|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาอาตมาไปกรุงเทพฯ ชอบนั่งรถแท็กซี่ไป เพื่อนพระหลายคนเขาว่าอาตมาเพี้ยน มีรถดี ๆ ไม่รู้จักใช้ อาตมาก็ต้องแยกแยะให้ฟังว่า ไม่ว่ารถแท็กซี่หรือว่ารถส่วนตัวก็ตาม ประการแรก...ค่าเชื้อเพลิงและค่ารถใช้ใกล้เคียงกัน ประการที่ ๒ ถ้าใช้รถส่วนตัวต้องห่วงคนขับอีก ๑ คน ว่าถ้าเราไปงานของเรา แล้วเขาจะอยู่อย่างไร จะกินอย่างไร
ประการที่ ๓ ที่จอดรถในกรุงเทพฯ หายากมาก ถ้าขึ้นแท็กซี่ ลงได้ก็สะบัดก้นไปเลย ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าเป็นรถส่วนตัว หาที่จอดไม่ได้แล้วไปจอดในที่ห้าม ก็อาจจะจ่ายค่าจอดแพงเป็นพิเศษ ประการสุดท้าย..เอารถของตัวเองออกไป ถ้าเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนอะไรขึ้นมา ค่าใช้จ่ายอาจจะมหาศาลกว่าที่คิด ดังนั้น..เวลาเดินทางในกรุงเทพฯ อาตมามักจะไปรถโดยสาร หรือรถอะไรก็ได้ ยิ่งถ้าได้เกาะมอเตอร์ไซค์วันไหนจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ ถ้าหากว่าญาติโยมมาที่บ้านวิริยบารมีแล้ว รถแท็กซี่น่าจะสะดวก แต่ถ้ารอว่าสถานีรถไฟฟ้าเสร็จ ก็จะเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นมาบนพื้นที่ซึ่งราคาแพงมาก เนื่องจากว่าเขารู้ว่าสถานีรถไฟฟ้าจะลงตรงจุดนี้ แต่ว่าที่ยอมจ่ายแพงก็เพื่อความสะดวกในการเดินทางของญาติโยมในอนาคต ต่อไปถ้าใครยังนำรถส่วนตัวมา ก็ด้วยสาเหตุ ๒ ประการ ประการแรก ก็คือ ใช้รถโดยสารสาธารณะไม่เป็นจริง ๆ ประการที่ ๒ ก็คือไม่กลัวลำบาก เพราะว่าที่นี่หาที่จอดรถยากมาก สถานที่ซึ่งเห็นว่าจอดสะดวก มักจะเป็นจังหวะที่รถเขาจะต้องเลี้ยว จะต้องเข้าออก พอเราไปจอดขวางเสียคันหนึ่ง คันอื่นก็หมดสิทธิ์ที่จะไปเลย อย่างเช่น ท่านที่นำรถมอเตอร์ไซค์มา มักจะจอดแอบตรงมุมเสาไฟฟ้า แต่ว่ามุมที่จอดแอบนั่นแหละ เป็นมุมที่รถเขาจะต้องตีวงเข้าซอย เขาก็จะต้องขยับแล้วขยับอีก นั่นนับว่ายังดี..ถ้าวันไหนเขาเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา ก็คงปาดกลิ้งไปเลย..! ที่ประกาศบอกกับญาติโยมก็เพื่อให้ทราบไว้ว่า ถ้าจอดแล้วไม่มีปัญหาเขาไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าเขาว่าแปลว่ามีปัญหาแน่ ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 13:55 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานอะไรที่เป็นงานโบราณ โดยเฉพาะพระราชประเพณี มีโอกาสพวกเราควรไปดูเป็นขวัญหูขวัญตาไว้ เพราะในชีวิตหนึ่งไม่ใช่จะหาดูได้ง่าย ๆ แต่ทำไมถึงประดังมาในช่วงอายุของอาตมาก็ไม่รู้ ?
สมัยก่อนหลวงปู่หลวงพ่ออายุ ๘๐ - ๙๐ ปี เป็นพระเถระ ๔ - ๕ แผ่นดิน สมัยนี้อายุ ๖๖ ปี ยังได้แค่ ๑ แผ่นดินเท่านั้น ถ้ายิ่งนับตั้งแต่รัชกาลที่ ๙ ประสูติด้วยแล้วก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ๘๕ ปีได้แค่แผ่นดินเดียว..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 13:56 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนเด็กทองผาภูมิบวช ๓ รูปด้วยกัน อาตมาคุยกับบรรดาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ว่า ปี ๒๕๕๗ หลวงปู่สาย อคฺควํโส ครบ ๑๐๐ ปีเกิด จะบวชพระถวายท่าน ๑๐๐ รูป ให้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ จะเฒ่าชะแรแก่ชราอย่างไรก็ให้เข็นมา ถ้าบวชแล้วตายคาวัดก็จะสวดให้
ทางด้านเทศบาลตำบลท่าขนุนเขายืนยันว่า ๑๐๐ คนไม่น่าจะมีปัญหา ใคร ๆ ก็อยากจะบวชถวายหลวงปู่ทั้งนั้น ก็เลยลองดูว่าถึงเวลาใครจะสมัครก่อน งานนี้เกินจำนวนก็ไม่รับเพราะไม่มีที่ให้นอน เอาแค่ร้อยเดียวจริง ๆ ไล่ตามประวัติแล้ว หลวงปู่สาย อคฺควํโส ในประวัติเดิมเขาบอกว่าเกิด ๑๗ ตุลาคม ๒๔๕๗ ความจริงไม่ใช่..ท่านต้องเกิด ๑๘ ตุลาคม เพราะฉายาอคฺควํโส เป็นฉายาของคนเกิดวันอาทิตย์ ส่วน ๑๗ ตุลาคมเป็นวันเสาร์ อาตมาไปเปลี่ยนความเชื่อของเขาหลายอย่าง ประวัติเดิมท่านบอกว่า บิดาชื่อนายเพิ่ม อาตมาดูลายมือหลวงปู่ที่เขียน "โยมพ่อนายนิ่ม" แต่เขาอ่านนิ่มเป็นเพิ่มไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ลายมือหลวงปู่สวยมากเลยนะ ลักษณะลายมืออาลักษณ์เลย เขายังอุตส่าห์อ่านเป็นนายเพิ่มไปได้ โดยเฉพาะมีกระดาษเตือนความจำสั้น ๆ อยู่แผ่นหนึ่งที่ท่านหนีบเข้าแฟ้มไว้ เขียนว่า "ลำพอง ดูโลงกระจกให้ด้วย มิถุนา ๓๔" แสดงว่าหลวงปู่ท่านรู้ตัวว่าท่านจะมรณภาพเมื่อไร สั่งเตรียมโลงแก้วไว้เลย บอกล่วงหน้าตั้งครึ่งค่อนปี หลวงปู่ท่านทำงานรอบคอบมาก ถึงเวลาเขียนเตือนความจำแล้วลงวันที่เอาไว้ด้วย โยมลำพองเป็นมัคคนายกวัดท่าขนุนในช่วงนั้นอยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 13:59 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีโยมเขาถวายสมเด็จวัดระฆังมา ให้ไปบรรจุในสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ จำไว้เลยนะ..สมเด็จวัดระฆังหรือสมเด็จวัดบางขุนพรหม ถ้าหากว่าแตกลายงา จะแตกเฉพาะด้านหน้าด้านเดียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 16:31 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ความจริงคนไม่มีลูกสบายที่สุดแล้ว แต่ทำไมคนถึงอยากมีกันจัง มีครอบครัวหนึ่งก็คือคุณวินกับคุณติ๊ก เขาพยายามสุดชีวิตที่จะมีลูกมาโดยตลอด ตั้งแต่แต่งงานอยู่กันมา ๒๐ กว่าปีก็ยังไม่มีลูกเลย หมอเก่งมีที่ไหนก็ไปหามาจนหมด แต่ไม่สำเร็จ เป็นประเภทเดียวกับโพธิราชกุมาร
โพธิราชกุมารอยากมีลูกก็มีไม่ได้ ทั้งที่มีสนมเป็นร้อยเป็นพัน ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ไปฉันในวัง ปูลาดผ้าขาวตั้งแต่ประตูวังไปถึงที่ฉัน อธิษฐานว่าถ้ามีลูกได้ขอให้พระพุทธเจ้าเดินมาบนลาดพระบาทสีขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อผ้าขาวเกลี้ยงเลยแล้วก็เดินเข้าไป โพธิราชกุมารจึงต้องนั่งร้องไห้ พระพุทธเจ้าฉันเสร็จเทศน์ให้ฟังว่า โพธิราชกุมารสร้างกรรมหนักไว้ในอดีต ชาตินี้มีลูกไม่ได้หรอก ในอดีตชาติเกิดเป็นพ่อค้าทางเรือ วันหนึ่งเรือแตกแล้วไปติดเกาะ อยู่บนเกาะนั้นก็เก็บไข่นกกิน พอกินไข่นกหมดก็เอาลูกนกมากิน พอลูกนกหมดก็กินพ่อนกแม่นก นกพวกนั้นไม่เคยเจอใครทำร้าย ก็เลยไม่กลัว ไม่หนี ขนาดพ่อนกแม่นกยังโดนกินจนหมด พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ากินเฉพาะไข่นกจะไม่มีลูกในวัยหนุ่มสาว แต่จะมีลูกตอนวัยกลางคน แต่ถ้ากินเฉพาะไข่นกกับลูกนก จะไม่มีลูกตอนหนุ่มสาวและวัยกลางคน แต่จะมีลูกตอนแก่ นี่พ่อนกแม่นกก็กินไปด้วย ก็ไม่มีแล้วแหละ..กรรมนี้ติดตามไปตั้ง ๕๐๐ ชาติ คุณวินกับคุณติ๊กก็คงแบบเดียวกัน ทุกวันนี้ก็ปลงแล้ว เขาพยายามขนาดนี้แล้วยังมีไม่ได้ หมอตรวจดูปกติทุกอย่างทั้งสามีภรรยา แต่ก็ไม่มีลูก ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งที่อาตมารู้จัก เมียท้องแล้วแท้งไป ๔ ครั้ง เลยตัดใจว่าไม่มีดีกว่า หมอบอกว่ามดลูกอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะเก็บเด็กไว้ได้ ถ้าหากท้องอีกเท่ากับฆ่าเด็กโดยตรง เขาก็เลยตัดใจว่าไม่เอาแล้ว อันนั้นก็คงสร้างกรรมมาใกล้เคียงกัน แต่ว่ารายหลังนี่น่าจะเป็นกรรมของเด็กด้วย คือเด็กสร้างกรรมใหญ่เกี่ยวกับปาณาติบาตไว้ ยังไม่ทันจะเป็นตัวเป็นตนเลยก็แท้งแล้ว อาตมากลัวอย่างเดียว...กลัวว่าลูกของโยมจะเกิดมาเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยพูด แถมดุอีกต่างหาก ถ้าใช่อย่างนั้นจริง ๆ พามาหาอาตมานะ เดี๋ยวจะบอกวิธีจัดการให้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 16:36 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเป็นฆราวาส ไปวัดแต่ละที พาญาติโยมไปวัดกันหลายคน ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวรุ่น ๆ เรียนหนังสืออยู่บ้าง เรียนจบแต่ยังหางานทำไม่ได้บ้าง อยากไปทำบุญแต่หาคนที่ไว้ใจไม่ได้ คราวนี้พอพ่อแม่เขาเห็นว่าไปกับอาตมา เขาก็ไว้ใจเพราะว่าไปรับและไปส่งตรงเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามจะต้องรับส่งตรงเวลา ก็เลยกลายเป็นที่น่าเชื่อถือ มีแต่คนฝากลูกสาวมา คณะก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
พูดเรื่องนี้ก็นึกถึงหลวงพ่อสมคิด วัดตะเคียนงาม หลวงพ่อสมคิดบวชก่อนอาตมาประมาณ ๕ เดือนครึ่ง รู้จักกับอาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว อาตมาเป็นคนสอนมโนมยิทธิให้ท่านเอง ทั้ง ๆ ที่ท่านบวชก่อน แต่ท่านกราบอาตมาทุกครั้ง ท่านบอกท่านกราบในฐานะอาจารย์ จะรับหรือไม่รับท่านก็กราบ หลวงพ่อสมคิดท่านบอกว่า "ผมนึกว่าอย่างไรชาตินี้อาจารย์ไม่ได้บวชแน่แล้ว สาว ๆ ไปด้วยเยอะปานนั้น" ไปกันทีไปเป็นหมู่คณะ ขึ้นรถโดยสารครั้งหนึ่งเต็มไปครึ่งคัน เวลาไปต่างจังหวัดตามหลวงพ่อวัดท่าซุง เขาจะมีการจัดรถตามไป พวกเราไปร่วมบุญด้วย ได้ไปทำบุญวัดต่างจังหวัดด้วย อย่างวัดหลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดหลวงพ่อบุญรัตน์ อาตมาเหมือนพี่ใหญ่ของคณะ มีหน้าที่ซื้อตั๋วแจก เหมาทีครึ่งคัน มีอยู่เที่ยวหนึ่งช้ำใจมาก ซื้อตั๋วแล้วน้องคนหนึ่งติดธุระสำคัญไปไม่ได้ ขากลับเลยซื้อตุ๊กตาชาวเขาตัวเท่าคนมานั่งแทน..! ที่ไปลักษณะนั้นก็ตั้งใจว่าเป็นการสงเคราะห์น้อง ๆ เขาจริง ๆ เพราะว่าบางคนเรียนหนังสืออยู่บ้าง บางคนเรียนจบแล้วไม่มีงานทำบ้าง อาตมาบอกว่าเงินที่พวกเขามีอยู่ให้เอาไว้ทำบุญ เงินที่เหลืออยากจะซื้อของอะไรก็จะได้ซื้อ ส่วนเรื่องค่ารถ ค่ากิน ค่าอยู่ อาตมารับผิดชอบทั้งหมด ตอนนั้นอาตมาทำงานไม่ได้เงินเดือนเยอะแยะอะไรหรอก ประมาณ ๗ พันบาท แต่ว่า ๗ พันบาทประมาณปี ๒๕๒๐ ถือว่ามาก เพราะว่าอาตมากินไม่เป็น เที่ยวไม่เป็น ไปวัดเป็นอย่างเดียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 16:40 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
"เพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วยกันชอบมายืมเงินอยู่เรื่อย เพราะเขารู้ว่ายืมแล้วไม่ทวงคืน แทนที่จะขอยืม เขาก็มักจะขอลืมไปเรื่อย พอประมาณ ๔ โมงเย็น มองซ้ายมองขวาถ้าท่านผู้จัดการไม่อยู่ ก็พยักหน้าส่งสัญญาณกัน อาตมาเด็กที่สุดในแผนก ก็ไปเอาถังสี ๒๐ ลิตรมาต่อขา ยื่นหน้าโผล่ข้ามรั้วออกไปข้างนอก "ป้า ๆ เหมือนเดิม" เหมือนเดิมของเขาก็คือ เหล้าขาว ๒ ขวด น้ำอัดลมครึ่งโหล ส่วนกับแกล้มแล้วแต่ป้าจะมีในตอนนั้น ส่วนใหญ่ก็ไข่เจียว
อาตมาได้วิธีทอดไข่เจียวจากป้าที่อยู่หน้าโรงงานไทย-ญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม ป้าสามารถทอดไข่ฟองเดียวได้จานมหึมา ใหญ่มาก ไปถามเคล็ดลับของป้าจนได้มา แล้วอาตมาก็ทอดไข่เจียวฟองเดียวได้เต็มกระทะเหมือนกัน พอสั่งเสร็จ ป้าเขาก็เอามาส่ง เคาะประตูเรียก ยามก็เปิดประตูเล็กแอบเอาเข้ามา จนกระทั่ง ๕ โมงเย็น กริ่งเลิกงานดังขึ้นก็ติดลมยาวไปยันค่ำ อาตมาเองกินเหล้าไม่เป็นก็กินแต่กับแกล้ม พักเดียวก็โดนเขาไล่ออกมา เพราะคนไม่กินเหล้า เอาแต่กินกับทำให้เปลืองมาก จะเห็นได้ว่าเรื่องของการคบหาสมาคมกับหมู่ผู้ที่อยู่ในอบายมุข ไม่ใช่ว่าเราจะคบไม่ได้ คบได้..แต่ว่าคบแล้วให้เราไปแค่กรอบของศีล พวกนั้นกินเหล้า สูบกัญชา เล่นไพ่ เล่นไฮโล อาตมาดูจนเป็นหมด พวกนั้นชวนเล่นก็ไม่เล่น บางทีรำคาญขึ้นมา ก็บอกว่า "เออ..มึงถือไป เล่นไป เดี๋ยวกูบอกให้" อาตมาก็บอกจนเพื่อนกินคนอื่นหมด เพื่อนเป็นคนถือไพ่ เขาหัวคำนวณไม่เก่ง อาตมาต้องเป็นคนบอก อาตมาเคยเล่นพวกนี้กับคุณยายมา คุณยายเป็นสุดยอดมือดัมมี่เลย อายุ ๘๐ กว่านั่งตาใสแจ๋ว ถึงเวลายายจะแจกเงินหลาน ๆ คนละ ๒๐๐ บาท เรียกมาเข้าวงเล่นดัมมี่ แล้วก็โดนยายกินคืนไปหมด ไม่เหลือหรอก ยายให้ก็เท่ากับไม่ได้ให้ แกจำแม่นขนาดว่าใครเก็บตัวไหนขึ้นไป และควรจะมีตัวอะไรอยู่ในมือ แกบอกได้หมดเลย แล้วเราจะไปเหลืออะไร..?! บางทีอาตมาคิดว่ายายโกงหรือเปล่า ? ก็ขอเปลี่ยนสำรับ ซื้อไพ่ใหม่ไป ยายก็กินพวกเราเกลี้ยงเหมือนกัน คิดว่าถ้าเป็นสำรับเก่ายายอาจจะจำหลังไพ่ได้ ความจริงไม่ใช่หรอก..แกจำแม่น ใครเก็บตัวไหนขึ้นไป ถ้ามีคู่กันสองตัวแสดงว่าคนนี้ต้องมีตัวที่สาม ไม่อย่างนั้นเขาไม่เก็บหรอก แกคำนวณได้หมด อาตมาเองเจอยอดเซียนอย่างยายมาแล้ว พอมาเจอประเภทเด็กโรงงาน จะไปเหลือหรือ ? อุตส่าห์ไม่เล่นกับเขาแล้ว ยังมายั่วกิเลส จึงบอกเพื่อนว่า "มึงถือไว้ เดี๋ยวกูบอกให้" กินเสียให้เข็ด จะได้ไม่มาชวนอีก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 17:03 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"ตอนอาตมาไปอยู่ชายแดนเล่นหมากรุกไม่เป็น เล่นเป็นแต่หมากฮอส พอเล่นหมากรุกไม่เป็นเพื่อนก็รำคาญ เพราะอยู่ชายแดน ถ้าไม่มีเหตุการณ์ปะทะ ก็ต้องมานั่งเซ็งเงียบ ๆ กันทั้งวัน เพื่อนจึงสอนการเล่นหมากรุกให้ พอเพื่อนสอนวิธีเดินเสร็จ เล่นกันกระดานแรกก็เสมอกัน
สำหรับหมากรุก ถ้ากินขุนไม่ได้อย่างไรก็เสมอกัน ต่อให้เหลือขุนตัวเดียวก็เสมอกัน นับศักดิ์กระดาน ๖๔ ตา ถ้าไล่แล้วไม่จนก็เสมอกัน พอกระดานที่สองอาตมาก็กินเพื่อนหมด จึงบอกว่า "มึงเสียเวลาเล่นจริง ๆ" เดินหมากแล้วผูกกันไปผูกกันมา แล้ว ดันเผลอเอง เพื่อนดูหมากไม่ทั่วกระดานหรือว่าสมองเขาจำไม่ทั่วทุกตัวก็ไม่รู้ พอเขาเผลอขยับก็เสร็จ เพราะหมากผูกยันกันอยู่ ถ้าหากเขาขยับตัวนี้มา เราก็เอาตัวนี้เข้าไปผูกไว้ เอ็งกินตัวนี้ของข้า ข้ากินตัวนี้ของเอ็ง ถ้าขาดทุนก็ไม่กินหรอก ใครลงมือเสี่ยงก่อนคนนั้นก็โดน เวลาพวกนั้นสูบกัญชา อาตมาไม่ได้สูบกับเขา ไปนั่งลุ้นเวลาพวกนั้นหัวเราะดิ้นพลาด ๆ ไม่มีอะไรหรอก ขนาดกระดาษหนังสือพิมพ์โดนพัดลมเขายังนั่งหัวเราะเลย สูบกัญชาเสียจนเป็นอย่างนั้น ตอนไปแจกของกับหลวงพ่อสมปอง ที่ป่าแม่วงก์ นครสวรรค์ ชาวบ้านเดินมา อาตมาหันขวับไปหาทิดแม็ก ลูกศิษย์หลวงพ่อสมปอง "เฮ้ย..แม็ก ใช่ไหม ?" "ชัดเลยครับหลวงพี่" "กูก็ว่าใช่" กลิ่นกัญชาชัด ๆ เลย ชาวบ้านเขาดูดกัญชามารับของ รับผ้าห่มที่แจกให้ เรื่องอบายมุข ศึกษาไว้บ้างก็ดี คนจะได้หลอกเราไม่ได้ แต่ไม่ต้องเอาตัวไปลงทุน เล่นไพ่หรือ ? ข้าไม่เล่นกับเอ็งหรอก เพราะว่าสมัยนั้นฝึกงานอยู่ ๓ เดือน เด็กฝึกงานไม่มีอะไรให้นะ นอกจากอาหาร ถ้าหากทำกะกลางคืนก็จะมีอาหารมื้อกลางคืนให้ พอเริ่มบรรจุ ตอนนั้นอาตมาได้วันละ ๒๕ บาท อาทิตย์หนึ่งทำงาน ๖ วัน เงินเดือนออก ๑๕๐ บาท รู้สึกว่าโคตรรวยเลย เอาเงินไปให้แม่จนหมด ทำงานอยู่ตั้งหลายปีเหมือนกับคนไม่มีเงิน เพราะว่าได้มาเท่าไรก็ให้แม่หมด จนกระทั่งเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก ทำอยู่ ๗ เดือน ไล่จากเด็กฝึกงานไป ช่วง ๓ เดือนแรกไม่มีเงินเดือน ทำอยู่ ๗ เดือนเขาเลื่อนให้เป็นหัวหน้าแผนก เพราะว่าเพื่อนพลิกแพลงปรับปรุงงานไม่เป็น เขาเห็นว่าอาตมามีแววเลยให้เป็นหัวหน้าแผนก ทีนี้เงินเดือนขึ้น ยิ่งรวยเข้าไปใหญ่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 18:13 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
"คนอื่นเขาคำนวณงานไม่เป็น จึงเป็นหัวหน้าแผนกไม่ได้ ตอนนั้นสินค้าหลักที่ผลิตของโรงงาน ก็คือ ตู้นิรภัยยี่ห้อโตโยมิสุ ทุกวันนี้ถ้าใครใช้ตู้ยี่ห้อนี้ ถ้ายังไม่เปลี่ยนรหัสมาบอกได้ อาตมาเปิดได้ทุกใบ เขาจะมีรหัสของโรงงานมาทุกใบ ซึ่งจะเหมือนกันหมด แล้วเจ้าของไปตั้งใหม่เอาเอง ใบไหนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนรหัสมาบอกเลย
คนอื่นเป็นหัวหน้าแผนกไม่ได้ เพราะว่าเวลาเถ้าแก่ใหญ่สั่งมาว่า อาทิตย์นี้ต้องออกตู้ให้ได้ ๖๐ ใบ เขาก็จะไม่รู้ว่าต้องคำนวณอย่างไรถึงได้ ๖๐ ใบ อาตมาจะสั่งให้แผนกปั๊ม ให้ปั๊มเปลือกนอกมาเลย ๖๐ ใบ แผนกทำความสะอาดและพ่นรองพื้นสี ๖๐ ใบ วันนี้ต้องเสร็จ แล้วก็ให้แผนกกุญแจปั๊มแผ่นอะลูมิเนียมมาเลย ๖๐ ชุด ภายใน ๓ วันต้องได้ ไล่ไปจนถึงแผนกสีว่าคุณต้องทำเท่าไร วันสุดท้ายงานจะเสร็จพอดี พอถึงวันเสาร์ อาตมาก็จะพ่นสีขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นสีย่น สีนี้พอพ่นลงไปแล้วจะย่น ๆ อย่างกับหนังงู เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเก็บพื้นให้เรียบ ถ้ามัวแต่เก็บเรียบอยู่จะทำสีไม่ทัน เมื่อเป็นสีย่นอยู่แล้ว ต่อให้มีตามดใหญ่หน่อยก็ไม่เป็นไร ในเมื่อคนอื่นเขาคำนวณงานไม่เป็น อาตมาก็ต้องรับตำแหน่งไป เงินเดือนขึ้นจาก ๒๕ บาทต่อวันเป็น ๗๐ บาท แล้วคนกินไม่เป็นเที่ยวไม่เป็น ทำให้เหลือเงินเยอะมาก สมัยนี้หรือ ? จบมาไม่ทันมีประสบการณ์เลย เงินเดือน ๙ พันกว่าบาทแล้ว วันเสาร์เงินเดือนออก เถ้าแก่ใหญ่จะมาเพื่อจ่ายเงินเดือน แต่ไม่ได้จ่ายเองนะ มาถึงก็เอาเงินให้สมุห์บัญชี สมุห์บัญชีจะจ่ายให้หัวหน้าแผนกแต่ละแผนก เอาไปจ่ายลูกน้องของตนเอง แต่ละคนแต่ละแผนกใช้เงินเท่าไรนั้นตายตัวอยู่ แผนกของอาตมาไม่เคยได้ช้า เพราะว่าอาตมาจะทำบัญชีและคำนวนตัวเลขส่งให้ก่อนทุกครั้ง พอถึงเวลาได้มาก็ให้ลูกน้องเซ็นรับไปเลย แต่ว่าส่วนใหญ่ ป้าแกจะถือบัญชีมายืนรอ พวกที่เคยโผล่หน้ามาตะโกนสั่งโดนหมด "ทำงานเท่าไรก็กินกันจนหมด ไม่รู้เป็นอย่างไร เก็บเงินกันไม่อยู่เลย" บางทีพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ มาแซว "เอ็งเก็บเงินอย่างไรวะ ถึงเก็บอยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 18:18 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
"ตรงจุดนี้ได้เห็นประโยชน์ของการปฏิบัติกรรมฐาน อันดับแรก คือ เรามีกำลังใจเข้มแข็งกว่า สามารถอยู่ในดงอบายมุขได้โดยไม่ไหลตามเขาไป อันดับที่สองก็คือ ในเรื่องของการใช้สมองคำนวณ คนที่ใจทรงสมาธิอยู่ การคำนวณจะง่าย
บางทีอาตมามองใบเสร็จนิดเดียว ก็วางเงินลงไปได้เลย ได้ตัวเลขออกมาแล้ว ระยะหลัง ๆ เมื่อไปซื้อของในตลาดทองผาภูมิ ถ้าไปซื้อเอง หยิบสินค้าเสร็จสรรพ แม่ค้าจะถามอาตมาที่เป็นคนซื้อว่าเท่าไร ? เพราะว่าเขาเคยเอาเครื่องคิดเลขมาไล่กดแล้วไม่เคยทัน อาตมาหยิบเงินให้แล้วบอกว่าต้องทอนเท่าไร ตอนแรก ๆ เขาก็ไม่เชื่อ พอเอาเครื่องคิดเลขมากดหลาย ๆ ครั้ง ได้เท่าที่อาตมาบอกทุกที ตั้งแต่นั้นมาเขาเลิกกดเลย อาตมาหยิบของเสร็จบอกเลยว่าเท่าไร แทนที่จะเป็นคนซื้อ ก็กลายเป็นคนขายไป ขายให้กับตัวเอง เราจะเห็นประโยชน์ชัด ๆ ว่าสภาพจิตที่นิ่ง เรื่องของการคาดคำนวณสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องโลก ๆ เป็นของง่ายมาก เพราะว่าการดับกิเลส เราต้องดับกิเลสให้ทัน ซึ่งยุ่งกว่านั้น มีรายละเอียดมากกว่านั้น ดังนั้น..ถึงได้กล้าบอกกับเด็ก ๆ เต็มปากเต็มคำว่า ในเรื่องของการเรียน ถ้าเราฝึกสมาธิมา จะเรียนเก่งทุกคน ตอนนี้อาตมาจบปริญญาโทแล้ว ยังสามารถรักษาที่ ๑ เอาไว้ได้ แต่ปริญญาโทไม่มีเกียรตินิยม ไม่อย่างนั้นจะเอาเกียรตินิยมมาอวดอีกใบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-04-2012 เมื่อ 11:38 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
"ถึงเวลาแล้วกำลังใจที่ฝึกมา สามารถต่อสู้กับกิเลสหยาบ ๆ ก็คือพวกอบายมุขต่าง ๆ ได้ แต่เพื่อน ๆ สู้ไม่ได้เพราะว่าเขาไม่เคยฝึกเรื่องนี้มา แต่ว่าเรื่องความจำที่เห็นผลชัดที่สุดคือ ถึงเวลาเลิกงานต้องไปเล่าเรื่อง "เพชรพระอุมา" ให้เพื่อนทั้งแผนกฟัง
หนังสือเพชรพระอุมา ๑๘ เล่มใหญ่ ๆ (ตอนนั้นภาค ๑ ยังเป็นชุดปกแข็ง ๑๘ เล่ม ต่อมาปรับเป็น ๒๒ เล่ม แล้วถึงมาปรับเป็น ๒๔ เล่ม) นั่งเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนนั่งฟังแน่นไม่ไปไหนเลย เพราะว่าสามารถที่จะเล่าได้เหมือนอย่างกับเปิดหนังสืออ่าน เพราะฉะนั้น..ถ้าจำทั้ง ๑๘ เล่มได้นี่ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงหรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2012 เมื่อ 18:30 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
ถาม : เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทุกวันนี้อยู่มาได้ ก็ดูลมหายใจเข้าออก ?
ตอบ : นั่นแหละ..ดีแล้ว เราต้องตั้งสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้าเราจับลมหายใจเข้าออกได้เป็นปกติ โรคต่าง ๆ ก็เหมือนกับไม่มี เพราะว่าใจไม่ได้ไปอยู่ที่ร่างกาย ใจไปอยู่ที่ลมหายใจแทน ถ้าโยมเป็นอย่างอาตมาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่หรอก เพราะทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนอาการจะกำเริบ แล้วคิดดูว่าช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อยขนาดไหน ? ครึ้มฟ้าครึ้มฝนหน่อย อาตมาก็หมดสภาพไปแล้ว ถาม : วิธีที่ถูกต้องคือ..? ตอบ : พยายามให้เห็นโทษของร่างกายนี้ จนไม่อยากอยู่กับร่างกายนี้อีก เราไปพระนิพพานดีกว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เราไม่ต้องการอีกแล้ว เกิดมาในโลกที่มีแต่ความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว เป็นพรหมเทวดาพ้นทุกข์ชั่วคราวเราก็ไม่เอา เพราะเกิดใหม่เราก็ทุกข์อีก ฉะนั้น..เราไปพระนิพพานที่เดียว เอากำลังใจเกาะภาพพระหรือลมหายใจเข้าออกไว้ คิดว่าตายเมื่อไรเราขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ส่วนโรคจะหายหรือไม่หายก็เรื่องของโรค ไม่ใช่เรื่องของเรา ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : เอาแค่ว่าถ้ารัก โลภ โกรธ หลง มาแล้วเราดูทันก็พอ ไม่ต้องไปดูอย่างอื่น รู้ทันแล้วก็ไม่ต้องไปไล่ฆ่าไล่ฟัน พวกนี้อาย พอรู้ทันเขาก็เลิก มีสติรู้เท่าทันอยู่กับปัจจุบันก็พอ ควบคุม กาย วาจา ใจ ให้อยู่ในกรอบของศีล ถ้าหากความชั่วจะล้นออกมา ก็อย่าให้ล้นออกไปหาคนอื่น ยอมอกแตกตายอยู่คนเดียวดีกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:31 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
ถาม : เพียงแค่ให้สวดโพชฌงค์ แล้วหายจากอาการป่วยได้หรือครับ ?
ตอบ : เนื้อหาของโพชฌงค์ท่านบอกให้เราวางกำลังใจอยู่กับหลักธรรม ในเมื่อเอาใจอยู่กับธรรมะไม่ได้อยู่กับร่างกาย อาการป่วยหนักก็กลายเป็นเบา อาการป่วยเบาก็กลายเป็นหาย เพราะสภาพจิตทรงตัวขึ้นมา ถาม : ฟังแล้วเกิดความสบายใจ ? ตอบ : ฟังแล้วเหมือนกับอาศัยเสียงสวดมนต์โยงใจให้เป็นสมาธิ สวดไว้ได้ทุกวันแหละดี เพราะเป็นอานิสงส์แก่ตัวเอง อย่างน้อยที่เราทำเป็นการเคารพพระรัตนตรัย ใจเราเกาะพระอยู่แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:32 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
ถาม : ภาวนาแล้วทำไมลมหายใจติดขัดคะ ?
ตอบ : ลองหายใจยาว ๆ ๓ - ๔ ครั้งก่อน แล้วค่อยภาวนา บางทีลมหายใจหยาบ ถ้าหากว่าพูดง่าย ๆ ก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในร่างกายเยอะเกินไป หายใจยาว ๆ สัก ๓ - ๔ ครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด แล้วค่อยภาวนา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:32 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ถาม : สงสัยในการปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น..ถือว่ามีปัญญาด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าสงสัยแล้วให้สามารถไขข้อข้องใจได้ด้วย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นขวางการปฏิบัติไปเรื่อย เพราะว่าสงสัยไม่เลิก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:33 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
ถาม : ป่วยเป็นไซนัส ?
ตอบ : เด็กเป็นไซนัสมีแนวโน้มมาจากภูมิแพ้ อย่าให้กินนมวัวเดี๋ยวอาการก็ดีขึ้นเอง ให้กินพวกนมถั่วเหลือง อย่างนมถั่วเหลืองที่เขาเขียนว่า "เจ" ถ้าเป็นนมถั่วเหลืองทั่วไปจะผสมนมวัว ๑๕ เปอร์เซ็นต์ กินเข้าไปก็ยังป่วยเหมือนเดิม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:33 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "การสืบสายตามลำดับรุ่น โบราณใช้คำว่า "ผู้ดีแปดสาแหรก" ถ้าพวกเราไปดูตารางสืบสายลำดับรุ่น จะเห็นว่าเขาโยงลงมาเป็นสาแหรก ฉะนั้น..บรรดาตระกูลผู้ดีเขาต้องสืบขึ้นไปได้ ๘ รุ่น ก็เลยเรียกว่าผู้ดีแปดสาแหรก
ฉะนั้น..พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีของเรา เอาแค่สืบสายจากรัชกาลที่ ๑ ลงมา สาแหรกก็มโหฬารแล้ว ส่วนใหญ่ไขว้กันไปไขว้กันมาจนกลายเป็นญาติกันหมด เราสังเกตไหมว่า พอถึงเวลาตรุษจีนในวังจะมีงานสังเวยพระป้าย ก็คือป้ายสถิตวิญญาณของคนจีน อันนั้นก็คือสาแหรกหนึ่งที่มาทางสายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะว่าท่านเป็นจีนแท้เลย ลูกของนายอากรบ่อนเบี้ย เรามาสังเกตดูพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ กับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิตติยาภา "พระองค์โสม" ยังไม่เท่าไร แต่ "พระองค์ภา" ออกไปทางคนจีนชัด ๆ เลย เพียงแต่ท่านดูดีแล้วก็น่ารัก เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเชื้อจีนก็มีอยู่เต็ม ๆ ในราชวงศ์ ถ้าหากว่าสืบสายไปถึง ๘ สาแหรกแล้ว คนจีนใช้คำพูดว่า "ห้าร้อยปีก่อนเรามีปู่ทวดคนเดียวกัน" สำหรับคนอื่นไม่รู้ แต่สำหรับตระกูลอาตมามี ๕ แซ่ด้วยกัน ถ้าสืบสายขึ้นไปนี่ ปู่ทวดเป็นคนเดียวกัน ท่านมาจากนายทหาร ๘ กองธงที่พิทักษ์ราชวงศ์ชิง คราวนี้พอหยวนซื่อข่ายกับดร.ซุนยัดเซน ล้มล้างราชวงศ์ชิง ก็ต้องตัดแขนตัดขาพวกบรรดาที่เป็นมือเป็นเท้าของทางราชวงศ์ จึงต้องตามล่านายทหารทั้ง ๘ กองธงนี้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:37 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
"ปู่ทวดมีลูกชาย ๕ คน จึงให้เปลี่ยนออกเป็น ๕ แซ่ด้วยกัน ปกติคนจีนต่อให้เป็นตายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแซ่ แต่นี่บรรพบุรุษสั่งจึงต้องเปลี่ยน แล้วให้จดจำไว้ว่าทั้ง ๕ แซ่นี้ก็คือพี่น้องกัน ให้สั่งลูกสั่งหลานไว้เลยว่าถ้าหากว่าเจอ ๕ แซ่นี้เป็นพี่น้องกัน แต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันหลบหนีไป
ทางด้านตระกูลของปู่ ก็คือพ่อเข้ามาเมืองไทย แล้วก็มาเจอสายเดียวกันจริง ๆ แม้ว่าจะคนละแซ่ แต่เรารู้ว่าเป็นตระกูลเดียวกัน เพราะว่าปู่กับพ่อจะคอยเล่าตำนานเรื่องนี้ให้ฟังอยู่เสมอ ฉะนั้น..บรรดาลูก ๆ ก็จะจำได้ว่าแซ่ทั้ง ๕ นี้คือญาติพี่น้องกัน แต่คนจีนเขามีการนับกันตามลำดับรุ่น แซ่อื่นเขาไปกันเร็วเพราะแต่งงานเร็ว แต่ว่าทางด้านสายแซ่ของอาตมาแต่งงานช้า ลำดับรุ่นก็เลยสูงมาก ถึงเวลาอายุคนรุ่นราวคราวเดียวกันก็ต้องเรียกอาตมาเป็นเจ็กกง แปะกง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:38 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนที่คุยกับเพื่อนชาวต่างชาติ เขาแปลกใจมากที่คนไทยเปลี่ยนนามสกุลง่ายมาก ของเขาจะเปลี่ยนนามสกุลใหม่จะต้องดูว่าสีประจำตระกูลสีอะไร ? มีตราประจำตระกูลอะไร ?
ตอบ : อันนั้นเขาเรียกว่ายังหวงตระกูล คนไทยเขาไม่หวง เพราะปกติเราไม่มีนามสกุลอยู่แล้ว คนไทยเราเริ่มมีนามสกุลสมัยรัชกาลที่ ๖ ขนาดสมัยอาตมาเด็ก ๆ คนทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ เขาสืบสายตระกูลขึ้นไปได้หมดแหละ พอบอกว่าเป็นใครหรือลูกใครเท่านั้นแหละ เขาจะบอกเลย อ๋อ..ปู่เอ็งคนนั้น ทวดเอ็งคนนั้น เขาบอกได้หมดเลย เขาใช้วิธีจำอย่างนี้ แต่พอระยะหลังคนมากขึ้น ๆ จำกันไม่ไหวก็ต้องมีนามสกุลขึ้นมา ขนาดมีนามสกุลแล้ว ลองไปดูทะเบียนราษฎร์สิ ชื่อเดียวกันนามสกุลเดียวกันเป็นสิบ ๆ ก็มี จนกระทั่งบางคนไม่ได้ทำคดีอะไรไว้เลย จู่ ๆ โดนหมายเรียก เพราะชื่อนามสกุลตรงกัน อาตมาเองตอนเรียนมัธยม มีรุ่นพี่แต่เขามีศักดิ์เป็นหลาน ถึงบอกว่าลำดับตระกูลของตัวเองสูงมาก เขาเป็นรุ่นพี่ ๒ ปีแต่มีศักดิ์เป็นหลาน ชื่อเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน เป็นญาติกัน พอเขากลับไปบอกทางบ้าน กลับโดนพ่อเขาด่า บอกว่าดันไปตั้งชื่อเดียวกับอาได้อย่างไร โอ้โห..พ่อเขาพูดออกมาได้ ก็เขาเกิดก่อน สรุปแล้วเขาต้องเปลี่ยนชื่อ คนอาวุโสกว่าได้เปรียบ ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งที่เกิดทีหลัง บางทีทางไทยเราคิดนามสกุลไม่ทัน ก็ใช้ชื่อปู่ย่าตาทวดมาผสมกันเป็นนามสกุลเยอะแยะไป ส่วนนามสกุลของชาวต่างชาติเองก็มีพวกคาร์เพ็นเตอร์ อาชีพช่างไม้ สมิธ พวกช่างทอง ช่างเหล็ก เขาก็สืบสายกันไปก็ได้ สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็ยังมีนะ นามสกุล ชาวนา ชาวไร่ มีจริง ๆ ยังมีเพื่อนหลายคนที่นามสกุลแบบนี้ นายทะเบียนคิดไม่ทันก็ใส่ไปเรื่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:41 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ตอนนี้ที่ทองผาภูมิ พวกบรรดา มอญ พม่า ทวาย กะเหรี่ยง ได้รับบัตรไทยมากขึ้น ขอให้ตั้งชื่อ-นามสกุลใหม่ให้ พระต้องรับภาระหนักมากเลย แล้วอยู่ ๆ ฟ้าก็มาโปรด ทางเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ ส่งนามสกุลมาให้ ๑ เล่มใหญ่ เป็นนามสกุลที่สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานมาให้
ฉะนั้น..ใครต้องการนามสกุลก็ไปเปิดหาเอา ถูกใจอันไหนก็ขีดเลือกเอาไว้ นายทะเบียนก็ลงให้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นภาระของพระต้องมาตั้งให้ล้วน ๆ แต่เขามีกติกาว่าตั้งนามสกุลได้ก่อน ส่วนชื่อยังเปลี่ยนเป็นไทยไม่ได้ จนกว่าจะครบ ๕ ปีแล้วเปลี่ยนบัตรใหม่ ถึงจะตั้งชื่อไทยได้ ถ้าภายใน ๕ ปี มีคดีขึ้นโรงพัก จะไม่ได้บัตรไทย เพราะฉะนั้น..ช่วงนี้ทองผาภูมิสงบเงียบเรียบร้อย ไม่มีคดีอะไรหรอก เพราะเขาอยากได้บัตรไทยกัน ทองผาภูมิจะแยกออกเป็นจังหวัดจึงต้องเพิ่มประชากร ที่เราเห็นจำนวนเป็นล้านคนนั่นพวกต่างด้าวทั้งนั้น ประชากรไทยจริง ๆ มีไม่ถึงร้อยละ ๓๐ ก็เลยไม่เพียงพอที่จะแยกเป็นจังหวัด ตอนนี้ศาลจังหวัดมีแล้ว ขนส่งจังหวัดมีแล้ว เรือนจำจังหวัดมีแล้ว อะไรที่เป็นของจังหวัดเขาไปตั้งไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ทำงานไปตามปกติ แต่ยังเป็นจังหวัดไม่ได้ เจ็ดแปดปีแล้วก็ยังเป็นไม่ได้สักที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2012 เมื่อ 17:43 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|