กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 09-02-2011, 16:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อ่านหนังสือจีนกำลังภายใน จะมีพวกงำประกาย ซ่อนฝีมือตัวเองไว้มิดชิดมาก พวกนี้เขาตั้งใจไหมคะ ?
ตอบ : ตั้งใจสิจ๊ะ

ถาม : ทำไมเขาต้องซุกฝีมือไว้ด้วย ?
ตอบ : เอาอย่างนี้ ถ้าเป็นการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาของเรา บุคคลพอเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็คือคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา

ถ้าคุณแสดงความสามารถให้เขาเห็น ก็มีอยู่สองอย่าง คนที่เขาหาว่าบ้าก็เท่ากับปรามาสพระรัตนตรัย ส่วนคนที่ไม่เห็นว่าบ้า แต่เขาเชื่อแล้วมาหาแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ถ้าเป็นเราจะรับไหวไหมเล่า ? นั่นแหละที่ทำให้เขาจำเป็นต้องงำประกาย

แค่ว่าสมมติว่าเราเป็นคนเก่ง คนเขาอยากรู้จักเรา เพื่อที่จะเอาไปอ้างกับคนอื่นว่ารู้จักเรา แค่พวกนี้พวกเดียวมาก็แย่แล้ว ยังไม่ต้องคิดถึงพวกที่มาเพื่อขอความช่วยเหลือนะ

ถาม : จะต้องเป็นอย่างนี้เสมอเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : พอไปถึงตรงนั้นแล้ว เราจะมีความสำนึกตัวดีว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นคุณแย่แน่

ถาม : แล้วใช่อารมณ์เดียวกับอารมณ์ที่เป็นอุเบกขาในการเข้าถึงอะไรสักอย่างไหมคะ ?
ตอบ : จะมีบางประเภทที่ปล่อยวางได้อย่างนั้น ประเภทนี้จะไม่สนใจชื่อเสียงเกียรติยศอะไรในวงยุทธจักรเลยก็มี ส่วนน้อยจะเป็นอย่างนั้น

ส่วนมากจะเป็นพวกเบื่อ รำคาญเรื่องราวต่าง ๆ ประเภทขี้หมูราขี้หมาแห้งที่จะมาถึงตัวเอง จึงจำเป็นต้องปิด

ถาม : แต่ถ้ากรณีอย่างนี้ พอถึงคราวจะเปิด ก็ต้องอยากจะเปิด แบบว่าได้จังหวะก็แสดงเลย
ตอบ : ใช่..ต้องรองานประเภทงานชุมนุมเจ้ายุทธจักรอะไรอย่างนั้น พอแสดงให้คนเขาเห็นเสร็จแล้วก็หายหัวไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2011 เมื่อ 16:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 09-02-2011, 16:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าถึงสุดยอดแล้วเป็นอุเบกขา ก็คือมีโอกาสจะแสดงแต่ไม่แสดง ?
ตอบ : ส่วนมากจะไม่แสดงออก ต้องดูในเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ผู้เฒ่าลิขิตฟ้าเป็นคุณปู่หรือคุณตาของนางเอก เป็นผู้ที่ได้รับการจัดให้เป็นสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในคัมภีร์ศาสตราวุธ แต่ไม่เคยแสดงฝีมือเลยตั้งแต่ต้นยันปลาย มีอยู่อย่างเดียวก็คือ คอยไปเตือนสติ หรือไม่ก็ไปนั่งให้คนเห็น เขาจะได้ไม่กล้าทำอะไร แค่นั้นเอง

แต่ท่านไม่มีโอกาสแสดงฝีมืออะไร ในสายตาคนอื่นเห็นเขายืนมองกัน แต่ความจริงก็คือ เขาหยั่งเชิงกันว่า ถ้าลงมือไปแล้วจะคุ้มค่าไหม ? ลักษณะแบบเดียวกับพวกเสือ เสือจะรักษาตัวมากที่สุด จะไม่ยอมให้บาดเจ็บด้วยเหตุใด ๆ เด็ดขาด เพราะเขารู้ว่า ถ้าบาดเจ็บขึ้นมา อันดับแรก..อาจจะถึงแก่ชีวิต อันดับที่สอง..ถ้าพิการแล้วจะหากินไม่สะดวก ทำให้อดตายได้

เพราะฉะนั้น..สัตว์จำพวกเสือ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่ปะทะกับอะไรอย่างเด็ดขาด ต่อให้ล่าเพื่อเป็นอาหาร ก็จะเลือกสัตว์ที่ล่าง่ายที่สุด ถ้าจำเป็นจริง ๆ หาอะไรไม่ได้แล้ว จึงจะยอมลงทุนล่าสัตว์ที่ล่าได้ยาก เราเองก็อย่าไปชนกับกิเลส ต้องทำตัวเหมือนเสือ ต้องรู้จักรักษาตัวให้รอด กิเลสไม่เคยปรานีเรานะจ๊ะ ถ้ามีโอกาสเขาตีเราตายเลย เพราะฉะนั้น..เราต้องรู้จักรักษาตัวของเราเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-02-2011 เมื่อ 18:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 09-02-2011, 16:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่เราทำจะไปฝืนกระแสโลก ในเมื่อฝืนกระแสโลกคนเขาจะมองเป็นสองแง่ แง่แรกก็คือเราบ้า เพราะทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นเขา สิ่งที่เขาอยาก เราก็ไม่อยาก สิ่งที่เขาต้องการ เราก็ไม่ต้องการ สิ่งที่เขาเห็นเป็นของยาก เรากลับทำได้ทำดี

ส่วนอีกประเภทหนึ่ง จะเห็นเราเป็นผู้วิเศษ หวังพึ่งพา ซึ่งไม่ดีทั้งสองแง่ เพราะฉะนั้น..มีอยู่ทางเดียวก็คือ ต้องทำเป็นโง่ ๆ เซ่อ ๆ ของเราต่อไป

ถาม : แบบนี้ก็เหมือนกับในชีวิตเราทั่วไป
ตอบ : มนุษย์อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรื่องในยุทธจักรของเขา ก็จะเป็นรูปแบบของเขา แต่ก็เจอรัก โลภ โกรธ หลง ในลักษณะของเขา พวกเราดำเนินชีวิตของพวกเรา ก็เจอรัก โลภ โกรธ หลงในรูปแบบของพวกเรา

แต่กิเลสหน้าตาจะเหมือนกันหมด ถึงเวลาเราอ่าน บางทีจะรู้สึกว่าตัวละครนี้คือเราชัด ๆ เลยนี่นา..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2011 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 09-02-2011, 23:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อารมณ์ที่นิ่ง ๆ เป็นอุเบกขาหรือเปล่า ?
ตอบ : มีสองอย่าง อย่างแรกเป็นอุเบกขาในสมาธิระดับใดระดับหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์อทุกขมสุขเวทนา กำลังใจที่ไม่รับทั้งสุขและทุกข์

ถาม : เป็นสังขารุเปกขาญาณหรือยัง ?
ตอบ : อาจจะเป็นสังขารุเปกขาญาณก็ได้ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าปัญญายังไม่ถึง บางทีก็เหมือนกับคนที่หมดสติไปเฉย ๆ ไม่รับรู้อะไร แล้วจะไปสุขไปทุกข์อะไรได้

ถาม : อารมณ์จะนิ่ง ลงมากองที่แกนกลางของร่างกาย ดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของสมาธิ เป็นอุเบกขาในสมาธิ

ถาม : อยู่ ๆ ก็เป็นนะคะ มาเอง
ตอบ : ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ แล้วเป็น แต่มีสาเหตุ บางทีเราลืมคิดย้อนไปว่า ก่อนที่จะเป็นอย่างนั้นเราคิดอย่างไร ? เราพูดอย่างไร ? เราทำอย่างไร ? ถ้าเราคิดย้อนกลับไปแล้ว สามารถย้อนได้ชัดเจนว่า เป็นเพราะเราคิด เราพูด เราทำอย่างไร ? ถ้าเราทำใหม่ ผลนั้นก็จะเกิดกับเราใหม่อีก

พอเราซ้อมบ่อย ๆ ผลนั้นเกิดกับเราจนทรงตัว ก็ไม่ต้องไปชนกับรัก โลภ โกรธ หลง เท่ากับว่าเราใส่เกราะไว้ ปลอดภัยหน่อย

ถาม : เราก็มองทุกอย่าง เห็นทุกอย่าง รับรู้ทุกอย่างได้ตามปกติ
ตอบ : แต่เราก็ไม่ไปแตะต้องด้วย ถ้าอะไรจำเป็นต้องแตะ เราก็คลายกำลังใจออกมาหน่อยหนึ่ง รับรู้ด้วยความระมัดระวัง พอรับรู้เสร็จหมดเรื่องก็ปิดทันที ไม่ยุ่งด้วยอีกแล้ว ก็จะปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าวันไหนเผลอให้เกราะหลุด ก็โดนเล่นงานไม่เลี้ยงเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 15:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 09-02-2011, 23:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราก็อยู่อย่างนี้ของเราเองได้ และเราก็รับรู้ทุกอย่างได้อย่างรอบตัว มีความคล่องตัว
ตอบ : นั่นเป็นฌานใช้งาน ลักษณะของฌานใช้งาน ก็คือ คุณทรงสมาธิอยู่ แต่คุณก็สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนกับคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นคนที่เพิ่งฝึก จะนั่งนิ่งอย่างเดียว ทำอย่างอื่นจะไม่เป็น

ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่เขาได้สังขารุเปกขาญาณ เกิดจากปัญญาที่เขาเห็น เขาไม่เอาอะไรแล้ว อารมณ์นี้จะไม่นิ่ง แต่จะเบา..?
ตอบ : อารมณ์จะเบา..นิ่ง..จะไม่ยุ่งอะไร โดยที่มีปัญญารู้เห็นว่า ถ้าหากเราทำอย่างนี้ จะมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้าเราทำอย่างนี้ จะมีโทษอย่างนี้ แล้วก็เลือกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ละเว้นในด้านที่เป็นโทษ

โดยเฉพาะถ้าถึงระดับนั้นจะรู้ละเอียดว่า ทำอย่างไรถึงจะออกมาดีที่สุด ความพอเหมาะพอดีจะมีอยู่ ก็จะเลือกทำในสิ่งที่พอเหมาะพอดีเท่านั้น บางอย่างเราอาจทุ่มกำลังไปเต็มร้อย หรือเกินไปร้อยยี่สิบ แต่บางอย่าง เราอาจจะใช้แค่หนึ่งหรือสองเท่านั้น แล้วแต่เหตุการณ์ ซึ่งตอนนั้นสภาพจิตจะรายงานว่าควรจะทำแค่ไหนจึงจะเหมาะ

ถาม : ความเบาเกิดจากการที่เรา...
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นสมาธิเราดีแค่ไหน ยกเว้นว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณที่เกิดจากการยอมรับแล้วปล่อยวาง ถ้าอย่างนั้นจะเบาตลอดไป

ถาม : จะเบาเป็นบางเรื่องหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเบาได้ทุกเรื่องจึงเป็นของแท้ ถ้าเบาเป็นบางเรื่องก็เกิดจากสมาธิล้วน ๆ เลย

ถาม : ถ้าเกิดจากสมาธิก็ทำให้เกิดปัญญา แต่ไม่ใช่ปัญญาแท้ ?
ตอบ : ยังไม่ยอมรับจริงก็ยังไม่ใช่ปัญญาแท้ ถ้ายอมรับจริงแล้วต้องยอมรับได้ทุกเรื่อง

ถาม : แล้วเรายอมรับในบางเรื่อง เรื่องที่ยอมรับได้ก็จะยอมรับได้ไปตลอด ?
ตอบ : ใช่ จนกว่าสติ สมาธิ ปัญญา จะก้าวล่วงไปในอีกระดับหนึ่ง พอไปอีกระดับหนึ่งก็จะปล่อยวางได้มากขึ้น เราก็เพิ่มระดับของเราไปเรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-02-2011 เมื่อ 09:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 09-02-2011, 23:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนที่เราตกอยู่ในอารมณ์นิ่ง ๆ ที่ท่านบอกว่าเป็นอุเบกขา จะเกิดเป็นพัก ๆ เราจะรู้สึกนิ่ง ๆ เหมือนกับเราโผล่มาจากพลาสติกอะไรสักอย่างที่กดเราอยู่ พอเราโผล่มา จะรู้สึกว่าไม่เอาแล้ว ความรู้สึกว่า โลกนี้เราไม่เอาอะไรสักอย่าง นั่นคือปัญญาหรือคะ ?
ตอบ : เป็นปัญญาที่เกิดจากสมาธิของเรา ที่นิ่งอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานพอ ความสะอาดของจิตจะมี พอคลายจากสมาธินั้น ปัญญาจึงเกิด เห็นชัดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เหมาะกับเราแล้ว เราไม่ได้มีความปรารถนา ไม่ได้มีความต้องการอีกแล้ว

อย่าลืมว่าศีลทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้เกิดปัญญา ปัญญาจะไปคุมศีลกับสมาธิอีกทีหนึ่ง คราวนี้เราอยู่ในลักษณะนิ่งก็คือ เป็นอุเบกขาในฌาน ในเมื่อเราทรงสมาธิในระดับที่ยาวนานพอ กิเลสถูกกดนิ่งไประยะหนึ่ง ความสะอาดของจิตก็มี พอเราโผล่ขึ้นมาจากสมาธิ คลายออกมา ที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้คลายออกมาแล้วพิจารณา

พอของเราคลายออกมาแล้วสภาพจิตบอกตัวเองเลยว่า เราไม่เอาแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องพิจารณาแล้ว เห็นชัดแล้วว่าไม่ดีแน่ เราไม่เอา แต่ว่าก็เกิดจากการที่เราตอกย้ำของเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกมาจนนับครั้งไม่ถ้วน จึงเป็นปัญญาที่เริ่มคิดเองได้ว่า ไม่เอาแล้ว

ถ้าเราทำบ่อย ๆ จิตใจปลดวางได้จริง ๆ ต่อไปใจจะไม่เอาอะไร ก็จะเบาสบายไปตลอด

ถาม : จำอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เอานี้ได้
ตอบ : จำได้แล้วก็เริ่มทำใหม่

ถาม : หนูข้ามขั้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทรงได้เลยก็ข้ามไปได้ สำคัญที่ว่าพอถึงเวลาแล้วจะใช่ของจริงไหม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 04:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 09-02-2011, 23:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วความรู้สึกที่เป็นสังขารุเปกขาญาณละคะ คือความรู้สึกที่เราหยุดแล้ว ?
ตอบ : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไรก็ไม่ปรุงแต่งแล้ว จึงจะเป็นสังขารุเปกขาญาณ

ถาม : ได้เป็นช่วง ๆ
ตอบ : ไม่เป็นไร จะได้เป็นช่วงช่วง เป็นหลินฮุ่ยหรือเป็นหลินปิงก็ได้..!

ถาม : แล้วต่างอย่างไรกับการที่เราได้รับการกระทบแล้วไม่ปรุงแต่งต่อ คือไม่รู้สึกอะไรเลยหรือคะ ? สมมติเราได้ยินอะไรมา อาจจะเป็นคำพูดที่เขาพูดมา แล้วเราไม่ปรุงแต่งกับคำพูดเขา คือ เราไม่รับรู้ถึงคำพูดที่เขาพูดมา เป็นความรู้สึกแบบไหนหรือคะ ?
ตอบ : ต้องสังเกตตัวเราเองว่า ตอนนั้นเป็นเพราะทรงสมาธิทรงอยู่หรือเปล่า ? ถ้าเราทรงสมาธิอยู่ กำลังสมาธิจะกันรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ให้เข้ามาได้ แต่ว่ากันได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าหลังจากนั้นเราเก็บเอาไปคิดใหม่ ก็แปลว่าตอนนั้น เป็นอารมณ์ที่เกิดจากอำนาจสมาธิที่กั้นไว้จริง ๆ

แต่ถ้าเป็นสังขารุเปกขาญาณ จิตจะไม่คิดต่อ สักแต่ว่าได้ยินเฉย ๆ รู้อยู่ว่าเขาว่าอะไร แต่ใจก็ช่างมัน ไม่ได้รับเข้ามาเลย ก็แค่นั้น ต้องสังเกตเอง

ถาม : จะใช่อารมณ์ที่ว่าเราโตแล้ว เราเห็นเด็กเล่นกันอะไรอย่างนี้ เด็กจะทำอะไรของเขาก็แล้วแต่เรื่องของเด็ก ประมาณนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คล้าย ๆ อย่างนั้น เราหมดสนุกแล้ว เบื่อแล้ว ไม่อยากจะไปเล่นด้วยแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2019 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 10-02-2011, 00:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "แรก ๆ อาตมาเปิดเสียงตามสายที่วัด โยมเขาโทรมาด่า นอกจากด่าแล้ว เขายังบอกว่า ถ้าไม่เลิก เขาจะแจ้งความว่าเราทำเสียงดังรบกวนในที่สาธารณะ ซึ่งมีโทษตามกฎหมาย อาตมาต้องรีบไปทำหนังสือขออนุญาตใช้เสียงในที่สาธารณะ

พอเขาโทรมาด่าใหม่ อาตมาก็บอกไปว่า "ตอนนี้โยมไปแจ้งความได้ตามสบาย อาตมาไปทำหนังสือขออนุญาตใช้เสียงไว้แล้ว" หลังจากนั้นมาเขาก็เงียบไปเฉย ๆ พอฟังไปฟังมาก็กลายเป็นเคยชิน และมีโยมหลายรายที่มาปรารภว่า ในระหว่างที่คนอื่นนอนสบายกันอยู่ ตอนตีสามตีสี่ พระเณรท่านแหวกกิเลสขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์กันได้อย่างไร ?

ขณะเดียวกัน เขาเอาเสียงตามสายเป็นสัญญาณนาฬิกาปลุก พอพระสวด..โยโส ภะคะวา.. ก็แปลว่าได้เวลาตื่นแล้ว บ้านนี้จะใส่บาตรก็เตรียมตัวหุงข้าว บ้านนั้นจะไปทำงานก็เตรียมตัวอาบน้ำ หาข้าวหาปลากินกัน พอฟัง ๆ ไปก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว

อย่างสมัยที่อาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษี พอคนงานคิดว่าจะทำงานต่อ เสียงตามสายของหลวงพ่อดังขึ้น แปลว่าหมดเวลาแล้ว ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือ พอเปิดเสียงตามสายตอนเย็น เราจะเลี้ยงอาหารหมา พอหมาได้ยินเสียง..โยโส ภะคะวา.. เขาก็จะวิ่งมา เพราะรู้ว่าเป็นเวลากินของเขา กลายเป็นว่าหมูหมากาไก่ทุกตัว ไม่รู้ว่าเสียงสวดนี้คืออะไร แต่เขารู้ว่า ถึงเวลานี้แล้วเขาต้องมา ก็เป็นผลที่เห็นชัด ๆ เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เราทำเป็นความดีนั้น เมื่อตอกย้ำเรื่อย ๆ ก็จะฝังลึกลงไปในใจเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 04:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 10-02-2011, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนพี่ ๆ ที่วัดท่าซุง พอหลวงพ่อท่านสร้างรูปหล่อองค์ยืนในวิหารร้อยเมตร คนนั้นก็ไปอธิษฐาน คนนี้ก็ไปอธิษฐาน เช่น บางคนขอเป็นไม้เท้า บางคนขอเป็นรองเท้า ส่วนอาตมาไม่เอาอะไรเลย..!

พออาตมาไปอยู่ที่ทองผาภูมิ วันหนึ่งกำลังนั่งรถทัวร์อยู่ ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ดัง "ฟืดดดดด...!" อยู่ข้าง ๆ หู ได้กลิ่นยานัตถุ์ รู้สึกอยากแทบน้ำลายยืดเลย ตกใจรีบบอกกับท่านว่า "หลวงพ่อครับ หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ" ท่านก็บอกว่า "ไม้เท้าจะเอาไหม ?" งานนี้ตอบว่าเอาหรือไม่เอาก็โดนแน่ ก็เลยเงียบ

พี่คนนั้นก็หมาก พี่คนนี้ก็ยานัตถุ์ จะต้องมีสักอย่างที่อาตมาโดนจนได้ แต่อย่างไรชาตินี้ไม่เอาเด็ดขาด พอปี ๒๕๔๘ อาตมาเริ่มเรียนหนังสือ ปรากฏว่าเวลาอ่านหนังสือต้องยื่นไปสุดแขน อ่านหนังสือได้ไม่นาน เมื่อยมือก็เลิก จึงตัดสินใจใส่แว่น

พอไปวัดสายตา ตัดแว่นเรียบร้อย หยิบแว่นลองใส่ จำได้แม่นเลย หลวงพ่อท่านหัวเราะใส่หู "คราวนี้เอ็งรู้แล้วใช่ไหม ว่าที่ข้าใส่แว่น ข้าอยากได้มันนักนี่..!" สรุปง่าย ๆ ก็คือ ถ้าแก่จึงจำเป็นต้องใส่ ไม่ใช่ใส่เพราะอยากจะใส่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 04:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 10-02-2011, 01:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "บางคนเขาเห็นหลวงพ่อป่วย เขาจึงอธิษฐานขอป่วยแทน ปรากฏว่าอาการปางตายเลย และหลวงพ่อก็ไม่ได้อาการเบาไปกว่าเดิมด้วย

เขาจึงไปถามหลวงพ่อว่า เขาป่วยขนาดนี้ ทำไมอาการหลวงพ่อยังไม่เบาลงกว่าเดิม ? หลวงพ่อบอกว่า "เขาแค่อยากให้แกรู้ว่า ข้าเป็นอย่างไรเท่านั้น เรื่องของกรรมนั้นใช้แทนกันไม่ได้" ในเมื่ออยากป่วยแทน เขาก็แค่อยากให้รู้ว่าเวลาท่านป่วยเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นเราเองจะไหวไหม ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 04:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 10-02-2011, 10:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนเด็ก ๆ ผมทำกสิณไฟ ตอนนั้นยังทำไม่เป็น ก็จุดเทียนตั้งไว้ข้างหน้าในห้อง ทีนี้อยู่ดี ๆ ก็วูบไปครับ แล้วมือไหม้ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นแผลเหวอะอย่างที่เห็น ไม่ทราบว่าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์เซ่อหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก พอจิตเราทรงฌาน สภาพร่างกายกับจิตจะแยกกันเป็นคนละส่วน อะไรที่เกิดกับร่างกายจิตจะไม่รับรู้ หรือว่าถึงรับรู้แต่ก็ไม่สนใจ อาตมาเองก็เคยทำน้ำมนต์จนไฟไหม้ถึงนิ้วมือ แต่ไม่เป็นอะไรเพราะสมาธิคุ้มไว้ได้

ถาม : ผมพยายามตัดใจเรื่องกสิณไฟมาหลายรอบแล้วครับ แต่ตัดไม่ขาด
ตอบ : ก็ฝึกสิ..ทำให้ได้เป็นเรื่องได้ราวไปเลย พอเราทำกสิณกองหนึ่งได้ กสิณอีกเก้ากองก็จะกลายเป็นของง่าย เพราะอารมณ์ใจเท่ากัน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุนิดเดียวเท่านั้น ถ้ากสิณกองแรกคุณทำได้คล่องตัวจริง ๆ ที่เหลืออีกเก้ากอง คิดว่าอย่างช้าไม่เกินครึ่งเดือนก็ได้หมดแล้ว

ถาม : ผมทำคาถาเงินล้าน มีครั้งหนึ่งผมไปถ่ายน้ำมันเครื่อง ปกติราคา ๑๐๐ - ๓๐๐ บาท วันนั้นผมไปถ่ายน้ำมันเครื่องเขาคิด ๒๐ บาท ถือว่าเป็นผลของคาถาไหมครับ ?
ตอบ : ถือว่าเป็นผลอย่างหนึ่ง อาตมาเองก็นั่งรถฟรีมาเยอะแล้ว แปลกถึงขนาดที่แท็กซี่ยังให้นั่งฟรี นั่งจากรถทัวร์จากอุทัยธานีมาหมอชิตเก่า นั่งแท็กซี่ไปทำธุระในกรุงเทพฯ ต่อ จนกระทั่งกลับไปถึงวัดท่าซุง เสียค่ารถตั้ง ๓ บาท..!

๓ บาทนี่เป็นเงินที่ยัดให้สองแถวที่ท่ารถมโนรมย์ เขาไม่ยอมเก็บเงิน อาตมาบอกว่า "ช่วยเก็บหน่อยเถอะพ่อคุณ อยากจ่ายว่ะ..!" แล้วก็ยัดเงินให้เขา เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราไม่ได้จ่ายเลย เรื่องของคาถาให้ความคล่องตัวได้ขนาดนั้น แต่ที่อัศจรรย์ก็คือ มีพระนั่งรถทัวร์ไปด้วยกันอยู่ ๔ รูป เขาเก็บค่ารถไป ๓ รูป พออาตมาส่งเงินให้เขากลับเดินหนี ไม่ยอมรับ เป็นเรื่องแปลกมาก จนกระทั่งพระ ๓ รูปท่านสงสัยว่า อาตมารู้จักกับกระเป๋ารถหรือเปล่า ? เขาจึงไม่เก็บ สมัยนั้นเขายังให้ไปตีตั๋วบนรถได้ ไม่ต้องซื้อจากห้องตั๋วเหมือนกับสมัยนี้

ถาม : ตอนผมบวชที่วัดอัมพวัน ผมนอนภาวนาอยู่ที่กุฏิ ภาวนาคาถาเมตตา ทีนี้พอนอนไปรู้สึกตัวหมุน แต่ไม่ทราบตัวจริงหมุนหรือเปล่า ? ผมก็เลยรีบออกมา
ตอบ : เขาเรียกว่ากลัวดี..! การหมุนมีอยู่สองอย่าง อาจจะเป็นปีติในลักษณะของโอกกันติกาปีติ อีกอย่างหนึ่งหมุนในลักษณะที่จิตควบแน่นเข้า..ควบแน่นเข้า สภาพร่างกายอาจจะมีการหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ลักษณะอย่างนั้นจิตจะดิ้นหลุดออกจากร่างกายไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าหลุดออกไป เราจะนึกไปนรกสวรรค์อย่างไรก็ไปได้เลย..ไปทำใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 14:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 10-02-2011, 10:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเกิดอาการนั้นอีก ?
ตอบ : ทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ คิดว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงเราจะตายลงไป เราก็ไปดีแน่นอน ถ้าเป็นปีติ เต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง แต่ถ้าหากสมาธิที่รวบรวมกำลังเพื่อสลัดให้กายในหลุดออกไป ก็จะหมุนมากขึ้น ๆ แล้วก็หลุดออกไปเลย

ถาม : เมื่อวันก่อนผมภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วตัวแข็ง เหมือนกับตัวชา เป็นเพราะ ?
ตอบ : สมาธิทรงตัวมากขึ้น ยิ่งทำไปเรื่อย ๆ สมาธิทรงตัวมากเท่าไร ผลก็จะเกิดมากขึ้นเท่านั้น

ถาม : อัยการกับผู้พิพากษาอย่างไหนมีโอกาสลงนรกมากกว่ากัน ?
ตอบ : ตามนิทานของฝรั่ง เขาเล่าว่า ซาตานขยายโครงการของนรก ทีนี้มีเฟสหนึ่งไปทับที่ของสวรรค์ จอมเทพก็เลยลงมา บอกให้ซาตานรื้อบริเวณนี้เสีย ไม่อย่างนั้นจะฟ้องร้อง ซาตานบอกว่า "คุณแน่ใจหรือที่จะฟ้องร้องผม ? ทนายเก่ง ๆ อยู่กับผมหมดเลยนะ..!" คือ ทนายไปอยู่ในนรกกับซาตานเสียเยอะ อันนี้เป็นนิทานฝรั่งนะ

ถาม : จริง ๆ แล้ว คือ..?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาหรือเปล่า ? ถ้าตรงไปตรงมา ทุกอย่างว่าไปตามกฎหมาย ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าไม่ตรงไปตรงมา มีการเรียกร้องผลประโยชน์ จะมีนรกขุมหนึ่งเอาไว้รองรับโดยเฉพาะเลย รับพวกคอร์รัปชั่น

ถาม : ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ อย่างฤกษ์อมฤตโชค ทราบว่าวันนั้นดีทั้งวันหรือครับ ?
ตอบ : ใช้ได้ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน ไม่จำกัดเวลา เวลาไหนก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 14:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 10-02-2011, 10:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาเองเป็นคนมีเวรมีกรรมในเรื่องการนอนมาก ไม่ว่าจะนอนเวลาไหนก็ตาม จะโดนกวนทันที ไม่ให้หลับไม่ให้นอนมาโดยตลอด

ก็ย้อนไปดูสมัยก่อน เวลาไปรบทัพจับศึก เราคอยไปก่อกวนข้าศึกไม่ให้เขาหลับเขานอน เขาจะได้ไม่มีเรี่ยวแรง พอข้าศึกไม่ได้นอนมาหลายวัน เราก็เข้าตีได้สบาย พอมาชาตินี้โดนจึงเต็ม ๆ จะนอนเมื่อไรจะมีคนปลุกทุกที..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 14:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 10-02-2011, 11:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางทีพิจารณาไปรู้สึกว่าเย็น เหมือนกับว่าง เบา ๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรต่อ ก็ตัดว่าเราเกาะพระนิพพานแทน เอาความปลอดภัยไว้ก่อน
ตอบ : คิดต่อไปนิดเดียวว่า ถ้าหากเราตายไปตอนนี้ เราขอไปพระนิพพาน แล้วจับภาพพระไว้เลย เอาเป็นหลักไว้ก่อน เกาะในสิ่งที่ดีไว้ก่อน ถึงเวลาถ้ากำลังใจทรงตัวก็จะปล่อยวางไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 14:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 10-02-2011, 11:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ปีหนึ่ง หลวงพ่อท่านบอกเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของจังหวัดกาญจนบุรี อาตมาเป็นคนประเภทได้ยินแล้วต้องพิสูจน์ ก็เลยตามไปดู จนกระทั่งหาเจอว่าอยู่ที่ไหน ตรงนั้นเป็นภูเขาทอง หลวงพ่อท่านบอกว่า จากศูนย์กลางออกไป ๑๕ กิโลเมตร เป็นทองทั้งหมด

พอหลวงพ่อท่านปรารภจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอก ก็คือ องค์ที่อยู่ตรงมณฑปสมเด็จองค์ปัจจุบันที่วัดท่าซุง คุณหมอนพพร (พ.อ. น.พ.นพพร กลั่นสุภา) ก็มาปรึกษาว่า "หลวงพี่ครับ..ในเมื่อจะมีพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จองค์ปฐมปรากฏครั้งแรกในโลก เราควรจะสร้างด้วยวัสดุที่มีค่าที่สุดเท่าที่เราจะหาได้"

อาตมาจึงถามว่า "คุณหมอคิดว่าควรจะสร้างด้วยอะไร ?" คุณหมอบอกว่าควรสร้างด้วยทองคำ "คุณหมอจะไปเอาที่ไหน ?" หมอตอบว่า "ก็ของหลวงพี่สิครับ..!" หมอเขาเอาแผนที่ทหารมากาง ให้อาตมาช่วยมาร์กจุดให้ อาตมาก็อาศัยความสามารถในการสอบวิชาแผนที่เข็มทิศได้ที่หนึ่งมา มาร์กจุดให้เขาไปเรียบร้อย

กล่าวว่า "คุณหมอ...อาตมาวิ่งไปนะ..ใช้เวลาสองวันกับสองคืน หมอคิดดูก็แล้วกันว่าเป็นระยะทางเท่าไร ?" เพราะอาตมาเป็นพระวัดท่าซุงรูปเดียวที่โดนหลวงพ่อท่านตัดวันลาเหลือแค่ ๗ วัน ออกจากวัดได้ไม่เกิน ๗ วัน คิดดู..วิ่งไปสองวันกลับสองวัน รวมวันเดินทาง ๗ วันนี่หวุดหวิดเลยนะ

คุณหมอหายไปไม่นาน ก็กลับมาแจ้งว่าใช้เครื่องบินในการเดินทาง ตอนนั้นคุณหมอเป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์จึงมีสิทธิ์ใช้เครื่องบินได้

คุณหมอไปที่กองร้อยบินเบา ขอเครื่องบินเขาขึ้น โดยขีดเส้นทางให้เขาบิน โดยที่ไม่ได้บอกนักบินว่าแอบเอาเครื่องมือวัดแร่ไป พอผ่านจุดนั้นคุณหมอก็ใช้เครื่องวัดดู ท่านบอกว่าเข็มมันตีจนยันเกจ์เลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 10-02-2011, 12:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คุณหมอก็เลยไปใหม่ แทนที่จะเอาเครื่องบินปีกแข็งไปเหมือนเก่า คราวนี้ก็เอาเครื่องบินปีกหมุน(เฮลิคอปเตอร์)ไป ตั้งใจว่าจะหย่อนเครื่องลง ตอนที่เครื่องลอยอยู่กลางฟ้า เข็มก็ตียันเกจ์อีกเหมือนกัน แต่พอหย่อนเครื่องลงเกือบถึงภูเขา กลับเหลือแค่ศูนย์..!

คุณหมอบอกว่า "ผมลองถามเจ้าที่ดูแล้ว เขาว่ามีส่วนของหลวงพี่ด้วย ผมขอสักส่วนหนึ่งของหลวงพี่ก็แล้วกัน" อาตมาบอกว่า "เอาสิ..แล้วคุณหมอต้องการสักเท่าไร ?"

หมอจึงไปปรึกษาช่างจำเนียรกับช่างประเสริฐ ว่าในการหล่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าตักสี่ศอก ถ้าใช้ทองคำล้วน ๆ ต้องใช้ในปริมาณเท่าไร ช่างเขาคำนวณออกมาว่าตันครึ่ง คือ ๑,๕๐๐ กิโลกรัม..!

อาตมาก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ คุณหมอเอาทหารในกองพัน ๕๐ คนมา ทหารที่แข็งแรง ๆ ให้เขาแบกคนละ ๓๐ กิโล เขาแบกไหว คนละ ๓๐ กิโลเราจะได้ตันครึ่งพอดี อาตมาใช้เวลาวิ่งสองวัน คาดว่าทหารคงใช้เวลาเดินไม่เกินห้าวัน บอกให้ทหารแบกสเบียงไปห้าวันพอ"

พอตกลงกันเรียบร้อย ปรากฏว่าคุณหมอนพพรหายไปหนึ่งอาทิตย์ กลับมารายงานใหม่ "หลวงพี่ครับ..เราคงทำไม่ได้หรอกครับ เวลาคน ๕๐ คนต่างคนต่างถือปืน ผมคุมไม่ได้แน่..เวลาเราไปขออะไรกับเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง เราต้องมีสัจจะ เราบอกตันครึ่ง จะเอาเกินไปครึ่งขีดก็ไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดพวกนั้นไม่ฟังผม กำมาคนละกำสองกำ ผมก็ตายสิครับ เพราะผมเป็นหัวหน้าคณะ เขาจะเล่นหัวหน้าคณะก่อนที่ผิดสัจจะ เขาจะไม่เล่นลูกน้องหรอก"

สรุปแล้ว งานนั้นคุณหมอบอกว่า "คงต้องปล่อย..แล้วแต่หลวงพ่อก็แล้วกัน" ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ยังไม่ได้ไปอีกเลย เพราะฉะนั้น..ใครต้องการให้บอก จะชี้จุดให้ แต่ไปเสี่ยงตายเอาเองนะ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2019 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 10-02-2011, 14:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : วันนี้หนูไปหาพี่ที่โรงพยาบาล พี่เขาบอกว่า ถึงเวลาแล้วบุญทุกอย่างที่ทำมาจะรวมตัว ทำให้กำลังใจสามารถที่จะตัดไม่เอาอะไรในโลก ?
ตอบ : ตอนที่เกิดเหตุฉุกเฉิน จะรู้เลยว่าต้นทุนตัวเองมีเท่าไร พอฉุกเฉินขึ้นมา ความดีที่เราว่าทำมาเล็กทำน้อย เหมือนกับว่าไม่พอใช้ พอรวมกันเข้าจริง ๆ แล้วเหลือเฟือเลย พร้อมที่จะตัดจะวางได้ทุกอย่าง ถ้าหากกำลังใจปลดได้ตอนนั้นก็ไปเลย

อาตมาเองป่วยบ่อย และป่วยหนักปางตายมาหลายครั้ง เวลาที่ใกล้ตาย เห็นต้นทุนตัวเองแล้วสบายใจ สบายใจว่าต้นทุนขนาดนี้เราไปได้แน่ แต่ถ้าไม่ได้ป่วยหนัก ๆ หรือไม่ได้เกิดเหตุฉุกเฉิน ก็ยังไม่แสดงต้นทุนออกมา เราก็ไม่รู้ว่าเราสะสมได้เท่าไรแล้ว

ถาม : ต้องรอให้คับขันจริง ๆ หรือคะ กำลังที่เราทำมาจึงจะส่งผล ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ต้องรอ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าต้นทุนจะแสดงออกชัดเลย แต่ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าต้องรอตอนคับขันหรือตอนใกล้ตาย กำลังใจจึงจะรวมตัว ถึงจะเห็นว่าเรามีทุนเท่าไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 15:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 10-02-2011, 15:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาที่จิตรวมจริง ๆ ไม่อยากจะแตะกายเลย
ตอบ : รู้สึกว่าน่ารังเกียจจนบอกไม่ถูก

ถาม : จริง ๆ จะไปก็โดนรั้ง
ตอบ : ท่านย่าเคยบอกเอาไว้ว่า "บางคนย่าจะรั้งเอาไว้ไม่ให้เกินอรหัตมรรค" อาตมาก็ถามว่า "ทำไมย่าต้องรั้งเอาไว้ด้วย ?" ท่านย่าบอกว่า "เอาไว้เป็นตัวอย่าง"

ลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีหลากหลายขนาดไหน ตั้งแต่สูงสุดจนถึงต่ำสุด ล้วนแต่มีสิทธิ์ที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ ท่านจึงอยากจะเก็บบางคนไว้เป็นตัวอย่างว่า หน้าตาอย่างนี้ ฐานะอย่างนี้ ก็เป็นพระอริยเจ้าได้เหมือนกัน

ถาม : การเข้าใจในธรรมะแต่ละขั้น จะอ๋อ..ในทีละขั้น..?
ตอบ : ปกติก็เป็นอย่างนั้น แต่จะมีตัวยึดมั่นถือมั่นอยู่ตัวหนึ่งว่า อ๋อ..ที่แท้พระพุทธเจ้าสอนเราคืออย่างนี้ แต่พอเราก้าวสูงขึ้นไป อ้าว..ตรงนี้ยังไม่ใช่ ยังมีที่ใช่กว่า เราก็จะไปอ๋อตรงนั้นอีก

จริง ๆ แล้วตัวนี้เป็นตัวมานะ ยึดมั่นถือมั่น ไปคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือสิ่งที่เรารู้ แต่ความจริงคือไม่ใช่หรอก ของเราแค่แสงหิ่งห้อยหรือหางอึ่งเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 23-03-2021 เมื่อ 00:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 10-02-2011, 15:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ฆราวาสที่ปฏิบัติอริยสัจ ๔ จนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน นั่นคือท่านสั่งสมมาเยอะพอหรือคะ ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญาทุกอย่างจะต้องพร้อม ถ้ายังไม่พร้อมก็ต้องรอวาระ รอการสั่งสมต่อไป

ถาม : แล้วทำไมคนธรรมดาจึงต้องรอเวลาคับขันจึงตัดได้คะ ?
ตอบ : ลองคิดดูว่า ปกติเวลาธรรมดาเวลาเขาสั่งเราให้ยกมือ เราจะเชื่อไหม ? แต่ถ้าเขาเอาปืนมาจ่อเรา แล้วบอกให้ยกมือ เรารีบยกมือทำไม ?

ถาม : กลัวตาย...
ตอบ : ก็เหมือนกันแหละ พอความตายมาถึงตัว ก็ต้องรีบโกยแล้ว จึงจะเห็นต้นทุนตัวเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 17:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 10-02-2011, 15:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จำเป็นด้วยหรือคะ ที่ทุกคนต้องเจออย่างนี้แล้วถึงจะไปได้ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..หลายท่านก็ไปได้แบบง่าย ๆ เลย เพราะท่านสั่งสมบุญญาบารมีมาเพียงพอ แต่ท่านที่ยังสั่งสมมาไม่พอ ต้องเจอเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะเห็นต้นทุน เช่น นั่งรถไปชนโครม แทนที่เราจะขาดสติ ตกอกตกใจเหมือนคนอื่น เรากลับกำหนดใจแน่วแน่ รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด พร้อมที่จะแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาให้ได้มากที่สุด นั่นคือต้นทุนของเรา

ขณะเดียวกันคนที่ป่วย กำลังใจที่ปล่อยวางไม่ยึดเกาะร่างกายจะเห็นต้นทุนชัด ในเมื่อเห็นชัดก็จะรู้ว่าเรามีเท่าไร ? ไปได้หรือยัง ?

ถาม : ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ประมาทในความตาย เราจำเป็นที่จะต้องป่วยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น คำว่าไม่จำเป็น ไม่ได้หมายความว่า ต้องไม่ป่วย

คำว่าไม่จำเป็นในที่นี้ คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องป่วยแล้วรู้ต้นทุน อาจจะรู้ก่อนก็ได้

ถาม : รู้ต้นทุนก็ไม่แน่ว่าจะไม่ป่วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : การป่วยเกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ไม่เกี่ยวกับการรู้หรือไม่รู้ต้นทุน ถึงรู้ต้นทุนก็ไม่แน่ว่าจะไปรอด เพราะถ้าเผลอเมื่อไร กิเลสก็จะดึงเราลงต่ำ มีวิธีเดียวก็คือ ต้องก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้นจึงจะปลอดภัย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 17:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:03



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว