเทปมาพันปากไว้ก็ได้แล้ว จระเข้จะอ้าปากไม่ขึ้น เพราะมีแต่กำลังตอนงับลง แต่ไม่มีกำลังตอนอ้าปากขึ้น ถ้าในน้ำลึกเราไม่ต้องกลัวจระเข้ แต่ถ้าครึ่งบกครึ่งน้ำจะน่ากลัวมาก เพราะจระเข้จะพลิกตัวกลับตัวได้เร็วมาก แต่ถ้าอยู่ในน้ำลึกจระเข้จะกลับตัวไม่ทัน เพราะไม่มีที่ให้เท้าหยั่ง จะต้องใช้หางว่ายแล้วตะแคงตัวเพื่ออ้าปากกัดเรา แบบนี้ไม่ทันกิน คนญวนรู้ก็เลยไม่กลัว พอล็อกจระเข้ได้ เห็นว่าสลัดไม่หลุดจระเข้ก็ยอมแพ้ โดนคนญวนถลกหนังไปขายหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2011 เมื่อ 16:41 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
"จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ "เจ้าไมค์" อยู่ที่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ แต่ถ้าเจ้าพ่อแห่งทุ่งพลายงามที่ปราณบุรียังอยู่ น่าจะเป็นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นจระเข้ที่อยู่มานานจนโคตรฉลาดเลย เวลาเขาเดินอยู่กลางป่าที่เป็นทุ่ง ลักษณะโหย่ง ๆ เหมือนรถจี๊ปกำลังเคลื่อนที่ แต่พอเราไล่ตามไป พรวดเดียวเขาก็ลงน้ำก็หายจ้อยไปแล้ว ชาวบ้านเรียกว่า "ไอ้จ้าว" หรือไม่ก็ "เจ้าพ่อ" (เจ้าพ่อแห่งทุ่งพลายงาม) ตัวใหญ่ขนาดที่คนยืนคนละฟากของรอย ส่งปืนยาวให้กันยังเอื้อมไม่ถึง ข่าวนี้หลายสิบปีแล้ว ระยะหลังคนมากขึ้น เขาก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีก แต่ยังไม่ได้ข่าวว่าตาย
ส่วนจระเข้ยักษ์ที่กำแพงเพชรนั่น ครูน้อย อินทนนท์ยิงตาย โดนยิงด้วยไรเฟิลแฝด อัดเข้าไปสองนัด เพราะลากวัวควายชาวบ้านไปกินหลายตัว ครูน้อย อินทนนท์ มีดวงในการล่าสัตว์มาก ครูน้อยยิงควายป่าได้ทั้งที่อยู่ห่างจากบ้านไปนิดเดียว พรานนำทางยืนยันว่าเป็นควายป่า ครูน้อยยังลังเลว่าเป็นควายชาวบ้านหรือเปล่า เพราะว่าเดินพ้นหมู่บ้านไปนิดเดียวก็เจอแล้ว แล้วก็ซัดตูมเข้าให้ หงายผลึ่งตายสนิท ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลย จระเข้ตัวนั้นก็เหมือนกัน คนอื่นไปซุ่มยิงก็เหมือนกับมีผีสิงมาบอกจระเข้ให้หลบได้ทุกที ครูน้อยไปนั่งซุ่มอยู่พักเดียวก็เสือกหัวพรวดขึ้นมานอนอาบแดด โดนเข้าไปสองนัดพลิกหงายท้อง ต้องบอกว่าคนมีดวงในการล่า ก็คงจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อน แต่จระเข้ตัวนั้นใหญ่ขนาดเรือจ้าง เป็นพวกเราต่อให้อยู่ไกล ๆ ก็น่าจะมือสั่นเหมือนกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-11-2011 เมื่อ 05:16 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"เคยได้ยินเสียงจระเข้ร้องไหม ? คล้าย ๆ กับเสียงวัว เวลาเราเข้าป่า เสียงสัตว์บางชนิดถ้าเราไม่เคยได้ยินก็จะคิดว่าเป็นผี เช่น เสียงบ่างเวลาร้องอย่างกับเสียงผู้หญิงโหยหวนกลางป่า อย่างแมลงบางประเภทเสียงดังประหลาด อยู่ ๆ ก็แซ่สนั่นมารอบข้าง เราไม่เห็นตัวก็นึกว่าผี
คนเดินป่าต้องมีใจคอที่เข้มแข็ง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยึด จะได้ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นอาถรรพ์ป่าจะครอบเอาได้ง่าย ถ้าอาถรรพ์ป่าครอบได้จะทำให้ขาดสติ บางทีก็จะหลงป่าจนตายได้ จึงต้องใจคอเข้มแข็ง มีความมั่นใจ บางรายก็มีคาถาดี มีอาวุธดี บางรายก็พกมีดหมอครูบาอาจารย์เข้าไป ตอนนี้แม่ชีกุ๋ยมีพระขรรค์โสฬสเป็นที่พึ่ง ความที่คิดว่าวัตรปฏิบัติของตัวเองดีกว่าคนอื่น ทำให้ผีชอบมาลอง ต่อให้ไม่ได้คิดจะอวดใคร แต่พอเห็นว่าเราทำได้ดี ภูมิใจตัวเอง ผีเขาก็เอาแล้ว อยากดูว่าจะเก่งสักแค่ไหนเชียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2011 เมื่อ 16:49 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าพระสงฆ์มี ๔ รูปในวัด จะรับกฐินได้ไหมครับ ? ถ้าไปนิมนต์พระอื่นมาเพิ่ม จะมีผลกฐินครบถ้วนไหมครับ ?
ตอบ : ได้..อานิสงส์ครบถ้วนทุกอย่าง พระพุทธเจ้าอนุญาตว่าให้นิมนต์สงฆ์มาเป็นคณปูรกะ ก็คือให้เต็มคณะสงฆ์ได้ แต่ระบุไว้ชัดเลยว่าพระที่นิมนต์มาจะไม่มีส่วนในกองกฐิน ก็แปลว่ามาด้วยใจจริง ๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วยเลย ถ้าเป็นอาตมาจะควักกระเป๋าเอาเงินส่วนตัวช่วยค่ารถท่านไป เพราะท่านอุตส่าห์มาช่วยทั้งที ภาษาบาลีใช้คำว่าคณปูรกะ คือมาให้เต็มคณะสงฆ์คือมา ๔ รูป รวมเจ้าของวัดแล้วเป็น ๕ รูปก็รับกฐินได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2011 เมื่อ 18:08 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงการแจกของแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมว่า "ความช่วยเหลือไปถึงเร็วเท่าไรก็บรรเทาความเดือดร้อนได้เร็วเท่านั้น ส่งถึงมือเขาเร็วเท่าไรเขาก็เดือดร้อนน้อยลงเท่านั้น บางคนอดข้าวตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ถ้าเราไปถึงค่ำเขาก็เป็นลมแล้ว ดังนั้นควรที่จะออกไปช่วยเขาให้เช้าที่สุดเท่าที่เราจะทำได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2011 เมื่อ 18:08 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอน้ำท่วมแล้วมีสิ่งที่ดีมากอยู่หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะนักปฏิบัติจะเห็นชัดเลยว่ามีส่วนเกินในชีวิตเยอะมาก ที่เขาบอกว่าให้เก็บของมีค่าขึ้นที่สูง มาดูกันจริง ๆ จะเห็นของที่เราเก็บเอาไว้เสียเต็มบ้านเต็มช่องนั้น มีแต่ส่วนเกินแทบทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..น้ำท่วมครั้งนี้ก็ทำให้คนกรุงเทพฯ หรือว่าญาติโยมที่อาศัยในกรุงเทพฯ ได้พิจารณาดูว่า ตัวเองมีอะไรเป็นส่วนเกินบ้าง
มีโยมอยู่คนหนึ่งอยู่แถวรังสิต มีบ้านอยู่ ๓ หลัง เขาบอกว่าต้องขายทิ้งไป ๒ หลัง เขารู้แล้วว่าพอน้ำท่วมแล้วเป็นภาระ ดูแลไม่ทั่วถึง ไม่ว่าจะกั้นขนาดไหนสุดท้ายก็ท่วม ข้าวของอะไรที่เห็นว่าเกะกะบ้าน หลังน้ำท่วมก็ถือโอกาสชำระสะสาง ถ้ารู้สึกว่าว่ามีมากเกินไปก็ใช้วิธีเรียกรถขายของเก่ามาจัดการให้ พอเราดูไป ก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วของที่จำเป็นต่อชีวิตของเราตอนนี้คืออาหาร ที่อยู่อาศัยมีกันทุกคน ไม่ว่าจะเช่าหรือเป็นของตัว เครื่องนุ่งห่มบางคนใส่เป็นปีก็ยังไม่รู้ว่าจะใส่ครบทุกชุดหรือเปล่า ? ยารักษาโรคซื้อครั้งหนึ่งเก็บได้ ๔ ปี เพราะอายุยาเป็นอย่างนั้นเป็นปกติอยู่แล้ว ตอนนี้ที่ขาดแคลนอยู่จริง ๆ คืออาหาร ก็แปลว่าของที่บ้านเราก็เป็นส่วนเกินกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณผู้ชายบางคนก็มีภรรยาเป็นส่วนเกิน ก็ถือโอกาสลอยน้ำไปซะ ที่รักจ๋า..รูปร่างหน้าตาเธอก็ยังดี ปีนี้เป็นนางนพมาศหน่อยนะ ว่าแล้วก็ใส่กระทงลอยไปเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2011 เมื่อ 18:10 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
"พอถึงเวลาแล้วเราก็ไม่อาจจะดูแลทุกอย่างได้ทั่วถึง ของบางอย่างเก็บแล้วเก็บอีก เก็บจนกระทั่งฝุ่นจับหนาเป็นนิ้วยังไม่เอามาดูเลยว่านั่นคืออะไร บางบ้านออกไปเดินซื้อของได้ทุกวัน ซื้อมาแล้วก็วางกองไว้ ขอให้ได้ซื้อก็พอแต่ไม่ได้ใช้ เราก็ถือโอกาสตอนที่คนอื่นเดือดร้อน มีอะไรพอที่ช่วยเหลือคนอื่นเขาได้ก็สละออกเสีย ตัวจะได้เบา
สมัยอาตมาเป็นฆราวาส มีแค่เป้ใบเดียวเท่านั้น มีเสื้อผ้าอยู่ข้างใน ๒ ชุด ติดตัวอีก ๑ ชุด ไปได้ทั่วโลกเลย ของใช้จำเป็นนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟันไม่ต้องกังวล ไปที่ไหนก็มีขาย แต่สมัยนั้นจะเก็บเงินสำรองไว้ ๑,๐๐๐ บาท ติดตัวไว้ เป็นธนบัตร ๕๐๐ บาทสองใบพับให้เล็ก ใส่ไว้ในกรอบพระสเตนเลส หลวงพ่ออยู่ข้างหน้า เงินอยู่ข้างหลัง คนไม่เห็นหรอก โจรปล้นอย่างไรก็ไม่เอาหรอกสร้อยสแตนเลส ถ้าเอาออกมาใช้ก็ต้องรีบใส่คืนเพราะเป็นเงินสำรอง เผื่อไปตกรถอยู่สุดเหนือสุดใต้อย่างไรก็กลับบ้านได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-11-2011 เมื่อ 18:48 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "เวลาพระทำผิด โดยเฉพาะพระที่มาจากที่อื่นแล้วมาทำผิดในพื้นที่ อาตมาจับได้จะเปิดทางให้เขากว้างมากเลย คือ ถามว่าจะสึกหรือจะติดคุก ? ถ้าหากคุณจะติดคุกอาตมาจะแจ้งความ แต่ถ้าคุณจะสึกจะทำพิธีสึกให้ ก็เห็นว่าเลือกสึกกันทั้งนั้น"
ถาม : มีพระทำความผิดด้วยหรือคะ ? ตอบ : อย่างเช่นขโมยของ เอาไปทั้งกระเป๋าเลย เป็นพระอาคันตุกะมาจากที่อื่น มาขออาศัยอยู่กับเราแล้วมาขโมยของ พระที่อยู่วัดเราจะไม่ทำแบบนี้ อย่างสามเณรทีทีที่วัดท่ามะขาม รายนี้แสบมาก..ขโมยทุกอย่างที่ขวางหน้า พอพระจับได้ซึ่ง ๆ หน้า สามเณรก็บอกว่าไม่ได้เอา เขาก็เลยทำอะไรกันไม่ได้ เพราะเด็กปากแข็ง แล้วเจ้าอาวาสก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะแม่เขาเป็นขาใหญ่สนับสนุนวัดอยู่ ท่านก็เลยเกรงใจ แต่อาตมาไม่เกรงใจ ทุกคนจับทีทีมา ทีทีไม่รับสักคน วันนั้นพระครูอ้ำบอกว่า "อาจารย์เล็ก..ช่วยผมหน่อยนะ ถ้าวันนี้จับทีทีสึกไม่ได้ อ้ำจะสึกเอง..!" แสดงว่าอัดอั้นตันใจเต็มทีแล้ว อาตมาก็ถามว่าทำไม ? "เณรทีทีขโมยเงิน ผมเห็นชัด ๆ เลย ขนาดว่ากำเงินไว้ในมือ ยังบอกว่าไม่ได้เอาอีก" อาตมาเลยบอกว่า "ไปเอาตัวมา เดี๋ยวผมจัดการให้" ทีทีไปงัดตู้บริจาค แล้วเป็นคนที่นิสัยดีมาก งัดตู้บริจาคแล้วเอาเงินไปซื้อขนมแจกเพื่อน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2011 เมื่อ 09:29 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
พอมาถึงเราก็ถาม "ทีที..งัดมากี่หนแล้ว ?" ทีทีก็มองหน้า "๒ หนครับ" แค่นั้นพระครูอ้ำก็ยิ้มออก "ผมถามให้ตายมันไม่เคยยอมรับเลย แต่พออาจารย์ถามทำไมมันรับ ?" อาตมาบอกว่า "ก็คุณถามว่างัดหรือเปล่า ? มันก็บอกว่าเปล่าสิ ผมถามว่างัดมากี่หนแล้ว มันก็ต้องบอกให้น้อยที่สุด แต่อย่างไรมันก็งัด" (หัวเราะ) คุณถามไม่เป็นนี่หว่า...
ทีทีเป็นอย่างนั้นไม่ต้องโทษใคร อาตมาโทษแม่เขา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเขาขาดความรักในบ้าน ที่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะมีหลายครั้งที่เขาทำผิดแล้วทางวัดโทรศัพท์ไปบอกแม่ พอแม่เขามาถึง ทั้ง ๆ ที่ลูกเป็นเณร แม่เขาด่าสาดเสียเทเสียอยู่ตรงนั้น ไม่มีสักนิดหนึ่งที่จะถามว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ลูกมีเหตุผลอะไร ด่าอย่างเดียวจริง ๆ แสดงว่าอยู่ที่บ้านคงโดนหนักกว่านี้อีก นี่ขนาดว่าเป็นเณรยังโดนขนาดนี้ ถ้าเราเป็นลูก ขาดความรักความอบอุ่นในบ้าน ก็ต้องทำแบบทีที เขาขโมยเงินไปซื้อขนมมาแจกเพื่อน เพื่อนก็เห็นเขาเป็นวีรบุรุษ ในเมื่ออยู่ในบ้านแม่ไม่สนใจตัวเอง เอาแต่ทำงานแล้วด่าลูกอย่างเดียว ไม่เคยสอนให้ลูกทำอย่างไรถึงจะถูก ลูกออกนอกบ้านก็ทำอย่างนี้ ดังนั้น..ใครเลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้ลูกเป็นโจร ความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญนะจ๊ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-11-2011 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
วันก่อนอบรมเด็ก ๆ เรื่องยาเสพติด บรรดาพี่ ๆ ตชด. เขามาช่วยอบรม ท้ายสุดอาตมาเน้นย้ำตรงที่ว่า ความรักในครอบครัวเป็นรั้วป้องกันยาเสพติดที่ดีที่สุด ที่ขำที่สุดก็คือ เดินบิณฑบาตผ่านป้ายโฆษณาของทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิที่ว่า "นึกถึงครอบครัวสักนิด ถ้าคิดจะเสพยา"
อาตมาก็ว่า พอนึกถึงเด็กเสพเลยแหละ เพราะเครียดมาจากทางบ้าน ถ้าเป็นอาตมาป้ายอย่างนี้จะไม่มีทางโผล่มาได้เลย ก็เพราะนึกถึงครอบครัวเด็กถึงได้ติดยา..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2011 เมื่อ 09:33 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
ถาม : เวลานั่งสมาธินึกถึงลูกแก้วนี่ลืมตาได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้านั่งลืมตากำหนดได้จะดีกว่า ที่เขาให้หลับตาเพราะต้องการตัดการมองเห็นภาพที่จะทำให้เสียสมาธิ แต่ถ้าสมาธิเราจดจ่ออยู่ไม่ไปไหน ลืมตาแล้วเห็นได้จะดีกว่า ถาม : แล้วต้องเน้นจับลมหายใจไหมครับ หรือว่าเน้นจับลูกแก้ว ? ตอบ : จะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือจะทำสองอย่างควบกันก็ได้แล้วแต่เราถนัด ถ้าต้องการความมั่นคงก็เน้นที่ลมหายใจ ถาม : ถ้าเราจับให้เป็น ๔ ลูก..? ตอบ : อาตมาเคยทำมากกว่านั้นอีก อยู่ที่เทคนิคของเรา ทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้ใจเราอยู่ตรงนั้นไม่ไปที่อื่น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2011 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมถึงต้องมีเศษกรรม เพราะถ้าไปใช้กรรมในนรกก็น่าจะทบต้นทบดอกอยู่แล้ว ตอนกลับมาเกิดทำไมต้องมีเศษกรรมตามมาอีกคะ ?
ตอบ : ทางโลกเขายังคิดดอกเบี้ย คิดเงินต้นเลย เราจะจ่ายเงินต้นอย่างเดียว ไม่จ่ายดอกเบี้ยหรืออย่างไร ? ถาม : ตอนกลับมาเกิดเศษกรรมคือดอกเบี้ยหรือคะ ? ตอบ : จ้ะ..ในนรกเขาลงโทษเป็นกรรมส่วนใหญ่ ๆ ส่วนกรรมเล็กน้อยที่นรกเขาไม่ได้ลงโทษเพราะเขาเว้นให้มาเจอข้างบนจ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2011 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าพูดถึงยันต์ครูในสายของหลวงพ่อฤๅษี ยันต์อันไหนเป็นของท่านจริง ๆ ครับ ?
ตอบ : ยันต์พุทธนิมิตที่อยู่หลังพระสมเด็จศรีอินทราทิตย์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2011 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
ถาม : เขาบอกบุญกฐินแล้วใส่ซองมา แต่เขาไม่มาเก็บซองเพราะติดน้ำท่วมอยู่ค่ะ
ตอบ : ถึงเวลาก็ส่งให้เขาไป อาตมาเคยได้ซองกฐินมาหลายวัด เขาไม่รู้จะส่งไปให้ใครก็มายัดไว้ตรงนี้ อาตมาก็ต้องส่งไปให้วัดนั้นเพราะมีที่อยู่หน้าซอง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการแปรเจตนาการทำบุญ โยมเขาพ้นภาระแต่ความซวยมาตกอยู่ที่อาตมา ต้องจ่ายค่าซองค่าแสตมป์เพื่อส่งให้เขาไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2011 เมื่อ 17:14 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "การธุดงค์มี ๒ อย่าง อย่างแรกคือเดินไปภาวนาไป อย่างที่สองคือไปหาที่เหมาะ ๆ แล้วก็หยุดภาวนาที่นั่นจนพอใจ จากนั้นก็ไปหาที่ใหม่
อาตมาถนัดอย่างแรก คือเดินไปภาวนาไป แต่คราวนี้คนเดินภาวนาจะไม่รู้สึกเหนื่อย ส่วนคนที่ตามไปด้วยไม่ภาวนาก็เลยเหนื่อยลิ้นห้อย ขนาดอาจารย์โมเช่ที่ว่าเซียนเรื่องเดินป่าชนิดที่ว่าอาตมาต้องวิ่งไล่ตาม พอไปด้วยกัน ๔-๕ วัน ท่านชักจะเริ่มเข็ด แรก ๆ อาตมาต้องวิ่งไล่ตามท่าน ไป ๆ มา ๆ ท่านต้องวิ่งไล่ตามอาตมา เพราะอาตมาเดินไปได้เรื่อย ๆ เท่าเดิม ขณะที่ท่านล้าแล้วจึงเดินช้าลง" ถาม : เคยเจอสัตว์อะไรที่น่ากลัวสุด ๆ ครับ ตอบ : ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว อย่างเสือก็แค่มาโฮก ๆ ตะกุยต้นไม้ทางหัวนอน ตอนนั้นเป็นหน้าแล้ง มีน้ำเหลืออยู่แอ่งเดียวขนาดเมตรกว่า ๆ เอง อาตมากางกลดนอนใกล้ ๆ สัตว์ต่าง ๆ ก็วนไปวนมา จะลงกินน้ำก็ไม่กล้า ตอนแรกเสือก็มาวน ๆ อยู่ด้วย ท้ายสุดหิวน้ำงุ่นง่านหนักเข้าก็แผดเสียงสนั่นป่าเลย แผดดังขนาดไหนอาตมาก็ไม่ไป ในที่สุดเสือทนความหน้าด้านของอาตมาไม่ไหวก็เดินหายลับไป นิสัยของเสือ ถ้ากระโดดตะครุบไม่ได้ ก็จะไม่ทำอันตราย เพราะฉะนั้น..ถ้านอนที่ต่ำ ๆ มีอะไรคลุมเสือจะไม่เข้าไปทำ อย่างเวลาอยู่ในกลดเสือจะรู้สึกว่ากระโดดตะครุบไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่กลดกั้นอะไรเสือไม่ได้เลย แต่ผิดวิสัยเสือก็ไม่ทำ ได้แต่เดินวนไปรอบ ๆ อาตมานึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า เข้าป่าอย่าปักกลดขวางทางด่าน ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง อาตมาเล่นขวางกลางทางเลย เพราะเป็นที่เดียวที่โล่ง ทางที่สัตว์เดินบ่อย ๆ เตียนโล่ง อาตมาก็แขวนกลดกลางทางเลย นอนสบายดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 27-11-2011 เมื่อ 17:07 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|