|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#181
|
||||
|
||||
"พระภิกษุสามเณรของทิเบตต้องศึกษาวิชาการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของสมาธิ สมาบัติ ศึกษาเรื่องหลังความตาย เพื่อที่จะได้บอกกล่าวกับบุคคลที่ยังอยู่ว่าความตายมีลักษณะอย่างไร ต้องเตรียมการรับอย่างไร
การฝึกบางทีในความรู้สึกของเราก็ค่อนข้างจะโหด อย่างเช่นว่าเอาเชือกล่ามคอกับเท้าตัวเองติดกัน แล้วก็ค่อย ๆ ยืดตัวเพื่อให้เชือกรัดแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสติสุดท้ายจะหลุดออกไปแล้วก็ค่อยผ่อนคลาย จะได้ศึกษาว่าก่อนหมดลมนั้นแต่ละคนรู้สึกอย่างไร บางคนขยับคืนไม่ทันก็ตายไปเลย นี่เป็นวิธีการฝึกอย่างหนึ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2017 เมื่อ 15:39 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#182
|
||||
|
||||
"มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความลับของพระลามะ ซึ่งโลกภายนอกไม่รู้ อย่างเช่นว่าบรรดาลามะต่าง ๆ จะมีความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์หิมะที่เรียกว่าเยติ เพราะว่าส่วนที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรใบยา ลามะต้องอาศัยมนุษย์หิมะในการหาสมุนไพรให้
ถามว่ามนุษย์หิมะอยู่ไหน ? อยู่บนเทือกเขาหิมาลัยนั่นแหละ แหล่งที่เขาอยู่นอกจากเป็นจุดอับลมแล้ว ยังอยู่ใกล้แหล่งความร้อนใต้โลก ก็เลยทำให้อากาศอุ่น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าพวกเราไปมีโอกาสตายมากกว่ารอด เพราะว่าอากาศบางมาก ถ้าไปออกแรงปีนเขา ต้องใช้ออกซิเจนมาก ๆ ก็มีสิทธิ์หน้ามืดร่วงลงมาเสียก่อน แต่ว่าบรรดาพระลามะที่ท่านฝึกเพื่อเดินทางไปยังสถานที่แบบนั้น ก็จะสามารถที่จะไปได้ ถึงเวลาต้องการสมุนไพรใบยาอะไรก็ไปบอกกล่าว เขาสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง เพราะว่าส่วนใหญ่ก็คือใช้ภาษาใจ ภาษากาย ไม่ใช่ภาษาพูด ในเมื่อเป็นความลับเฉพาะของพวกเขา คนภายนอกก็เลยไม่มีโอกาสได้รู้ นาน ๆ จะหลุดออกมาให้คนถ่ายรูปได้สักครั้งหนึ่ง ถึงเวลาก็ต้องรีบกลับเข้าไปยังที่อยู่เดิมของตนเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2017 เมื่อ 15:40 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#183
|
||||
|
||||
ถาม : มนุษย์หิมะอยู่ในภูมิไหนครับ ?
ตอบ : น่าจะอยู่ในระดับสัตว์เดรัจฉาน แต่ภูมิปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2017 เมื่อ 15:40 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#184
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำบุญบ้าน โบราณของเรามีความเชื่อว่าสถานที่แต่ละแห่งจะมีผีบ้านผีเรือนอาศัยอยู่ ซึ่งบางคนเรียกว่า "ตายาย" นั่นเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเลย
ถามว่าเรานับถือพุทธศาสนาแล้วยังต้องมีความเชื่อเหล่านี้อยู่หรือไม่ ? ขอบอกว่าความเชื่ออะไรที่เป็นความจริง ถ้าเราเชื่อแล้วปฏิบัติได้ถูกต้อง ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ โบราณเขาถึงได้ทำบุญบ้าน เพื่ออุทิศให้แก่เทวดาที่ปกปักรักษาตัวเอง อุทิศให้แก่เจ้าที่เจ้าทางที่ดูแลสถานที่นั้น และอุทิศให้กับบรรดาผีบ้านผีเรือนหรือว่าตายายที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าได้รับมิตรจิตก็มีมิตรใจตอบ เมื่อถึงเวลาอะไรที่ไม่เกินวิสัย ท่านสามารถช่วยได้ก็จะช่วย ถามว่าในเรื่องการนับถือผีแบบนี้มีในประเทศอื่น ๆ หรือไม่ ? อาตมาขอยืนยันว่าศาสนาผีเป็นศาสนาแรกของโลก ไม่ว่าจะชาติใดภาษาใดก็ตามจะต้องนับถือผี นับถือธรรมชาติเป็นใหญ่มาก่อน หลังจากนั้นเมื่อเกิดศาสดาประกาศหลักธรรมคำสอนที่เหมาะสมขึ้นมา ก็มีคนยึดและปฏิบัติตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่ละทิ้งของเก่า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:13 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#185
|
||||
|
||||
"ประเทศไทยของเราก็ถือผีมาก่อน นอกจากความเชื่อในเรื่องผี เจ้าที่เจ้าทางแล้ว ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการนับถืองูใหญ่หรือพญานาค ซึ่งในอุษาคเนย์หรือ Southeast Asia แทบทุกประเทศ จะมีความเชื่อหรือความผูกพันในเรื่องของพญานาค แต่ตามที่อาตมาไปพบมา ทุกประเทศที่ไปก็มีพญานาค เพียงแต่ว่าเจ้าของถิ่นเขาจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้น
ล่าสุดที่ปากีสถาน ไปโดนเจ้าประคุณเขี่ยหัวทิ่มเข่าแตก ๒ ข้างเลย ไม่มีอะไรหรอก....ลงไปเที่ยวธารน้ำแข็งโฮปเปอร์ ปวดฉี่ก็เลยแอบไปฉี่รดมา ตอนนี้พญานาคที่น่าสงสารที่สุดในประเทศไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช แต่ละคนไปนี่ขอสารพัด จะมีสักกี่คนที่ไปแล้วให้ท่านบ้าง คนที่ไปมีแต่ขออย่างเดียว ท่านเป็นพญานาคที่น่าสงสารจริง ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:14 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#186
|
||||
|
||||
"มีคนสงสัยว่าพญานาคตัวใหญ่แค่ไหน ? เท่าที่พบมามีตั้งแต่ตัวเท่านิ้วก้อย จนใหญ่เกือบเท่าภูเขา ตัวเท่านิ้วก้อยนั่นท่านแสดงให้ดู
หลวงปู่หลวงพ่อสายอีสานที่ท่านได้พบ ท่านบอกว่าตอนที่อยู่ด้วยเขาก็เป็นงูตัวประมาณแขนนี่แหละ พอใกล้ถึงกำหนดที่ท่านต้องธุดงค์ที่อื่น ท่านก็มาลา บอกว่าตัวเองเป็นพญานาคอยู่ในบริเวณนั้น พระก็ถามว่าแล้วจะเชื่อได้อย่างไร ท่านบอกว่าจะแสดงร่างจริงให้ดู แต่ไม่ได้ให้ดูในลักษณะเห็นคาตา ให้ดูแค่รอยเลื้อยจากไป ถามว่ารอยเลื้อยกว้างเท่าไร ? หลวงปู่ชอบท่านบอกว่าทับต้นกล้าราบไป ๕ แถว มีใครเคยดำนาบ้าง ? หว่างแถวต่อแถวของการดำนากว้างเกือบศอก ก็ตีว่าสัก ๒๐ เซนติเมตร ถ้า ๕ แถวก็แปลว่า ๑๐๐ เซนติเมตรพอดี ความกว้างประมาณ ๓ ฟุตกว่า ๆ สิ่งที่พวกเราไม่รู้ไม่เห็น มีมากกว่าที่พวกเรารู้เห็น แต่ว่าเทคโนโลยีในสมัยใหม่ มีกล้องวงจรปิดบ้าง มีการถ่ายภาพความเร็วสูงบ้าง ทำให้ติดสัตว์ในภพภูมิอื่น ๆ บ่อย แล้วก็มางง ๆ ว่านี่คือตัวอะไร ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:15 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#187
|
||||
|
||||
"เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็อยู่ในภูมิของเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์บ้าง ฉะนั้น...บางทีก็เห็นรูปร่างพิลึกพิลั่นจนบอกไม่ถูกว่าเป็นตัวอะไร
สมัยนี้ความหวาดระแวงก็มีมาก ถึงเวลาเห็นก็ถามว่า CG หรือเปล่า ? CG คือ Computer Graphic เป็นการสร้างขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งระยะหลังนี้เทคนิคต่าง ๆ มีมาก ช่วงที่ผ่านมาได้ยินว่าหนังเรื่องนาคีของเราทำ CG ได้เป็นที่ถูกใจคนดูมาก โอกาสที่พวกเราจะรู้เห็นเรื่องอย่างนี้มีน้อย ต้องใช้วิธีอนุมานเอา คำว่าอนุมานก็คือ รวบรวมข้อมูลหลักฐานหลายอย่างมาพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ ในเมื่อใช้วิธีการอนุมานเอา โอกาสถูกกับผิดก็ครึ่งต่อครึ่ง ภาษานักเล่นการพนันเขาว่า ห้าสิบห้าสิบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:16 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#188
|
||||
|
||||
"การที่จะรู้เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ วิทยาศาสตร์ยังตามไม่ค่อยทัน อาตมากำลังรอเทคโนโลยีอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามีการพัฒนาต่อยอดไปเท่าไร ก็คือการถ่ายภาพแบบเกอร์เลียน ซึ่งสามารถเห็นพลังงานในวัตถุต่าง ๆ ได้ ที่บางคนบอกว่าถ่ายภาพแล้วดูออร่า
ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกสักระดับหนึ่ง จะสามารถถ่ายภาพบรรดาท่านที่อยู่อีกมิติหนึ่งได้ คิดจะปรากฏตัวเมื่อไรก็เสร็จเราแน่ เพราะว่าเวลาจะปรากฏตัวให้เราเห็น ก็จะใช้กำลังของตนเอง ดึงเอา ดิน น้ำ ไฟ ลม รอบข้างไปรวมตัวกัน เพื่อให้ปรากฏเป็นกายหยาบขึ้นมา เริ่มปรากฏเมื่อไร ถ้ามีเทคนิคแบบนี้อยู่ก็จะถ่ายภาพติด บางคนก็สงสัยว่าทำไมคนนี้ถ่ายติด คนนั้นถ่ายติด เราถ่ายไม่ติด ก็ช่วงที่เราถ่ายบางทีไม่ใช่ช่วงที่เขารวบรวมเป็นกายหยาบ การรวบรวมเป็นกายหยาบก็ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง แล้วแต่กำลังของแต่ละตน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:17 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#189
|
||||
|
||||
"ขอให้รู้ว่าเวลาผีมา เราเห็นน่าเกลียดน่ากลัว วิ่งหนีกันตับแลบ นั่นเขาพยายามสุดชีวิตแล้วได้สวยแค่นั้น เต็มที่แล้วได้สวยแค่นั้น ผีที่น่าสงสารกว่านั้นก็คือ ผีที่ไม่สามารถปรากฏให้เห็นได้ บางคนก็ปรากฏได้แค่เงาแวบ ๆ บางทีก็ได้ยินแต่เสียง บางทีก็ได้กลิ่นเท่านั้น เพราะว่ากำลังของเขาน้อย ไม่สามารถที่จะรวบรวมเอาธาตุ ๔ รอบข้างเพื่อสร้างกายหยาบขึ้นมา
โดยเฉพาะบรรดาไฟฟ้าต่าง ๆ ในปัจจุบันของเรา การที่กระพริบด้วยความเร็วประมาณ ๕๐ รอบต่อวินาที ทำให้เรารู้สึกว่าแสงไฟนิ่ง ๆ แต่ความจริงไฟกระพริบอยู่ตลอดเวลา การกระพริบของไฟที่ส่งเป็นคลื่นถี่ ๆ ไปกระแทกทำลายธาตุ ๔ ที่เขาดึงมารวมตัวหลุดกระจัดกระจายหมด เพราะฉะนั้น...ใครที่กลัวผีแล้วเปิดไฟนอน มีโอกาสป้องกันได้ประมาณ ๘๐ เปอร์เซนต์ แต่เท่าที่อาตมาเจอมา ไปเจอผีระดับที่เก่งกว่านั้น เปิดไฟสว่าง ๆ ก็มา กลางวันแดดเปรี้ยง ๆ ก็มา ท่านทั้งหลายเหล่านั้นกำลังท่านมากกว่าเราเยอะ ถ้าเจอหน้าก็ยกมือยอมแพ้ตั้งแต่แรก ไม่ต้องเสียเวลาไปตีกับเขา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:19 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#190
|
||||
|
||||
"ท่านที่ฝึกมโนมยิทธิ ส่วนหนึ่งจะมีประสบการณ์ผีหลอก หรือว่าเทวดากลั่นแกล้ง ให้สังเกตว่าถ้าเขาเป็นฝ่ายปรับมาหาเรา ทุกอย่างจะชัดเจนมาก แต่ถ้าเราพยายามรู้เห็นเอง จะรู้สึกว่าหาความชัดเจนไม่ได้ เป็นเพราะว่ากำลังของเรามีน้อย ถ้าเขาปรับมาเราก็จะรู้เห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายปรับไป ประเภทรู้ว่ามีเขาอยู่ได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว
จากประสบการณ์ของอาตมาที่มีอยู่ เวลาที่พวกนี้มาหรือที่พวกเราเรียกว่าผีหลอก ทุกอย่างจะชัดเจนสว่างไสว ถ้ายกตัวอย่างให้ ก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งนอนภาวนาอยู่กลางป่า น่าจะห่างจากลำห้วยประมาณสัก ๔๐-๕๐ เมตร เพราะกลัวว่าถ้าอยู่ใกล้ห้วยเกินไปพวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะไม่กล้าลงไปกินน้ำ ประมาณสัก ๕ ทุ่มกว่าในป่าก็มืดสนิท มืดชนิดที่เขาบอกว่ายกมือมองไม่เห็นนิ้วทั้ง ๕ นอนภาวนาอยู่ได้ยินเสียงตูม...! เหมือนอย่างกับใครกระโดดน้ำ แล้วก็มีภาพเด็กจมน้ำคว่ำหน้าลอยตุ๊บป่อง ๆ ตอนนั้นลืมคิดไป ด้วยความตกใจว่าเด็กตกน้ำก็เลยพรวดพราดไปช่วย ลืมคิดไปว่ากลางดึกลูกบ้านใครจะมาเล่นน้ำกลางป่า ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:20 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#191
|
||||
|
||||
"อีกประการก็คือ อาตมานอนภาวนา ก็แหงนหน้ามองหลังคากลดนั่นแหละ ห่างจากลำห้วยตั้งหลายสิบเมตร ทำไมเห็นชัด ๆ เหมือนกับไปยืนดูอยู่ข้างลำห้วย ต้องบอกว่าตอนผีหลอกเรามักจะโง่เสมอ ก็คือรู้ไม่เท่าทันถึงโดนหลอก ถ้ารู้เท่าทันก็ไม่โดนหลอก
ด้วยความตกใจว่าเด็กตกน้ำก็เลยวิ่งไปช่วย คว้าคอเสื้อได้ก็กระชากขึ้นมา พอเด็กหันหน้ามาอาตมาก็รู้แล้วว่าผีหลอกแน่นอน เพราะว่ามีแต่ตาโต ๆ จมูก ปาก อะไรก็ไม่มี ตอนนั้นก็คิดแต่ว่า หนอยแน่ะ...บังอาจมาหลอก จะหาภาชนะหรือกะโหลกกะลาสักใบหนึ่ง จับยัดเข้าไปแล้วสะกดเอาไว้สัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปีให้เข็ดเสียบ้าง...! ปรากฏว่าหาไม่ได้ ด้วยความโมโหก็เลยทุ่มลงน้ำไป พอตกตูมลงไปที่น้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายวับไปกับตา ปล่อยให้อาตมายืนอยู่ตรงที่มืดตื๋อมองอะไรไม่เห็น ตอนรีบวิ่งไปดูไฟฉายก็ไม่ได้เอาไป เวรกรรมล่ะสิ....กลดของเราอยู่ด้านไหนหว่า ? ต้องมะงุมะงาหรา ค่อย ๆ คลาน ค่อย ๆ คลำ กว่าจะไปถึงกลดร่วมครึ่งชั่วโมง จากประสบการณ์นี้ ขอบอกกับญาติโยมว่า ถ้าผีหลอกเรา ให้หิ้วคอไปถึงที่พักก่อนแล้วค่อยโยนทิ้ง ไม่อย่างนั้นถึงเวลามืดแล้วเราจะมองอะไรไม่เห็น ตอนเขาหลอกเรานี่จะชัดมาก ชัดเหมือนกับเวลากลางวันเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:23 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#192
|
||||
|
||||
"ในเมื่อโดนบ่อย ๆ ก็เริ่มเคยชิน หัดสังเกตตัวเอง หลังจากนั้นก็จะรู้ว่าอันนี้ผีหลอก เพราะว่าเย็นสันหลังตัวเอง เย็นวาบ ๆ เหมือนกับขนลุกเกรียว ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าอาการอย่างนั้น ต่อให้เป็นสาวสวยเช้งวับอยู่ตรงหน้า ก็ให้รู้เลยว่าไม่ใช่คนปกติ
เคยมีผู้รู้บอกว่า ผู้รู้ท่านนี้ก็ไม่ค่อยมีตัวมีตนหรอก เขาก็ช่วยหลอกซ้ำ เขาบอกว่าตอนที่ปรากฏตัวต้องดึงเอา ดิน น้ำ ไฟ ลม รอบข้าง ๆ ไปหมด ในเมื่อความอุ่นไม่เหลือ ก็เหลือแต่ความเย็น ธาตุไฟโดนดึงไปแล้ว เราก็เลยรู้สึกขนลุกเกรียว ๆ เหมือนกับหน้าหนาว หนาวจริง ๆ แต่เป็นการหนาวแบบผิดฤดูกาลเท่านั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:23 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#193
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นโยมใส่แหวนเงินเยอะ ๆ แล้วนึกถึงคุณมะ คุณมะไปซื้อแหวนจากร้านเครื่องรางของขลัง แล้วเอามาให้ดู บอกว่า “ผมมั่นใจครับว่าไม่ใช่เขาสัตว์” อาตมาดูไปดูมาเสร็จสรรพก็บอกว่า “คุณมะโชคดีมากเลย อันนี้ไม่ใช่เขาสัตว์หรอก เป็นนอแรด” เป็นแหวนเก่า ๆ แล้วเขากลึงนอแรดเป็นหลังเบี้ย ทางร้านเขาก็ไม่รู้ว่าอะไร ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเขาควายเผือก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:24 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#194
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “การออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก แรก ๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ จนกว่าเราจะพ้นความเมื่อยความปวดไปแล้ว บางคนสงสัยว่าหลวงพ่อไม่ได้ออกกำลังทำไมเดินป่าแข็งกว่าเขาอีก ต้องบอกว่าอยู่ตัวแล้ว สัก ๒๐ นาทีแรกจะปวดเมื่อยเหมือนคนปกตินั่นแหละ หลังจากนั้นพอเครื่องติดแล้วก็ไปได้เป็นวัน ๆ เลย”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:24 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#195
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนประหลาดมาก มีโยมถามว่าท่านฉันเพลเวลาเท่าไร มีเวลาเพลที่แตกต่างไปจากเดิมด้วยหรือ ?
ตั้งแต่โบร่ำโบราณว่า เวลาเพลก็คือตอนพระตีกลอง ๑๑ โมง มีเวลาไม่เกินเที่ยง แต่ความจริงในบาลีท่านบอกว่า “เอาไม้ปักลงแล้วเงาเลยไป ๒ นิ้วมือ” นั่นเกือบจะบ่าย ๒ โมง แต่คราวนี้ของเรานิยมเลิกเที่ยง ก็ต้องเที่ยงตามกัน แล้วก็มีบางพวกถามว่าเวลาไปต่างประเทศ ฉันอาหารตามเวลาของเขาหรือของเรา ? ก็ต้องเวลาเขาสิ จะใช้เวลาของเราได้อย่างไร ? แต่ว่าตอนกลับจากอังกฤษ ขึ้นเครื่องตอนบ่าย ๔ โมงของเขา มาถึงบ้านเราเกือบ ๆ จะ ๑๒ โมง แล้วเขาค่อยมาเสิร์ฟอาหาร โอ้พระเจ้า...สรุปว่าอดไปเป็นวัน เพราะเวลาต่างกัน ๕ ชั่วโมง ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าขอเขาก่อนเวลาได้ ไปเข้าใจว่าต้องรอเขาเสิร์ฟ อาตมาก็อ่านหนังสือไปเรื่อย หิวก็ช่างมัน คุยกับผีไปเรื่อยเปื่อยเพลิน ๆ ก็ลืมหิวได้เหมือนกัน”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:26 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#196
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนรับราชการ ถ้าหากว่าใช้เครื่องรางรูปลิงหรือหนุมานก็ถือว่าถูกโฉลก เพราะว่าหนุมานรับใช้พระราม ทำงานทุกอย่างไม่เคยพลาด ประสบความสำเร็จทุกเรื่อง เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่โบราณท่านทำเครื่องรางรูปลิงหรือหนุมาน ก็คือให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เรื่องอื่น ๆ ก็มี ที่พูดเรื่องนี้ก็คือเหมาะกับผู้ที่รับราชการ
แบบเดียวกับพระหลวงปู่ปานที่บอกไว้ว่า “นกทำนา เม่นเดินป่า ปลาค้าขาย ไก่หากิน ครุฑอำนาจ ลิงรับราชการ” แต่ปรากฏว่าท่านทำผงวิเศษเสร็จแล้วท่านก็คลุกรวมกัน เพราะฉะนั้น..พระของหลวงปู่ปานจึงมีอานุภาพเหมือนกันหมดทุกองค์ เพียงแต่ว่าทางด้านบางนกแขวก สมุทรสงคราม เขาเอาพระหลวงปู่ปานไปแขวนแก้ไข้มาลาเรีย เหมาะสำหรับคนบางนกแขวกอย่างเดียว เพราะว่าคนบางนกแขวกแขวนแล้วหาย อาตมาเองติดตัวมาตลอดก็ยังเป็นอยู่เรื่อย เพราะว่ากรรมหนัก พระหลวงปู่ปานขี่ไก่องค์สวยที่สุดในโลกของอาตมา มีคนประมูลไปแล้ว ได้ทองคำมา ๒๒ บาท คิดดูว่าทอง ๒๒ บาทราคาเท่าไร ? ตีว่าบาทละสองหมื่นก็สี่แสนกว่า แต่องค์ที่เป็นแชมป์ในตลาดเขาขายสองล้าน ของอาตมาสวยกว่าแชมป์จึงถือว่าคุ้ม”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2017 เมื่อ 19:43 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#197
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ก่อนบวชอาตมาเลี้ยงหลานมา ๓๒ คน เลี้ยงจนเข็ดต้องหนีมาบวช พอบวชแล้วก็เลิกเลี้ยงหลาน มาเลี้ยงลูกแทน โดยเฉพาะลูกศิษย์
หลวงพ่อพระธรรมโพธิมงคล เจ้าคณะภาค ๑๔ วัดนิมมานนรดี ท่านบอกว่า “พระเราก็ห่วงอยู่แค่ ๒ ลูกเท่านั้น คือ ลูกศิษย์กับลูกสัตว์ ลูกศิษย์ที่เป็นญาติโยมทั่วไปก็ไม่กระไรนัก ไอ้ลูกศิษย์ที่เขามาฝากให้อยู่ด้วย ต้องเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ก็ต้องห่วงเหมือนกับลูกตัวเอง พวกแมวพวกหมาเลี้ยงเอาไว้เขารักเรา หวังพึ่งพาเรา ถึงเวลาออกไปทำงานข้างนอก ๒-๓ วัน กลับมาไม่มีพระเณรมารับสักคน มีแต่หมาวิ่งมารับ ก็เลยต้องห่วงหมา” ช่วงนี้หมาที่วัดอาตมาก็อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ที่ลดน้ำหนักเพราะว่าเจ้าอาวาสออกไปหลายวัน ถ้าเจ้าอาวาสอยู่ก็กินดีอยู่ดีหน่อย เจ้าอาวาสไม่อยู่ก็ตามมีตามเกิดที่เขาเลี้ยง อาตมามีนิสัยเสียตรงที่ว่าตัวเองกินอะไรก็ได้ แต่ให้หมากินดีไว้ก่อน พวกเราคงจะรู้จักขนมปังไส้สังขยาแม่ป๋วยลั้ง รู้ไหมว่าดังระดับประเทศ ? อาตมาซื้อเลี้ยงหมาตั้งแต่สมัยยังอยู่วัดท่าซุง หมากินกันชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง ฉะนั้น...หมาที่อาตมาเลี้ยงสมัยวัดท่าซุงแต่ละตัวอ้วนเป็นหมูเลย เจอขนมปังไส้ครีม มีไข่ มีนมเนย ยิ่งถ้าหากวันไหนทำมาใหม่ ๆ นี่แหม...กินเสร็จวิ่งตามกันเป็นฝูง”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2017 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#198
|
||||
|
||||
ถาม : อยากทราบความแตกต่างของอุปสมานุสติ ผลสมาบัติ และอากาสานัญจายตนะ ?
ตอบ : ต่างกันคนละโลกเลย อุปสมานุสติจริง ๆ แล้วเป็นสมถกรรมฐาน แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสามารถทำเป็นวิปัสสนากรรมฐานได้ ก็คือให้เราพิจารณาร่างกายจนเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ต้องการ แล้วเอาสภาพจิตของเราเกาะพระนิพพาน ส่วนในเรื่องของผลสมาบัติ เป็นฌานสมาบัติทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นฌาน ๑-๒-๓-๔ เพียงแต่ว่าผู้ที่เข้าถึงฌานนี้ต้องได้มรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ในเมื่อได้มรรคผลนั้นแล้วจึงได้เรียกเป็นผลสมาบัติ ไม่อย่างนั้นก็เป็นสมาบัติธรรมดา ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้นเป็นการที่เราปล่อยวางรูป ไปยึดความว่างของอากาศแทน เพราะเห็นว่าโทษทั้งหลายเกิดจากรูป อากาสานัญจายตนญาณทำได้เต็มที่กำลังเท่ากับฌาน ๔ แต่การที่เห็นทุกข์เห็นโทษจากรูปนี่คล้าย ๆ กับวิปัสสนาญาณ เพียงแต่ว่ายังยึดในส่วนของฌานสมาบัติมากไป เลยไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ต่างกันแค่นี้เอง ถาม : ขั้นตอนของการไปสู่อารมณ์นั้น ? ตอบ : ขั้นตอนของการไปสู่อารมณ์นั้น ผลสมาบัตินี่ถือว่า “ได้แล้ว” ถ้าอุปสมานุสตินี่เราต้องค่อย ๆ ทำไป บวกกับลมหายใจเข้าออก ถึงจะเป็นฌานสมาบัติได้ ส่วนของอากาสานัญจายตนฌานนั้น ถึงคุณจะไม่ได้อรูปฌานตัวนี้ แต่ต้องได้ฌาน ๔ แล้วจึงจะทำได้ ก็แปลว่า ผลสมาบัติกับอากาสานัญจายตนฌาน มีต้นทุนของตัวเองแล้ว แต่อุปสมานุสตินี่ต้องสร้างต้นทุนให้เกิดก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2017 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#199
|
||||
|
||||
ถาม : ที่ผมปฏิบัติมา ส่วนใหญ่จะได้ไม่เกินฌาน ๒ แต่ว่านาน ๆ ทีบังเอิญได้ถึงฌาน ๔ แล้วเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลย คล้ายกันไหมครับ ?
ตอบ : คล้ายกันเพราะว่าฌาน ๔ พอถึงตัวเอกัคตารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง เป็นการว่างจากกิเลส เพราะอำนาจฌานกดกิเลสดับลงไป ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้นยังมีความเข้าใจว่า “แม้แต่รูปฌานนี้ก็ยังเป็นโทษ เพราะมีรูปอยู่” ก็เลยเว้นจากรูปไปจับความว่างของอากาศแทน จะบอกว่าเป็นการเข้าใจผิดของคนโบราณก็ไม่ใช่ เพราะสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็คือเพิ่มความคิด ตัวคิดนี้ก็คือคิดว่า “รูปทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นโทษ ในเมื่อโทษอาศัยรูปเป็นที่เกิด เราก็ทิ้งรูปเสีย เมื่ออากาศว่าง ไม่มีรูป ก็ไปเกาะอากาศแทน” ด้วยความคิดว่าน่าจะทำให้พ้นได้ แต่ความจริงก็คือพัฒนาขึ้นไปขั้นเดียว ยังไม่พ้นอย่างที่ต้องการ ถาม : สมมติตอนนั้นถึงฌาน ๔ แล้ว ตอนนั้นมีสติ แล้วก็เอกัคคตาฯ ? ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเราสามารถทำจนเกิดความคล่องตัวได้ ที่เรียกว่ามีวสีในการเข้า วสีในการออก ถ้าสามารถทำถึงระดับนั้นได้ แม้แต่อยู่ในสมาธิก็สามารถที่จะคิดพินิจพิจารณาได้ ถาม : เราคิดว่าคล้าย ๆ กัน ? ตอบ : คล้าย ๆ กัน จะว่าไปแล้วก็คือราคาเท่ากัน เพียงแต่ว่าอากาสานัญจายตนะฯ มีความคิดเพิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2017 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#200
|
||||
|
||||
ถาม : หลังจากนั้น ช่วงแรกจะเป็นความมืดสนิท ไม่มีอะไรเลย ต่อไปเป็นความสว่างในทุกมิติ สองอย่างนี้ต่างกัน ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วช่วงแรกคือเรากำลังเข้าถึง ถ้าเราเข้าถึงจนมีความชำนาญแล้ว พอเข้าไปปุ๊บจะมีความสว่างโพลงอยู่จุดใดจุดหนึ่ง อาจจะอยู่ตรงหน้า อาจจะอยู่บริเวณจมูก ปาก ในอก ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เพียงแต่ว่าความสว่างนี้ไม่ใช่ความสว่างของแสงทั่วไป แต่เป็นความสว่างจากจิต ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าสว่างมาก บางคนก็ไปเพลิดเพลินติดอยู่กับแสงสว่างนั้น กลายเป็นเกิดโทษเพราะว่าปฏิบัติเมื่อไรก็อยากเห็น เมื่อมีความอยากเห็น สภาพจิตฟุ้งซ่านก็ไม่ได้เห็นอีก ถาม : มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนอนหลับอยู่ จิตก็เข้าฌานเอง แล้วก็ทะลุไปอีกจักรวาลหนึ่งซึ่งมีความสว่าง แนว ๆ อวกาศ แต่เป็นอวกาศที่สว่างไปหมดทุกมิติ ทีนี้รู้สึกไม่มีตัวตน เป็นอากาสานัญจายตนะหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ยังไม่ใช่ ต้องบอกว่าหากเหตุปัจจัยลงตัวก็สามารถที่จะทรงฌานเองได้ อย่างเช่นว่าก่อนนอนของเราอาจจะไม่ได้ยึดถืออะไร ปล่อยสบาย ๆ พอดีลงล็อกเลย ก็สามารถทรงฌานของมันเองได้ แต่ขอให้เข้าใจว่าความสว่างของสภาพจิตเรา ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ สมาธิยิ่งสูงเท่าไรก็สว่างเท่านั้น แต่ว่าเป็นลักษณะของความสว่างจ้าเฉย ๆ ไม่ได้มีประกายพิเศษในลักษณะของพระอริยะเจ้า เป็นความสว่างคนละประเภทกัน ถาม : แต่ว่าไม่มีอะไร มีแต่สติ ? ตอบ : จะไม่มีอะไร เหตุที่ไม่มีอะไรเพราะว่าสภาพจิตไม่มีการปรุงแต่ง ถ้าปรุงเมื่อไรจะรู้สึกทันทีว่า “มี” อันดับแรก คือ มีตัวเราที่เป็นผู้รู้อยู่ ในเมื่อมีตัวเราที่เป็นผู้รู้อยู่ ก็ปรุงต่ออีกหน่อย เดี๋ยวตัวกูของกูจะมา พยายามต่อท้ายด้วยวิปัสสนาญาณ พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา พอสภาพจิตปล่อยวางได้ ไม่เอาร่างกายจริง ๆ ก็สบายแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2017 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) | |
|
|