กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 09-05-2011, 16:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางคนที่รู้จักกัน เขาเอาพระสมเด็จวัดระฆังไปเข้าประกวด เจอเซียนกี่ราย ๆ ก็บอกว่าปลอม เขาก็ถอนของออกมา จะเดินทางกลับ ปรากฏว่าเซียนมาดักอยู่ตรงลานจอดรถ "พี่..ของพี่ปลอมได้สะเด็ดมาก ผมให้สามหมื่น จะเอาไว้ดูตัวอย่าง" ของปลอมให้ตั้งสามหมื่น เชื่อเขาดีไหม ? คือ เขาช่วยกันพูดคนละทีสองทีว่าเป็นของปลอม จากของดีกลายเป็นของปลอม ราคาถูกไปเลย

ตัวอย่างที่ชัดที่สุด นายกสมาคมพระเครื่องแห่งประเทศไทย เขาเช่าบูชาพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี ๒๔๙๗ พิมพ์กรรมการ ราคา ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ราคาแพงขนาดนี้เลย ถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ อาตมาดูยังสวยสู้ของอาตมาไม่ได้ เลยส่งลูกศิษย์เอาไปแหย่ดูว่าให้ราคาเท่าไร

ปรากฏว่าเขาให้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท..! แต่ของเซียนสวยสู้ไม่ได้ราคาตั้งสองล้านห้า ราคาเซียนไปโหดขนาดนั้น เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของพระเครื่อง ถ้าเราบูชาด้วยความเคารพ จะเก่าจะใหม่ก็เหมือนกัน เป็นอนุสติเหมือนกัน

ถ้าหากว่าเป็นภาพพระพุทธก็เป็นพุทธานุสติ ถ้าเป็นรูปพระสงฆ์ก็เป็นสังฆานุสติ อย่าไปคิดถึงมูลค่าทางการตลาด เพราะจะไปเจอ "การสวด" อย่างที่บอก พูดจากของดีกลายเป็นของปลอมเลย กำลังใจจะตกเสียเปล่า ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 09-05-2011 เมื่อ 18:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 225 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 09-05-2011, 16:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางท่านหลักการดีมากเลย เขาเก็บพระใหม่อย่างเดียว อาตมาก็ถามว่า "อยากจะเล่นพระ ทำไมเก็บแต่พระใหม่ ?" เขาบอกว่า "ใหม่วันนี้ อีกสิบปีก็เก่า" ก็จริงของเขานะ..!

โยมท่านหนึ่งศรัทธาหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี เขาบูชาพระของหลวงพ่อมุ่ยตั้งแต่สมัยออกใหม่ ๆ อย่างละ ๒๐๐-๓๐๐ องค์

เคยถามว่า "ลุงเอาไปทำไมเยอะแยะ ?"
"เผื่อข้าตาย"
"ตายแล้วทำไม ?"
"เอาไว้แจกงานศพ ลูกหลานจะได้ไม่ต้องหาของที่ระลึก"

ปรากฏว่าลุงยังไม่ทันจะตาย ลูกหลานช่วยกันขายจนเกลี้ยง ลูกหลานช่วยฉลองคุณพ่อแม่จนหมด เพราะพระหลวงพ่อมุ่ยตอนนี้องค์ละหลายหมื่น

อาตมาเคยกลืนพระหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค ลงท้องไป องค์นั้นเป็นพระปิดตาผสมชานหมากของท่าน ตอนนั้นใส่พระไว้ในกระเป๋า ลงจากรถปิดประตูแล้วหนีบกระเป๋าแตก ไม่รู้จะทำอย่างไร ท้ายสุดตัดใจใส่ปากกลืนไปเลย เพราะไหน ๆ ก็แตกไปแล้ว

พอพระครูแสงชัยเขาไปบวช เขาก็มาถาม "พี่..เหรียญอายุยืนหลวงปู่สีเนื้อนวโลหะยังอยู่ไหม ?"
"อยู่"
"ขอผมได้ไหม"
"ขอเฉย ๆ ไม่ได้ เหลืออยู่เหรียญเดียวเท่านั้น"
"ถ้าอย่างนั้นเอาเนื้อทองแดงมาแลก"
"ได้"

อาตมาก็ให้แลกไป มารู้ทีหลังว่าพ่อเจ้าประคุณเอาไปปล่อยต่อเป็นหมื่น อยากเหยียบจริง ๆ เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-01-2019 เมื่อ 15:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 09-05-2011, 17:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงปู่สีมรณภาพตอนอายุ ๑๒๘ ปี ถือว่าเป็นพระเถระที่มีหลักฐานอายุที่ชัดเจนที่สุด องค์ที่รองลงไปคือหลวงปู่สุภา วัดสีลสุภาราม ปีนี้ท่านน่าจะอายุ ๑๑๔ ปีแล้ว สมัยเก่าไปหน่อยก็หลวงปู่เงิน วัดบางคลาน อายุ ๑๑๕ ปี คนรุ่นเก่า ๆ อายุยืน ไม่ได้อายุยืนอย่างเดียว ร่างกายแข็งแรงด้วย เพราะทำงานหนักมาทั้งนั้น คนรุ่นใหม่ไม่แข็งแรงพอ

ตอนนี้อาตมาสะสมวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์อยู่ มีชานหมากหลวงปู่วงศ์ ชานหมากหลวงพ่อฤๅษี ชานหมากหลวงปู่ทิม ลูกอมหลวงปู่ดู่ ลูกอมหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ลูกอมหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ลูกอมหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ยาเม็ดจินดามณี หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ฯลฯ

เดี๋ยวจะทำวัตถุมงคลรุ่นหนึ่ง จะเทไปเป็นส่วนผสมให้หมด ทำทั้งทีทำแจกไปเลย อย่าไปตั้งราคา ถ้าญาติโยมสังเกตจะเห็นว่า อาตมาจะทำวัตถุมงคลแจกก่อน พอเหลือจากที่แจกแล้วจะราคาแพง เพราะฉะนั้น..วันที่แจกใครไม่มาก็เจ็บตัวทีหลัง ต้องไปซื้อของแพง ๆ

มีของอย่างหนึ่งที่เสียดายมากเลย ก็คือ แป้งของหลวงปู่บุดดา สมัยก่อนอาตมาขนไปทียกโหล ไปให้ท่านเสก คนขอซะเกลี้ยงเลย ทีนี้พอตัวเองอยากได้ก็ตามไปขอแบ่งเขา เพราะเรารู้ว่าใครเอาไปบ้าง ตอนนั้นซื้อแป้งเด็กขวดเล็ก ๆ เป็นโหล ๆ หลวงปู่ท่านจะเสกให้ ถ้าใครไม่เอาไปท่านก็เทใส่หัวให้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2011 เมื่อ 18:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 09-05-2011, 17:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สาเหตุที่หลวงปู่เสกแป้งแทนเสกน้ำมนต์ เกิดจากตอนที่หลวงปู่ไม่สบาย เข้าโรงพยาบาลตำรวจ เพราะลูกศิษย์เป็นหมอใหญ่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ลูกศิษย์ที่ไปหาก็นวดถวาย มีลูกศิษย์คนหนึ่ง เขาจะมีสัญลักษณ์ประจำตัวก็คือ ใส่แหวนเพชรเกือบสิบนิ้ว เขาไม่ได้นวดหลวงปู่เฉย ๆ เขาเอาน้ำมันนวดกล้าม หรือที่พวกเราเรียกว่าน้ำมันมวย ไปนวดหลวงปู่ด้วย

ด้วยความที่หลวงปู่อายุมาก ผิวท่านบาง พอโดนน้ำมันนวดกล้ามเข้าก็อักเสบ บวมเลย หมอมาเห็นเกือบจะเป็นลม ก็เลยให้พยาบาลเอาแป้งมาทาเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ พอลูกศิษย์เห็นหลวงปู่ใช้แป้งทาแก้อักเสบ ก็ซื้อมาถวายกันใหญ่ พูดง่าย ๆ ก็คือ มีแป้งเป็นคันรถ หลวงปู่ท่านไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเสกแป้งไปเลย

ตั้งแต่นั้นมากลายเป็นธรรมเนียมว่า ไปหาหลวงปู่ต้องเอาแป้งไปด้วย แต่จะมีสักกี่คนรู้ว่าหลวงปู่ท่านใช้แป้ง หรือที่เขาเรียกว่า น้ำมนต์แห้ง ด้วยเหตุใด ก็เพราะด้วยเหตุที่ว่ามานี่แล กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ถึงเวลาก็แจกแป้งอย่างเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 04:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 09-05-2011, 17:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูอ่านเจอมาว่าคาถาเงินล้าน ถ้าทำได้ผลแล้วอย่าโวยวายไป เดี๋ยวผลจะหด แต่หนูจะไปชวนคนอื่นเขา บางทีต้องมีการบอกว่าเราทำได้ผลอย่างนี้ ๆ
ตอบ : บอกในลักษณะยกตัวอย่างให้ฟัง อย่าบอกลักษณะอวดว่าเราทำได้ ถ้าบอกในลักษณะอวดว่าเราทำได้ หรือบอกด้วยความปลื้มใจภูมิใจ อยากให้เขารู้ว่าเราทำได้ จะหายไปนานเลย ฉะนั้น..ถ้าหากว่าวางใจเป็นกลางได้ จะยกตัวเองเป็นตัวอย่างก็ได้ ไม่เป็นไร

ถาม : เคยได้ยินมาว่า ถ้าเกิดว่าคน ๒ คน คนหนึ่งมีอาชีพอิสระหรือมีกิจการส่วนตัว อีกคนหนึ่งเขารับเงินเดือน ถ้าทำเหมือนกันคนที่รับเงินเดือนจะได้ผลน้อยกว่า เพราะทางเข้าของเงินมันจำกัด
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เดี๋ยวเขาก็ไปเดินสะดุดเงินที่ไหนสักแห่งล้มตายไปเอง

ถาม : แม้จะไม่ได้ทำอาชีพอะไรเลยก็เหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : อยู่ ๆ อาจจะมีล็อตเตอรี่ปลิวมา เก็บเอาไว้ดูเล่นเฉย ๆ ปรากฏว่าเป็นรางวัลที่ ๑ เขามาของเขาจนได้ เหมือนอย่างคุณแม่ของคุณประยงค์ ตั้งตรงจิตร เป็นอัมพาตนอนอยู่ ภาวนาไปเรื่อย อยู่ ๆ เห็นแสงสว่างพุ่งเข้าไปในเซฟที่ทิ้งไว้ปลายเตียง เป็นเซฟเปล่า เลยบอกลูกเปิดดู เปิดออกมาแบงค์อัดเต็มตู้เลย แบงก์ร้อยล้วน ๆ เหตุที่มีแต่แบงค์ร้อยล้วน ๆ เพราะสมัยนั้นใบใหญ่ที่สุดคือแบงค์ร้อย

ถาม : หลวงพ่อคะ หลัง ๆ นี่หนูจะมีความรู้สึกว่า เรายอมรับมากขึ้นว่าเราต้องตาย คือร่างกายนี่เรายืมมา แต่ก็จะมีความรู้สึกแวบเป็นระยะว่า ช่วงที่ใช้อยู่ ยังไม่คืนนี่ขอสวยหน่อยเถอะ เงินก็เงินเรา ศีลก็ไม่ผิด มีการให้เหตุผลเรียบร้อยเลยค่ะ
ตอบ : นั่นกิเลสเขาชวน ถ้าปัญญาน้อยนี่เสร็จเลย ไม่เป็นไร..เราก็สวยอย่างมีสติ คือรู้ตัวว่าเราต้องทำให้สวย เพราะว่าจริง ๆ แล้วร่างกายนี้สกปรกเลอะเทอะ ถ้าไม่ล้างหน้าสัก ๒ วันจะมีใครมองไหม ?

ดังนั้น..เราต้องมีสติ คือที่แต่งนี่เพื่อต้องการให้สวย เพราะว่าของจริงนั้นหาความสวยไม่ได้

ถาม : บางครั้งที่ไปหลงตามนี่ กำลังใจก็จะตกไปยาวเลยค่ะ
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2011 เมื่อ 18:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 10-05-2011, 20:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาที่เราภาวนาไปถึงฌาน ๔ แล้วตัวหลุดออกไป เนื่องจากจะให้ชินว่าตอนตายให้หลุดออกไปนิพพานค่ะ พอเวลาหลุดออกมาหนูก็เลยพยายามไปกราบพระที่นิพพานตลอด อย่างนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จ้ะ..แสดงว่ากำลังใจเข้มแข็งขึ้น สติการรู้ตัวมีมากขึ้น ถึงได้ควบคุมกายในได้ ไม่อย่างนั้นปกติถ้าหลุดออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าขาดสติควบคุม จะเปะปะไปไหนไม่ถูก แล้วท้ายสุดก็กลับ แสดงว่าการปฏิบัติดีขึ้นกว่าเดิมมาก

ถาม : ล่าสุดหนูก็ทำอย่างที่ท่านบอก ขึ้นไปก็พยายามสวดคาถาเงินล้าน ได้ประมาณจบหนึ่งหนูก็ร่วงลงมาที่เดิมค่ะ
ตอบ : ได้ตั้งจบหนึ่ง..! สมัยก่อนอาตมายังไม่ทันคิดเลยก็ร่วงลงมาแล้ว

จบหนึ่งนี่เยอะมากแล้ว เพราะสภาพของพระนิพพานจริง ๆ เป็นสภาพที่ละเอียดเกินกว่าจิตปัจจุบันเรามาก เราไม่เคยชิน เกาะอยู่ได้ถือว่าเก่งมากแล้ว พยายามสร้างความเคยชินให้ได้ เกาะให้นานขึ้นไปเรื่อย ๆ ซักซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็นานขึ้นเอง

ถาม : พอร่วงลงมาหนูก็เลยออกไปใหม่ค่ะ แล้วก็เป็นอย่างนี้ประมาณ ๒-๓ รอบ พอเข้าออกหลาย ๆ รอบ เหมือนกับว่าออกไปทางหัว พอลืมตาขึ้นมาแล้วปวดหัวตรงนี้ค่ะ เป็นอาการปกติหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อาจเป็นเพราะว่าเรามุ่งมั่นมาก แล้วก็ไปใช้กำลังใจในการช่วยส่งมาก ถ้าหากว่าเราไม่ได้มุ่งมั่นไปส่งจิตออก เราก็จะไม่เครียด ต่อไปก็เปลี่ยนไปออกทางหัวแม่เท้าสิ จะได้ไม่ปวดศีรษะ..!

ถาม : เวลาหนูจะส่งจิตขึ้นไปอย่างตอนนั่งอยู่แบบนี้ หนูจะจับอารมณ์ให้เหมือนกับตอนที่หลุดขึ้นไป คือจับภาพพระแล้วให้อารมณ์เหมือนกับตอนที่ขึ้นไป แล้วมีครั้งหนึ่งที่หนูจำแม่นมาก ถ้าจะเอามาใช้ ครั้งนั้นจะจำได้ดีค่ะ แต่ครั้งนั้นหนูเห็นภาพพระองค์ใหญ่สวยงามมาก แต่บริเวณรอบ ๆ เป็นสวนสวย ๆ ค่ะ หนูเลยไม่แน่ใจเพราะบนพระนิพพานไม่น่าจะมีสวน
ตอบ : ทำไมจะไม่มีวะ..?

ถาม : มีหรือคะ ? หนูกลัวว่าไม่ใช่ เอามาใช้แล้วผิด
ตอบ : เอาพระเป็นหลักจ้ะ อย่าเอาสวน เดี๋ยวจะกลายเป็นจิ้งหรีดไป เราไม่เคยชินมาก่อน แถมยังคิดไปด้วยว่าไม่น่าจะมี ถ้าไม่ได้คิดไว้ก่อนก็เป็นของจริง ถ้าคิดไว้ก่อนเขาเรียกว่าอุปาทาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2011 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 10-05-2011, 20:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เป็นไปได้หรือเปล่าว่า การที่เราพิจารณาแล้วอารมณ์ไปตกตรงกับที่พระอริยเจ้าท่านเป็น แต่เราทรงอยู่ได้ไม่นาน ?
ตอบ : ไม่ใช่ว่าเป็นไปได้ไหม แต่ควรจะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าคิดแล้วไม่ได้อารมณ์อย่างนั้น ถือว่ายังคิดไม่เป็น..!

ถาม : หนูบังเอิญทำได้อยู่ครั้งหนึ่ง บรรยายเป็นภาษาคนไม่ถูกเลย คือว่าดีมาก ๆ เลยค่ะ หนูก็อยากจะได้อย่างนั้นอีกค่ะ
ตอบ : ชาติหน้าบ่าย ๆ ก็ไม่ได้..! ให้เราภาวนา พิจารณาเหมือนเดิม ส่วนจะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะได้เร็ว แต่ถ้าทำเพราะอยากได้ ตัวอยากจะกั้นไว้

ตอนสมัยอาตมายังเรียนปริญญาตรีอยู่ เขามีฝึกกรรมฐาน อาจารย์เขาบอกว่า "คุณเคยทำได้อย่างนี้ พนันกับผมไหมว่าชั่วชีวิตนี้คุณจะทำไม่ได้อีกเลย ?" เราก็ว่า อาจารย์พูดถูกแต่ถูกไม่หมด ถ้าหากลูกศิษย์วางกำลังใจถูกต้องจะทำได้ แต่ถ้าไปอยากได้อย่างนั้นก็จะไม่ได้

ถาม : มีอีกเหตุผลหนึ่งด้วยก็คือว่า ตอนนั้นที่หนูพิจารณา หนูพิจารณาตามหนังสือเล่มหนึ่งค่ะ แต่พอมาตอนหลังหนูมาได้ยินว่าหนังสือเล่มนั้นถูกไม่หมด หนูมาพิจารณาแบบเดิมหนูก็รู้สึกว่าไม่ถูกค่ะ ก็เลยทำอารมณ์แบบเดิมไม่ได้แล้ว
ตอบ : ไป..กลับไปอ่านใหม่ แล้วตั้งใจว่าต่อไปนี้ถูกทั้งหมด โดยเฉพาะส่วนที่เราทำ

ถาม : อ๋อ ก็คือเอาเฉพาะตรงส่วนที่เราทำ
ตอบ : เออ..ฉลาดจริง ๆ

ถาม : ช่วงที่เป็นสมาธิใช้งาน จะบอกว่าไม่ถึงฌาน ก็กดกิเลสได้ในระดับหนึ่งค่ะ แต่ถ้าจะมองว่าเป็นฌาน หนูก็ยังแยกไม่ได้
ตอบ : สมาธิใช้งานจะเบา ไม่หนักเหมือนกับฌานที่เรานั่งฝึก แต่ว่าจุดสังเกตที่ง่าย คือ นิวรณ์ ๕ กินใจเราไม่ได้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราตอนนั้นไม่ได้ เรารู้สึกว่าเบาเลยคิดว่าไม่น่าจะใช่ ถึงให้ดูกำลังใจ ถ้าหากว่าใจปราศจากนิวรณ์อย่างน้อย ๆ แสดงว่าสมาธิทรงตัว

ถาม : แต่ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นฌานอะไร ก็ยังไม่ต้องไปแยกแยะก็ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : แล้วจะไปแยกทำไม ? ให้ทำได้ก็แล้วกัน

ถาม : แต่ท่านเคยบอกว่าต้องแยกได้ด้วยว่าฌานไหนนี่คะ ?
ตอบ : นั่นต้องเป็นพวกที่กินอิ่มเกินไป ภาษาจีนเรียกว่า "เจียะป้าบ่สื่อ"

ถาม : แล้วพวกที่เขาไปแบบโค้งสุดท้าย แบบที่นอนใกล้ตายแล้วไปได้ตอนนั้นพอดี เขาต้องเคยได้ฌาน ๔ มาก่อนบ้างแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ได้ตรงนั้น ได้ตอนนั้นเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2011 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 10-05-2011, 20:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะทำอะไรให้เด็ดขาดอย่าไปคุยกับคนแก่ เพราะคนแก่ประสบการณ์มาก ความรอบคอบมีมากจนไม่ค่อยกล้าทำอะไร

คนแก่เหมาะที่จะเป็นที่ปรึกษาอย่างเดียว แต่เป็นที่ปรึกษาเพื่อเพิ่มความชอบธรรมให้กับเราก็พอ ไม่ใช่ปรึกษาแล้วต้องทำตาม ที่ปรึกษาเพิ่มความชอบธรรมก็คือ ให้เราอ้างกับคนอื่นว่าได้ปรึกษาแล้ว แต่กูจะเอาอย่างนี้..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2011 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 10-05-2011, 20:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ....การเห็นพระนิพพาน
ตอบ : ถ้าคิดจะเห็น แปลว่าผิดตั้งแต่แรกแล้ว หลับตาอยู่จะไปเห็นอะไร มโนมยิทธิตอนแรกจะเป็นความรู้สึกก่อน ขอให้เชื่อว่าความรู้สึกนั้นถูกต้อง คล้อยตามครูฝึกไปเรื่อย

พอสมาธิทรงตัวขึ้น จิตเริ่มนิ่ง ภาพถึงจะปรากฏขึ้น แต่ภาพที่ปรากฏก็ไม่ได้ปรากฏอย่างตาเห็น แต่เป็นใจเห็น เหมือนกับเรานึกถึงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรารู้จัก ก็จะเห็นชัด ๆ แต่ไม่ใช่ตาเห็น เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งใจที่จะเห็น ก็แปลว่าผิดตั้งแต่แรกแล้ว

หลวงปู่มหาอำพันไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งแรก หลวงพ่อเล่าว่าหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ลอยคุมหลวงปู่มหาอำพันมาเลย หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ บอกว่า "ฝากน้องชายผมคนหนึ่ง ผมจนปัญญาแล้ว น้องผมจะเอาแต่ตาเห็นเป็นทิพเนตรให้ได้ เขาไม่เข้าใจคำว่าทิพจักขุญาณคือใจเห็น"

หลวงพ่อวัดท่าซุงสะกิดบอกหน่อยเดียว หลวงปู่มหาอำพันก็เข้าใจ หลังจากนั้นหลวงปู่มหาอำพันยืนยันเรื่องทิพจักขุญาณกับใคร ท่านจะย้ำเลยว่า "ใจเห็นนะ ไม่ใช่ตาเห็น" เพราะว่าท่านติดตรงตาเห็นมา ๒๐-๓๐ ปี

ถาม : จะเห็นได้ชัดต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : หลายวิธีด้วยกัน อันดับแรก ตัดร่างกายให้ได้จริง ๆ ถ้าจิตไม่ยึดร่างกายก็จะเห็นได้ชัดเจน อันดับสอง พยายามสร้างสมาธิให้สูงกว่านั้น ยิ่งได้ฌานสี่ยิ่งดี ถ้าหากสมาธิทรงตัวได้มากเท่าไร ความชัดเจนจะมีมากเท่านั้น

ความจริงต้องบอกว่า พวกเรามักจะคัน คันตรงที่ว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปหาเรื่องให้เขาตีหัวร้างข้างแตก ไม่เห็นนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว เหมือนกับอยู่ ๆ ไปรู้ว่าท่านรัฐมนตรีคนนี้ไปทำอะไรไม่ดีมาบ้าง แล้วท่านก็รู้ด้วยว่าเรารู้เห็น ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าท่านจะเล่นงานเราไหม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 04:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 10-05-2011, 20:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การอุทิศส่วนกุศล..เราเจาะจงชื่อได้หลายคนหรือไม่ ?
ตอบ : แสดงว่าคุณไม่เข้าใจคำว่าเจาะจง เจาะจงคือระบุชัดว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้น..คุณจะระบุสักร้อยแปดชื่อก็ไม่มีปัญหา

ที่ต้องให้ระบุชัด เพื่อให้คนนั้นรู้ว่าสิทธิ์นั้นเป็นของเขาจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ให้ไปเถอะ มีปัญญาจะจดใส่กระดาษมาสัก ๘ แผ่น ๑๐ แผ่นก็ยังได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2011 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 10-05-2011, 20:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์อยุธยาให้ฟังว่า "บางทีคนเราถ้าหัดคิดในด้านชั่ว ๆ ไว้ก่อน ก็อาจจะหาทางป้องกันเรื่องไม่ดีเหล่านั้นได้ อย่างที่ออกญาพระกลาโหมกล่าวกับออกหลวงนายฤทธิ์ว่า "คนอย่างท่านทำการใหญ่แล้วไม่สามารถที่จะขึ้นไปปกครองประเทศได้หรอก เพราะไม่รู้เท่าทันว่าคนชั่วเขาคิดอย่างไร แต่ตัวข้านี้รู้ เพราะข้าชั่วกว่าพวกนั้น"

ตอนนั้นออกหลวงนายฤทธิ์ถูกจับ เพราะออกญาพระกลาโหมเป็นสมุหกลาโหม คุมทหารทั้งประเทศเลย ออกหลวงนายฤทธิ์อยู่ยงคงกระพันขนาดไหนก็โดนจับจนได้ แต่ออกญาพระกลาโหมบอกว่า จะไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิตเพราะว่าเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกัน เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และสำคัญที่สุดก็คือมีฝีมือ ขอแค่ว่าถ้าปล่อยตัวไปแล้ว มีศึกเหนือเสือใต้ที่ต่างชาติเข้ามาเบียดเบียนบีฑา ขอให้กลับมาช่วยกัน ออกหลวงนายฤทธิ์ก็ตกลง

ครั้งนั้นถ้าไม่ได้ออกญาพระกลาโหม เราอาจจะเสียกรุงศรีอยุธยาให้ญี่ปุ่น ไม่ได้เสียให้พม่า เพราะออกญาเสนาภิมุขก็คือ ยามาดะ ได้เอานินจามา ๔๐๐ คน แค่นินจา ๑๐๐ คนก็ยึดวังเกลี้ยงแล้ว เพราะนินจาคนหนึ่งสู้ได้เป็นสิบ แล้วนี่ตั้ง ๔๐๐ คน คุณต้องเอาทหารกี่กองทัพจึงจะเอาอยู่ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2011 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 10-05-2011, 20:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนนั้นของเรามีทหารแค่ไม่กี่คน ส่วนเขามีนินจา ๔๐๐ คน ออกหลวงนายฤทธิ์เห็น ออกญาพระกลาโหมก็เห็น จึงช่วยกันจัดการนินจา ทีนี้นินจาเขาฝีมือดีแต่หนังไม่เหนียว แลกกันคนละทีก็ตาย เพราะฉะนั้น..ประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนเหมือนกัน ตัดสินใจผิดนิดเดียวประวัติศาสตร์สามารถเปลี่ยนได้เลย

ช่วงนั้นถ้าปล่อยให้ยามาดะลงมือก่อน ดีไม่ดีเขายึดกรุงศรีอยุธยาเลย แม้ว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะรู้ ถึงขนาดสร้างเมืองหลวงสำรองไว้ที่ลพบุรีแล้วก็ตาม พระองค์ท่านก็ต้องเสด็จไปเสด็จมา แล้วระหว่างทางจากเจ้าพระยาเข้าป่าสัก ถ้ามีคนคอยซุ่มตลอดทาง จะตายตอนไหนก็ไม่รู้ ?

เราอาจจะเห็นว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไม่ค่อยมีบทบาทอะไรเลย แต่ทำไมได้เป็นมหาราช ? พระองค์ท่านได้เป็นมหาราชเพราะว่าใช้คนเป็น ชนชาติกรีกอย่างคอนสแตนติน ฟอลคอนท่านก็ใช้งาน แต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาวิชเยนทร์ บาทหลวงลาลูแบร์ท่านก็ใช้งาน ญี่ปุ่นอย่างยามาดะท่านก็ใช้งาน

โดยเฉพาะบรรดาขุนพลขุนศึกสมัยนั้นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) พระยาสีหราชเดโช พระราชมนู อย่าลืมว่าตำแหน่งโกษาธิบดี ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้ว่าการกระทรวงการคลังนะ ขนาดคลังยังเก่งจนข้าศึกหนาว แล้วกลาโหมจะเท่าไร ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 04:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 10-05-2011, 21:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เราจะสังเกตว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชท่านไม่ค่อยมีบทบาท เพราะท่านใช้คนแทน แม้กระทั่งสุดยอดหมอดูอย่างพระโหราธิบดี ท่านก็ยังใช้งานได้เป็นปกติ

ถามว่าพระโหราธิบดีเก่งแค่ไหน ? มีหนูตกจากเพดานลงมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเอาขันล้างพระพักตร์ครอบไว้ แล้วให้คนไปเรียกพระโหราธิบดีมา ถามว่าครอบอะไรไว้ ให้ช่วยทายหน่อย ? พระโหราธิบดีลงฤกษ์ยามเสร็จ บอกว่า "สัตว์สี่เท้า"

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรัสว่า "ถูกแล้วท่านอาจารย์ แล้วมีกี่ตัว ?" พระโหราธิบดีตอบว่า "๕ ตัว" หนูตกมาตัวเดียวแท้ ๆ แต่ตอบว่า ๕ ตัว สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรัสว่า "เห็นทีจะผิดเสียแล้วท่านอาจารย์" พอเปิดขันน้ำออกดูมี ๕ ตัวจริง ๆ แม่หนูตกมาแล้วคลอดลูกอีก ๔ ตัว นั่นแม่นเกินเหตุ"

ถาม : ไม่มีตกทอดวิชาหรือครับ ?
ตอบ : ตกทอดมาเหมือนกัน แต่รุ่นหลังฝึกไม่ได้ ไม่ใช่ปัญญาไม่ถึง แต่ความพยายามไม่ถึง แค่สมัยนี้พอเริ่มฝึกก็จะเอาบรรลุทันที ต้องใช้การสั่งสมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ สิ่งที่เราต้องการจึงจะบังเกิดผล ถ้าใจร้อนแล้วจะฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านไม่สงบ โอกาสที่จะสำเร็จนั้นยาก ตั้งเป้าไว้เราไปพระนิพพานแน่ และก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ ส่วนจะไปได้หรือไม่ได้ช่างเถอะ เรามีหน้าที่ทำไปก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 04:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 10-05-2011, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ..เปิดเพลงฟังแล้วนั่งสมาธิได้ดี ?..
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อจิตเราได้ยินเสียงแล้ว จะเข้าสู่สมาธิได้ง่ายแค่ไหน ? บางคนก็อาศัยความสงบโยงจิตเข้าหาสมาธิ บางคนต้องอาศัยเสียงเพื่อโยงจิตเข้าหาสมาธิ

เพราะฉะนั้น..ทางด้านตันตระจึงมีดนตรีตอนสวดมนต์ เขาเรียกว่าเอาตัณหาพาสู่พระนิพพาน แต่ส่วนใหญ่พาไม่ถึงเสียที เหมือนกับเลี้ยงเสือให้อิ่ม แล้วเสือเชื่อง ยอมให้เราลูบหัวได้ แต่เผลอเมื่อไรเสือก็กัดเราอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2011 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 13-05-2011, 11:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระพุทธรูป ในความรู้สึกของคนก็คือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศาสนาพุทธ ดังนั้น..การทำลายพระพุทธรูปก็เท่ากับทำลายพระพุทธศาสนา

มีอยู่ระยะหนึ่งที่เขานิยมเอาใบลานเก่าที่จารึกพระธรรมมาเผา เพื่อทำเป็นผงสร้างพระ ขอยืนยันว่าไม่คุ้มเลย ในแง่ของตัวเลขรายได้ที่ได้มาน่าจะสูง แต่ในแง่ของการทำลายพระธรรม พอตายแล้วลงอเวจีมหานรก ไม่คุ้มกันเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2011 เมื่อ 13:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 13-05-2011, 12:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : โยมจะปฏิบัติธรรม แต่โยมไม่ได้เรียนมโนมยิทธิ โยมจะทำอย่างไร ?
ตอบ : มโนมยิทธิควรจะมีคนนำให้ไปได้ก่อนสักครั้งหนึ่งจ้ะ หลังจากนั้นก็จำวิธีการเอาไปทำเอง

ถาม : โยมทำมาเยอะแล้วค่ะ หลายอย่าง
ตอบ : แล้วจะเปลี่ยนทำไมละจ๊ะ ? ถ้าเราเปลี่ยนบ่อย จะไม่ตรงกับที่เราชำนาญ

ส่วนใหญ่เวลาปฏิบัติก็ให้พิจารณาดูว่า อารมณ์ใจที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นอย่างไร ? แล้วเราหยุดให้ทัน การปฏิบัติเขาดูที่ความบริสุทธิ์ของใจ การรู้เห็นเป็นแค่ของแถมเท่านั้น

ถาม : เวลาโยมไปธุดงค์วัดท่าซุง โยมไม่รู้ว่าจะใช้มโนมยิทธิไปที่ไหน ไปหาองค์ไหน ?
ตอบ : ยิ่งไม่รู้ยิ่งดี มโนมยิทธิถ้ารู้ก่อน จะไปได้ยาก ถ้าไม่รู้เรื่องเลย เขาบอกอย่างไรเราทำอย่างนั้นก็ง่ายขึ้น เขาจะมีครูฝึกมาคอยนำอยู่ พอเราไปเองได้แล้วต่อไปก็จำวิธีนั้นเอาไปใช้ได้

จำไว้ว่าอย่าตั้งใจมากเกินไป ตั้งใจมากเกินไปจะไม่รู้เห็นอะไร การรู้เห็นเหมือนกับมีช่องให้มองตรงหน้า คนที่ตั้งใจเกินไปเท่ากับยืดคอเลยช่อง ทำให้มองไม่เห็น คนที่ไม่ตั้งใจ ก็เหมือนกับก้มหัวต่ำกว่าช่องก็ไม่เห็น ต้องพอดี ๆ อธิบายได้ยากมาก จะบอกว่าตาเห็นก็ไม่ใช่ตาเห็น แต่ถ้าไม่ใช่ตาเห็นแล้วเห็นอะไร ? ก็เห็นชัด ๆ เหมือนกับตาเห็น เราลองนึกถึงบ้านเราตอนนี้ ไม่ใช่ตาเห็น แต่เรานึกถึงบ้านได้ชัด ๆ เลย การเห็นก็เห็นแบบนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น...ครูฝึกเขาบอกให้เรายกจิตไปที่ไหน เราก็นึกว่าตรงหน้าของเราคือที่นั่น เรายกจิตไปพระจุฬามณี เราก็นึกว่าตรงหน้าเราก็คือพระจุฬามณี รู้สึกอย่างไรก็อธิบายความรู้สึกนั้นไป ถ้าเขาให้ยกจิตไปพระนิพพาน เราก็ตั้งใจว่าตรงหน้าเราคือพระนิพพาน มีพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า แรก ๆ จะเหมือนกับการนึกเอาเอง แต่พอซ้อมบ่อย ๆ เคยชินมาก ๆ เข้า ภาพจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ

ถาม : พอไปบ้านสายลม จะไปนั่ง เราก็นึกว่าจะไปตรงไหน เราก็เลยไม่กล้าทำ
ตอบ : ให้ขึ้นไปไหว้พระพุทธเจ้าข้างบนก่อน แล้วเราจะไปไหนก็บอกท่าน เดี๋ยวท่านพาไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2011 เมื่อ 13:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 13-05-2011, 12:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ควรเปลี่ยนสาย ถ้าเราเคยปฏิบัติมา ชินอย่างไรให้ทำอย่างนั้น แล้วจะได้เร็ว อาตมาเคยเปรียบว่าเหมือนกับการขุดบ่อน้ำ เราขุดไปตั้งสองสามวา เขาบอกตรงนั้นดีกว่า เราก็ย้ายไปขุดตรงนั้น เขาบอกตรงนี้ดีกว่า ก็ย้ายไปขุดตรงนี้ แล้วเมื่อไรจะถึงน้ำเสียที ? เพราะฉะนั้น..อย่าเปลี่ยนบ่อย ถนัดแบบไหนทำแบบนั้นอย่างเดียว

การรู้เห็นเป็นแค่ของแถมของการปฏิบัติ ต่อให้เป็นพองหนอยุบหนอก็เถอะ พอเราทำไปเรื่อย ๆ จิตสงบได้ที่ก็จะเห็นเอง แต่สายยุบหนอพองหนอ เขาให้ตัดทิ้งหมด รู้หนอ ๆ เห็นหนอ ๆ เท่านั้น

การรู้เห็นเป็นของเพียงแถม ถ้าทำถึงอย่างไรก็มาแน่

ถาม : มีครั้งหนึ่งโยมไปวัด เรากำหนดว่ารู้หนอ ๆ ได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งเขาพูด พอเช้าขึ้นมาคุยกับเขา เขาบอกว่าพี่จะได้ยินได้อย่างไร หนูนึกอยู่ในใจไม่ได้พูด แต่เราได้ยินเป็นคำพูด
ตอบ : ในเรื่องของเจโตปริยญาณ เขาคิดอะไรก็ตามเราสามารถบอกได้ทุกคำเลย แต่จริง ๆ แล้วเขาเอาไว้ดูใจตัวเอง แบบเดียวกับสายพองยุบ ที่ตอนนี้สภาวธรรมอะไรที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้ตามรู้ใจของตนเอง

รู้ใจของคนอื่นก็แค่พูดให้เขาตื่นเต้นเท่านั้น ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้กิเลสอะไรเกิดขึ้น นิวรณ์อะไรเกิดขึ้น ให้เรารู้เท่าทันให้ได้

ถาม : ........... ภาวนาก็มีความสุขดี
ตอบ : การปฏิบัติหลายคนข้ามขั้นไปเลย ไม่ต้องไปนับหนึ่งก็ได้ โยมทำอย่างนั้นก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าเราจับที่ศูนย์กลางกาย ให้ดิ่งลงตรงกลางไปเรื่อย ๆ พอจิตสงบถึงที่สุดแล้วก็จะเห็นภาพพระเอง พอภาพพระปรากฏขึ้นคราวนี้อยากไปที่ไหนก็บอกท่าน ให้ท่านพาไป

เรื่องของการปฏิบัติท้ายสุดจะลงที่เดียวกันหมด เหมือนกับเรามุ่งตรงมาที่นี่ จะมาจากกี่ที่กี่ทางก็ตาม ท้ายสุดจะมาถึงบ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้น..เรื่องการปฏิบัติสำคัญที่สุด คือ ทำอย่างไรให้ใจสงบ พอสงบแล้วปัญญาเกิด รู้เท่าทันสภาวธรรมในปัจจุบัน แล้วปล่อยวางให้ได้

ไม่ต้องไปเสียเวลาทำอะไรมากมาย อายุมากแล้วเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้เด็ก ๆ ก็พอ นึกถึงภาพพระไว้ คิดว่าเราตายเมื่อไรขอไปอยู่กับท่าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 04:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 13-05-2011, 12:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศเกาหลี เดิมเป็นอาณาจักรใหญ่ ๓ อาณาจักรด้วยกัน คือ โกกุเรียว ชิลล่า และแพกเจ ต่อมาโกกุเรียวสามารถกลืนอีก ๒ อาณาจักรรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมาได้ ก็ตั้งเป็นอาณาจักรเกาหลี

พอมาช่วงสงครามเกาหลี ทางโลกตะวันตกตั้งใจจะช่วยกันสกัดอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ไม่ให้แผ่ขยาย หลังจากจบสงครามแล้ว เขาก็เลยแบ่งเกาหลีเป็นเหนือกับใต้ กลายเป็นว่าคนเชื้อชาติสัญชาติเดียวกัน แบ่งเป็นคนละประเทศแล้วก็รบกันเอง

ปัจจุบันนี้มีหลายอย่างที่ประเทศเขาไม่จำเป็นต้องเสียทรัพยากรมากมายมหาศาลขนาดนั้น อย่างเช่น การสร้างเขื่อนกั้นน้ำขนาดมหึมาของเกาหลีใต้ เขาไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อจะกั้นน้ำไว้ผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่เขาสร้างขึ้นมาเผื่อว่าเกาหลีเหนือปล่อยน้ำมาท่วมเกาหลีใต้

เขาคิดเผื่อไว้แล้วว่าถ้าเกิดสงคราม เกาหลีเหนือจะเล่นวิธีไหนบ้าง เช่น อาจจะระเบิดเขื่อน เพราะเกาหลีเหนืออยู่สูงกว่า น้ำก็จะทะลักมาทางเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ก็เลยต้องสร้างเขื่อนที่ใหญ่กว่า เพื่อที่จะรับน้ำทั้งหมดเอาไว้ให้ได้ กลายเป็นสูญเสียงบประมาณเป็นแสนล้านไปโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย สร้างทิ้งเอาไว้เฉย ๆ เผื่อเกาหลีเหนือจะระเบิดเขื่อน

นึกถึงบ้านเราเมืองเราปัจจุบันนี้คล้าย ๆ กันไหม ? คนไทยด้วยกันเริ่มแบ่งสีแบ่งฝ่ายยุ่งไปหมด คำว่ายุติธรรม แปลว่า ทุกอย่างหยุดลงถ้าหากเป็นธรรม คราวนี้ในการถือปฏิบัติของเรา มี ๒ มาตรฐานมาแต่ไหนแต่ไร นั่นคือมาตรฐานหนึ่งสำหรับผู้มีอิทธิพลมีเส้นมีสาย อีกมาตรฐานหนึ่งสำหรับตาสีตาสาชาวบ้านทั่วไป

ในเมื่อไม่ยุติธรรมก็กลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกลงไป ยุคสมัยหนึ่งคอมมิวนิสต์ถึงได้เกิดขึ้นในประเทศของเรา เพราะเขาปลุกระดมในข้อที่ว่า ราชการข่มเหงรังแกชาวบ้านเป็นจำนวนมาก อย่างในปัจจุบันนี้ปลุกระดมในเรื่องของการกระทำที่เป็น ๒ มาตรฐาน กลายเป็นว่าสิ่งที่เขาทำ ต่อให้ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีการศึกษา ก็เห็นอยู่อะไรเป็นอะไร ในเมื่อมาตรฐานไม่เท่ากัน ขาดความยุติธรรม คนที่เดือดร้อนและเห็นด้วยก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2011 เมื่อ 13:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 13-05-2011, 12:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนสมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่นอยู่ มีครอบครัวหนึ่งที่รู้จักกัน สามีชื่อนายลิ้มจือ ส่วนภรรยานั้นเก่งมวยจีนมาก เขาก็เลยซ้อมสามีทุกวัน ทำอะไรไม่ถูกใจก็จัดการ บางวันจับสามีทุ่มใส่ข้างฝา ข้างฝาหลุดไปทั้งแถบ สามีหายจุกก็ต้องไปตามช่างมาซ่อมบ้าน

อีกครอบครัวหนึ่งตรงกันข้าม สามีซ้อมภรรยาเกือบทุกวัน จนกระทั่งในที่สุดภรรยาก็ทนระบบการปกครองด้วยมือด้วยเท้าไม่ไหว มาปรึกษาภรรยาของนายลิ้มจือว่าจะทำอย่างไร ภรรยาของนายลิ้มจือก็บอกว่า ให้ใช้ ๓ นิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง) จิ้มสามี พอจิ้มแล้วสามีก็จะยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ได้ไปพักหนึ่ง

ปรากฏว่าภรรยาไปจิ้มเข้า สามีตาย..! เขาให้ใช้ ๓ นิ้ว แต่ภรรยากลัวสามีจะเป็นอะไรมาก ก็เลยใช้แค่นิ้วเดียว สามีตายเลย..! ๓ นิ้วนั้น เวลาจิ้ม นิ้วกลางจะมีนิ้ว ๒ ข้างคอยกันอยู่ ก็จะไม่เข้าลึก อาการก็จะไม่หนัก นี่ดันกลัวผัวตายเลยจิ้มนิ้วเดียว โดนเข้าไปตายเลย..!

ตั้งแต่นั้นมาภรรยาของนายลิ้มจือก็เลิกฝึกวิทยายุทธ ภรรยานายลิ้มจือเอามือไปแช่น้ำร้อนทุกวัน แล้วก็ขูดหนังออก คือ เขาฝึกหมัดทรายเหล็กมา ต้องเอามือไปคั่วทราย จนมือเขาหนาชนิดตบกระดานแตกได้ พอทำคนตายไปคนหนึ่งก็เลยเลิก เขาบอกว่า ดีเหมือนกันจะได้สวยกับเขาสักที เอามือแช่น้ำอุ่นแล้วก็ขูดหนังทิ้งไปเรื่อย ๆ เพราะมือเขาหนาปึ้กเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-05-2011 เมื่อ 07:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 13-05-2011, 15:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คู่สร้างคู่สม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่เวรคู่กรรม คู่ของนายลิ้มจือนี่คู่เวรคู่กรรมจริง ๆ อยู่กันได้ทั้ง ๆ ที่ตีกันทุกวัน

แต่จะมีนรก มีเปรต ที่เตรียมไว้รองรับคู่สามีภรรยาที่ทำร้ายกันมา ฉะนั้น..คู่ไหนแต่งกันไปก็พยายามละนิสัยนั้นด้วย ขอยืนยันว่ามีนรกและเปรตสำหรับรองรับพวกนี้โดยเฉพาะ

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระสุบินนิมิต ๑๖ ประการ มีอยู่ประการหนึ่ง คือ เขียดไล่กินงูเห่า ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เพราะมีแต่งูเห่าไล่กินเขียด พระพุทธเจ้าทำนายว่า ต่อไปในกาลข้างหน้า ภรรยาจะทำร้ายทุบตีสามีเป็นปกติ คงใกล้ ๆ ยุคเรานี่แหละ ยุคเราเริ่มมีมากขึ้นทุกทีแล้ว

สมัยก่อนผู้ชายจะเป็นใหญ่ในครอบครัว ผู้หญิงแต่งงานไป อย่างไรก็ต้องฝืนอดทนอดกลั้นอยู่ให้ได้ เพราะถ้าสามีไม่เลี้ยง ภรรยาก็ไปไม่รอด แต่สมัยนี้ผู้หญิงทำงานเองเสียส่วนใหญ่ ก็เลยไม่ต้องง้อให้ผู้ชายเลี้ยง ในเมื่อเลี้ยงตัวเองได้ เรื่องอะไรจะหาเจ้านายมาอีกคน จึงอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น

เมื่อเป็นดังนั้น ถึงเวลาผิดหูผิดตา ผิดท่าผิดทางขึ้นมา แต่งงานกันไปแล้วก็มักไม่ค่อยจะยอมลงให้กัน ก็คือว่าไม่ต้องง้อผัวเราก็อยู่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2011 เมื่อ 16:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว