|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
ถาม : ของอะไรที่สามารถบรรจุในองค์พระได้ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ ขอให้เป็นของมีราคา เป็นของที่สมควรแก่การบรรจุเอาไว้ ความจริงพระพุทธรูปเขาจัดเป็นเจดีย์อย่างหนึ่ง ก็คือ อุเทสิกเจดีย์ เจดีย์ซึ่งยังความระลึกถึงพระรัตนตรัย เจดีย์ในพระพุทธศาสนามี ๔ อย่าง คือ พระธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุ ธรรมเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุคัมภีร์พระธรรม บริโภคเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุเครื่องใช้ไม้สอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพวกบาตร จีวร สังฆาฏิ ประคดเอว อุเทสิกเจดีย์ เจดีย์เพื่อยังความระลึกถึงพระรัตนตรัย เราจะสร้างเป็นองค์เจดีย์ก็ได้ พระพุทธรูปของเรายังให้เกิดความระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยกลายเป็นอุเทสิกเจดีย์ คราวนี้สิ่งที่เราบรรจุถวายไปอาจจะเป็นบริโภคเจดีย์ก็ได้ แต่ถ้าบรรจุวัตถุมงคลก็เป็นอุเทสิกเจดีย์ ใครเอาคัมภีร์เทศน์ไปบรรจุเจดีย์องค์นั้นก็จะกลายเป็นธรรมเจดีย์ไปด้วย หรือไม่ก็ถ้าหากว่ามีบริขารของพระพุทธเจ้าไปบรรจุเลยยินดีรับ จะได้เป็นบริโภคเจดีย์ด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2012 เมื่อ 11:39 |
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงการสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกว่า "ฐานพระสมเด็จองค์ปฐมด้านบนจะเว้นช่วงไว้ ๒ ช่วง ชั้นล่างรอบด้าน ๑๐ เมตร เผื่อเอาไว้ว่าใครอยากจะเวียนเทียน เป็นพื้นที่โดยรอบก็คือ ๑๒๐ เมตร คาดว่าถ้าสร้างเสร็จแล้วคงมีการตามประทีปฉลองด้วย
องค์นี้ไม่ปิดทองเด็ดขาด ปิดไม่ไหว ขนาดสีทองอย่างเดียวยังจ่ายแทบหน้ามืดเลย ปัจจุบันนี้สีทองที่ดีที่สุด ทาแล้วองค์พระงามสว่างที่สุด ราคาลิตรละ ๔,๐๐๐ บาท ไม่ใช่แกลลอนนะ แต่เป็นลิตร ลิตรหนึ่งแค่ทาปลายพระเกตุมาลายังไม่ทั่วเลย บางทีญาติโยมไม่รู้ว่างานแต่ละอย่างในช่วงที่ทำหมดเปลืองทรัพยากรไปขนาดไหน มักจะมาชื่นชมตอนเสร็จแล้ว “สาธุ” เอาไปเกลี้ยงเลย คนสร้างแทบตาย.!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2012 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
"แบบเดียวกับพระขรรค์โสฬส วันนี้ช่างเขามาโอดครวญว่า เขาขาดทุน อาตมาก็บอกกับโยมว่า อาตมาก็ท่าจะขาดทุน เพราะเมื่อหล่อพระขรรค์มาแล้ว จำนวนพระขรรค์ที่เราเห็นอยู่ รวมแล้วเป็นน้ำหนักโลหะประมาณ ๒๕๐ กิโลกรัม ทว่าตั้งแต่ตอนหล่อใช้โลหะไป ๓,๐๐๐ กิโลกรัม..! ก็คือ ๓ ตัน ขนาดนั่นเป็นโลหะของเขาล้วน ๆ ยังไม่ได้นับชนวนของเรา พอถึงเวลายังมีโลหะอาถรรพ์ของเราใส่เพิ่มไปด้วย ฉะนั้น..ส่วนที่หมดไปมากก็คือส่วนที่เรียกว่าชนวน ต้องเจาะช่องเพื่อให้น้ำโลหะไหลผ่าน เพื่อเป็นการไล่อากาศไปในตัว เนื้อโลหะจะได้แทรกผ่านไปเต็มทั้งแบบ
โลหะนี่แปลกมาก สมมติว่าจำนวน ๑๐๐ กิโลกรัม พอหลอมเสร็จจะหายไปประมาณ ๑๐ กิโลกรัม พอหลอมครั้งที่ ๒ จะหายไปอีกประมาณ ๕ กิโลกรัม เนื้อโลหะจะสูญเสียไปในระหว่างหลอม จะกลายเป็นขี้โลหะ หรือไม่ก็ฟลักซ์(Flux) เพราะฉะนั้น..ถ้ากำหนดเนื้อโลหะตายตัวนี่เสร็จ ไม่พอทำแน่นอน ต้องกำหนดเกินไว้เสมอ ตอนแรกเขากะไว้ที่ ๑,๘๐๐ กิโลกรัม ปรากฏว่าจริง ๆ แล้วใช้ไป ๓,๐๐๐ กิโลกรัม ช่างเขามาคร่ำครวญว่า ”งานนี้คงต้องทำถวายแล้วครับ กำไรไม่เหลือเลย” อาตมาก็บอกแล้วว่า ๘๔,๐๐๐ บาทที่ให้จอง ไป ๆ มา ๆ ตัวเองเหลือถึง ๘๔๐ บาทหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? โดยเฉพาะการชุบ ต้องชุบแล้วชุบอีก ถ้าชุบแล้วเสียก็แปลว่าหมดไป ๕,๐๐๐ บาทฟรี ๆ ต่อเล่ม เพราะฉะนั้น..งานนี้จะมีช่างมากต่อมากด้วยกันที่อยู่ในลักษณะว่าจำเป็นต้องทำถวาย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 08-07-2012 เมื่อ 21:45 |
สมาชิก 238 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
"อาตมาร่างหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชฯ ขอประทานอนุญาต ข้อที่ ๑ ขอสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๒๑ ศอก ถวายเป็นกุศลในวาระครบ ๑๐๐ ปีชาตกาล
ข้อที่ ๒ ขออนุญาตนำตราสัญลักษณ์พระนามย่อ ญสส. ประดับที่ฐานผ้าทิพย์ขององค์พระ ข้อที่ ๓ ขออนุญาตสร้างพระไพรีพินาศ พร้อมตราสัญลักษณ์พระนามย่อ ญสส. จำนวน ๑๐,๐๐๐ องค์ เพื่อให้ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมบูชานำปัจจัยมาสร้างพระองค์ใหญ่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2012 เมื่อ 15:40 |
สมาชิก 242 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธศาสนาของเราตั้งอยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาของประชาชนจริง ๆ อย่างมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งอาตมาเป็นทั้งนักศึกษาและเป็นทั้งอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น ที่มหาจุฬาฯ นี้ขยายห้องเรียนทั่วประเทศโดยใช้งบประมาณเพียงนิดเดียว
เวลาจัดงานประชุมวิสาขบูชาโลก เขาให้งบประมาณมา ๖๐,๐๐๐ บาท ค่าน้ำเปล่ายังไม่พอเลย เพราะพระไปประชุม ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ รูป แต่มหาจุฬาฯ สามารถจัดงานประชุมได้ พอถึงเวลาขยายห้องเรียนก็ดูวัดที่มีศักยภาพ อย่างห้องเรียนวัดไร่ขิงสามารถอยู่ได้โดยอาศัยบารมีหลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อนั่งเฉย ๆ เงินก็มา ตัดงบสังฆทานไปเลยเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท เอาไปบริหารโรงเรียน หรืออย่างห้องเรียนวัดโสธรก็เช่นกัน เขาทำอย่างนี้ถึงอยู่ได้ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยอื่นก็รอไปสิ ชาติหน้าบ่าย ๆ จะขยายได้มากอย่างนี้ไหมก็ไม่รู้ ? เพราะมัวแต่รองบประมาณส่วนกลางล้วน ๆ อย่างห้องเรียนวัดไร่ขิงจะพอหรือไม่พอ ท่านเจ้าคุณฯ ก็มองซ้ายมองขวา “เฮ้ย..พวกเรามีใครไหวบ้าง ?” ก็ต้องควักย่ามช่วย ๆ กันไป วันก่อนที่ไปฉลองปริญญาโทรุ่นของอาตมา ท่านเจ้าคุณถวายมา ๒,๐๐๐ บาท แต่อาตมาควักคืนไป ๑๐,๐๐๐ บาท..! ช่วยเขาเอาไปบริหารห้องเรียนต่อ ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนที่ทำได้แบบนี้ อยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาประชาชนจริง ๆ ญาติโยมที่ทำบุญกับวัดทั้งหลายที่เป็นห้องเรียน เป็นวิทยาลัยสงฆ์ เป็นวิทยาเขต จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ท่านได้บุญธรรมทานไปเต็ม ๆ เลย เพราะว่าเขาต้องเอาไปเป็นงบประมาณบริหารห้องเรียน ให้การศึกษาแก่พระเณรตลอดจนญาติโยมด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2012 เมื่อ 15:42 |
สมาชิก 246 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะปรึกษาพวกเรา ก็คือ อาตมาเรียนวันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ แต่วันศุกร์ต้นเดือนต้องมารับสังฆทานที่นี่ แต่อาตมาไม่อยากจะขาดเรียน ควรจะทำอย่างไรดี ? มีใครสามารถหาวิธีให้อาตมาไม่ต้องขาดเรียนได้ไหม ?
ตอนนี้ปัญหาใหญ่อยู่ที่วันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ ถ้าวันจันทร์ อังคาร พุธติดวันพระ เขาจะเลื่อนมาเรียนวันพฤหัสบดี ซึ่งจะมาชนกับวันเรียนของตัวเอง ตกลงจะเลือกสอนหรือจะเลือกเรียน ถ้าวันศุกร์ต้นเดือนก็ติดรับสังฆทาน อย่าแนะนำให้เป็นเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ เพราะว่าวันจันทร์อาตมาติดสอน" ถาม : รับสังฆทานสองวัน เสาร์ - อาทิตย์ค่ะ ตอบ : ถ้ารับเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์ คาดว่ามีบางคนขาดใจตาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2012 เมื่อ 12:20 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้พระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณ หรือพระครูปลัดปิง ท่านเอาชื่ออาตมายื่นเข้ามหาเถรสมาคม ขอพาสปอร์ตพระธรรมทูตให้ อาตมาบอกว่า ถ้าได้ขึ้นมานี่อาตมาเอาเปรียบชาวบ้านมากเลย เพราะคนอื่นต้องไปอบรมพระธรรมทูต ๓ เดือน ท่านบอกว่าลองยื่นเสนอดู เผื่อได้ เพราะพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมรู้จักอาตมาอยู่หลายท่าน อย่างไรเขายืนยันได้ว่าทำงานทางด้านนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเลยใส่ชื่อไป ถ้าทำสำเร็จต้องช่วยกันนั่งกรรมฐานส่งให้ท่านเป็นเจ้าคุณไว ๆ จะได้อำนวยความสะดวกให้อาตมาอีก..(หัวเราะ)..
พาสปอร์ตธรรมทูตเวลาไปไหนจะได้รับการต้อนรับอีกเรื่องหนึ่งเลย ยกตัวอย่างง่าย ๆ แค่สำนักงานใหญ่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อาตมาไปในฐานะพระนักศึกษา ต้องไปนอนรวมกันห้องละ ๒๕ รูป อาหารก็ไม่มีให้ อาตมาเองต้องเอารถวิ่งไปซื้อมาเลี้ยงพรรคพวกทั้งห้อง ส่วนตอนไปในฐานะอาจารย์ นอนห้องปรับอากาศคนเดียวสบายเลย ทำไมคนละเรื่องละราวก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่คนเดียวกัน ไปต่างสถานะกันเท่านั้นเอง สาเหตุที่มหาจุฬาฯ สำนักงานใหญ่ไม่สามารถรับนักศึกษาได้เต็มอัตราเพราะว่าที่บิณฑบาตไม่มี ร้านอาหารไม่มีด้วย ลองคิดดู..พระนักศึกษา ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ รูป จะรอโยมไปเลี้ยง ก็แปลว่า ถ้าโยมคนนั้นไม่ใช่ใจถึงสุดชีวิตก็ต้องมีเงินเหลือเฟือจริง ๆ แค่เลี้ยงพระเป็นร้อยก็แย่แล้ว นี่พระตั้งหลายพันจะเลี้ยงไหวไหม ? สมมติว่ามีพระ ๓,๐๐๐ รูปอยู่พร้อม ๆ กัน ฉันรูปละ ๒๐ บาทก็ต้องจ่ายไป ๖๐,๐๐๐ บาทแล้ว ถ้ามีไม่ถึงแสนนี่อย่าไปขยับจะเลี้ยงพระที่นั่นเชียวนะ เพราะฉะนั้นในเมื่อหวังให้โยมเลี้ยงไม่ได้ ที่บิณฑบาตก็น้อย ก็เลยทำให้มหาจุฬาฯ สำนักงานใหญ่ ไม่สามารถจะเปิดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ โดยรับนักศึกษาให้อยู่ประจำได้ ถ้ารับนักศึกษาอยู่ประจำเมื่อไรที่กินต้องพร้อม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2012 เมื่อ 12:30 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ถาม : มีหนังสือสอนเรื่องเปิดตาที่สามตามแบบหลวงปู่โต โดยให้เพ่งไปที่กลางหน้าผาก ทำได้จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จำไว้ว่าหลวงปู่โตมรณภาพไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว คำสอนของท่านก็ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอ้างว่าเป็นคำสอนหลวงปู่โตส่วนใหญ่มาจากร่างทรง ถาม : แล้วถ้าทำตามจะมีผลอะไรหรือไม่คะ ? ตอบ : มี...ปวดหัวดี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2012 เมื่อ 15:43 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
ถาม : เอาของไปบรรจุองค์พระได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..แต่เขาบรรจุวันที่ ๑๔ เอาไปไว้ก่อนได้ คราวนี้การบรรจุเขาตั้งใจบรรจุที่เศียรพระทั้งหมด ยังคำนวณไม่ได้ว่าเศียรพระใหญ่แค่ไหน แต่เขายืนยันว่าอิฐ ๕,๐๐๐ ก้อนเอาไว้ก่อเศียรพระอย่างเดียว ตอนแรกก็ถามเขาว่าบรรจุแค่เศียรจะพอหรือ เขาบอกว่า ถ้าอาจารย์ไม่ได้มีของบรรจุสัก ๔ - ๕ คันรถกระบะก็พอบรรจุได้ ในเมื่อคนทำเขายืนยันว่าพอ แสดงว่าต้องใหญ่จริง ตอนนี้ทางด้านวัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อยได้ทุนไปก่อสร้างแล้วหนึ่งล้านบาท เขาบอกว่าเอาลงดินหมดแล้ว กะว่าวันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้จะให้เขาอีกสักหนึ่งล้านบาท ทยอยให้ไปเรื่อย ๆ ความจริงอยากจะทำอย่างนี้ทุกที่ อาตมาจะได้ไม่ต้องเหนื่อย ให้เงินไปแล้วเขาไปจัดการลุยกันเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2012 เมื่อ 17:32 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครไปปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะ วันที่ ๒๘-๒๙ กรกฎาคมนี้ มีหนังสือเล่มใหม่แจก เล่มนี้เสร็จแล้วราคาคงไม่หนี ๒๐๐ บาท อาตมาปั่นเป็นวันเป็นคืนแล้วยังไม่เสร็จเลย เป็นบันทึกการเดินทางในพม่า ตอนมิงกะละบาร์ เมียนมาร์
"มิงกะละ" มาจาก "มังคละ" ของบาลี ก็คือมงคล "บาร์" ก็คือ "ไหว้" หรือ "สวัสดี" มิงกะละบาร์ ก็คือ สวัสดีมงคล เมียนมาร์ก็คือประเทศพม่า แปลตามความหมาย ก็คือ สวัสดีเมืองพม่า ฉบับนี้ลงรูปให้สะใจไปเลย รูปเก่า ๆ ต้องเอาไปสแกนก่อน กว่าจะเอามาลงได้แต่ละเล่ม งานอื่นก็ท่วมหัวไปหมด แม้แต่พระก็สงสัยว่าอาจารย์เอาแต่เก็บตัวเงียบ ทำอะไรทั้งวัน ก็ทำหนังสือให้พวกคุณอ่านนั่นแหละ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2012 เมื่อ 15:46 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีสื่อมวลชนก็ทำความหมายของภาษาไทยเสียหายได้ เมื่อครึ่งค่อนเดือนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐบอกว่า “กินข้าวต้มอย่ากระโจมกลาง” คือ อย่าไปตักกลางหม้อ อาตมาอ่านแล้วก็หัวเราะ แสดงว่าตักข้าง ๆ หม้อจะร้อนน้อยกว่าหรือ ? ข้าวต้มเดือด ๆ อยู่จะตักตรงไหนก็ร้อนเท่ากัน คำว่า “กินข้าวต้มอย่ากระโจมกลาง” ก็คือ อย่าพูนข้าวไว้ตรงกลาง เพราะว่าเย็นช้า เขาให้แหวกออกจะได้เย็นเร็ว
นอกจากนี้ไปเจอหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เขาเขียนเรื่องขุนศึก ตอนที่สมิงมะตะเบิดไล่ฟันทหารไทย จนไม่มีใครต่อต้านได้ อ้ายเสมาเลยขออนุญาตไป “ต่อกลอน” กับสมิงมะตะเบิด อาตมาจึงบอกว่าอ้ายเสมามีอารมณ์จริง ๆ เลย ขอไปต่อกลอนด้วย ที่ถูกต้องคือ "ต่อกร" ซึ่งแปลว่ารับมือ นี่อ้ายเสมาจะไปแต่งกลอนกลางสนามรบ..เจริญ..! ขนาดหนังสือพิมพ์ที่เป็นสื่อมวลชน คนเขาให้ความเชื่อถือมากยังพาเข้ารกเข้าพงขนาดนั้น แล้วต่อไปจะเหลืออะไร และคนที่เขียนข่าวก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขียนผิด ขำมากคือที่เขาอธิบายว่า คำว่ากระโจมก็คือจ้วงเอาตรงกลาง แสดงว่าเขาเป็นเด็กรุ่นหลัง ไม่เคยเห็นว่ากระโจมหน้าตาเป็นอย่างไร กระโจม ก็คือ พูนข้าวต้มเอาไว้ตรงกลางแล้วจะเย็นช้า ต้องแหวก ๆ ออก หรือไม่ก็ใส่จานไปเลย เย็นเร็วดี อาตมาเองเบื่อตอนที่ญาติโยมพยายามจะทำอะไรให้เจ้าอาวาสไม่เหมือนคนอื่นเขา จะได้ดูดีหน่อย ถึงเวลาก็ตักข้าวต้มใส่ชามฝาอย่างหนาเลย แล้วก็ปิดฝา กว่าอาตมาจะฉันได้ คนอื่นฉันไปตั้งนานแล้ว ใส่ชามหนาขนาดนั้นก็ร้อนพอแรงแล้ว ดันปิดฝามาอีก ดุไปหลายทีแล้วไม่เคยจำ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2012 เมื่อ 17:24 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
"เขาเขียน "ครองธรรม" ใช้ ร.เรือ ซึ่งผิด เขาไม่เข้าใจว่าคำนี้มาจาก "ครรลอง" ครรลองแผลงเป็นคลอง "คือทางดำเนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง ยังโลกอุดรโดยตรง" ที่ถูกต้อง คือ ตามครรลองคลองธรรม
แบบเดียวกับชื่อของพระยาศรีสุนทรโวหาร หรือน้อย อาจารยางกูร คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้มาจาก "ตระกูล" จึงเขียนเป็น อาจารยางกูล แต่ไม่ใช่ มาจาก "อังกูร" อังกูรคือความรุ่งเรือง ดังนั้นต้องใช้ ร.เรือสะกด "ข้าขอนบชนกคุณ" "นบ" ก็คือเคารพนบไหว้ ใช้ บ.ใบไม้ แต่คนไปใช้ พ.พาน "นพ" ซึ่งแปลว่า ๙ แบบเดียวกับสมัยโบราณ ที่อยู่ที่อาศัยเขาเรียกว่า "ทับ" แต่ปัจจุบันทับต่าง ๆ ที่เป็นสถานที่ ส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็น "ทัพ" พ.พาน กันหมด แม้กระทั่งทัพหลวงที่นครปฐมก็ใช้ พ.พาน กลายเป็นกองทัพพระเจ้าแผ่นดินไปเลย ความจริงทับหลวงตัวนี้แปลว่าบ้านหลังใหญ่ ทับคล้าย ทับผึ้งน้อย ทับยายท้าว จากบ้านของยายท้าวกลายเป็นกองทัพของยายท้าว เขาไม่รู้ที่มาที่ไป ความหมายจึงไปคนละเรื่องเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2012 เมื่อ 17:26 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
"เรื่องของภาษาพอนาน ๆ ไปก็เพี้ยน เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจรากศัพท์ที่มา อย่างกาญจนบุรีเขามีหนองยั้งช้าง ปัจจุบันนี้เป็นหนองย่างช้าง ยั้งช้างก็คือเวลาเดินทางเอาช้างไปหยุดพักที่นั่น ซึ่งเป็นแหล่งน้ำ เป็นที่อาศัยกว้างขวาง เป็นที่พักกลางทางได้ จึงเป็นหนองยั้งช้าง ปัจจุบันนี้คงหิวมากจึงย่างช้างกินกันเลย
อย่างเขานกเจ่า เพราะมีนกมาเกาะพัก ตอนนี้กลายเป็นเขานกจ้าว ไม่รู้เชื้อพระวงศ์ที่ไหนไปเลี้ยงนกที่นั่น พอนาน ๆ ไปภาษามีความเพี้ยนมากขึ้น แทนที่บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะช่วยกันรักษาเอาไว้ ดันยิ่งเปลี่ยนกันให้พินาศหนักเข้าไปอีก ทุกวันนี้หนังสือไทยที่อาตมาเรียนมาสมัย ป. ๑ - ๔ ใช้ไม่ได้เยอะเลย เขาแก้ไขจนกระทั่งทุเรศทุรังไปหมด แบบเดียวกับสิงโต เขาตัด “ห์” ออก คำว่า "สิงห์" มาจาก "สิงห" เป็นภาษาบาลี ต้องมี "ห์" พอแผลงเป็นไทยเป็นสิงโต เขาบอกว่าในเมื่อเป็นไทยแล้วทำไมแล้วต้องลากไปบวชเป็นบาลีด้วย ก็เอา "ห์" ออก สมัยอาตมาเด็ก ๆ ใช้ ข้าวโภชน์ มาจากโภชนะ แล้วตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นข้าวโพด สับปะรดก็เหมือนกัน ก่อนหน้านั้นเป็น สัปตรส แปลว่า ๗ รส ลองไปชิมสับปะรดให้ดี ๆ มีรสอะไรบ้าง เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด..ไม่ใช่เผ็ดธรรมดานะ เผ็ดสับปะรดเผ็ดกัดลิ้น จืด ขม มี ๗ รสจริง ๆ "สัปตะ" กลายเป็น "สับปะ" ซึ่งแปลว่า งู แถมยังเปลี่ยนจาก "รส" เป็น "รด" ดังนั้น..สับปะรดในปัจจุบัน หมายถึง เอาน้ำไปราดงู"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2012 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อาตมาโยกย้ายเปลี่ยนห้อง ก็เลยทำให้ความเคยชินเก่า ๆ ยังคาอยู่ เวลาจะทำอะไรก็จะเดินไปมุมเก่า ๆ ตรงจุดนี้อยากจะบอกกับทุกคนว่า ส่วนใหญ่แล้วถ้าพวกเรากล้าเปลี่ยนแปลงจะประสบความสำเร็จ แต่เรามักจะไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เพราะไม่แน่ใจกับผลที่จะเกิดขึ้น ความไม่แน่ใจในผลที่จะเกิดขึ้นนี่แหละ เป็นสักกายทิฏฐิ คือตัวกูของกูเต็ม ๆ เลย เพราะกลัวว่าผลเกิดขึ้นแล้วจะกระทบกับกู ฉะนั้น..ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง แล้วบรรดาตัวแสบอย่าไปบอกนะ ว่าอาจารย์สอนให้เปลี่ยนแปลง แล้วก็เป็นข้ออ้างเปลี่ยนแฟน ตายกันเองแล้วกัน พระไม่เกี่ยว
อาตมาเองเป็นคนที่เปลี่ยนตัวเองเป็นว่าเล่น ทำงานกำลังรุ่ง ๆ เลย ดันลาออกไปเรียนทหาร เรียนจบกลับมารับราชการ รุ่งมาก เพราะได้ ๒ ขั้นทุกปี ถึงขนาดว่า ๓ ปีแล้วเจ้านายต้องเอาระเบียบมากางให้ดูว่า เขาห้ามให้ ๒ ขั้นเกิน ๓ ปี ถ้าได้ ๓ ปีแล้วต้องเว้น อาตมาก็ลาออกมาบวช เพราะฉะนั้น..การเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไปคือสึก..(หัวเราะ).. เวลาทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จเร็ว จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก น่าเบื่อตรงที่ว่าไม่มีอะไรที่ท้าทายแล้ว และโดยวิสัยอาตมาจะเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ เกิดมาใต้ธาตุลมจะเป็นอย่างนี้ทุกคน ในเมื่ออยู่นิ่งไม่ได้ ถ้าเจออะไรซ้ำ ๆ แบบเดิมก็จะเบื่อ ฉะนั้น..ตอนนี้กำลังรออยู่ เขาบอกว่าเวลาบวชต้องหวังสูงสุดคือหวังความเป็นพระอรหันต์ ถ้าอาตมาได้เป็นและเบื่อเมื่อไร ก็จะสึก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2012 เมื่อ 17:30 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
"อาตมาไม่กลัวเรื่องยาก อย่างการฝึกขับรถ ยากที่สุดสำหรับคนหัดใหม่คือการถอย ยิ่งสมัยแรก ๆ รถไม่มีกระจกมองข้าง มีแต่กระจกมองหลัง คนก็จะเคยชินกับการยื่นหน้าออกไปแล้วเอี้ยวมองไปทางด้านหลัง ถ้าทำอย่างนั้นจนชินแล้วจะติดเป็นนิสัย ทำให้ใช้กระจกมองหลังไม่เป็น
อาตมาเป็นคนที่ค่อนข้างจะรั้น อะไรที่ยากมักจะทำ เพราะฉะนั้น..ก็ถอยขึ้นถอยลง ถอยเข้าถอยออกอยู่อย่างนั้นแหละ จนกระทั่งมั่นใจ แต่ไม่อยากจะบอกหรอกว่าครั้งแรกบ้านพังไปแถบหนึ่ง..! แหม..กำลังตีวงอยู่พอดี พี่ชายดันตะโกนเรียก อาตมาก็หันไปมอง แต่มือยังหักพวงมาลัยเลี้ยวค้างอยู่ ขับรถใหม่ ๆ ยังไม่รอบคอบหรอก ฉะนั้น..ถ้าพวกเรามีโอกาส อะไรที่ยากให้ทำไว้ก่อน ถ้าเราทำของยากได้ ของอื่นจะง่ายทั้งหมด ของยากถ้าทำสำเร็จเราจะภูมิใจ แล้วต่อไปจะเกิดความกล้า กล้าตรงที่ว่าอย่างอื่นจะสักเท่าไรเชียว ? แบบที่หลวงตาบัวโดนชาวบ้านเขาว่า บวชใหม่ ๆ แล้วไปเทศน์ หลวงตาบัวเอาคัมภีร์เทศน์ไปฉบับเดียว เทศน์เรื่องเดียว เทศน์จบเขาจะฟังเรื่องอื่น หลวงตาบัวบอกว่าเทศน์ไม่ได้ ชาวบ้านว่า "ฮื้อ..มันยากหยัง ?" เล่นเอาหลวงตาบัวฉันข้าวไม่ลง..เครียด ภาษาอีสานบอกว่า "มันแค่น" คือแน่นไปทั้งอก จะหายใจไม่ออกเอา นั่นก็คือลักษณะของที่ยากสำหรับเรา แต่คนอื่นนั้นพูดง่าย อะไรที่พูดส่วนใหญ่จะง่าย จะไปยากตอนทำ หัดทำของยากไว้ การทำของยาก ไม่มีเสีย มีแต่ได้ ทำสำเร็จก็ได้กำไร ทำไม่สำเร็จก็ได้บทเรียน ในเมื่อมีแต่ได้กับได้ก็ทำไปเถอะ ต้องคิดว่าถ้าทำสำเร็จเราเก่ง เพราะคนอื่นเขาทำไม่ได้ ถ้าทำไม่สำเร็จ เราก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ เพราะเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2012 เมื่อ 17:33 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
"สรุปว่าต้องกล้าในการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับการปฏิบัติแล้ว ถ้ากรรมฐานกองนั้นของเรายังได้ผลไม่เต็มที่ก็อย่าเพิ่งเปลี่ยน เพราะถ้าหากว่าเปลี่ยนบ่อยเราก็จะอยู่ในลักษณะที่ว่าของเก่ายังไม่ได้ ของใหม่ยังไม่ดี คราวนี้จะขึ้นหน้าก็ลำบาก จะถอยหลังก็ยาก
ตั้งใจทำกรรมฐานกองหนึ่ง ยากแค่ไหนช่างมัน มุมานะทำไป ให้ตายคากรรมฐานไปเลยได้ยิ่งดี ถ้าตายตอนนั้นรับรองว่าไปดีแน่ เอาให้ได้จริง ๆ สักกองหนึ่งก่อน แล้วที่เหลือจะง่ายทั้งหมด เพราะว่าใช้กำลังในการปฏิบัติเท่าเทียมกัน เพียงแต่เปลี่ยนหัวข้อเท่านั้น แม้กระทั่งอรูปฌาน ที่ว่ายากนักยากหนา กำลังก็แค่ฌาน ๔ เท่านั้นแหละ เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาเปลี่ยนจากฌาน ๔ ไปจับอรูปเท่านั้น ถ้าได้กองหนึ่งแล้วที่เหลือจะง่าย แต่ถ้าไม่ได้กองหนึ่งแล้ว อีก ๓๙ กองก็ยากพอกันทั้งหมด อย่าหลายใจ อย่าเปลี่ยนบ่อย ในเมื่อยากเท่ากันทุกกอง เราชอบใจกองไหนก็ลุยไปกองหนึ่งก่อน เอาให้ทะลุปรุโปร่ง แล้วที่เหลือจะง่ายไปเอง อาตมาเองก็สู้มา ประเภทฟัดกันจะเป็นจะตาย แค่ปฐมฌานอย่างเดียว ใช้เวลาไป ๓ ปีเต็ม ๆ แต่ว่าเป็น ๓ ปีที่โง่มาก่อนฉลาด ถ้าเป็นตอนนี้ปฐมฌานสามารถทำได้ภายในไม่กี่นาที เพราะรู้วิธีแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2012 เมื่อ 17:35 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ผ่านมา หลวงปู่ครูบาอ่อน วัดสันต้นหวีด จังหวัดพะเยา มรณภาพ ถัดมาอีก ๓ วัน หลวงปู่มหาเจิม วัดสระมงคล ใกล้บ้านอาตมาเองมรณภาพ เราเสียพระดีไป ๒ องค์ติด ๆ กัน ตอนนี้ก็รอ รอว่าท่านจะเป็นแบบหลวงปู่ครูบาผัดหรือไม่ ?
หลวงปู่ครูบาผัดเผาเสร็จเป็นพระธาตุเดี๋ยวนั้นเลย แล้วเป็นพระธาตุแบบให้หายสงสัยด้วย คือ ครึ่งหนึ่งเป็นแก้ว ครึ่งหนึ่งเป็นกระดูก เอาให้เห็น ๆ เลย จะได้รู้ว่านี่เป็นจริง ๆ ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น การซักฟอกจิตใจของตนเองให้ผ่องใสสะอาด ธาตุขันธ์ก็โดนฟอกไปในตัวด้วย ในเมื่อธาตุขันธ์โดนซักฟอกไปในตัว ความดีก็เข้าถึงเนื้อถึงเลือดถึงกระดูกด้วย ในเมื่อเลือดกับเนื้อทรงอยู่ไม่ได้ กระดูกทรงอยู่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นแก้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2012 เมื่อ 17:36 |
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีอาตมาก็เป็นห่วงญาติโยมที่มีจิตศรัทธา เพราะหลายแห่งเขาไม่ได้ประคับประคองศรัทธาของโยม แต่อยู่ในลักษณะกอบโกยเอา พอเขารู้ว่าโยมสามารถทำบุญมาก ๆ ได้ ก็ตามจิกตามกัดไม่ยอมปล่อยเลย
อาตมาเตือนโยมหลายครั้งด้วยกันแล้วว่า ถ้ามีฐานะพอที่จะทำบุญได้โดยตัวเองไม่เดือดร้อน อย่าไปเผลอทิ้งเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ไว้กับวัดไหน เขาตามยันบ้านจริง ๆ..! จะว่าไปแล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ทำถูก เพราะคำว่า "ภิกขุ" หนึ่งในความหมายนั้นแปลว่า ผู้ขอ เขาขอกันแหลกเลย ขอยันบ้าน ไม่ได้ไม่เลิก จนกระทั่งหลายต่อหลายท่านต้องทำบุญแบบซื้อรำคาญ ก็คือให้ ๆ ไปจะได้ไปให้พ้นหน้า แต่เขาก็ไม่เลิก งานหน้าก็มาใหม่ ในเรื่องของการทำบุญ บางคนช่วงนั้นเกิดปีติขึ้นมา ทำบุญเท่าไรก็ไม่สมกับความปีติของตน แบบเดียวกับจูเฬกสาฎก มีผ้าห่มผืนเดียวถวายพระพุทธเจ้าไป พระเจ้าปเสนทิโกศลพอทราบก็ให้ผ้าจูเฬกสาฎกไปคู่หนึ่ง จูเฬกสาฎกก็ถวายไปเสียทั้งคู่ พอได้มา ๒ คู่ก็ถวายหมด ๔ คู่ก็ถวายหมด เพราะกำลังปีติอยู่ ก็เลยทำให้ญาติโยมหลายท่านที่ทำบุญจนตัวเองเดือดร้อนเพราะกำลังปีติอยู่ กลายเป็นเขาขอเท่าไรก็ให้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ จะว่าไปแล้วสำคัญที่นักบวชของเรา พระพุทธเจ้าท่านเตือนนักเตือนหนาว่า นักบวชควรทำตัวเหมือนผึ้ง นำน้ำหวานไปจากดอกไม้ ก็อย่าทำให้กลีบดอกไม้นั้นต้องชอกช้ำ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ คิดว่าโกยให้ได้มากที่สุด ก็คือความสำเร็จของตน เวลาโยมมาทำบุญที่นี่อาตมาจะรู้สึกชอบใจมากกว่า มาทีหนึ่ง ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท บางคนที่ดูหน้าก็รู้ว่าถ้าไม่ใช่ยังเรียนไม่จบก็เพิ่งจบมาทำงานใหม่ ๆ ควักเงินมาทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท ๒,๐๐๐ บาท อาตมาถามว่าต้องใช้อย่างอื่นหรือเปล่า ? เขาก็งง..ถ้าเพิ่งจะทำงานเงินเดือนจะสักเท่าไร ควักทีหนึ่งขนาดนั้นแล้วจะเหลือชนเดือนไหม ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2013 เมื่อ 12:44 |
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า สาเหตุที่โบราณนิยมสร้างพระเป็นเนื้อชินตะกั่ว เพราะว่าตะกั่วมีเนื้อหาใกล้เคียงกับทองมากที่สุด เวลาพุทธาภิเษก ทองคำจะรับพลังงานได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นตะกั่วมีเนื้อหาใกล้เคียง แล้วคนสามารถเข้าถึงได้มากกว่า รับพลังงานได้ใกล้เคียงกัน โบราณเขาเลยนิยมสร้างด้วยตะกั่ว
แต่ที่เป็นชินตะกั่วเพราะเขาผสมโลหะอื่นเข้าไปด้วย อย่างของอาตมาผสมเงินเข้าไปด้วย ผสมเงินในอัตรา ๒ : ๘ ก็คือ ๑ : ๕ ส่วน ๕ กิโลกรัมใส่เงิน ๑ กิโลกรัม ใส่ไปใส่มาเงินหายหมด เพราะว่าเวลาหลอมเนื้อเงินจะลอยหน้า ตอนเทจะจับอยู่หน่อยเดียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2012 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในทางพระพุทธศาสนาแล้วไม่มีคำว่าบังเอิญ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมคือสิ่งที่เราทำไว้ มเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราชได้รับการยกย่องจากพระเจ้าอโศกมหาราชมาก สนมกำนัลนางอื่นก็อิจฉา ผู้หญิงกระทบกระทั่งกันง่ายอยู่แล้ว ในเมื่ออิจฉาก็มีการเสียดสีกระแนะกระแหนเขาไปเรื่อย
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงรำคาญ จะพิสูจน์บุญญานุภาพให้ดู ก็เลยสั่งโรงครัวทำขนมมา ๑,๐๐๐ ชิ้น แสดงว่าพระองค์มีมเหสีรวมนางสนมทั้งหมด ๑,๐๐๐ คนพอดี แล้วถอดพระธำมรงค์ประจำพระองค์ บอกพ่อครัวให้ใส่พระธำมรงค์ไว้ในขนมชิ้นหนึ่ง พอถึงเวลานึ่งสุกเอามาให้บรรดาสนมและมเหสีทั้งหมดไปหยิบเอา ถ้าธำมรงค์อยู่ในขนมของใคร จะตั้งคนนั้นเป็นอัครมเหสี พวกสนมแย่งกันกระจายเลย ปรากฏว่ามเหสีตัวจริงท่านนั่งเฉย ๆ รอเขาหยิบจนเหลือชิ้นสุดท้ายท่านจึงหยิบมา และธำมรงค์ก็อยู่ในนั้น โบราณเขาถึงได้บอกว่า แข่งเรือแข่งแพพอจะแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้หรอก เขาทำของเขามาเขาต้องได้ ต่อให้เราทำมาเหมือนกัน ถ้าทำช้ากว่าเขาก็ต้องรอเขาได้ก่อน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เข้าใจตรงนี้ ถึงเวลาเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชท่านเมตตาพระมเหสีมากเป็นพิเศษ โปรดเป็นพิเศษก็คอยอิจฉาอยู่เรื่อย พิสูจน์ขนาดนั้นแล้วก็ยังมีคนไม่เชื่ออยู่ดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-12-2015 เมื่อ 19:13 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|