|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีบุคคลที่เห็นผิดเป็นชอบ กล่าวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าพระองค์ท่านสร้างภาพ อาตมาก็เลยสงสัยว่า คนเราสามารถสร้างภาพต่อเนื่องกันนานถึง ๖๐ - ๗๐ ปีเลยหรือ ? ท่านกอล์ฟเขาบอกว่า “อาจารย์อะไร ๆ ก็ไม่เอา ทำอย่างกับสร้างภาพ” อาตมาก็เลยว่า “ถ้าพระทั้งประเทศช่วยกันสร้างภาพแบบนี้ ศาสนาจะเจริญไหมล่ะ ?”
เรื่องของในหลวง ถ้าคนมีปัญญาก็จะเห็นว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ทำจากน้ำใสใจจริง ไม่มีใครทำได้ทนขนาดนั้น นั่นแหละคือทำดีเพราะอยากทำ ถ้าทำเพราะอยากดีคงเลิกไปนานแล้ว เนื่องจากทำเท่าไรก็ไม่ดีสักที แถมโดนด่าอีกต่างหาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2012 เมื่อ 15:10 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
"งานทุกอย่างจะมีอุปสรรคขัดขวางตลอด อย่างช่างที่ทำฝักพระขรรค์โสฬสเอางานไปดองอยู่เป็นเดือน ๆ ตอนนี้มาแจ้งว่าไม่สามารถจะทำทันกำหนดได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก..ขอให้ตัวพระขรรค์เสร็จมาเข้าพิธีแล้วกัน ฝักเอาไว้ทีหลัง
งานทุกขั้นตอนมีอุปสรรคตลอด ต้องค่อย ๆ แก้ไขกันไป โดยเฉพาะหลวงพี่นิล ตอนนี้เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ปะฉะดะ พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้ช่างหลวงแทบทุกประเภทต้องรู้จักหลวงพี่นิลหมดแล้ว พวกช่าง ๑๐ หมู่นะ เพราะว่าถ้าไม่ได้ฝีมือระดับนั้นท่านก็ไม่เอา เสียดายตรงที่ฝักไม้พยุง ไม้ที่ได้มาไม่ใช่ไม้แห้งค้างปี เป็นไม้ที่เขาโค่นต้นเลย พอเป็นไม้สดเอามาทำชิ้นงานบาง ๆ แบน ๆ อย่างฝัก การหดตัวก็เลยมีมาก สมัยนี้เขาใช้วิธีจู่โจมเร่งด่วน เพราะรู้ว่าถ้ามัวแต่ไปตั้งแคมป์ ตัดไม้เลื่อยไม้อยู่โดนจับแน่ ๆ เขาใช้วิธีเข้าไปถึงก็ล้มไม้แล้วผ่าเลย ขนขึ้นรถได้ก็เผ่นแน่บ ที่แสบที่สุดก็คือไม่โค่นต้นด้วย ไปถึงก็เอาเลื่อยยนต์เจาะเฉพาะตรงกลาง ให้ได้ขนาดที่ตัวเองต้องการยาวราว ๔ - ๕ เมตรแล้วก็ยกขึ้นรถไปเลย ต้นไม้ก็โบ๋อยู่ตรงกลาง ถ้าไม่โดนลมพัดโค่นต้นไม้ก็ไม่ตาย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2012 เมื่อ 15:12 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
ถาม : น้องคนนี้เขาป่วยบ่อยครับ
ตอบ : ป่วยมากแสดงว่าเศษกรรมปาณาติบาตมาก ให้ไปปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด สักเดือนละตัวสองตัว ทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็จะดีขึ้น ทำสักเดือนละครั้ง หรือถ้าไม่เกรงใจก็อาทิตย์ละครั้งเลยก็ได้ ชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวร ถาม : เคยปล่อยนะคะ ตอบ : เขาให้ทำประจำสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วหายเลย ถ้าทำเป็นประจำเศษกรรมจะค่อย ๆ ห่างไปเรื่อย อย่างอาตมากว่าจะเบาลงนี่ปล่อยต่อเนื่องมา ๓๐ ปี แล้วไม่ได้ทีละตัวสองตัวด้วย เหมาทีหมดตลาดเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2012 เมื่อ 15:13 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
ถาม : กรรมบถ ๑๐ ข้อที่ว่าห้ามพูดวาจาไร้ประโยชน์ มีขอบเขตอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ยาก...เรื่องของการพูดวาจาไร้ประโยชน์ขึ้นอยู่กับกำลังใจ เราพูดตอนนี้เราเห็นว่ามีประโยชน์ แต่คนที่กำลังใจสูงกว่าจะเห็นว่าไร้ประโยชน์ พอเราก้าวขึ้นไปสู่กำลังใจระดับนั้น คิดว่าพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ บุคคลที่กำลังใจสูงกว่าเราก็ยังเห็นว่าไร้ประโยชน์อีก เพราะฉะนั้น..กำลังใจที่ไม่เท่ากัน ทำให้กำหนดขอบเขตไม่ได้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ถาม : วิธีแก้ไขทำอย่างไรครับ ? ตอบ : พูดให้น้อยลงหน่อย ใส่สติไปเยอะ ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-05-2012 เมื่อ 11:25 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตาไป๊เป็นนักย่องเบาตัวฉกาจ หลังจากล้างมือในอ่างทองคำแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า มีเคล็ดลับอะไรถึงขึ้นบ้านไหน ก็ขนของได้ชนิดเจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องเลย ตาไป๊บอกว่า “จัดการกับหมาก่อน ถ้าหมาไม่เห่า เจ้าของก็ไม่รู้หรอก”
ช่วงหัวค่ำเขาทำทีไปสำรวจทาง เอาอาหารไปโยนให้หมากิน ไม่ได้วางยาหมานะ เพราะหมาบางตัวฉลาดวางยาไม่ได้ แต่ตาไป๊เอาเนื้อสับทอดกระเทียมพริกไทยไปให้หมากิน เนื้อสับนี้ใส่กัญชาไปเยอะเลย หมากินแล้วก็เมาหลับ เขาบอกว่าลากหางรอบบ้านยังไม่ตื่นเลย หลังจากนั้นจะขึ้นบ้านไปขนอะไรก็เชิญ เพราะเวลาดึก ๆ เจ้าของบ้านหลับไปแล้ว เนื้อสับใส่กัญชาเยอะ ๆ คนกินก็เมาตายเหมือนกัน อย่าว่าแต่หมาเลย หมาสมัยใหม่ที่เข้าโรงเรียนฝึกมา จะไม่รับอาหารจากคนอื่น นอกจากเจ้านายตัวเอง ระยะหลังหมาบ้านเราเริ่มมีเวรมีกรรมแล้ว ต้องเข้าโรงเรียน ขนาดที่กาญจนบุรียังไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนรักหมาขนาดนั้น มีทั้งอาบน้ำ ตัดขนหมา สปาหมา..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 19:01 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานฉลองฯ วันที่ ๙ มิถุนายนนี้ มีหนังสือปกิณกธรรมเล่ม ๓ จำนวน ๑ เล่ม มีกระเป๋าเอาไว้สำหรับใส่ธนบัตร ๑ ใบ มีพระนาคปรก ๑ องค์ ฉะนั้น..ใครไปงานก็จะได้ ๓ อย่างนี้ ใครไม่ไปให้เตรียมซื้อของแพงได้ เพราะว่าแจกเฉพาะในงาน กระเป๋ามีแค่พันกว่าใบเท่านั้นนะจ๊ะ ไปเกิน ๑,๕๐๐ คน ก็ต้องเสี่ยงดวงกัน เฉพาะฆราวาสนะ ส่วนของพระนี่เตรียมไว้ต่างหาก กระเป๋าเอาเข้าพิธีพุทธาภิเษกไปแล้ว ใช้งานได้เลย
งานฉลองมีคนเสนอตัวจะแสดงในงานมาหลายรายแล้ว โดยเฉพาะรายใหญ่คือคณะป้าเม้าท์จะเล่นเพลงฉ่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเพลงฉ่อยอวยชัยให้พร หรือเล่นไปเล่นมากลายเป็นแช่งก็ไม่รู้ งานเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ว่าพิธีสงฆ์จริง ๆ มีตอนบ่าย ๓ โมง เพราะฉะนั้น..พระภิกษุรอจนเที่ยงแล้วค่อยออกจากกรุงเทพฯ ก็ทัน เหตุที่จัดบ่าย ๓ โมงนั้น เพราะพระผู้ใหญ่ท่านแนะนำว่า ส่วนใหญ่แล้วท่านมักจะติดกิจนิมนต์ตอนช่วงเพล ถ้ารับนิมนต์ของเราแล้วไปเจองานที่สำคัญกว่า ท่านก็ต้องทิ้งงานของเรา ท่านจึงแนะนำว่าให้เลยเพลไปหน่อยท่านจะได้ปลีกตัวไปได้ เหตุผลข้อที่ ๒ เป็นเหตุผลส่วนตัวของอาตมาเอง คือขี้เกียจเลี้ยงพระ เปลืองงบฯ..! พิธีสงฆ์ก็สั้น ๆ พอได้เวลาจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้ว ข้าราชการผู้ใหญ่ท่านก็จะอ่านสัญญาบัตร ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ อ่านหนังสือพระราชทานแต่งตั้งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ใหญ่ที่นิมนต์จากกรุงเทพฯ และในจังหวัดก็จะเจริญชัยมงคลคาถาสั้น ๆ นาทีเดียวจบ ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแล้วก็นิมนต์ท่านกลับได้เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 18:48 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
"ลำดับต่อไปเป็นการสวดทักษิณานุประทาน ส่วนใหญ่ก็เป็นการอุทิศส่วนกุศลถวายอดีตเจ้าอาวาส ตลอดจนกระทั่งญาติ ๆ ของเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันที่ล่วงลับไปแล้ว สวดแค่ชุดเดียว ก็คือบรรดาเจ้าคณะอำเภอและรองเจ้าคณะอำเภอของกาญจนบุรีทั้งหมด ๑๓ อำเภอ ถ้าไปครบก็มี ๒๖ รูป ส่วนท่านที่เหลือดาหน้าไปได้เลย ไม่ต้องทำอะไร รับอย่างเดียว อาตมาเจอหน้าก็ประเคนทีละรูป ไม่น่าจะเกินบ่าย ๓ โมงครึ่งทุกอย่างคงเรียบร้อย ยกเว้นพระที่ท่านมาไกล มาช้า แต่ไม่มีปัญหาเพราะว่าโยมรับของแล้วกลับได้เลย ที่เหลืออาตมาก็นั่งรับท่านไปเรื่อย ๆ
อาตมานิมนต์เจ้าอาวาสและเจ้าสำนักสงฆ์ทั้งหมดในทองผาภูมิ ตลอดจนกระทั่งเพื่อนสหธรรมมิกที่อยู่ในเขตกาญจนบุรี ส่วนที่เหลือนิมนต์เฉพาะเจ้าคณะอำเภอและรองอำเภอเท่านั้น คนอื่นเขาบอกว่าใช้งบประมาณสามล้านบาท อาตมาบอกว่าไม่ใช่หรอก หนึ่งล้านห้าแสนบาทก็เยอะแล้ว เพราะอาตมาไม่แจกของอื่น ไม่มีย่ามแจก ไม่มีตาลปัตรแจก พับใส่ซองทั้งหมด ท่านคงจะชอบใจกว่าเพราะเอากลับไปง่ายดี อาตมาเคยเจอพระเถระบางรูปมีตาลปัตรเกือบ ๑,๐๐๐ อัน ก็เพราะไปงานอย่างนี้แหละ เดี๋ยวนี้ตาลปัตรด้ามไม้ราคาอย่างถูก ๆ ก็ ๑,๒๐๐ บาท ย่ามอีกใบหนึ่ง ถ้าหากว่าสั่งเป็นหลาย ๆ ร้อยใบก็จะอยู่ที่ใบละ ๓๐๐ บาท ถ้าสั่งน้อยก็แพงกว่านั้น เพราะฉะนั้น..ของเราไม่สั่ง พับเงินใส่ซองไปเลย จริง ๆ แล้วอาตมาไม่อยากจัดงานฉลอง นอกจากเสียเวลาแล้วยังเปลืองเงินเปลืองทองด้วย แต่ว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงเขาจัดงานฉลองแล้วเขานิมนต์เรา ถ้าเราไม่จัดงานบ้างเขาจะเหยียบเอา..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 18:50 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าคนดูของเก่าไม่เป็นอย่าไปเล่นของเก่า เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ทำของเก่าได้เหมือนมาก อาตมาข้ามไปเขมร เขาพาไปตลาดของเก่า เดินดูไปได้พักเดียวก็รู้สึกเบื่อ ที่เบื่อเพราะว่าไม่ชอบให้ใครมาหลอก พอเห็นแต่ของปลอมก็เลยเบื่อ หมดอารมณ์ที่จะดู
มีอยู่ร้านหนึ่ง ทั้งร้านมีของแท้อยู่ชิ้นเดียว แล้วคาดว่าถ้าจะเอาชิ้นนั้น ราคาคงแพงหูดับแน่ ๆ เลย เพราะว่าชิ้นอื่น ๆ เห็นติดราคาต่ำสุด ๑,๕๐๐ ดอลลาร์ ก็เลยอธิบายให้โยมที่เป็นคนพาไปว่า ของเก่าเป็นของที่เก็บมานานแล้ว เนื้อโลหะจะหมดประกาย และมีสนิมขึ้น ถ้าหากว่าเก่าแล้วเงาวับ สวยน่าดูแบบนั้น แสดงว่าเขาตั้งใจทำทั้งนั้นแหละ ถ้าหากว่าส่องกล้องดูจะเห็นความเก่าของพื้นผิวโลหะที่มีการหด มีการยุบตัว มีรอยสนิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ปลอมยากมาก ไปดูแล้วรู้สึกเหมือนว่าเขาตั้งใจหลอก อาตมาก็เลยหมดอารมณ์ โยมชวนไปดูพิพิธภัณฑ์ของเขมร อาตมาบอกเขาว่าอย่าไปเลยเดี๋ยวกิเลสจะงอกงาม ไปเห็นของเก่าชิ้นงาม ๆ แล้วเดี๋ยวเกิดอยากได้ขึ้นมา นอกจากนั้นได้เข้าไปในพระราชวังเขมรินทร์ ถ่ายของที่เขาห้ามถ่ายรูปมาหลายชิ้น เจ้าหน้าที่เขามีน้อยกว่าของบ้านเรา ขนาดโบสถ์วัดพระแก้วมีเจ้าหน้าที่ดูแลพร้อม ๆ กันตั้ง ๘ คนอาตมายังถ่ายมาแล้ว ถึงเวลาก็ถามพระท่านก่อนว่าถ่ายได้หรือไม่ ? พระท่านบอกว่าได้อาตมาก็จัดการ แต่ว่าตอนนั้นเหลือบดูด้วยว่าเจ้าหน้าที่เขาทำอะไรอยู่ เหมือนอย่างกับทุกคนพร้อมใจกันหันหลังไปทำงานอื่นพอดี เวลาท่านให้นี่คือให้จริง ๆ "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 18:52 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่เป็นเจ้าของพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ขอแนะนำว่าอย่าไปขึ้นคม ถ้าหากว่าลับคมขึ้นมาเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง อย่างไรก็ให้ทื่อ ๆ อย่างนั้นแหละ จะได้มีอันตรายน้อยหน่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 18:52 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
ถาม : ขอวิธีที่ทำให้เรียนเก่งครับ นอกจากทำสมาธิแล้วมีวิธีอะไรไหมครับ ?
ตอบ : คำตอบอยู่ในคำถามนั่นแหละ ทำสมาธิดีก็เรียนได้เก่งแล้ว ถาม : อยากให้ท่านสอนวิธีนั่งสมาธิให้น้องเขาหน่อยครับ ? ตอบ : ไม่ต้องสอน ทำไปเลย รู้ทุกคน เพียงแต่ไม่ทำ การปฏิบัติต้องลงมือทำ การทำสงครามบนแผ่นกระดาษ เวลาออกสนามจริงตายมาเยอะแล้ว การสอนเป็นแค่ทฤษฎี ต้องทำถึงจะเกิดประสบการณ์จริง แบบเดียวกับเด็กนักเรียนช่างกล ถึงเวลาเรียนจบมาไปทำงานตามอู่ ตามศูนย์รถยนต์ วาดรูปอะไหล่สวยเหมือนของจริงเลย แต่พอบอกให้ถอดชิ้นส่วนออกมา หาไม่เจอว่าชิ้นนี้อยู่ตรงไหน เพราะไม่มีประสบการณ์จริง แบบเดียวกับคนจีน พ่อพยายามสอนหนังสือลูกก่อนเข้าโรงเรียน เวลาทำงานอยู่พ่อก็เอากิ่งไม้ขีดพื้น บอกว่า “นี่ลูก เลข ๑” ลูกก็จำไว้เลข ๑ ขีดอย่างนี้ พอถึงเวลากินข้าวพ่อเอานิ้วจุ่มน้ำชาขีด ถามว่านี่เลขอะไร ลูกตอบไม่ได้ พ่อบอกว่า “ก็เลข ๑ อย่างไรเล่า ? เมื่อเช้าก็สอนแล้ว” ลูกบอกว่า “เมื่อเช้าเลขยังผอม ๆ อยู่เลย ทำไมตอนนี้อ้วนใหญ่กว่าเดิมมาก" ตอนเช้าใช้กิ่งไม้ขีดจึงออกมาเป็นเส้นเล็ก ตอนกลางวันใช้นิ้วจุ่มน้ำชาขีดจึงเป็นเส้นใหญ่ อันนี้โทษลูกไม่ได้ เขาเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ พ่อก็ไม่ได้บอกว่าตรง ๆ แบบนี้คือเลข ๑ การเรียนจะให้เก่งต้องอ่านตำราไปเรื่อย ๆ อย่าไปโหมทีเดียวตอนใกล้สอบ ถ้าใครทำอย่างนั้นอนาคตสั้นแทบทั้งนั้น อย่างอาตมาเวลาอาจารย์อธิบายจะตั้งใจฟัง เราเรียนวิชาอะไร ? อาจารย์พูดในหัวข้ออะไร ? แล้วขยายความว่าอย่างไร ? พอฟังการขยายความเข้าใจ เราจดแต่หัวข้อก็พอ เพราะว่าอ่านหัวข้อเราก็เข้าใจแล้วว่าอาจารย์พูดว่าอะไร จดใส่เศษกระดาษด้วยนะ ถึงเวลาเลิกเรียนก็มาลอกใส่สมุด เท่ากับได้ทวนอีกรอบหนึ่ง อาทิตย์ต่อไปจะเรียนซ้ำก็อ่านทวนว่าอาจารย์สอนไปถึงไหนแล้ว เท่ากับว่าเราได้ทวนอยู่ทุกวัน ไม่ต้องอ่านมาก ๆ ทีเดียว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 18:55 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
เรื่องของหนังสือ แรก ๆ เราอ่านอาจจะไม่เข้าใจหรอก แต่ให้อ่านซ้ำไปเรื่อย ๆ พอซ้ำไปซ้ำมาจะเกิดความเข้าใจขึ้นมาเอง รอบที่ ๑ ไม่เข้าใจให้อ่านรอบที่ ๒ รอบที่ ๒ ไม่เข้าใจอ่านรอบที่ ๓ อ่านไปเถอะ บางที ๘ - ๑๐ รอบ กว่าจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร พอเราเข้าใจแล้วเราก็จำแต่หัวข้อ ที่เหลือเราสามารถขยายความได้หมดแล้ว
แต่การเรียนของเด็กสมัยนี้กับการเรียนของพระคนละอย่างกัน พระเขานิยมข้อสอบอัตนัย ให้เขียนอธิบายมา ๓ - ๕ หน้ากระดาษ ส่วนเด็กสมัยนี้เล่นกากบาทอย่างเดียวหรือไม่ก็ใช้ดินสอฝนเอา อยากจะบอกว่ากากบาทผิดแล้วผิดเลย แต่ถ้าเขียนอธิบายความจะเขียนมากเขียนน้อยอย่างไรก็ได้คะแนน คนมักไปกลัวข้อสอบอัตนัยเพราะเขียนอธิบายไม่ได้ ขอให้รู้ว่าปรนัยยากกว่า เพราะปรนัยผิดแล้วผิดเลย แก้ตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ท่านที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยของพระ มักจะอธิบายความได้ดี แต่มหาวิทยาลัยของฆราวาสปัจจุบันนี้ บางทีเข้าไปไม่ได้เรียนด้วย เพราะครูสอนอยู่ข้างหน้า ข้างหลังก็นั่งกินขนม คุยกันบ้าง แต่งหน้าบ้าง เล่นบีบีบ้าง ในเมื่อไม่รู้เรื่องก็ทำแบบมั่ว ๆ กากบาทหรือฝนไปส่งเดช มีอยู่คนหนึ่งมั่วเก่งมากแล้วได้คะแนนเต็มด้วย ดวงดีจริง ๆ เพราะว่าเขาฝน ก ข ค ง จ แล้วก็มา จ ง ค ข ก สลับไปสลับมา อาจารย์เขาดันทำอย่างนั้นจริง ๆ ลูกศิษย์ได้เต็มทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่ในหัวตัวเองเลย ๖๐ ข้อถูกหมด สุดยอดมาก มากับดวงจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 18:57 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#112
|
||||
|
||||
เชื่อว่าพวกเราทุกคนตั้งใจเรียน เมื่อตั้งใจเรียนแล้วให้ทำความเข้าใจบทเรียนไปด้วย พร้อมกับตั้งคำถามไว้ในใจด้วย โดยเฉพาะส่วนที่เราไม่เข้าใจหรือสงสัยจริง ๆ ให้ถามอาจารย์ อาจารย์จะชอบเด็กที่ถามมากกว่านั่งเงียบ ๆ เพราะอย่างน้อยก็แสดงปฏิกิริยาออกให้รู้ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ถ้าเราไปนั่งเงียบ กลัวอาย กลัวเสียฟอร์ม กลัวเพื่อนจะว่า “จะจริงจังอะไรกับชีวิตมากมายวะ มึนไปวัน ๆ เดี๋ยวก็จบแล้ว” ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้เฉาแน่
โบราณเขาบอกแล้ว สุ จิ ปุ ลิ วินิมุตโต กถัง โส ปัณฑิโต ภเว บุคคลจะเป็นบัณฑิตได้ต้องประกอบไปด้วย สุ จิ ปุ ลิ สุ ก็คือสุตตะ ตั้งใจฟัง จิ ก็คือจิตตะ ตั้งใจคิดตาม ปุ คือปุจฉา สงสัยให้ไต่ถาม ลิ คือลิขิต จดเอาไว้อ่านทบทวนด้วย ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็เรียนเก่งทุกคน วิชาที่มี ๓ หน่วยกิต อาตมานั่งฟังตั้งแต่ต้นชั่วโมงยันท้ายชั่วโมง นั่ง ๓ ชั่วโมงไม่ไปไหนเลย แต่เพื่อนทนฟังได้ ๑๕ นาทีก็หันไปคุยกันแล้ว เพราะฉะนั้น..คนที่ทำสมาธิจะได้เปรียบ เพราะใจเรามุ่งมั่นอยู่กับบทเรียน เท่าที่เรียนมาจะชอบใจที่สุด ก็คือ ผศ.ประสิทธิ์ ทองอุ่น ๓ ชั่วโมงอาจารย์สามารถพูดไปได้เรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับน้ำไหลไม่ขาดสายสักที เพราะว่าท่านสอนมาทั้งชีวิต พวกบรรดาเนื้อหาต่าง ๆ อยู่ในหัวท่านอยู่แล้ว ๓ ชั่วโมงพูดได้ไม่หยุดเลย อาตมาเองก็ต้องจับจุดแล้วก็บันทึกเอาไว้ เด็กสมัยนี้ไม่มีใครเรียนชวเลข ตั้งแต่มีพวกเทป พวกเครื่องบันทึกเสียง ก็อาศัยเครื่องพวกนี้บันทึกเสียงไว้แทน ถ้าหากว่าพวกเราไปเจอพระเรียนเข้าเจ็บปวดกว่านั้นอีก ถึงเวลาอาจารย์ขึ้น Power Point มีหลวงตายก iPad ถ่ายรูปเก็บไว้เลย ยืนยันว่าหลวงตา เรียนปริญญาโทรุ่น ๒ ถัดจากอาตมานี่แหละ อาตมาเห็นก็ "โอ้โหเว้ย..!" ไม่ใช่แต่อาตมาหรอก อาจารย์ผู้สอนก็โอ้โห..เหมือนกัน ว่าหลวงตาทันสมัยขนาดนี้เลยหรือ ? แต่ต้องบอกว่าท่านสนใจจริง กลัวจดไม่ทันยก iPad ถ่ายไว้เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 19:00 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#113
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมเวลาเราใช้ผลของกรรมชั่วในนรกแล้วยังต้องมาใช้ในโลกนี้ต่ออีกคะ ?
ตอบ : เพราะว่ายังใช้ไม่หมด ความละเอียดของนรกไม่พอ เพราะว่าเราชั่วได้พิสดารมาก นรกขุมต่าง ๆ เขาเอาสร้างไว้ไม่เพียงพอ ก็ต้องมาชดใช้กรรมในเขตของเปรต หลุดจากเปรตก็ต้องมาเป็นอสุรกาย หลุดจากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แล้วถึงจะมาเป็นมนุษย์ ใช้กรรมมาเป็นระดับ ๆ ตามความหยาบละเอียดที่ทำมา กรรมหยาบ ๆ ก็ใช้ในนรก ส่วนอื่นที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยก็ไล่มาเรื่อย เข้าใจแล้วนะจ๊ะ ไม่ใช่ลงนรกทีเดียวแล้วใช้หมด เขาเก็บได้ไม่หมด เพราะว่าเราเก่ง ทำไว้เยอะ มีใครสงสัยเรื่องพวกนี้ก็ถามได้นะจ๊ะ ถ้าถามเราจะได้ความรู้ เขาบอกว่า อัสสุตัง สุณาติ ได้รู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ สุตัง ปริโยทะเปติ รู้แล้วก็ได้ทบทวน กังขัง วิหะนะติ ได้แก้ข้อที่สงสัย ทิฐิง อุชุง กโรติ ได้ปรับความเข้าใจให้ตรงกัน และท้ายสุด จิตตะมัสสะ ปสีทะติ กำลังใจย่อมสงบเยือกเย็น เป็นสมาธิ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2012 เมื่อ 19:01 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#114
|
||||
|
||||
ถาม : เราเกิดมาทำไมครับ ?
ตอบ : แต่ละคนการตั้งใจอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าเป้าหมายใหญ่ของเราคือ ทำความดีหนีความชั่ว เพียงแต่ว่าบางคนสนุกกับความชั่ว ก็เลยลืมเป้าหมายของตัวเอง สิ่งที่เราทำทุกอย่างเพื่อความเจริญ ก็คือทำให้ดีขึ้น แต่จะให้ดีที่สุดต้องไม่เจริญแต่ทางโลก ไม่ได้เจริญแต่ทรัพย์สมบัติ ต้องมีความเจริญทางใจด้วย ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่พอทำไปแล้วก็ลืมเป้าหมาย กลายเป็นไปไขว่คว้าความเจริญทางโลกแข่งกัน พอแข่งขันกันมาก มีเงินมากเท่าที่ตัวเองต้องการ ความเครียดที่สะสมมาตลอดก็มะเร็งรับประทาน..ตายพอดี สรุปแล้วทำไว้ตั้งมากมายแต่ไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้รักษาตัวก็ไม่ไหวเพราะโรคนี้ไม่ฟังใคร ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราเป็นนักเรียนก็ให้ทุ่มเทกับการเรียน ถ้าหากว่าเรียนจบไปแล้วทำงานก็ทุ่มเทให้กับการงาน ถ้ามีครอบครัวก็ทุ่มเทให้กับครอบครัว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามถ้าเราทำอย่างเต็มความสามารถ ทุ่มเทให้จริง ๆ แล้ว เราจะทำได้ดีทั้งนั้น ในเมื่อเราทำได้ดี คนอื่นเขาก็จะบอกว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เป็นการประสบความสำเร็จในทางโลก ในเรื่องของทางธรรมนั้นต้องดูว่าเราเป็นคนมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเรามีศีลก็เป็นความดีในเบื้องต้น มีศีล มีสมาธิก็เป็นความดีในเบื้องกลาง มีศีล มีสมาธิ แล้วยังเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาโดยไม่รู้จบอยู่ พยายามรวบรัดตัดทางให้เหลือการเกิดให้น้อยที่สุด หลุดพ้นได้ในชาตินี้ยิ่งดี ก็จัดว่าเรามีปัญญา อันนี้ถือว่าเป็นความดีขั้นสูง เพราะฉะนั้น..ในระหว่างที่เราสร้างความเจริญในทางโลกอยู่ เราก็สามารถสร้างความเจริญในทางธรรมควบคู่ไปด้วย เพราะว่าไม่มีอะไรขัดกัน บางคนอาจจะเห็นว่าเราทำมาค้าขาย อาจจะต้องโกหก ทำให้ศีลขาด ความจริงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ศีลขาด มีวิธีเลี่ยงเยอะแยะไป บอกเขาว่าเรารับมาแพงก็เลยต้องขายแพง รับมา ๕ บาทขายไป ๕๐ บาท เราก็บอกว่าเรารับมาแพง เพราะว่าแพงของเรา เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2012 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#115
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนมักจะเข้าใจผิด ไปเรียก "ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ หรือศาสตราจารย์" เป็น "ศาสดาจารย์" ศาสดาจารย์นี่ต้องเป็นเจ้าของศาสนา
ศาสตราจารย์ คือ อาจารย์ผู้ทรงความรู้ เขาไปเปลี่ยนเป็นศาสดาจารย์ กลายเป็นอาจารย์เจ้าของพระศาสนา คำว่าศาสดาเป็นภาษาสันสกฤตแล้ว ถ้าบาลีใช้สัตถา เช่น สัตถา..อันว่าพระศาสดา หรือคาถาที่ว่า "ตะมัตถัง ปะกาเสนโต ตัวกูคือพระยาราชสีโห สัตถาอาหะ.." คาถานี้ใช้บาลีปนภาษาไทยกลายเป็นคาถาขลังไปได้ ตะมัตถัง ปะกาเสนโต แปลว่า เมื่อจะประกาศพระศาสนา สัตถาอาหะ แปลว่า พระศาสดาว่าอย่างนี้ ตัวกูคือพระยาราชสีห์มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? แต่ทำแล้วขลังสุด ๆ ไปเลย..! "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2012 เมื่อ 17:00 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#116
|
||||
|
||||
ถาม : ที่ท่านเคยบอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าสอนการภาวนาคาถาเงินล้านโดยใช้วิธีจับที่ศูนย์กลางกาย แบบนี้เราต้องจับลมหายใจไปด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจจับศูนย์กลางกายก็เอาไว้ที่เดียว ถาม : จับเป็นภาพพระหรือความรู้สึกอย่างเดียว ? ตอบ : เอาความรู้สึกอย่างเดียวก็พอ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2012 เมื่อ 04:13 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#117
|
||||
|
||||
ถาม : ทำบุญให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ต้องให้เขาโมทนา ถ้าเขาไม่โมทนาก็น้อยนักที่จะมีผล
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2012 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#118
|
||||
|
||||
ถาม : รถใหม่จำเป็นต้องมีฤกษ์ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของฤกษ์ก็เหมือนกับเราข้ามถนน เลือกจังหวะไม่มีรถก็ปลอดภัยแน่นอน แต่ถ้าคนเก่งต่อให้มีรถเยอะ ๆ เขาก็ข้ามถนนได้ ก็เลยอยู่ที่เราว่าจะเอาอย่างไร ? ถ้าเอาปลอดภัยไว้ก่อนก็เลือกตอนที่ฤกษ์ดีหน่อย ถ้ามั่นใจว่าอย่างไรเราไปรอดแน่ แบบนี้ไม่ต้องมีฤกษ์ก็ได้ ถาม : ฤกษ์ออกรถใช้วันพฤหัสบดีถูกต้องไหมครับ ? ตอบ : ฤกษ์ออกรถให้ซื้อวันอาทิตย์แล้วไปใช้วันพฤหัสบดี หรือซื้อวันพฤหัสบดีแล้วไปใช้วันอาทิตย์ อาตมาเคยออกเดินทางตอนตีสามกว่า เจอห้างขายรถเบนซ์เปิดร้านเพื่อออกรถให้ลูกค้าช่วงนั้น เขาได้ฤกษ์มาเวลานั้นพอดี ต้องชมว่าบริการเขาสุดยอดจริง ๆ ขอให้คุณซื้อรถของเราเถอะ ดึกดื่นแค่ไหนเราก็เปิดขายให้ อย่างพระวัดเทพศิรินทราวาสจะสึก ไปถามฤกษ์จากหมอดู หมอดูบอกให้สึกตอนตี ๓ ครึ่ง แล้วก็ออกจากวัดทางด้านทิศเหนือถึงจะเจริญ ก็ต้องปลุกหลวงปู่มหาอำพันขึ้นมาตั้งแต่ตี ๓ ทำน้ำมนต์ให้อาบ พอเปลี่ยนผ้าเสร็จเรียบร้อย จะออกจากวัดทางทิศเหนือก็ไม่มีประตู ต้องปีนกำแพงออก แถมหลังกำแพงยังเป็นบ้านของโยม พอโผล่พ้นกำแพงไป หมาก็เห่าสนั่นไปหมด จะไม่ลงก็ไม่ได้ เดี๋ยวผิดฤกษ์ก็ต้องไป อาตมาเป็นคนรดน้ำมนต์ให้เองยังอนาถใจอยู่เลยว่า ฤกษ์อย่างนี้เขาก็เชื่อกันด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2012 เมื่อ 17:05 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#119
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาสู้กับยักษ์ เรายั่วให้โกรธก็หมดอายุขัยแล้ว ?
ตอบ : อยู่ที่จะยั่วขึ้นหรือเปล่า ? ถ้าจอมอสูรอย่างเวปจิตตาสูรเราคงยั่วไม่ไหวหรอก ถาม : คนเรามักว่ายักษ์หน้าดุ ความจริงแล้วที่เราเห็นนั้นเรียกว่างามแบบยักษ์หรือเปล่า ? ตอบ : ยักษ์ก็คือเทวดา แต่เวลาท่านแปลงตัวมาก็ต้องมีความบ้าดุเดือดหน่อย เราก็ไปเหมาว่าท่านเป็นอย่างนั้น ความจริงนั่นเป็นตอนท่านแต่งเครื่องแบบ เวลาถอดเครื่องแบบก็สวยเหมือนเทวดานั่นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2012 เมื่อ 10:44 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#120
|
||||
|
||||
ถาม : ออกรถมาไม่ได้ตรงกับตำราฤกษ์ออกรถ มักจะมีปัญหาไปชน ไม่ว่าคนขับจะเป็นใครก็ตาม แก้อย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เปลี่ยนรถใหม่ วิธีแก้ง่ายจะตายไป ก็แค่ออกรถใหม่ให้ตรงฤกษ์ เอาให้ดี ๆ นะ รถบางคันมีนิสัยชนเขา บางคันมีแต่ให้เขาชน นิสัยไม่เหมือนกัน ถาม : แก้ไม่ได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : แก้ไม่ได้ สำหรับบุคคลทั่วไปคาดว่าค่าใช้จ่ายที่หนักมากน่าจะเป็นรถยนต์ จ่ายทุกวัน ทั้งค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าสึกหรอ ค่าเข้าศูนย์ เดี๋ยวเฉี่ยว เดี๋ยวซ่อม ถาม : ถ้าเปรียบร่างกายเหมือนพาหนะ ค่าใช้จ่ายกับร่างกายนี้แพงกว่าอีก ? ตอบ : แพงกว่า เพราะเรารักร่างกายนี้มากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2012 เมื่อ 10:46 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|