|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#461
|
|||
|
|||
ในหลักธรรมชาติเวลาจิตมันเข้าถึงขั้นของมันเต็มภูมิแล้วถึงพระพุทธเจ้า มันถึงหมดเลย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าองค์ใด ไม่มองดูองค์ใดแหละ เป็นอันเดียวกันแล้วพอ นี่ละธรรม ที่เวลามันเข้าถึงเรียกว่า ธรรมธาตุ วิมุติหลุดพ้นแล้ว จ้าขึ้นเป็นอันเดียวกันหมดเลย นี่มันก็เข้ากันได้ เราก็ไม่สงสัย นิมิตอันนั้นขึ้นมากับจิต ที่มันเป็นมันก็เข้ากันได้ จากนั้นมาที่ว่าจะสั่งสอนประชาชนมืดแปดทิศแปดด้าน เวลาสอนประชาชนก็น้ำที่ประพรมประชาชน มันออกจากนิ้วนะ ออกทุกนิ้ว สาดจ้าไปหมดเลย จนกระทั่งหมดแล้วถึงได้ลงไปหาโยมแม่ มันก็เป็นไปตามนั้น จะให้ว่าไง
นี่เราก็พูด อันนี้มันเกี่ยวกับประชาชน เราพูดกว้าง ๆ ไว้ ธรรมดาอันนี้มันเกี่ยวกับประชาชน พูดให้พระฟัง สำหรับพระพุทธเจ้านั้น เราก็พูดถึงเรื่องหลักธรรมชาติแล้วเป็นอันเดียวกัน ถึงกันหมดเลยไม่ต้องถามกัน ทั่วถึงหมด ส่วนเกี่ยวข้องกับประชาชนในการแนะนำสั่งสอน ก็พูดเท่านั้น เราไม่ได้พูดกว้างขวางอะไรนะ มันก็เป็นไปตามนั้น จะพูดไปอะไรนักหนา แล้วสอนประชาชนเป็นยังไง ทุกวันก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ กว้างขวางหรือไม่กว้างขวางก็พิจารณา...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-06-2020 เมื่อ 16:50 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#462
|
|||
|
|||
องค์ท่านกล่าวถึงความรู้จากนิมิตในครั้งนั้น กับการออกมากู้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในเวลาต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงบั้นปลายชีวิตว่า เป็นสภาวธรรมที่ประจักษ์รู้เห็นได้เฉพาะตน ดังนี้
“... นี่ความรู้ ถ้ามันลงได้เป็นขึ้นในจิตมันจะไปถามใครง่าย ๆ ไม่ถามนะ ความแน่อยู่ในนั้นหมด เช่นอย่างขึ้นไปสรงพระพุทธเจ้านี้ ทางนี้รับกันแล้ว สรงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็คือ ความรู้นี้เข้าซ่านถึงกันหมดแล้ว ที่รดน้ำประชาชนมันก็เข้าใจ บอกในตัว รู้ในนี้ ๆ เสร็จไม่ต้องไปวินิจฉัย อันนี้เกี่ยวกับการสอนโลก สอนประชาชนเป็นอย่างนี้ ๆ มันก็เป็นอย่างนั้น นี่ความรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตใจทางด้านจิตตภาวนา อย่างนี้เราก็ไม่เคยพูดอย่างจะแจ้งเหมือนวันนี้ วันนี้มันเกี่ยวกับโยมแม่มาแล้วก็เลยพูดให้ฟัง อย่างอื่นก็เหมือนกันนี้ นี่มันเป็นอยู่ในจิตใจ แต่ไม่จำเป็นต้องพูดก็เหมือนไม่รู้ ๆ อันใดที่ควรจะพูดเพราะมันเป็นสักขีพยาน ดังที่เทศน์สอนโลกก็ออกมาแจงกันดู สรงพระพุทธรูปก็คือเข้ากราบซ่านถึงพระพุทธเจ้า.. เป็นอันเดียวกันหมด มันก็เข้าใจ สอนประชาชนเข้าใจจนกระทั่งมาสอนโยมแม่ มันก็ได้เหตุได้ผลไปตามร่องรอยที่รู้แล้ว ๆ บอกว่าเรานี้ไปไหนไม่ได้นะ เวลานี้โยมแม่เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว จะต้องได้เกี่ยวข้องโยมแม่ก่อน มันก็เป็นไปตามนั้น นี่พูดถึงเรื่องความรู้ภายในจิตใจ ไม่ใช่ธรรมดานะ การปฏิบัติธรรม.. ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ที่พูดเหล่านี้นั้น เอามาพูดเฉพาะที่พอพูดได้ ๆ ที่พูดไม่ได้มันหนาแน่นครอบโลกธาตุ ความรู้นี่มันซ่านไปหมดเลย อะไรที่ควรพูดไม่ควรพูดมันก็รู้เองในจิตที่รู้ ๆ อันใดที่ควรจะนำออกมาพูดได้ เป็นประโยชน์มากน้อยก็นำมา อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่มันเกลื่อนในสิ่งที่รู้ที่เห็น มันก็เกลื่อน ก็ปล่อยไว้ตามสภาพเป็นจริงเสีย เรื่องสภาวธรรมทั้งหลายจะปิดธรรมชาติที่รู้นี้ ปิดไม่ได้นะ ถึงการรู้การเห็นไปถามพระพุทธเจ้าที่ไหน ไม่ถาม..ว่างั้นเลย เวลารู้มันประจักษ์ ๆ หายสงสัย ๆ ไปในตัวเลย ท่านจึงว่า สันทิฏฐิโก การแก้กิเลสทุกประเภทก็เป็น สันทิฏฐิโก ไม่ต้องไปถามใคร นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อย่างที่เรามาสอนโลกนี่ก็เหมือนกัน พาพี่น้องทั้งหลายช่วยชาติบ้านเมืองก็เหมือนกัน เราพิจารณาโดยอรรถโดยธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ดำเนินไปโดยอรรถโดยธรรม เราจะไม่เอาเรื่องโลกเรื่องสงสาร.. เข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตยิ่งกว่าธรรมที่เราได้ปฏิบัติ ได้รู้ ได้เห็น แล้วเอาธรรมนี้เป็นเข็มทิศทางเดิน พิจารณาตามธรรม สมควรยังไง ไม่สมควรยังไง จะออกมากน้อย ๆ ออกช่องไหน ๆ มันจะเป็นไปตามธรรม ๆ แล้วก็พาก้าวเดินไปตามที่เป็นมานี้ .. เดี๋ยวนี้เราเหมือนกับว่า อยู่ในท่ามกลางชาติไทยของเราทั้งชาติ ทั้งศาสนา เพราะเราก็เป็นคนไทย ทั้งชาติทั้งศาสนาก็อยู่กับเราหมด ความรับผิดชอบกระเทือนถึงกันหมดทั่วประเทศไทย แล้วเราก็มาทำประโยชน์เพื่ออุ้มชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2020 เมื่อ 01:56 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#463
|
|||
|
|||
พาโยมมารดาบวช ในช่วงพักจำพรรษาที่ห้วยทรายตลอด ๔ ปี องค์ท่านมักออกเที่ยววิเวกตามอัธยาศัย ที่ไปมาอย่างสะดวกสบายเงียบ ๆ ตามลำพัง สถานที่ที่ท่านวิเวกในช่วงนั้น หากไม่นับย่านที่ไกลออกไปเช่นในจันทบุรีแล้ว บริเวณเทือกเขาภูพานในแถบนี้ ท่านออกเที่ยวชมหมด ดังนี้ “ตอนไปอยู่ห้วยทรายก็ขื้นเทือกเขาภูพานทางโน้น เรียกว่าภูเขาตั้งแต่หนองสูง คำชะอี (จังหวัดมุกดาหาร) มาถึงอำเภอสว่าง (สว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร) เราเที่ยวแหลกหมดเลย เที่ยวป่าเที่ยวเขา .. ออกพรรษาแล้วหายเงียบ ๆ ไปอย่างสบาย” อย่างไรก็ตาม หลังมีนิมิตอัศจรรย์ปรากฏแก่ท่านเช่นนี้แล้ว การท่องเที่ยววิเวกไปตามอัธยาศัยก็มีอันต้องสะดุดลง ดังนี้ “นิมิตแปลกดีนะ นิมิตอันนี้มีแปลกแต่ต้องได้ชม ถ้าลงนิมิตได้แสดงให้เห็นชัด ๆ อย่างนั้น มันไม่ค่อยผิดค่อยพลาดเท่าไร ‘ผมมาพิจารณาดูเรื่องเกี่ยวกับโยมแม่ ภาวนาอยู่นิมิตปรากฏเกี่ยวกับโยมแม่ ถ้าเราได้เอาโยมแม่บวชจะไม่ได้นะ มันเกี่ยวกันอย่างไรจะต้องให้โยมแม่บวช แล้วจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ตามนิมิตตามความเป็นในสิ่งนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่สงสัย’ แล้วเป็นจริง ๆ ตามนั้น เราจึงไม่มีอะไรคิดเพราะเป็นไปตามที่คิดไว้แล้ว มันก็ได้ตั้งสำนัก (จริง ๆ) นี่ว่ายังไง แต่ก่อนผมไม่มีสำนักนี่ ตามนิสัยเราอยู่ที่ไหนเราก็อยู่ของเรา ไปของเราสบาย ออกพรรษาแล้วหายเงียบ ๆ ไปอย่างสบาย หายห่วงเหมือนนกมีแต่ปีกกับหางเท่านั้น... อันนี้มาเอาโยมแม่บวชจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วก็เป็นอย่างว่าจริง ๆ พะรุงพะรังเราไม่มีทางแก้ไข เพราะพิจารณาทราบไว้แล้วตั้งแต่โน้น เอามือเขียนจะเอาตีนลบได้ยังไง ถ้าไม่เอาโยมแม่บวชนี้เห็นจะไม่ได้แล้วกัน แต่โยมแม่ก็บวชได้อย่างง่ายดาย โยมแม่ก็ยิ้มเอาเลย ‘แน่ะ ! มันก็เป็นไปตามนั้น’ ...” จากนั้นท่านจึงจากบ้านห้วยทรายมาที่บ้านตาด เพื่อชักนำให้โยมมารดาออกบวช หลวงปู่หล้าบันทึกเหตุการณ์ในระยะนี้ไว้ว่า “ ... พอถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ออกพรรษาแล้ว จีวรกาลเสร็จ องค์ท่าน (หมายถึงองค์หลวงตามหาบัว) จะได้ไปเอามารดาบวชขาว องค์ท่านก็คิดละหวนทวนไปมาว่า ถ้าบวชแล้วจะเอาโยมมารดามาอยู่ห้วยทราย คุณชีแก่ ๆ อายุมากตลอดทั้งหนุ่มก็มีอยู่มากแล้ว เกรงจะมาทับถมให้ภาระหนักขึ้นแก่ผู้ที่ท่านบวชก่อน เพราะเป็นโยมมารดาของผู้เป็นเจ้าอาวาส ก็ต้องจะได้ให้เกียรติให้คุณเป็นพิเศษ เกรงจะหนักใจแก่ท่านผู้มีอายุมากและพร้อมทั้งบวชก่อน จึงตกลงใจว่าบวชโยมมารดาแล้วจำจะหาที่อยู่ใหม่ องค์ท่านจึงปรึกษากับคณะสงฆ์ว่า ‘ผมจะได้ไปบวชโยมมารดา ส่วนจะกลับนั้นบอกไม่ถูกเสียแล้ว ส่วนที่จะไปกับผมนั้น จะไปหมดก็ไม่ถูก เวลาอยู่เราก็แย่งกันอยู่ เวลาไปเราก็แย่งกัน มันเป็นเรื่องไม่งามแก่ฝ่ายปฏิบัติ จะเสียวงศ์ตระกูลฝ่ายปฏิบัติ ฉะนั้น ขอให้คุณสม.. จงพาหมู่อยู่นี้บ้างในพรรษาต่อไปนี้ ทีนี้ส่วนผู้ที่จะไปกับผม คนนั้นคนนี้ผมก็ไม่ว่า ส่วนจะอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไปกับผมมากก็ลำบากอีก เพราะไม่ทราบว่าจะได้อยู่ที่ใดแน่ จึงเป็นของน่าควรคิดมากแท้ ๆ ในเรื่องนี้’...” เมื่อถึงบ้านตาด ท่านจึงจัดการบวชชีให้โยมมารดา และให้การอบรมปฏิบัติจิตภาวนา ปีนั้นโยมมารดามีอายุครบ ๖๐ ปีพอดี ท่านเล่าเหตุการณ์ในระยะนั้นว่า “... พอได้เวลาแล้ว ก็จดหมายมาบอกโยมแม่ว่า ‘จะมาจากห้วยทรายประมาณวันที่เท่านั้น ให้เตรียมพร้อมไว้’ ตั้งใจว่าเมื่อมาแล้วจะเอาโยมแม่บวชทันที พอมาถึงโยมแม่ก็พอดีเตรียมพร้อมไว้แล้วก็จับบวชเลย มีผู้เฒ่าแม่แก้ว (คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ) ที่ติดตามมา ๓ คนนี้มาเพื่อโยมแม่นี่เอง ถ้าไม่อย่างนั้นโยมแม่จะไม่มีเพื่อนฝูงอยู่ เพราะพวกนั้นก็เห็นคุณเรานี่ ... ทีนี้เราจะบวชโยมแม่นี้ เขาก็ติดตามมาเพื่อมาเป็นเพื่อนฝูงของโยมแม่นั่นละ... พอมาก็จับบวชเลยทันที คล่องตัวเลย ...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2020 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#464
|
|||
|
|||
หลวงปู่เจี๊ยะสร้างวัดให้ จันทบุรีเป็นจังหวัดที่มีความพิเศษ มีความเคารพเลื่อมใส และมีความเกี่ยวข้องผูกพันยาวนานกับพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตลอดมา มีฆราวาสนักภาวนาและพระภิกษุสามเณรออกบวช.. ปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานจนปรากฏชื่อเสียงเรียงนามจำนวนมาก องค์หลวงตากล่าวถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า “พระกรรมฐานเรามีมากอยู่ที่จันทบุรีแห่งหนึ่ง ที่จันท์ฯ นี้ต้นเหตุก็ไปจากท่านอาจารย์ลี เราไปที่นั่น เขาค่อยรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ไปไล่เลี่ยกัน ไปแถวนั้น เลยกลายเป็นตั้งหลักกรรมฐานขึ้นที่จันทบุรี ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ วัดกรรมฐานจึงมีมากอยู่เสมอ เพราะสถานที่ทำเลเหมาะ ๆ ๆ มันเป็นป่าเป็นเขาแล้วก็ไปที่จันท์ฯ นั่น มีแต่ครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ นะ ท่านอาจารย์ลี ท่านอาจารย์กงมา ท่านอาจารย์จันทร์ และก็ท่านอาจารย์มหาทองสุกที่มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดสุทธาวาส จึงว่าจันท์ฯ นี่มีแต่พระดี ๆ พระองค์สำคัญ ๆ ทั้งนั้น ไปตั้งฤกษ์ตั้งแถวเป็นปฐมฤกษ์ได้ดีมากทีเดียว” ด้วยเหตุนี้เอง จันทบุรีจึงมีสำนักกรรมฐานกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ จำนวนมาก เฉพาะท่านพ่อลีองค์เดียวจำพรรษาที่จันทบุรี ๑๔ พรรษา ได้สร้างสำนักปฏิบัติที่จันทบุรีมากถึง ๑๑ สำนัก ขอย้อนกล่าวถึงองค์หลวงตา สมัยอยู่ห้วยทราย จังหวัดมุกดาหาร ท่านหาอุบายหนีหมู่เพื่อนพระเณรมาหลบพักอยู่วัดป่าคลองกุ้ง จังหวัดจันทบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ และกลับไปจำพรรษาที่ห้วยทรายเช่นเดิม พอถึงปลาย ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านตัดสินใจเดินทางออกจากห้วยทราย มาบวชโยมแม่ที่บ้านตาด จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังวัดยางระหง จังหวัดจันทบุรี สมัยนั้นยังเป็นป่าดง รถยนต์เข้าได้เป็นบางเวลา หน้าแล้งรถจี๊ปเข้าไปได้บ้าง ท่านเล่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ว่า “... ที่จะได้ลงมาจันทบุรี ก็เพราะเป็นห่วงโยมแม่ ถ้าโยมแม่บวชแล้วอยู่บ้านตาด จะเป็นสัญญาอารมณ์กับลูกกับหลาน อยู่ในบ้านใกล้บ้านไม่เหมาะ พอบวชโยมแม่แล้วก็พาโยมแม่หนี กลัวจะเป็นกังวลกับลูกหลานบ้านเรือนอะไร ก็พาหลบหนีมาจันทบุรีนี้แหละ เข้าไปอยู่วัดยางระหงลึก ๆ ที่ท่านถวิลอยู่ พักอยู่วัดยางระหงประมาณ ๓ เดือน ออกจากยางระหงเพราะอาจารย์เจี๊ยะ (จุนโท) มานิมนต์เราว่า ‘พี่สาว เจ้ลุ้ย คุณรัตน์ ซื้อที่ไว้ ๒๖ ไร่ ๓ งาน ๕๓ ตารางวา เป็นจำนวนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นทำเลเหมาะสมกับบำเพ็ญกรรมฐาน อยากถวายเป็นวัดกรรมฐาน ก็มองเห็นท่านอาจารย์พอดี เวลานี้ท่านอาจารย์กำลังเที่ยวธุดงค์มา ยังไม่ได้ตั้งรกตั้งรากฐานที่ไหน มาขอนิมนต์ให้ไปที่วัด ใกล้สถานีทดลองฯ’ มานิมนต์เรา เราก็ว่าจะไปดูเสียก่อน เราก็มาจากยางระหง..มาดู ทำเลดีอยู่ก็เลยรับ นั่นละเรื่องราวมัน ที่สามแยกพลิ้วนั่นละ อาจารย์เจี๊ยะพอทราบว่าเรารับเท่านั้นละ แถวคลองแถวอะไร ท่านเป็นคนหนองบัว ทรายงาม แถวนั้นเป็นญาติเป็นมิตรท่านทั้งหมด แถวคลองแถวนั้น พอเรารับเท่านั้น ท่านสั่งคำเดียวเลย คนนั้นเอาหลังนั้น ๆ ต่างคนต่างมาสร้างกุฏิกระต๊อบ ๆ ให้คนละหลัง ๆ เหมือนไม่ได้สร้างวัดนะ เพราะต่างคนต่างมาทำเฉพาะกุฏิของตัว ๆ นี่ท่านอาจารย์เจี๊ยะนะ เป็นคนสั่งทีเดียว เราไม่ได้สร้างอะไรเลยสักนิดเดียว ที่ครัวโยมแม่ก็อาจารย์เจี๊ยะเป็นคนจัดเอง ไปสั่งให้ไปอยู่รวม ๔ คนทั้งโยมแม่ด้วย นั่นละสร้างวัดที่นั่น อาจารย์เจี๊ยะจึงมีคุณมากต่อเรา คือสร้างวัดทั้งหมดนั้น บรรดาพระกรรมฐานดูเหมือน ๑๑ องค์หรือไง ให้ได้ทุกองค์ ๆ กระต๊อบอย่างของเรานั่น อย่างเดียวกันนี่ละแต่มุงจาก ไม่ใช่หญ้า มุงจาก สร้างปั๊บ ๆ สูงขนาดนี้ แล้วมีพักหนึ่งนั่งภาวนา แล้วก็ทางจงกรม ก็ท่านเป็นกรรมฐานลูกศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ได้ยังไง ท่านก็รู้ สร้างกุฏิตรงไหน ทางจงกรมตรงไหนเหมาะสม ท่านรู้เอง ท่านจัดสั่งหมดเลย เราไม่ได้ไปสร้างกระทั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ไปนิมนต์เรา.. ออกมากับโยมแม่..ละมา ท่านเจี๊ยะมาสร้างให้อยู่สบาย เรียกว่าท่านมีคุณต่อเรา ท่านมาสร้างให้อยู่สบาย กุฏิ ๑๒ หลัง ศาลาให้เอาเล็ก ๆ โยมแม่ก็เล็ก ๆ เหมือนกัน ท่านจัดให้หมด เรียกว่าท่านมีคุณต่อเรามากมาย อาจารย์เจี๊ยะ.. เราไม่ลืมนะ เรื่องคุณนี้รู้สึกจะมีเด่นในหัวใจเรา มันเป็นในนิสัยเองเรื่องคุณ ใครได้ทำคุณให้แก่เราเป็นอยู่ลึก ๆ ไม่ลืมนะ นี่ท่านอาจารย์เจี๊ยะทำนี้ไม่ลืม ไปก็ขึ้นอยู่เลย ท่านอยู่เขาแก้วตอนนั้น ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่เขาแก้ว ท่านกับเราพัวพันกันมาตั้งแต่ไปอยู่สกลนครด้วยกันกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่โน้น กับอาจารย์เฟื่อง อาจารย์เจี๊ยะ สององค์พระชาวจันท์ฯ นะ คุ้นกันมาตั้งแต่สกลนครกับหลวงปู่มั่น เพราะฉะนั้นเวลาเราไปท่านทั้งสอง เฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เจี๊ยะจึงมารับรองทุกอย่างเลยเทียว ธรรมดาเราไม่อยู่แหละ รู้สึกมันขวางใจเอาเหลือเกินระหว่างพี่กับน้อง เสียงพี่สาว เสียงไมโครโฟน น้องชายก็เสียงโทรโข่ง ขัดกันเถียงกัน อยู่กระต๊อบเล็ก ๆ บ้านพี่สาวเขาทำโรงน้ำอ้อย เราไปพักอยู่โรงน้ำอ้อยนี่แหละ ฟังเสียงคุยกันสองคน พี่สาวว่าจะเอาองค์นั้น ทางน้องชายว่ามึงอย่าเอาอีลุ้ย มึงเชื่อกูเถอะน่ะ เถียงกันเราได้ยินชัดเจน ‘ให้มึงเอาอาจารย์มหาบัว มึงต้องการองค์ไหน ๆ มึงคอยดูกูนะ กูพูดผิดไหม อาจารย์องค์นี้มึงเคยเห็นท่านแล้วยัง องค์ที่ว่ากูไม่เคยเห็น.. อย่าว่าแต่มึงเลย ว่าองค์นั้นเทศน์ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ท่านมาอยู่เสียก่อน ดีไม่ดีก็รู้กันเอง” ว่างั้น เถียงกันเราได้ยิน โอ๊ย.. ขบขันกันเอง” เราจึงได้พาโยมแม่ไปจำพรรษาที่นั้น อาจารย์เจี๊ยะเป็นผู้มีบุญคุณต่อเรามาก เราไม่เคยลืมนะ ฝังลึกมาก เรานี้ไม่เหมือนใคร ถ้าฝังอะไรต้องฝังลึกมาก พูดถึงเรื่องอาจารย์เจี๊ยะที่มีคุณต่อเรา วัดนั้นทั้งหมด สถานีทดลอง เป็นอาจารย์เจี๊ยะทั้งหมดเลยสร้างให้ เอาจริงเอาจังมาก ปรกติท่านก็เคารพเราแค่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นด้วยกัน ท่านก็รู้อยู่ เป็นพระหนุ่มพระน้อยด้วยกัน ต่อจากนั้นก็เกี่ยวข้องกันมาเรื่อย ๆ ท่านเคารพมาเรื่อย ๆ พอนิมนต์เราไปที่วัดใกล้สถานีทดลองฯ เราไม่ได้ทำงานอะไร เราไม่ได้เกี่ยวข้อง เป็นสัญญาอารมณ์กับการก่อสร้าง ท่านทำเองทั้งหมด โยมนั่นเอากุฏิหลังนั้น โยมนี้เอากุฏิหลังนี้ ท่านชี้ทีเดียวเลย คนที่ไปอยู่ที่สถานีทดลอง ๆ ย้ายมาจากทางหนองบัว ซึ่งเป็นญาติ ๆ ของท่านทั้งนั้น จะเป็นญาติหรือไม่ก็ตาม ท่านก็คุ้นกับเขาอยู่แล้ว สั่งยังไงก็ได้หมด จึงว่าอาจารย์เจี๊ยะมีคุณต่อเรามากมาย สร้างวัดสร้างวาให้หมด เราไม่ได้ไปแตะ ไม้ชิ้นหนึ่งก็ไม่ได้ไปแตะ ทำเสร็จแล้วเข้าไปอยู่เลยสบาย ทางจงกรมท่านก็ทำให้เหมาะ ๆ หมดเลย สะดวกสบาย อาจารย์เจี๊ยะท่านมีคุณต่อเรามาก... เรื่องสิ่งปลูกสร้างอะไร ๆ ไม่มีปัญหา ได้คนละ ๑ หลังเลย เราก็เลยอยู่จำพรรษาที่นั่น นั่นละ..ท่านมีคุณต่อเรามากนะ...” หนังสือประวัติหลวงปู่ฟัก สันติธัมโม วัดเขาน้อยสามผาน จังหวัดจันทบุรี ได้กล่าวถึงพระที่จำพรรษาในครั้งนั้นกับท่าน ดังนี้ “... ในปีนั้น มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ตามท่าน (องค์หลวงตาพระมหาบัว) มาด้วยหลายรูป อาทิ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร พระอาจารย์เพียร วิริโย พระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต พระอาจารย์ลี กุสลธโร เป็นต้น โดยในครั้งนั้นพระอาจารย์ฟักขณะยังเป็นฆราวาส ก็ได้พามารดาไปกราบท่านที่วัดนี้ด้วย...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2020 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#465
|
|||
|
|||
จันทบุรี.. แดนธรรมกรรมฐาน หลังจากท่านพระอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท นิมนต์องค์ท่านมาพักและสร้างวัดขึ้นในที่ดินของโยมพี่สาว บริเวณสถานีทดลองกสิกรรมพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะเป็นผู้ดูแลในการจัดสร้างเสนาสนะ ให้ได้รับความสะดวกครบถ้วน ใช้เป็นที่พักจำพรรษาได้เป็นอย่างดี มีขอบเขตบริเวณเป็นส่วนเป็นสัดชัดเจน ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายอุบาสิกา การเกี่ยวข้องสังคมกับประชาชนของท่านนั้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนที่จังหวัดจันทบุรีนี้เอง ท่านเล่าถึงสภาพธรรมชาติที่เหมาะสม ประกอบกับพี่น้องชาวจันทบุรีที่มันคงเหนียวแน่นทางพุทธศาสนาไว้ ดังนี้ “... ที่จันท์ฯ มีสถานที่วิเวกสงัดมากทีเดียว เพราะเป็นป่าเป็นเขา พระผู้ปฏิบัติเพื่อตักตวงเอามรรคผล นิพพาน ต้องเป็นผู้เช่นนั้น ... ได้เทศน์ออกสังคมก็ไปเทศน์ที่เมืองจันท์ฯ เทศน์เหล่านั้นก็เทศน์แต่ไม่ได้อะไรนัก แต่เมืองจันท์ฯ นี่ โห.. เหนียวแน่นมาก นะ ศรัทธาสำคัญมากนะ วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระนี่ คนเต็มอยู่ นู่น.. สถานีทดลองฯ ไปฟังเทศน์เต็มอยู่ เขายังมาพูดอวดท่านพ่อลี เขาไม่รู้ว่าเรากับท่านพ่อลีคุ้นกันมาตั้งแต่เมื่อไร เขาไปแล้วก็เอามาคุยโม้กับท่านพ่อลี ระยะนั้นท่านพ่อลีท่านอยู่วัดป่าคลองกุ้ง เขาไปเล่าให้ท่านฟังว่า ‘ท่านพ่อ เดี๋ยวนี้ได้พระองค์สำคัญองค์หนึ่งแล้ว มาอยู่ที่วัดสถานีทดลอง’ ‘สำคัญอะไร ?’ ท่านก็ว่าซิ ความจริงคุ้นกันมาตั้งแต่เมื่อไรเขาไม่รู้ เขาว่า ‘อู๊ย.. เทศน์นี้เก่งมากทีเดียว เทศน์น้ำไหลไฟสว่างไปเลย ชื่อท่านอาจารย์มหาบัว’ ว่าอย่างงั้น แล้วก็คุยให้ท่านฟังนะ ‘มันต้องอย่างงั้นซิ’ เวลาท่านตอบ ‘มันต้องอย่างงั้นซิ’ พอคำเดียว ความจริงเรากับท่านเคยสนิทสนมกันมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนท่านไปพักหนองผือ กราบเยี่ยมหลวงปู่มั่น เขาไม่ทราบว่าเรากับท่านอาจารย์ลีมีอะไรกัน เป็นอะไรกันมาเมื่อไร เขาไม่ทราบนะ เอาหัวเข่าไปอวดท่าน..มีอย่างเหรอ เขาจะไปรู้อะไร ... เรื่องสมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านไม่ค่อยสบาย ต้องนิมนต์ให้ท่านอาจารย์ลีไปด้วย ไปวัดบรมนิวาสแล้วกลับมา ไปแล้วกลับมา ทีนี้เป็นจังหวะที่ท่านพักวัดบรมนิวาส เวลาท่านกลับมาจันท์ฯ เขาออกมา เขาก็มาคุยโม้ให้ท่านฟัง ... เพราะเขาไม่รู้ว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไรแล้ว ท่านก็อดหัวเราะไม่ได้ ท่านก็ว่าเพียงเท่านั้นละว่า ‘มันต้องอย่างงั้นซิ’ ... ท่านก็ไปนะ วัดสถานีทดลองเรา ท่านตั้งใจเข้าไปเยี่ยม เสร็จแล้วก็พาเราไปอำเภอขลุงด้วยกันวันนั้น ท่านไปกับญาติโยม พาไปวัดนั้นวัดนี้ รถตู้คันหนึ่งแล้วเรา.. เราไปด้วย เวลาขากลับมาท่านจะเอาเราไปที่วัดคลองกุ้งด้วย ‘โอ๊ย วันนี้ไปยังไม่ได้ วันพรุ่งนี้จะตามไปทีหลัง’ ท่านก็ว่า ‘งั้นวันพรุ่งนี้ไปหาที่วัดนะ มีเวลาน้อย เดี๋ยวจะได้กลับกรุงเทพฯ อีก’ เอาอีกแหละ พอวันหลังก็ตามไปหาท่านที่วัดคลองกุ้งนั่นแหละ ท่านสนิทกับเรามากมาตั้งเมื่อไร พวกนั้นเขาไม่รู้...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2020 เมื่อ 14:39 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#466
|
|||
|
|||
นิมิต “ทางไม่สะดวก” โยมหริ่งรู้ว่าจะมา คืนหนึ่งระหว่างพักอยู่ที่สถานีทดลองฯ มีนิมิตปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง บอกเตือนถึงความไม่สะดวก ที่จะต้องประสบอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ดังนี้ “... เราอยู่สถานีทดลองฯ จะไปจังหวัดตราด ตัดสินใจปุบปับในเดี๋ยวนั้นว่าจะไป กลางคืนนิมิตไม่ดีแต่มีความจำเป็นที่จะต้องไปตราด ก็เลยเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง เรียกพระมาบอก .. เขาเรียกอะไร มันเป็นเนินหนึ่ง อาจารย์เฟื่องไปพักอยู่ที่เนินนั้น เป็นสวนยาง ที่สงบสงัดดี เราก็ไม่ได้ถามว่าเขาจะถวายวัด.. หรือว่าเขาถวายแล้ว หรือว่าท่านไปพักธรรมดา แต่เป็นทำเลที่เหมาะสมมาก เดินผ่านทุ่งนาไป ไม่มีถนนผ่าน สถานที่เหมาะสมมากในการภาวนา ตอนนั้นเราไปแบบปุบปับ ท่านเพ็งนี่เราไม่ลืมนะ คือตัดสินใจตอน ๕ โมงเช้า (๑๑.๐๐ น.) จะไปตราด ก็เรียกท่านเพ็งมา ‘เพ็งนี่ ไปเรียกรถมาเดี๋ยวนี้ เรามีธุระด่วน วันนี้ผมจำเป็นที่จะต้องไปจังหวัดตราดด้วยความจำเป็น แล้วให้คอยฟังเสียงของผมด้วยนะ นิมิตผมไม่ดีนะเมื่อคืน แต่ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เกี่ยวกับเรื่องเวล่ำเวลามีความคลาดเคลื่อนได้ คราวนี้ผมจะไม่สะดวกนะ หากไม่เป็นภัย เพียงไม่สะดวก’ เมื่อคืนนิมิตแสดงอย่างนั้น แล้วก็ออกเดินทาง จวนเข้าพรรษาแล้วด้วย คอยฟังก็แล้วกัน บอกชัด ๆ เลย ... พอเราเตรียมของปุบปับ ๆ แต่ก่อนรถไม่ค่อยมี มีสองบริษัท บริษัท ร.ส.พ. กับบริษัทเทียนชัย ในระยะเที่ยงมีรถ ร.ส.พ.ไป พอออกไปถึงหน้าสถานีรถประจำทางปั๊บ รถเขาก็มาพอดี เราก็ขึ้นไปถามเขาว่า ‘รถเทียนชัยออกไปหรือยัง ?’ ‘อ๋อ ! รถเทียนชัยยังไม่ไป’ เขาว่างั้น พอเขาว่า “รถเทียนชัย” มันสะดุดจิตปุ๊บเหมือนในนิมิต ควรไปรถเทียนชัยหรือไม่ ? มันขวางทันทีเลยนะ สักเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงรถบึ่ง ๆ มา ไปดูซิรถคันไหนมา เขาก็วิ่งปับออกไปดู รถกำลังวิ่งมานี่ ‘รถ ร.ส.พ. ๆ มา’ เขาว่างั้น ‘เอ้า ! ขึ้นคันนี้ ๆ ถ้าไม่ได้ขึ้นคันนี้ ไม่ได้ไป’ เราว่าอย่างนี้นะ พอไปแล้วก็คงฝนตกทั้งคืนไปถึงจังหวัดตราด พอเลยอำเภอขลุงไปเท่านั้นแหละ โอ้โห ! ฝนตกหนักจนกระเป๋ารถมันต้องได้เดินนำหน้ารถ น้ำฝนมันท่วมสูง กระเป๋ารถคอยทำมือโบกนำทางไปเป็นย่าน ๆ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นไปตั้ง ๓ ย่าน ๔ ย่าน พยายามบุกขึ้นเนินไปจนได้ เราจึงลงที่นั่น ไปค้างอยู่คืนเดียว พอกลับมาวันหลังน้ำฝนมันมากยิ่งกว่าอะไร ... รถก็มาได้แค่ ๑๒ กิโลเมตร เราก็ลงมาเปลี่ยนผ้าอาบน้ำแล้วเอาผ้าจีวรพันคอ ลุยน้ำลึก ๓-๔ แห่ง บางแห่งก็ได้นั่งเรือ บางแห่งไม่มีเรือ ก็ลุยไปพอขึ้นมาถึงที่เนินนั้น เห็นแต่ใบไม้ลาดอยู่ตามนั้น แล้วก็เห็นรถบัสเทียนชัยเครื่องพังอยู่นั้นไปไม่ได้ เห็นคนเอากิ่งไม้มากั้นดารดาษ ฝนพรำทั้งคืน เปียกแฉะไปหมด มีรถคันเดียวทิ้งไว้นั้น รถอื่นไม่มีสักคันเดียว ไปดูเห็นคนตากฝนกันคิดว่า ‘ถ้าเรามารถคันนี้มันเป็นอย่างนี้เอง’ นี่ละมันถึงได้ขวางในจิต มันไม่ยอมจะขึ้นรถคันนี้ กี่คนมาก็อยู่นั้นหมด ไม่ทราบว่ากลับคืนไปนู้นหรือไปไหนก็ไม่รู้ กลับคืนไปเขาสมิงหรือไปไหนก็ไม่รู้ เราก็ไม่ได้ถามเขา มองดูข้างทางใบไม้ปูเกลื่อนไปหมดเลย มีแต่ขี้ตมขี้โคลนเต็มไปหมด เพราะฝนพรำทั้งคืนนี่ แล้วทำไมคนจะไม่แย่ล่ะ เรื่องนิมิตนี้ นอกจากมันสำคัญจริง ๆ เราถึงจะยึดเอามาพิจารณา ถ้าธรรมดา ๆ ที่มันเป็นในจิตนิด ๆ ก็ไม่เป็นไร พอตื่นเช้ามาก็ออกจากนั้นแล้วก็มาค้างที่วัดขลุง...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 22-06-2020 เมื่อ 12:11 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#467
|
|||
|
|||
เป็นที่น่าประหลาดใจว่า เหตุการณ์การเดินทางในครั้งนี้ขององค์หลวงตา ได้ล่วงรู้มาก่อนแล้วโดยความรู้พิเศษของโยมชาวจังหวัดตราดคนหนึ่ง ดังนี้
“... จังหวัดตราด แต่ก่อนลูกศิษย์มีเยอะแต่ก็คงจะล่วงลับไปแล้ว เพราะแต่ก่อนเป็นคนกลางคนไป เราไม่ได้ไปจังหวัดตราดนาน ลูกศิษย์คงจะหมดไปแล้ว จังหวัดตราดนี้เยอะนะลูกศิษย์ พอพูดถึงเรื่องจังหวัดตราด ก็ทำให้ระลึกถึงที่เคยพูดเสมอว่าโยมหริ่ง..ของเล่นเมื่อไหร่ โยมหริ่งคนจังหวัดตราด เป็นคู่กันกับโยมทองแดง เป็นคนจังหวัดจันท์ฯ ภาวนาเก่งทั้งคู่ ... โยมหริ่ง...แกอยู่จังหวัดตราดนะคนนี้ อันนี้ก็อีกเหมือนกัน เขาหาว่าแกเป็นบ้า พวกชาววัดด้วยกัน ที่อยู่วัดด้วยกัน ปฏิบัติธรรมอยู่ที่..เขาเรียกอะไรนะ..จากจังหวัดเข้าไป มันเป็นเนิน เป็นเนินแล้วเป็นป่ายาง อาจารย์เฟื่องก็อยู่ที่นั่น ไปตั้งสำนักภาวนาอยู่นั่น มีโยมคนนี้ละกับพวกโยมเขา เป็นสำนักของเขาอีกทางหนึ่ง ท่านอาจารย์เฟื่องก็อยู่อีกทางหนึ่ง นี่ที่สำคัญมากนะ แกพักอยู่มุมโน้น มีบริเวณที่อุบาสิกาเขาพักอยู่ ดูจะเป็นทางด้านทิศตะวันออก แกวิ่งกุลีกุจอมา แกเป็นคนไม่ชอบพูด ทั้งวันแกจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่รู้ นิสัยแกนิ่งเฉย แต่ภาวนาสำคัญนะ แกปุบปับ ๆ ออกมาศาลาเล็ก ๆ พระก็มีอาจารย์เฟื่องกับใครอยู่นั้น แกปุบปับ ๆ ออกมา ลักษณะตาลีตาลานมา ‘โยมหริ่งมาอะไร ?’ ‘จะมาอะไรก็ท่านพ่อบัวกำลังมา นี่ท่านกำลังมา ท่านกำลังออกเดินทางมา’ ว่างั้นนะ ‘โยมหริ่งไม่ใช่เป็นบ้าแล้วหรือ’ ใครก็รุมโจมตีแก ‘เป็นบ้ายังไง ท่านกำลังออกเดินทางมาเดี๋ยวนี้ ท่านจะมาที่นี่’ ทีนี้เราก็ไม่เคยไป แต่เราจะไปหาอาจารย์เฟื่องนั่นแหละ จุดนั้นละ แกก็พูดอุบอิบกุลีกุจอตาลีตาลานว่า ‘ท่านจะมาที่นี่’ ใครก็รุมโจมตีแก ‘เอ้า ถ้าหากว่าท่านไม่มาคราวนี้ ต้องเผาศพโยมหริ่งวันนี้’ ‘เอ้า เผาก็เผา ก็ท่านมาแล้วนี่น่ะ มาแล้วเดี๋ยวนี้’ ว่างั้นนะ พอบ่ายประมาณสัก ๔ โมงกว่า ๆ เราก็เข้าถึง พอไปเราก็เดินผ่านทุ่งนาเข้าไปนั้นเลย ไปพวกนั้นก็ยังรอกันอยู่ ทั้งคอยฟังว่าเราจะมาถึงจริง ๆ หรือไม่จริง ถ้าไม่จริงจะฆ่าโยมหริ่ง มีสองทาง.. โยมหริ่งอยู่บนเขียงแล้วละว่างั้นเถอะ พอเราไป เขาก็ฮือเข้ามาเลย ‘โอ๊ย.. มาจริง ๆ’ ‘มาจริง ๆ อะไร’ เขาก็เลยพูด โยมหริ่งตาลีตาลานมาบอกว่า ‘ท่านพ่อมหาบัวกำลังมา มาบอกเดี๋ยวนี้ ว่าจะฆ่าโยมหริ่งอยู่ คอยฟังถ้าอาจารย์ไม่มา โยมหริ่งต้องตาย’ แกพูดอย่างอาจหาญเสียด้วย นั่นเห็นไหมล่ะ พูดอะไรแกไม่ยอมฟัง บอกว่ามาแล้วเดี๋ยวนี้ ว่างั้นเลย พอ ๔ โมงเย็นเราก็ไปจริง ๆ พวกนั้นก็รออยู่นั้นละ พวกญาติโยมมีหลายคน พระก็มีหลายองค์รออยู่ที่ศาลา รอตามที่โยมหริ่งพูด ว่า ‘ท่านจะมาจริง ๆ เหรอ ท่านไม่เคยมาที่นี่ ท่านจะมาเหรอ’ พอโผล่เข้าไป โอ๊ย.. มาจริง ๆ เสียงฮือฮา ๆ รู้ได้ยังไง ก็โยมหริ่งมาฮือฮา ๆ เป็นบ้าอยู่นี้ ว่ากำลังจะฆ่าโยมหริ่ง พอดีท่านอาจารย์มา โยมหริ่งเลยรอดชีวิตไป ‘ไหนโยมหริ่งอยู่ไหน’ ‘อยู่โน้น’ บอกให้มาหาเราไม่ยอมมา กลัว คือกลัวมาก สำหรับเราแกกลัวมาก บอกให้มาเดี๋ยวนี้ มาแกก็มานั่งเฉย ๆ ไม่พูด แต่เวลาพูดตรงไหน จริงตรงนั้นนะ...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2020 เมื่อ 19:31 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#468
|
|||
|
|||
ฝันหลวงปู่มั่น พาบิณฑบาต อีกคราวในปีที่สร้างวัดสถานีทดลองฯ คืนหนึ่งองค์ท่านฝันว่าหลวงปู่มั่นพาออกบิณฑบาต มีลักษณะขู่เตือน ดังนี้ “... วันนั้นฝนตกหนัก พระออกไปบิณฑบาตมีหลายสาย ไอ้เราเป็นผู้ใหญ่มักจะเอาเปรียบผู้น้อยล่ะ มันเป็นธรรมดา แล้วผู้น้อยก็ชอบจะให้เราเอาเปรียบเสียด้วยนะ พระก็เรียนว่า ‘ท่านอาจารย์ ท่านไปบิณฑบาตสายใกล้ ๆ นี้สะดวกดี’ ผู้น้อยก็อยากให้ผู้ใหญ่เอาเปรียบ ผู้ใหญ่อย่างเราก็ว่า ‘เออ ! เรามันผู้ใหญ่ เราไม่สะดวก ไม่เหมือนผู้น้อย มันไม่คล่องตัว เราไปสายใกล้ ๆ นี้ดีกว่า’ ทีนี้พอไปบิณฑบาต เราไปสายใกล้สถานีฯ พระไปหลายสาย เฉพาะอย่างยิ่งแถวคลอง วันนั้นฝนตกหนักได้กั้นร่มไป ทางผ่านมันมีคลองใช้ไม้พาดข้ามไปแล้วก็ไต่ข้าม ฝนตกมาก ๆ ลื่น พอลื่นพระที่ไปบิณฑบาตก็ตกลงคลองเลย ลงมันไม่ใช่ลงธรรมดา ลงแต่ไม่ล้มนะ ลงแต่ไม่ล้มนะ ตกลงในน้ำยังกั้นร่มอยู่ ข้าวกับน้ำ โอ้ย ! มันเต็มไปหมดเลยนะ คือน้ำเต็มบาตร.. ข้าวไม่ทราบไปไหน แช่กันเลย (หัวเราะ) ทีนี้ตอนขากลับมาจากบิณฑบาตแล้ว พระท่านมาเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง องค์นั้นว่าอย่างนั้น องค์นี้ว่าอย่างนี้ เรื่องเกี่ยวกับน้ำ เรื่องตกคลอง คือบิณฑบาตตกลงไป.. น้ำก็เข้าบาตรหมดเลย วันนี้ไม่ได้อะไรเลย ได้แต่บาตรเปล่า ๆ มา ถ้ายังเอาน้ำกับข้าวมาก็ไม่ทราบจะเอามาทำอะไร ท่านพูดก็มีเหตุผลทั้ง ๆ ที่เสียดายอยู่ ‘สงสารญาติโยมเขาก็สงสาร แต่มันกินไม่ได้จะทำยังไง’ ท่านว่า ... พอพระเณรท่านว่าอย่างนั้นแล้ว เราก็คิด เอ ! เรานี้หัวหน้า.. เอารัดเอาเปรียบหมู่เพื่อนมากไป หมู่เพื่อนเล่าธรรมดาเราก็รู้เจตนา เราก็รู้ เล่าทั้งหัวเราะ ทีนี้ก็เลยคิดตกลงใจนะ ‘ต่อไปนี้เราจะไปสายอื่น ไปสายนั้นบ้างสายนี้บ้าง ไม่เอาเปรียบหมู่เพื่อนมากเกินไป สายใกล้สายไกล สายไหนไปทุกสายล่ะทีนี้’ คิดตกลงในใจนะ แต่ไม่ได้พูดให้ใครฟัง พอตกเวลากลางคืนจึงฝันว่า พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเดินบิณฑบาตมา เราก็ยืนอยู่ธรรมดา ท่านมาชวนว่า ‘ไป..ท่านมหา..จะพาไปบิณฑบาต’ ลักษณะขู่ ๆ ‘เอ ! อย่างไร วันนี้เราจะมีความผิดอย่างไรแน่ ๆ’ อย่างนี้ลูกศิษย์กับอาจารย์มันเป็นอย่างนี้แหละนะ ถ้าเห็นอาการของอาจารย์อย่างนั้น ต้องมองเจ้าของมันจะผิดตรงไหนแน่ ๆ เลยอันนี้ เหมือนอย่างพระเณรมันกลัวเรา มันกลัวแบบเดียวกันนี่แหละ (หัวเราะ) ไม่ได้กลัวแบบอื่นนะ ใจทั้งรัก ทั้งสนิท ทั้งกลัว มันเป็นอย่างนั้นแหละ จากนั้นก็รีบครองผ้า แต่ครองผ้าในความฝันมันไม่ได้ยากนะ มันปุบปับ ๆ เสร็จเรียบร้อยเลย พอเราเดินไปตามหลัง ท่านพูดขึ้นว่า ‘ไอ้ผู้ที่เขาหาน่ะ เขาหาแทบล้มแทบตายนะ ผู้ที่เขาจะหามาให้ทานได้แต่ละทัพพี แต่ละห่อนี้ แต่ละหมกละห่อนี้ เขาแทบล้มแทบตายนะ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้แดดสู้ฝน ไอ้เราถึงเวลาก็ด้อม ๆ ไปเอามากินเฉย ๆ ก็ว่าลำบาก มันจะทรงศาสนาไปได้อย่างไร มีแต่พระขี้เกียจ พระถ้าจะเห็นตั้งแต่ความลำบาก ไม่มองเห็นอรรถเห็นธรรม ไม่คิดเห็นอรรถเห็นธรรมเลยนี้ ทรงศาสนาไปไม่ได้ แล้วยิ่งจะมีแต่พระขี้เกียจอ่อนแอด้วยแล้ว.. ศาสนาจมไปเลย’ พอได้ไม้จากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมาตีหัวเราแล้ว เราก็เอาไม้นั่นแหละไปตีหัวหมู่เพื่อน พอตื่นเช้าขึ้นมา เราก็สอนพระว่า ‘นี่เขาหามาแทบล้มแทบตาย กว่าจะมาให้ท่านแต่ละครั้งละหน นี่เดินด้อม ๆ ไปบิณฑบาตตกคลองเท่านั้น ตกคลองมันก็ความเซ่อของคนต่างหาก ไม่ได้เป็นเพราะอะไรนี่นะ นั่นละความไม่สำรวมมันเป็นอย่างนั้น ความเซ่อ ๆ ซ่า ๆ มันเป็นอย่างนั้น’ ตีไปเรื่อย ๆ เลย ที่ท่านว่า (บิณฑบาต) โปรดสัตว์ ๆ เขาได้เห็นครู่เดียวขณะเดียว เขาก็มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ได้ยินได้ฟังนิดหนึ่ง ๆ เขาก็มีผลมาก มีอานิสงส์มาก และเขาได้ให้ทานนิดหนึ่งก็ตาม มีผลมีอานิสงส์มากที่สุดเลย อะไรให้ทานก็ดี ความเคารพทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี อะไรที่จะเกินให้ทาน และเคารพพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2020 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#469
|
|||
|
|||
เพียงดูรู้ลักษณะคน อีกเรื่องหนึ่งในปีจำพรรษาที่จันทบุรี ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง* รู้สึกอัศจรรย์ความสามารถของท่านในการดูลักษณะคนเป็นอย่างยิ่ง เพราะสังเกตเพียงเล็กน้อยก็สามารถทราบถึงอุปนิสัยใจคอได้อย่างถนัดชัดเจน ในวันนั้น ขณะพระเณรกำลังทำงานกันอยู่ ท่านก็บอกให้ดูคน ๆ หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “พวกท่านดูคน ๆ นี้เป็นยังไง มาใกล้ชิดติดพันอยู่กับวัดนี้น่ะ” พระเณรทั้งหลายต่างพากันแปลกใจในคำถามของท่าน เพราะก็ไม่เห็นว่าชายผู้นี้จะมีอะไรผิดปกติไปกว่าคนอื่น ๆ แต่อย่างใด ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองจึงได้ตอบไปว่า “จะว่ายังไง ? ก็เป็นคนดี ๆ นี่” ท่านว่า “ใช่เหรอ ? ดูให้ดีนะ” ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองพูดอย่างมั่นใจว่า “จะดูให้ดีอะไร ก็ดูมาดีแล้ว” “ให้พิจารณาเสียก่อนนะ” ท่านย้ำ จากนั้นองค์ท่านก็ได้อธิบายในฉากหลังของชายผู้นั้นว่า “นี่เป็นนักเลงโตนะ สามารถฆ่าคน ๕ คนได้โดยไม่รู้ตัว เพราะมีลักษณะทุกอย่างพร้อมหมดเลย” ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองรู้สึกแปลกใจและยังไม่เชื่อคำพูดของท่าน จึงได้แอบตามไปสืบประวัติเบื้องหลังของชายผู้นั้นอย่างจริงจัง ชนิดจะเอาให้รู้ความจริงให้ได้ เมื่อซักไซ้ไล่เรียงกันอย่างหมดไส้หมดพุงในจุดที่สงสัยแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นจริงตามนั้นทุกประการ จึงกลับมาพูดกับท่านว่า “โอ๊ย.. อัศจรรย์ ท่านอาจารย์ดูคนดูยังไง ทำไมอาจารย์อยู่ ๆ ก็พูดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่มีอะไรกับท่านอาจารย์ให้จับพิรุธได้เลย ทั้ง ๆ ที่เขาก็ดิบก็ดีมาตลอด ผมดูเขามาตลอด ยอมท่านอาจารย์เลย” องค์ท่านเคยกล่าวถึง.. อุปนิสัยใจเด็ดของท่านพระอาจารย์สิงห์ทองให้พระเณรฟังว่า “ท่านสิงห์ทองนี้เด็ด ! เป็นคนไม่ยอมใครง่าย ๆ และหากไม่ยอมแล้วจะสู้เลย หากยอมแล้วจะยอมจริง ๆ” =============================== * ท่านอาจารย์สิงห์ทอง เคยจำพรรษากับหลวงปู่มั่นที่บ้านหนองผือ ต่อมาติดสอยห้อยตามองค์หลวงตาไปจำพรรษาที่บ้านห้วยทราย จังหวัดมุกดาหาร, จังหวัดจันทบุรี และที่บ้านตาด จังหวัดอุดรธานี แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2020 เมื่อ 15:44 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#470
|
|||
|
|||
แม่ชีแก้วหยั่งรู้ ... หมาเกิดเป็นลูกเศรษฐี กล่าวถึงคุณแม่ชีแก้วซึ่งมีความรู้ผาดโผน จนหลวงปู่มั่นต้องสั่งห้ามไว้มิให้ภาวนา ต่อมาเมื่อองค์หลวงตามาพักจำพรรษาที่ห้วยทราย ท่านได้หาอุบายแก้ภาวะจิตของคุณแม่ชีแก้ว จนผ่านเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมที่ห้วยทรายนั้นเอง คุณแม่ชีแก้วได้ติดตามดูแลโยมแม่ขององค์หลวงตา ตั้งแต่วันบวชที่บ้านตาดและตามมาพักจำพรรษาที่สถานีทดลองฯ แห่งนี้ด้วย องค์หลวงตาได้เล่าความรู้พิเศษของคุณแม่ชีแก้วที่จันทบุรี ไว้เช่นกันว่า “... เรานึกถึงหมาตัวหนึ่งที่อยู่สถานีทดลองฯ มันมีหมา ๓ ตัว ไอ้ช้าง ไอ้สิงห์ ไอ้แพะ มันมักจะมาวัดอยู่เสมอ คือเจ้าของที่เขาถวายที่ เขาเข้าวัดเข้าวาเสมอมันก็มากับเจ้าของ (ชื่อยายลุ้ย เป็นพี่สาวหลวงปู่เจี๊ยะ) ครั้นต่อไปเจ้าของไม่มา เขาก็มาเอง .. ทางจงกรมเรานี้เขาไม่ผ่าน เวลาเขามาทางจงกรม เขาจะเดินเลาะไปนู้น ไปสุดหัวจงกรมเขาถึงจะวกกลับมา เขาไม่เคยผ่านทางจงกรม ไอ้ช้างนี่สำคัญกว่าเพื่อน มันน่ารักทั้งสามตัวแหละ ... มีแปลกอยู่ แม่ชีแก้วแกสำคัญอยู่นะ แกก็พูดอยู่อย่างนี้แหละจะว่าไง พูดด้วยญาณหยั่งทราบแน่นอนอยู่ ๆ แกก็พูดว่า ‘โอ๊ย น่าเสียดายนะ ไอ้ช้างนี่ไม่นานจะตาย แต่ตายแล้วก็ไม่ไปต่ำละ จะไปเกิดกับเศรษฐีในกรุงเทพฯ ตายแล้วมันจะไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีในกรุงเทพฯ’ นั่นบอกแล้วนะ ไอ้ช้างนี่มันก็มากับเพื่อนฝูงอยู่ธรรมดานั่นละ มันก็มาหากินอยู่นี้ละ น่าสงสาร แกพูดอยู่อย่างนี้ นั่นละญาณ..เห็นไหมล่ะ หยั่งทราบแน่นอนเลย บอกว่าน่าสงสารมัน มาหากินอยู่กับหมู่กับเพื่อน ๓ ตัว นี่ไอ้ช้างแกชี้มืออย่างนี้นะ น่าสงสาร ไม่นานมันจะตายแล้ว จะไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีในกรุงเทพฯ ไม่ต่ำแหละว่างั้น บทเวลาจะตายก็เป็นอย่างว่าจริง ๆ สัก ๓-๔ วันมั้ง หลังจากแกพูด มาหากินอยู่กับเพื่อนสามตัวเขา เขาก็ไม่รู้ภาษีภาษาอะไรละ แกพูดอย่างนี้จะให้ว่าไง แกพูดพระฟังทั่วหน้ากัน ... ไม่นานปุบปับตายจริง ๆ ‘โอ๊ย.. ไปแล้ว ตายแล้ว.. ไอ้ช้างตายแล้ว เป็นยังไงไปเกิดที่ไหน ไปที่นั่น...” ว่างั้น อย่างนั้นแล้วแกแม่นยำมาก ญาณของแกเรื่องหยั่งทราบ...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2020 เมื่อ 15:45 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#471
|
|||
|
|||
กระแสจิต... โยมหริ่ง โยมทองแดง อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ท่านพักทางจันทบุรี เกี่ยวกับกำลังกระแสจิตของคน ดังนี้ “... เท่าที่เด่นมากก็คือ เกี่ยวกับเรื่องคนจะมาทำบุญทำทานนี้ รู้สึกเด่น มันมาผ่านจิตใจของคน กระแสของจิตมันเป็นเหมือนคลื่นอากาศ อย่างไรไม่รู้นะ เหมือนคลื่นวิทยุออกอากาศ นี้เป็นไปตามนิสัยของคน .. กระแสจิตนี้แรงไม่ใช่เล่น ถ้าเพ่งแรงไปแรง ถ้าเพ่งเบาไปเบา แผ่ซ่านชุ่มเย็นไปหมด พอพูดอย่างนี้ก็ให้นึกถึง “โยมทองแดง อยู่จันทบุรี” ลูกศิษย์ของเรานี่แหละ เขามาดูถูกอาจารย์ ลูกศิษย์เราเป็นผู้หญิง แกภาวนาเก่งไม่ใช่เล่นนะ ที่ว่าแกนั่งอยู่ศาลาที่สถานีทดลองจันท์ฯ กระแสจิตของแกแรงมาก แกเคารพเราสุดหัวใจ เราบิณฑบาตมา แกเป็นนิสัยปากเปราะหน่อย ไม่ค่อยเก็บความรู้สึก เป็นอย่างไร รู้อย่างไร ว่าอย่างนั้นเลย โยมทองแดง แกก็เป็นความจริงของแกทางหนึ่งเหมือนกัน แต่ปากเปราะ ‘จะตีปากเอานะ’ เราว่า ผู้นี้เรียกเราท่านอาจารย์ ผู้นั้นเรียกท่านพ่อ พอดีเราเดินมาศาลาหลังเล็ก ศาลาก็ทำพอได้พักเท่านั้น พอเราเดินเข้ามา ว้ากวี้กขึ้นเลยนะ ‘โอ๊ย.. ท่านอาจารย์ ดูซิ ทำไมท่านอาจารย์รัศมีสง่างามหมด ครอบมาเลย แผ่มาหมดเลยเห็นไหม’ ‘รัศมีรัดสะหมาอะไร เป็นบ้าเหรอ เดี๋ยวตีปากเอานะ’ เราว่าอย่างนี้ นิ่งเงียบเลย นั่นละ บทเวลาแกจะพูด แกปากเปราะ ‘ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ‘ ‘เป็นก็จะเป็นอะไร’ ว่างั้นแหละเรา เราก็ไม่ลืม แกเลยนิ่งเป็นอย่างนั้นคนนี้ แกภาวนาดีทั้งคู่แหละ โยมทองแดงบ้านแกอยู่ทางหนองสำเร็จ ห่างจากวัดไปประมาณกิโลกว่า เราเคยไปบ้านแก แกนิมนต์ไป ไปแกก็พูดปากเปราะอย่างว่า ‘นี่ท่านอาจารย์ เห็นนิพพานแล้วนะ’ ‘นิพพานเป็นยังไง’ ‘อู๊ย .. นิพพานสง่างามมาก อยู่ทางหนองสำเร็จ’ แกชี้ขึ้นฟ้าไปนู้นละ คือแสงสว่างของแก แกตื่นเงาตัวเอง แต่เราไม่ได้บอก.. เฉย คือนิสัยแกรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้แปลก ๆ จากนั้นมาเล่า.. เราก็ให้พิจารณาอย่างนี้ ๆ จากนั้นมาเล่า.. เราก็ให้พิจารณาอย่างนี้ ๆ เพื่อจะได้เห็นนิพพานชัดเจนมากขึ้น เราว่าอย่างนี้ เราไม่ได้ปฏิเสธนะ แกว่าอะไร.. เราเลยบอกว่าให้พิจารณาอย่างนี้ ๆ จะได้เห็นนิพพาน อันนี้เข้าไปเพื่อเสริมกันแล้วจะได้เห็นงามยิ่งขึ้น แกก็จำเอาไว้เลยแล้วก็ทำ อีกสองวันแกก็ไปหาเรา ‘อู๊ย นิพพานหนองสำเร็จมันนิพพานขี้หมูขี้หมา มันขึ้นนี้แล้วมันสง่าจ้าขึ้นมาเลย โถ.. นิพพานนั้นสู้ไม่ได้เลย’ แน่ะ..เห็นไหมล่ะ อย่างนั้นละ ไม่ได้ปฏิเสธนะ ก็บอกว่าให้ทำอย่างนี้ ๆ แข่งนิพพานนั้นแล้วจะรู้เอง พอแกพิจารณา แกเอาจริงจังนะ เราว่าอะไร เพราะแกจะลงเต็มที่เลยกับเรา พอเห็นอันนี้แล้ว ‘โอ๋ย.. นิพพานเรา มันนิพพานอะไรก็ไม่รู้’นี่ละ ผู้หญิงคนนี้ ที่นี้มีพระองค์หนึ่งชอบคุย ชอบจะเก่ง ๆ อยู่งั้นละ ลักษณะบ๊งเบ๊งหน่อย ไปที่ไหนก็อยากให้เขายกตัวว่าดี นิสัยมักเป็นอย่างนั้น เรารู้นิสัยแล้ว แกอาจไม่รู้ยิ่งกว่าเรา เพราะเคยสมาคมกันมามากต่อมากแล้วกับพระองค์นี้ ไม่ระบุชื่อแหละ พระองค์นั้นก็ไปบ้านโยมทองแดง บ้านแกอยู่กลางทุ่งนาหลังเดียวห่าง ๆ กึ๊กกั๊กไปถึงแก พอขึ้นไปก็นั่งภาวนา ไป คุยโม้โอ้อวด ก่อนจะนั่งภาวนาก็บอกแกว่า ‘เอ้า ! โยมทองแดง มานั่งภาวนากัน นั่งภาวนาแข่งอาจารย์ นั่งภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัวดูหน่อย เป็นยังไงว่ะ’ ปากบ๊งเบ๊งละท่านองค์นี้ แกกับเราเป็นยังไงกัน.. แกก็รู้ดีนี่นะ นี่ละ..แกโกรธตรงนี้ ถ้าว่าโกรธนะ ‘อาตมาก็จะนั่งนี้’ พระนั่งพักบน โยมคนนี้นั่งอยู่ข้างล่างก็นึกว่า เอ้า.. นั่งภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัว คือพระนี้หยิ่งอย่างนั้นตลอด.. พระน่ะ พอพระว่าอย่างนั้น โยมคนนี้ก็นึกในใจ ‘โถ.. เราเคารพท่านสุดหัวใจเรา แล้วทำไมถึงให้ภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัวล่ะ’ คือนิสัยพระองค์นี้ปีนอยู่เรื่อย ๆ นิสัยของแกเป็นอย่างนั้น พระองค์นั้นพูดเสร็จก็นั่งภาวนาทันที โยมทองแดงแกก็นั่งจีบหมากที่จะเอามาถวายเราในตอนเช้า แกคิดว่า ‘พระอาจารย์องค์นี้ดูถูกอาจารย์เรา พูดคำไหนก็มีแต่ขวางอาจารย์ของเรา อวดเก่งกับอาจารย์ของเราตลอด เป็นยังไงพระองค์นี้.. จะเก่งขนาดไหน ท่านเก่งจริง ๆ หรือ เราจะทดลองดูหน่อย จะดัดนิสัยอาจารย์องค์นี้ให้เห็นประจักษ์สักหน่อยน่ะ เอะอะจะให้เป็นคู่แข่งกับอาจารย์ของเรา..อาจารย์มหาบัว ท่านเก่งขนาดไหนเราจะลองดู’ แกนั่งอยู่ข้างหลัง พระองค์นี้ก็นั่งภาวนา พอแกคิดอย่างนั้นแล้ว ก็เพ่งกระแสจิตในขณะที่มือกำลังจีบหมาก กินหมากอยู่ พอแกกำหนดจิตดีแล้วก็กำหนดเป็นไฟ เพ่งเอาธาตุไฟเผาพระองค์นั้น ใส่จี้เข้าไปก้นเลย ดีดผึงเลยเทียวนะ จนกระโดดตกตูมลงมาจากที่นั่งภาวนา ร้องเสียงดังบ๊งเบ๊งขึ้นเลยว่า ‘ทำไมทำรุนแรงอย่างนี้ โยมทองแดง ทำไมกำหนดไฟเผาอาตมา’ แกว่า ‘เผาอะไร ฉันก็นั่งอยู่ธรรมดานี้ กำลังนั่งจีบหมากอยู่’ ดีดผึงเลยจริง ๆ นะ โดดตกตูมเลย เผาอย่างแรง แกว่าอย่างนั้น นั่นเห็นไหมกระแสจิต นี่ละ..อำนาจของจิต..กระแสของจิต เผาเสียจนพระโดดตกลงมา ทำไมทำรุนแรง เอาไฟมาเผากัน เผายังไงไม่รู้ละ ดุใหญ่เลย แกว่า ‘เห็นไหม อยากเก่งกว่าอาจารย์เรานัก แล้วไม่เห็นเก่ง เพียงถูกไฟเท่านี้ก็โดดแล้ว อาจารย์เราไม่เห็นโดด ถ้าเก่งกว่าอาจารย์มหาบัวของเราจริง ๆ ก็ให้รู้ซิ ดับไฟดับยังไง เรื่องภาวนาดับกันได้นี่ ไม่เห็นดับได้ มีแต่บ๊งเบ๊ง โดดผึงออกมา นี่แสดงว่าใช้ไม่ได้ อยากมาคุยโม้กับอาจารย์เรา’ แกมาเล่าให้เราฟังทีหลัง แกปากเปราะคนนี้ คือแกคงทดลองเราพอแล้วแหละ แต่เรามันเฉยไม่เคยสนใจ โยมทองแดงแกถือเราเป็นอาจารย์ เคารพเรามากที่สุด ขบขันดีเหลือเกิน พระองค์นั้นมาคุยเหยียบเรา ลูกศิษย์เราซัดเสียก่อน (หัวเราะ) นี่ละอำนาจของจิต แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2020 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#472
|
|||
|
|||
พลังของจิตโยมทองแดงนี้กำหนดให้รถหยุดก็ได้ พูดอย่างตรงไปตรงมา แน่นอนเลย.. รถจะวิ่งขนาดไหนก็วิ่งเถอะ กำหนดปั๊บ.. นี่หยุดเลย..ไปไม่ได้ กำหนดให้หยุด ๆ เลย เครื่องยนต์กลไกพอกำหนดปั๊บ.. หยุดเลย อย่างนี้ละกำลังของจิต ...
โยมทองแดงแกบอกว่า รถนี้จะให้หยุดเมื่อไร..หยุดได้เลย กำหนดปั๊บใส่นี้..หยุดกึ๊กเลย..ไปไม่ได้ จนเจ้าของเขางง เขามองหน้าเรา คือแกเคยมาแล้วละ เรื่องเคยแต่ไม่พูดเฉย ๆ รถมันกระแทก แต่ก่อนทางไม่ได้ลาดยาง เป็นหินลูกรัง รถมันกระแทก แตงอยู่ในตะกร้าของแกตกออกเรื่อย แกเก็บเข้าเรื่อย แล้วกระแทกตกออกไปเรื่อย มันเป็นยังไงรถคันนี้แกนึกในใจ แกกำหนดใส่รถให้รถไปช้า ๆ คือแกจะขนแตงของแกขึ้น ‘เอ๊ รถนี้มันเคยไปเร็ว ทำไมมันถึงไปอย่างนี้เหมือนเต่า’ เขาว่างั้น เขาว่าของเขาเอง รถมันค่อยไปเอื่อย ๆ เร่งเท่าไร ๆ มันก็ไม่ไป มันเอื่อย ๆ แกก็ขนแตงแกใส่ตะกร้า พอแกขนแตงแกเสร็จแล้วแกก็หยุด ทีนี้รถเขาก็วิ่งปึ๋ง ๆ เอา รถกระแทกอีกตกอีก ตูมตาม ๆ อีก แกกำหนดอีกให้รถช้าอีก ‘เอ๊ รถคันนี้ทำไมวันนี้เป็นอย่างนี้’ เขาว่างั้น ทีแรกเขายังไม่สงสัยแก ‘รถคันนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ธรรมดาวิ่งเร็ว เร่งขนาดไหนก็ได้ แต่วันนี้ทำไมเร่งแล้วก็ยังเอื่อย ๆ มันเป็นยังไงรถคันนี้’ พอแกเก็บแตงเสร็จแล้วแกก็ปล่อย รถก็บึ่งไปเรื่อย ๆ พอรถวิ่งไปกระแทกอีก แตงตกอีก เก็บอีก ๆ แกกำหนดจิตใส่อีก สุดท้ายเขาเลยมองหน้าแก ‘เหอ เป็นยังไงหรือยายให้รถหยุด’ ‘อ้าว ก็ฉันนั่งอยู่บนรถ จะให้รถหยุดยังไง มันก็ขึ้นอยู่กับแกแหละ’ ‘ใช่เหรอ .. ? ?’ สุดท้ายเขาเลยจ้องดูแก เขาแน่ใจว่าเป็นยายคนนี้แหละ เพราะมันหลายหนกว่าจะไปถึงที่ลง รถวิ่งเอื่อย ๆ แล้วหยุด บางทีหยุดจนกว่าแกจะเก็บแตงเสร็จ พอวิ่งทีไรรถกระแทกแตงตกออกไปอีก เก็บอีกอยู่งั้น แล้วกำหนดจิตให้รถหยุดอยู่เรื่อย จนกระทั่งเขาจับได้ ‘โฮ้..คงเป็นยายคนนี้แหละ ทำให้รถหยุด’ ‘อย่ามาหาเรื่องนะ’ แกว่า แกขับไม่ดีเอง แกว่างั้น ความจริงแตงเราตก เราเก็บแตง ก็เลยกำหนดไม่ให้รถมันวิ่งเร็ว บางทีกำหนดให้มันหยุดมันก็หยุด หลายครั้งหลายหนเขาก็เลยงง สุดท้ายก็มองมาหาเรา มองมาหาแกนะ พอแกเก็บแตงเสร็จก็บอกไปซิรถ มันก็ไปเรื่อยของมัน สักเดี๋ยวแตงตกอีก เอาอีกอยู่งั้น นี่พูดถึงเรื่องแกกำหนดให้หยุด หยุดได้จริง ๆ แกแน่นอนมาก แกบอกเรื่องเครื่องยนต์กลไกกำหนดให้หยุด หยุดได้เลยแกเล่า ท่านอาจารย์ลี ท่านอาจารย์ฝั้น พลังของจิตใช้ในทางนี้เก่งเหมือนกัน กำหนดให้หยุด หยุดได้เลย ๆ เครื่องยนต์กลไก นี่พลังของจิตมันต่างกัน .. อีกคนชื่อ โยมหริ่ง (ชาวตราด) แกไปกันสองคน ภาวนาเก่งด้วยกันทั้งคู่ คนนี้แกไม่ค่อยพูด ทุกสิ่งทุกอย่างแกรู้มากนะ คนนี้ยิ่งมากกว่านั้นอีก ทีนี้แกไปเรากำลังเย็บผ้าอยู่ที่กุฏิที่สถานีทดลอง แกขึ้นไปสองคนกับโยมทองแดง เราเย็บผ้ากับพระอยู่เฉลียงกุฏิเรา ‘มาทำไม กำลังเย็บผ้า ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ยุ่งหาอะไร’ เราว่าเท่านั้นแล้วเราก็หยุด แล้วก็เย็บผ้าของเราไปเรื่อย ๆ แกนั่งนิ่งทั้งสองคน สักเดี๋ยวไม่นานนัก เราไม่พูดด้วยนี่ เราเย็บผ้า เขาดูเรา เราจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา ส่งจิตไปที่ไรจ้องเราอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เย็บผ้าท่านก็เย็บแต่จิตจ้องเราอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เลยร้อน ร้อนทั้งคู่เลย รู้ด้วยกันทั้งสอง นั่นเป็นอย่างนั้น สักเดี๋ยวแกก็ลงไป แกลงไปแกพูดขบขัน ‘โอ๊ย วันนี้นึกว่าจะไปดูท่านพ่อบัว ที่ไหนได้พอส่งจิตปั๊บท่านจ้องเราอยู่แล้ว ท่านไม่ได้เย็บผ้า จิตท่านจ้องเราอยู่ตลอดเวลา ส่งทีไรจ้องอยู่แล้ว อยู่ไม่ได้เรา กลัวท่านมากเผ่นเลย’ มาดูทีไรท่านจ้องอยู่นี้ เลยถอยจิตออกมา พอจ่อเข้ามาทีไรท่านจ้องเราอยู่แล้ว ถึงสามหน โอ๋ย.. ไม่ได้ เดี๋ยวท่านจะเขกเอา เลยกราบมับ ๆ เปิดหนีลงไปเลย พอตอนบ่าย ๆ โยมหริ่งอยู่ ๆ แกหัวเราะคิก ๆ ขึ้นมาคนเดียว ว่าจะมาดูใจเรา ที่ไหนได้เราดูแกอยู่แล้ว แกไม่ค่อยชอบพูดอะไร นิสัยแกไม่ค่อยชอบพูด ไม่ปากเปราะเหมือนคนอื่น อยู่ ๆ แกก็หัวคิก ๆ ขึ้นมา โยมทองแดงถาม ‘ป้าเป็นอะไร’ ‘อู๊ย.. มันขบขัน เราว่าจะไปดูจิตท่าน โอ๋ย.. ท่านเย็บผ้าอยู่เหมือนไม่ดูไม่อะไร พอส่องจิตเข้าไปทีไรท่านจ้องดูเราอยู่แล้ว ท่านจะตีหน้าผากเรา ท่านเย็บผ้า ท่านดุเราเลยกลัวใหญ่เลย เลยอยู่ไม่ได้ต้องลงมา จ้องไปทีไรท่านจ้องเราอยู่แล้ว ก็เปิดเลยเท่านั้น โหย.. ท่านไม่ได้เย็บผ้านะ .. จิตน่ะ มือท่านเย็บผ้า จิตท่านจ้องอยู่นี้ กลัวท่านก็เลยลงมา มันอดขบขันไม่ได้ เหมือนว่าจะไปต่อยท่าน ที่ไหนได้หมัดท่านจ้องอยู่นี้แล้ว เลยลงมาหัวเราะกิ๊ก ๆ นะ อย่างนั้นละแกรู้นะ แกไม่ค่อยพูดแหละ พูดอะไรจริงอันนั้นนะ แกพูดตรงไหนแน่ทุกอย่าง แกกลัวมาก กลัวเรา ก็มีสองคนฝ่ายผู้หญิง คงเสียไปแล้วแหละ เพราะแก่กว่าเราทั้งนั้น โยมทองแดงตอนนั้นดูอายุ ๕๐ แล้ว โยมหริ่งถึง ๖๐ กว่าแล้วแหละ คงเสียไปหมดแล้ว มีสองคนนี่ละภาวนาดีอยู่ โยมหริ่งก็เก่งทางภาวนา ดูใจคนนี่รู้หมดเลย เพราะฉะนั้น แกมานั่งปั๊บจะมาดูใจเรา แกภาวนาดีทั้งสอง คิดว่าจะผ่านได้ทั้งสอง เราดูเข้าวิถีแล้ว เข้าวิถีที่จะพ้น.. ไม่ถอยแหละ แต่ตอนนั้นยัง ทางจังหวัดจันท์ฯ มีคนหนึ่ง ทางจังหวัดตราดก็มีคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น จากนั้นก็ไม่ค่อยปรากฏนัก.. ธรรมดา ๆ แต่สองคนนี่สำคัญอยู่มาก ไปอยู่จันท์ฯ คราวนี้ก็ได้ประโยชน์ สำหรับผู้หญิงก็เด่นอยู่สองคน .. โยมหริ่งจะพ้นได้นะ เพราะเข้าช่องแล้ว เข้าช่องจะไปแล้ว โยมทองแดงก็เหมือนกัน ตอนนั้นยัง หากจะไปถ้าลงเข้าจุดนี้แล้วพุ่งเลย.. ไม่ถอย ส่วนนอกนั้นก็มีธรรมดา พระที่ได้คติเครื่องเตือนใจมีอยู่เยอะ เราไปจำพรรษาที่สถานีทดลองฯ...” อีกเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นที่สถานีทดลองฯ เช่นกัน แต่คนนี้เป็นโยมผู้ชาย องค์ท่านเล่าไว้ ดังนี้ “.. ที่จันท์ฯ นี่ ลูกศิษย์ก็มีหลายคนนะที่มีจิตประเภทนี้ ที่จันท์ฯ นี้มีหลายคนอยู่ ผู้หญิงมีสองคนกับผู้ชาย ที่เราทราบชัดแล้วก็คือผู้นี้แหละคนหนึ่ง เรียกว่าสามคนก็ได้ ที่ชัดเจนแล้วผู้หญิงก็สองคน คนหนึ่งรู้ทั้งจิต จิตใครเป็นยังไง ๆ แกรู้หมด คนหนึ่งไม่พูดถึง แต่เรื่องภูมิจิตเหมือนกัน มีผู้หญิงสองคนกับผู้ชายคนหนึ่งก็จันท์ฯ ที่สถานีทดลองนั่นละ .. โยมผู้ชายคนนี้แกมาพูดให้ฟัง ตัวแดงขึ้นนะ แกโมโหให้ตัวเองนั่นแหละ คือแต่ก่อนแกไม่พอใจในการไปวัดไปวา เขามาชวนก็เคียดโกรธแค้นให้เขา ‘ถ้าหากว่าชวนไปแล้วฆ่าเลย แกจะตามฆ่าเลย’ แกว่าอย่างนี้นะ เวลานี้จิตแกลงแล้ว.. เห็นจิตใจคนอื่น โยมคนนี้นะอยู่ที่สถานีทดลองฯ .. แกมาเล่าให้ฟังเห็นจิตเห็นใจคน ใคร ๆ แกก็เห็น เวลามันกำลังเมาหมัดกิเลสอยู่ เขามาชวนไปวัดโกรธให้เขาทั้งวัน ว่าอย่างนั้นนะแกพูด พูดแล้วดูตัวแก.. ตัวแดงขึ้น แกโมโหให้ตัวเอง แหม เวลามันหนามันหนาขนาดนั้น คือเวลานี้วางแล้ว.. มองเห็นจิตคนอื่น ... (ทีนี้) ท่านสิงห์ทองเป็นพระขี้ดื้อ พอพูดถึงเรื่องรู้จิตใครต่อใคร ท่านคงคันฟันนะ ท่าอยากให้เขาถาม เขาไม่ถามก็เลย (ถามเอง) .. ‘ส่วนจิตของอาตมาพ้นหรือยัง’ ‘จิตท่านยังไม่พ้น แต่ละเอียดมากสุด ไม่เหมือนท่านอาจารย์นี่พ้นแล้ว’ บอกชัด ๆ เลย แกพูดหน้าตาเฉย ท่านสิงห์ทองหน้าซีด ไอ้เราจะหน้าบานหรือหน้าบึ้งก็ไม่รู้ละ แกว่าอย่างนั้นละ แกเล่าให้ฟัง.. เวลาจิตแกผ่องใส แกเห็นจริง ๆ เห็นจิตใจคนอื่น เห็นจริง ๆ ..” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2020 เมื่อ 14:53 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#473
|
|||
|
|||
บ้านพักสามผาน เมื่อออกพรรษาแล้วท่านได้พาโยมมารดามาพักที่บ้านสามผาน อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี (ขณะนั้นยังไม่เป็นวัด) แม้กระนั้น ญาติโยมทางสถานีทดลองฯ ก็ยังได้ตามมาฟังธรรม และนิมนต์ขอให้ท่านกลับไปอยู่เนือง ๆ จนบางครั้งเป็นเหตุให้ญาติโยมทางบ้านสามผานเริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย เพราะก็เคารพรักท่านเหมือนกัน ไม่อยากให้กลับไป อยากจะให้ท่านอยู่ที่นั่นนาน ๆ หรือหากเป็นไปได้ก็อยากให้อยู่ตลอดไปเลย ในหนังสือประวัติหลวงปู่ฟัก สันติธัมโม กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานี้ว่า “... พอถึงช่วงเวลาที่หลวงตามหาบัวมาจำพรรษาที่จันทบุรี ณ วัดชากใหญ่ อำเภอแหลมสิงห์ ก่อนหลวงตาจะกลับไปอุดรธานี ผู้ใหญ่ปิ๋นได้ไปนิมนต์ท่านขึ้นมาพักบนเขาน้อยสามผาน โดยมีพระอาจารย์ฟักซึ่งยังเป็นฆราวาสตามผู้ใหญ่ไปนิมนต์ด้วย เมื่อท่านรับนิมนต์ จึงได้พาคณะรวมทั้งโยมมารดาของท่าน ขึ้นมาพำนักที่กุฏิชั่วคราวบนเขา สมความปรารถนาของผู้นิมนต์ ในครั้งนั้นพระอาจารย์ฟักเป็นผู้ถือบริขารของหลวงตาเอง พร้อมทั้งมาอุปัฏฐากรับใช้ ครั้งรุ่งเช้าก็คอยถือย่ามตาม เพื่อนำทางว่าควรไปโปรดญาติโยมทางไหนบ้าง เพราะท่านเป็นคนในพื้นที่ย่อมรู้หนทางเป็นอย่างดี...” พอดีในตอนนั้น โยมมารดาก็ป่วยมากด้วยโรคอัมพาต จำเป็นจะต้องได้พากลับมาที่บ้านตาด จังหวัดอุดรธานี อีกทั้งโรคของโยมมารดาก็บังเอิญถูกกับยาสมุนไพรของหมอที่นั่น จึงเป็นอันต้องจากชาวจันทบุรีมาด้วยความอาลัยทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุที่ท่านไปจังหวัดจันทบุรีในคราวนั้นเอง จากนั้นมาชาวจันทบุรีก็ได้ตามมาศึกษาปฏิบัติธรรมกับท่าน ที่วัดป่าบ้านตาดไม่เคยขาด และท่านเองหากมีโอกาสก็จะไปเยี่ยมพี่น้องชาวจันทบุรีอยู่เสมอเช่นเดียวกัน สำหรับการเที่ยววัดกรรมฐานในจังหวัดอื่น ๆ ของภาคตะวันออก องค์หลวงตาได้เคยกล่าวไว้เช่นกัน แม้มิได้ระบุช่วงเวลาที่แน่ชัดไว้ก็ตาม ท่านได้ยกเอาท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตตโก เป็นต้นเหตุแห่งกรรมฐานในจังหวัดชลบุรี ดังนี้ “... ท่านอาจารย์เกิ่งได้ลูกศิษย์ลูกหามาก เฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายพระอยู่ทางเมืองชลฯ ฆราวาสไม่ค่อยมี แต่พระมีเยอะ ท่านไปอยู่ต้น ๆ บางพระ แถวนั้นแหละ จากนั้นขยายออกวัดวา เราไปเที่ยวหมดแถวนั้นตามหลังท่านไป สำนักท่านอาจารย์เกิ่ง ๆ เราไปเที่ยวตามหลังท่าน ... เราไปเที่ยวทางโน้น ท่านไปก่อนหน้าแล้ว .. เบิกทางกว้างขวางไว้หมด วงกรรมฐานเข้าใจกันพอสมควรแล้ว เราไปตามหลัง ท่านอาจารย์เกิ่งเบิกทางก่อน สมชื่อสมนามที่ท่านเคยเป็นอุปัชฌาย์ ญัตติปุ๊บเป็นธรรมยุต ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรียน ก.ไก ก.กา ใหม่.. ตั้งใหม่เลย เป็นผู้ใหม่ใช่ไหมล่ะ นิสัยท่านดูลักษณะท่าทางน่าเกรงขาม” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2020 เมื่อ 18:34 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (25-06-2020)
|
#474
|
|||
|
|||
พระโปฏฐิละ ใบลานเปล่า ...พระโปฏฐิละ พระพุทธเจ้าท่านเห็นนิสัยองค์นี้สามารถที่จะบรรลุธรรม พระโปฏฐิละกำลังเพลินสอนอรรถสอนธรรมให้โลกสงสารอยู่ พอไปหาท่านก็ใส่ปัญหาเลย โปฏฐิละ ๆ โปฏฐิละ แปลว่าใบลานเปล่า เรียนเปล่า ๆ หัวโล้นเปล่า ๆ บวชเปล่า ๆ กินข้าวชาวบ้านเปล่า ๆ เข้าใจไหม มีแต่เปล่า ๆ โปฏฐิละ ท่านก็สะดุดใจกึ๊กเลย พระพุทธเจ้าเทศน์โปฏฐิละ..ใบลานเปล่า ๆ เท่านั้น ท่านต้องเล็งเห็นนิสัยของเรา ท่านหยั่งไปทางเป็นมงคลนะ ... พอกลับมาถึงวัดเตรียมของไปกลางคืนเลย สำนักไหน ๆ สำนักวงกรรมฐาน ครูบาอาจารย์องค์ใดที่เด่นด้วยอรรถด้วยธรรมจริง ๆ ภายในใจ แล้วบึ่งเข้าไปหาองค์นั้น ทีนี้ในวัดนั้นมีแต่พระอรหันต์ จนกระทั่งถึงเณรน้อยก็เป็นอรหันต์ อยู่นี่ ๔-๕ องค์สำเร็จทุกองค์ .. ไปถึงก็เข้าหาพระเถระ มหาเถระ เรื่อยมา ๆ จนกระทั่งสุด เณรสุดท้าย. .ไปถึงองค์ไหนก็ว่า โอ้ย ผมพึ่งบวชมา ผมไม่รู้ภาษีภาษาอะไร นี่..ท่านรู้นิสัยแล้ว..ว่างั้น เณรน้อยก็เณรน้อยอรหันต์ โง่เมื่อไร ... เณรน้อยไม่ใช่ขอนซุง บางรายพระไปตบหัวเณร ไม่อยากสึกหรืออีลุง ว่างั้นนะ เรียกลุงนะ ไม่อยากสึกหรือ เณรไปตบหัวเล่นนะ.. เณรก็บอกว่าไม่อยากสึกก็ว่างั้น ก็เป็นอรหันต์แล้วสึกไปหาอะไร สึกไปหาขอนซุงนี้เหรอ ขอนซุงที่กำลังตบหัวอยู่นี้เหรอ เณรเป็นอรหันต์ พระเป็นพระปุถุชน นี้เป็นปุถุชนไปเคาะหัวพระอรหันต์ แต่ก็ดีนะล่ะ พอมาทราบที่หลังแล้ว โอ้ย เห็นโทษจริง ๆ นะ กลับไปขอขมาเณรนะ เณรก็เฉย ก็เป็นอรหันต์จะไปอะไรกับใคร เณรก็ไม่ว่าอะไร ไปตบหัวเณร คือมันน่ารัก ... นี่ขอนซุงไปเคาะทองคำทั้งแท่ง มันเป็นอย่างนั้น มีในตำรา แล้วก็ไปขอขมาเณรนะ... ที่ว่าพระโปฏฐิละถวายตัวเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกศิษย์จริง ๆ เณรนั้นเป็นเหมือนมหาเถระ โปฏฐิละองค์นั้น ก็เป็นเหมือนสามเณรน้อยตามหลังเลยนะ ท่านจริงจังมาก ถ้าลง.. ลงอย่างนั้น เณรหาอุบายวิธีทรมานทุกอย่างนะ นั่นเห็นไหม เณรอรหันต์นะ หาอุบายวิธีทรมานดูทิฐิมานะ จะมีอะไรบ้าง ? บางทีให้ครองผ้าดี ๆ แล้วบอกว่า ผมอยากได้อันนั้นในกอไผ่ กอไผ่หนาม ๆ นั่นน่ะ ได้ครองผ้าเสียก่อนให้ไปเอา พอจะเข้าไปถึง ไปจริง ๆ นะ ไปกอไผ่นี้เข้าไป ให้บุกเข้าไป พอไปถึงจริง ๆ .. เอาละ ผมไม่เอาแล้ว เณรทรมาน บางทีครองดี ๆ จะให้ไปเอาอะไรในน้ำ อยากได้อะไรในน้ำนั้น ครองผ้าดี ๆ ก็ลงไป ครั้นพอผ้าจะเปียกให้ขึ้นมาเสีย ก็หาอุบายวิธีดูทิฐิมานะมีหรือไม่มี พอเห็นว่าจริงจังไม่มีทิฐิมานะ เณรก็เลยเริ่มสอน พอเณรสอนจนท่านถึงธรรมขั้นสูง เพื่อเป็นการให้เกียรติพระโปฏฐิละที่ท่านเป็นเถระ เณรก็เลยพาพระโปฏฐิละนี้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า นั่น.. ให้เกียรตินะ พอไปถึงพระพุทธเจ้า เป็นยังไงเณร ลูกศิษย์ของเธอเป็นยังไง อู้ย.. หายาก หาอย่างนี้หายาก เวลาจะเข้าด้ายเข้าเข็มจริง ๆ ก็มอบถวายพระพุทธเจ้าให้พระองค์สอน เณรก็หลบก็เพื่อให้เกียรติพระเถระ ไปสำเร็จกับพระพุทธเจ้า เณรสอนเรียบร้อยแล้วนะจวนแล้วก็ไปหาพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงสอนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่เป็นอย่างนั้นละ ท่านถือเนื้อถือตัวเมื่อไร... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 27-06-2020 เมื่อ 11:25 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#475
|
|||
|
|||
แกล้งดัดเณร คราวหนึ่งที่ห้วยทราย ท่านมหาต้องหาวิธีดัดนิสัยเณรที่ชอบร้องเสียงดัง เวลามีอะไรมาทิ่มแทงให้เจ็บด้วยความขบขัน เพื่อให้เณรระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ดังนี้ “สัญชาตญาณของมนุษย์เรามันรักษากัน ป้องกันกัน หรือป้องกันตัวอะไรนี้ มันมีของมัน นี่หมายถึงธรรมดา นอกจากจะแกล้งหรือทำตลกเป็นอีกแง่หนึ่ง ท่านน้อย (ที่ไปอยู่สหรัฐทุกวันนี้) ท่านน้อย หลานท่านสิงห์ทอง ท่านน้อย ท่านอุ่น ตอนนั้นไปอยู่ห้วยทรายด้วย มันเป็นเณร อะไรผ่านนิดหน่อยไม่ได้ แต่ธรรมดานิสัยไม่ชอบพูดนะ เงียบ ๆ แต่อะไรผ่านถ้าเจ็บ.. ว้ากขึ้นเลย เณรร้องนี้เร็ว ‘ว้าก’ ขึ้นเลย พาเณรนี้เข้าไปเอาไม้กวาด อยู่ในบริเวณวัด เอาไม้กวาดไม้อะไรมา ไปนั้น..พวกปลวก ปลวกไม่ใช่ปลวกเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ ปลวกใหญ่ เราก็รู้นิสัยเณรนี้มันร้องเก่ง นี่เป็นนิสัยของมัน พอตื่นนิดหน่อยร้อง ‘แอ้’ ขึ้นเลย พอไปถึงปลวก ปลวกก็ตัวใหญ่ ๆ ไม่ใช่ปลวกตัวเล็ก ๆ มันไม่มีทางก็เดินตามป่าไป มองลงไป เห็นแต่ปลวกเต็ม บทเวลาจะดัด มีสัญชาตญาณหรือไม่สัญชาตญาณ มันจะดัดกันเป็นยังไง เราไปเห็นปลวกมันเต็มที่ เราก็ทำท่าเซ่อ ทำท่ามองนู้นมองนี้ มันอะไรอยู่แถวนี้ คืออยากให้เณรเซ่อไม่มอง เราก็ดันไว้.. ดันทางที่จะปลอดภัยไว้ เปิดทางที่ปลวกจะฟาดเณรไว้ มันก็เดินไป คอยฟังเสียง ‘ว้าก’ มันมากนะ ปลวกใหญ่ ฟังเสียงมันร้อง ‘ว้าก ๆ’ ร้อง ‘ว้าก ๆ’ เสร็จ เราก็บอกว่า ‘ได้การ ๆ’ คือดัดสันดานเณร เรียกว่าได้การ ไม่ลืมห้วยทราย มันชอบร้อง เณรนี้.. เอะอะร้อง พอดีปลวกฟัดมันเสียเต็มเหนี่ยว เสียงร้องก้าก ๆ เราเลยบอกว่า เออ.. ได้การ ๆ ขบขันดี...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2020 เมื่อ 18:41 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (25-06-2020)
|
#476
|
|||
|
|||
อักษรสีเขียวแบบสว่างบนพื้นขาว มองแล้วแสบตาครับ สีน้ำเงิน กับแดงเข้ม ให้ภาพที่ชัดสบายตาครับ
|
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สมเกียรติ สุโขทัย ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#477
|
|||
|
|||
ดัดคนให้ทันกัน “... ปลัดอำเภอคำชะอีเขาสนิทสนมกันกับผู้ใหญ่จูม เวลาเขาพูดกับผู้ใหญ่จูม เขาจะบี้จมูกไว้ก่อน ‘ผู้ใหญ่จูมเวลาแต่งตัวนี่ ข้าหลวงสู้ไม่ได้ แต่เวลาเขียนหนังสือเหมือนไก่เขี่ย’ พอดีแกส่งจดหมายมาหาเรา เราอ่านไม่ออก อ่านออกแต่ขำตัวเดียว คือแกชื่อจูม นามสกุล ผิวขำ คำว่า “ผิว” อ่านไม่ออก อ่านได้แต่ “ขำ” ตัวเดียว สองสามวันแกก็ตามมา แกคงสงสัยอ่านได้มั้ย ‘ท่านอาจารย์ได้รับจดหมายผมแล้วยัง’ ‘ได้รับแล้ว’ ‘แล้วเป็นอย่างไร อ่านออกไหม’ 'ทำไมอ่านไม่ออก ผู้เขียนเขียนได้ ผู้อ่านอ่านไม่ได้มีอย่างเหรอ’ ‘ลองอ่านดูซิ’ เราอ่านไม่ออกจริง ๆ นะ เราก็เลยว่า ‘อืออา ๆ ๆ ... ขำ’ เราว่าอย่างนั้น ‘อ้าว ทำไมอ่านอย่างนั้น’ ‘ก็เขียนอย่างนั้นนี่’ เราก็ว่า คืออ่านไม่ออกเลย ผิวขำ ผิวก็อ่านไม่ออก ได้แต่ขำตัวเดียว ให้เราอ่าน.. เราก็อ่านอืออา ๆ ๆ ขำ เราว่าอย่างนั้น ทำไมอ่านอย่างนั้นล่ะ อ้าว.. ก็เขียนอย่างนี้นี่ ดัดคนให้มันทันกัน...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2020 เมื่อ 19:29 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (27-06-2020)
|
#478
|
|||
|
|||
เลิกปรารถนาพุทธภูมิ “... เราก็ไม่เคยพูดนะ อย่างนี้นะ เพราะมันเป็นเรื่องผ่านมาแล้ว ไม่ทราบพูดหาอะไร ทีนี้เวลามันสัมผัสเราก็พูดบ้าง มันนานแล้ว แล้วแก (แม่ชีแก้ว) ก็ถาม ‘เท่าที่พิจารณาดูนะ ที่มันรู้มา ญาท่านนี้เคยปรารภพุทธภูมิมานะ แล้วทำไมถึงเลิกเสียล่ะ ใช่ไหม’ แกว่างั้นนะ เราก็ไม่ตอบเลยกระทั่งบัดนี้ ยังไม่ตอบเลยนะ แกถามแบบสงสัยนะ เราก็เฉยเลย แกก็จับคำอะไรเราไม่ได้นะ เราก็ไม่เคยพูดที่ไหนว่าเราเคยปรารถนาพุทธภูมิมา เราก็ไม่เคยพูดที่ไหน แต่แกทำไมนำมาพูดทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยพูดที่ไหนเลยนะ ว่าเราเคยปรารถนาพุทธภูมิหรือไม่ เคยปรารถนาเราก็ไม่เคยพูด แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แกก็ไม่กล้าถามอีกนะ เราก็เฉยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แกตายไปแล้วเราก็เฉย..” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2020 เมื่อ 19:30 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (27-06-2020)
|
#479
|
|||
|
|||
ดุเณรร้องไห้ “... ท่านอาจารย์คำดีท่านสอนพระ คือท่านฝึกนิสัยใหม่หมด ท่านเล่าให้เราฟัง นิสัยท่านสุภาพเรียบร้อยมากทีเดียว เรานึกว่าเป็นนิสัยเดิมท่าน เราก็ได้ชมนิสัยท่านเรียบราบมากทีเดียว เวลาสนิทกันนาน ๆ เข้ามาแล้ว ท่านเลยเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ‘กิริยาอาการที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้ ผมฝึกหัดใหม่นะท่านมหา ไม่ใช่นิสัยเก่าผม’ นี่เราได้ชมว่าท่านฝึกได้เรียบจริง ๆ เป็นใหม่ขึ้นมาหมด ฝึกหัดนิสัยได้ใหม่หมดเลย ‘แต่ก่อนผมนิสัยวู่วาม ให้ทันใจ ใจร้อน อะไรพอขว้าง.. ขว้าง อะไรพอปา.. ปา ต้นเหตุที่จะมาให้ผมดัดนิสัยผมอย่างเด็ดขาด.. เกิดขึ้นจากเณรที่วัดศรัทธาราม โคราช’ ท่านพักอยู่วัดศรัทธาราม เขาถวายผ้ามาแล้ว ‘เณรเย็บเป็นผ้าสบง ทีนี้เณรเย็บผิด เอามาดูก็ผิดจริง ๆ พอเห็นเย็บผ้าผิด ท่านก็เลยฉีกต่อหน้าเณร ผ้าใหม่ ๆ นะ ท่านฉีกผ้าต่อหน้าเณรเลย ท่านไม่สนใจ ตามนิสัยดั้งเดิมของท่านเป็นอย่างนั้น ผ้าใหม่ ๆ เย็บผิดเท่านั้น .. ฉีกเลย เณรไปนั่งแอบอยู่ต้นเสา ไปร้องไห้อยู่ต้นเสานู้น ท่านไปเห็นไปเจอเข้า เณรที่เย็บผ้าผิด.. ถูก เราทำประชดฉีกผ้านี้ ไปนั่งอยู่ข้างเสาร้องไห้อยู่นั้น เลยไปสะดุดใจอย่างแรง ว่าเณรนี้ได้ร้องไห้เสียใจ หรืออะไรก็ไม่รู้แหละ เกิดจากเหตุที่เราฉีกผ้าที่เณรเย็บผิดนั่นต่อหน้าต่อตาเณร เณรเลยไปนั่งแอบต้นเสาร้องไห้ นั่นละ ท่านนำมาดัดท่าน ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเล่าให้เราฟังเอง ‘เรื่องเหล่านี้มันก็มีผิดมีพลาดได้ เย็บสบงจีวร ไม่ว่าอะไรผิดพลาดได้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ผิดพลาดก็ธรรมดา ๆ ความเสียหายมาอยู่ที่เราทำเวลานี้ เอาผ้าที่เย็บผิดนั่นน่ะมาฉีกต่อหน้าต่อตาเณร ผ้าไม่เสีย มันเสียเรา นี่ถ้าเราไม่ฝึกหัดนิสัยใหม่ นิสัยนี้จะไปใหญ่ จะทำให้เสียพระทั้งองค์ คือเรานี้เอง ตั้งแต่นี้ต่อไป นิสัยอย่างนี้เราจะไม่เอามาใช้เป็นอันขาด เราจะฝึกหัดนิสัยใหม่หมดเลย นิสัยเก่าตัดขาดสะบั้นไปเลย เอานิสัยเรียบร้อยดีงามมาใช้ เพราะฉะนั้น ผมถึงมีนิสัยอย่างนี้ท่านมหา นิสัยเดิมผมไม่ได้เป็นอย่างนี้’ ท่านก็เล่าให้ฟัง เพราะนิสัยท่านเรียบร้อยมาก...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2020 เมื่อ 19:31 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#480
|
|||
|
|||
พลังจิต.. ท่านพ่อลี ท่านเล่าถึงพลังจิตของท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร แห่งวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ดังนี้ “... พูดถึงเรื่องจิต... อย่างสมัยปัจจุบันนี้นะ... คือทำไมถึงทราบกันได้ ก็ทราบในวงปฏิบัติด้วยกันนะสิ ! พระกรรมฐานประสานกันอยู่ตลอดเวลา พวกเราฆราวาสไม่ค่อยทราบกัน.. ภาคปฏิบัติทางด้านจิตภาวนา องค์ไหนเป็นอย่างไร ๆ ท่านจะทราบกันอยู่อย่างลึกลับ อยู่ภายในของท่านนะ ในระหว่างพระกรรมฐานด้วยกัน แต่คนภายนอกนั้นไม่ทราบ เพราะท่านไม่พูด ... เวลาไปไหน พระกรรมฐานเป็นผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ เราจะไม่ทราบเลย เหมือนกับว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง ท่านไม่ได้มุ่งพูดอะไรต่ออะไร.. นั่นละ ถ้าความเป็นธรรมจริง ๆ แล้ว จะไม่มีโลกามิสเข้าไปเคลือบไปแฝงเลย... แต่ในวงปฏิบัติด้วยกันแล้ว อย่างไรก็ปิดไม่อยู่ อะไรก็ต้องเปิดสู่กันฟัง เพื่อจะได้แก้ไขกัน มีอะไร ๆ ขัดข้องตรงไหน พอองค์นั้นเล่าให้ฟังแล้ว ขัดข้องตรงไหนองค์นี้จะแก้ให้ทันที แก้ให้แล้วเปิดทางโล่ง.. นั่น..เรื่องของจิตเป็นอย่างนั้น หลวงปู่มั่น นาน ๆ ท่านจะยกองค์นั้นมา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้นละ ทีนี้ยกมาคราวใดจะต้องมีจุดสำคัญ ๆ ที่ท่านจะนำออกมา อย่างท่านอาจารย์ลีท่านก็ว่า ‘ท่านลีนี้นะ กำลังใจดีมาก’ ฟังสิ กำลังใจ พลังของใจ นี่จะยกตัวอย่างให้ประกอบกับคำว่าพลังของธรรม ท่านเฟื่องเป็นคนเล่าให้ฟัง เราไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยละ ท่านอาจารย์ลีนั่งอยู่ ท่านเฟื่ององค์หนึ่งและเด็กชื่อมนูญคนหนึ่งอยู่นี่ แล้วท่านก็นั่ง ตอนนั้นก็คุยธรรมะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ ‘เอ้อ.. เราจะพานั่งสมาธิ’ ท่านอาจารย์ลีว่าอย่างนั้น ‘เอ้า เข้าที่’ (นั่งขัดสมาธิ) ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านอาจารย์เฟื่องเล่าให้ฟัง พอว่าอย่างนั้นองค์ท่านอาจารย์ลี .. ท่านไม่ได้นั่งหลับตานี่ ท่านไม่ได้นั่งเข้าที่ ท่านนั่งธรรมดา ‘เอ้ามนูญ ! เข้าที่’ พอนั่งปุ๊บปั๊บ เด็กเข้าที่นั่งสมาธิ ท่านคงเคยสอนมา ท่านอาจารย์เฟื่องนั่งอยู่ทางนี้ ‘เอ้า เราจะให้ตัวลอยนะ’ ท่านอาจารย์ลีกล่าว นี่ละ ที่ว่าพลังของจิต ‘เราจะให้ตัวลอยนะ’ พอว่าอย่างนั้น ‘เอ้า ขึ้น .. ขึ้น...’ แล้วดูมือท่านนะ อาจารย์เฟื่องดู ท่านว่า ท่านทำมือด้วย ‘เอ้า ๆ ขึ้น.. ขึ้น.. ขึ้น..’ ท่านอาจารย์ทำมืออย่างนี้ ขึ้นจริง ๆ เด็กคนนั้นนะ ตัวลอยขึ้น ๆ ... แต่สูงขนาดนี้ .. นี่ละพลังของจิตที่ท่านอาจารย์มั่นว่า ‘พลังของจิตท่านลีนี่ดีมาก’ ... ฟังสิ ! พลังของจิตดีมาก นี่ละ พลังเป็นอย่างนี้ แล้วพอเด็กนี้ลงแล้ว ทางท่านอาจารย์เฟื่องก็คิดมั่นใจว่า ‘ยังไงท่านก็จะให้เราขึ้นคราวนี้ เราจะไม่ยอมขึ้น วันนี้ฝืนกัน’ แล้วก็จริง ๆ สักเดี๋ยวท่านอาจารย์ลีก็ว่า ‘เอ้า เฟื่อง’ ท่านเฟื่องปรารภในใจ ‘ว่าแล้ว’ ทางท่านอาจารย์ลีนั่นว่า ‘เอ้า ๆ ขึ้น ๆ’ ท่านอาจารย์เฟื่องว่า ‘มันจะขึ้นจริง ๆ หว่า ! สู้ท่านไม่ได้ เราไม่ให้ขึ้นนะสิ แต่มัน.. อันนี้มันโยกแล้ว มันแปลก ๆ แล้ว’ ท่านว่า ‘เราก็สู้ ๆ แต่สู้อย่างไรก็...’ อย่าให้พูดเถอะ (ขบขัน) ไอ้เรื่องแพ้อย่ามาพูดเลย คือเรื่องแพ้ท่านอาจารย์ลี ท่านเฟื่องว่า ‘อีกนิดหนึ่งนะ.. ลงเลยนั่น หัวคะมำ ถ้าสมมุติว่าก้นเราไม่ขึ้น หัวเราต้องคะมำ’ ท่านว่าอย่างนั้น นั่นนะ เห็นไหม นั่นไม่ใช่เล่นนะ พอเสร็จแล้ว แล้วท่านก็ยืนอยู่นะ พอเห็นทางนั้นขยุกขยิก ๆ มันจะขึ้นแต่ไม่ขึ้นนี่นะ พอเสร็จแล้วท่านก็หยุด พอหยุดแล้วก็นั่งละ ‘โอ้ย ดื้อ’ (องค์หลวงตาพูดอย่างขบขัน) ท่านอาจารย์ลีพูดอย่างนี้ ท่านไม่พูดมาก ‘เฮ้ย ดื้อ’ (ขบขัน) ผมยังไม่ลืมอยู่นะ ท่านเฟื่องว่า ท่านอาจารย์ลีมียิ้มอยู่บ้างนิดหนึ่ง นี่ละเรื่องพลังจิต อันนี้ก็จะเป็นได้บางราย... เพราะเป็นเรื่องภายนอก ใช้ภายนอกต่างหาก ตามแต่จริตนิสัยของใครที่จะใช้ในทางไหน ไม่ใช่หลักของศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผลนิพพานจริง ๆ อันนั้นเป็นหลักเพื่อจะละ จะถอนกิเลส... กำลังจิตอันนี้มันเป็นเครื่องใช้.. แล้วแต่ใครจะมีนิสัยวาสนาหนักไปทางไหน เช่น เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบน ที่ท่านแสดงไว้ในอภิญญา ๖ หรือวิชชา ๓ ...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2020 เมื่อ 16:32 |
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (28-06-2020)
|
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 12 คน ) | |
|
|