#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพได้รับข้อความจากบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งตำหนิมาว่า "การที่ไปสอนให้ญาติโยมภาวนาพระคาถาเงินล้านนั้น เป็นการทำให้ผู้อื่นมัวเมา หวังร่ำหวังรวย มีแต่จะพอกพูนกิเลส" กระผม/อาตมภาพพอได้รับข้อความแล้ว ก็มาพิจารณาดูว่า สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเกิดจากอะไร ? แต่ก่อนที่จะกล่าวไปถึงตรงนั้น เรามาดูกันก่อนว่า การภาวนาพระคาถาเงินล้านแล้วร่ำรวยนั้นเกิดจากอะไร ?
การที่บุคคลจะเกิดมาร่ำรวยได้นั้น ต้องมีพื้นฐานมาจากทานบารมี คือรู้จักเสียสละแบ่งปันให้กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ หรือแม้กระทั่งเรื่องของธรรมะ ตลอดจนกระทั่งการให้อภัย แต่ว่าทานส่วนของธรรมะและการให้อภัยนั้น เป็นทานในระดับที่สูงมาก เกินกว่าที่จะก่อเกิดเฉพาะโภคสมบัติ แบบเดียวกับทานที่เป็นวัตถุสิ่งของ ดังนั้น..ท่านที่ศึกษามาดีแล้ว ก็จะเห็นว่าครูบาอาจารย์ตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคก็ดี หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ตาม จะแนะนำอยู่เสมอว่า ถ้าจะภาวนาพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ หรือว่าพระคาถาเงินล้าน ต้องมีการใส่บาตรเป็นปกติ นั่นคือการให้ทานกับเนื้อนาบุญโดยตรง เพื่อที่จะได้มีอานิสงส์มาก ก่อให้เกิดผลได้เร็ว ในขณะเดียวกัน ถ้าบุคคลที่ไม่มีเวลาในการใส่บาตรทุกวัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็แนะนำว่า ให้ภาวนาพระคาถาเงินล้านอย่างน้อย ๙ จบ แล้วเอาสตางค์สักหนึ่งบาท หยอดกระปุกเอาไว้ ตั้งใจว่าถึงเวลาแล้วจะนำไปถวายเป็นค่าภัตตาหารพระ นั่นก็คือการใส่บาตรเช่นกัน ดังนั้น..พื้นฐานของความร่ำรวยอันดับแรกนั้น มาจากอำนาจของทานบารมี อันดับที่สองก็คือการภาวนาพระคาถาเงินล้านนั้น ทำให้จิตของเราเป็นสมาธิ ยิ่งมีสมาธิสูงมากเท่าไร ก็สามารถใช้งานได้มากเท่านั้น กำลังจิตที่มุ่งมั่นว่า สิ่งที่ตนเองทำนั้น จะสร้างความร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดความสำเร็จขึ้นมา ซึ่งมีภาษาบาลียืนยันว่า "มโนมยา" คือ "การสำเร็จด้วยใจ" ท่านที่เคยเล่นคาถาอาคมต่าง ๆ มา จะรู้เรื่องนี้ได้ดีที่สุด เพราะว่าจะใช้คาถาอะไรก็ตาม ถ้าจิตของท่านมุ่งมั่นว่าจะให้เกิดผลอะไร ถึงเวลาสมาธิทรงตัวได้ระดับ ก็จะเกิดผลแบบนั้น ดังนั้น..ความร่ำรวยที่เกิดขึ้นจากการภาวนาพระคาถาเงินล้าน จึงเกิดขึ้นในลักษณะแบบนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2023 เมื่อ 01:36 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ส่วนที่ท่านผู้นั้นกล่าวว่า ความรวยเป็นการสร้างกิเลสนั้น เราลองมาดูว่า ท่านผู้กล่าวนั้นมีคุณงามความดีในระดับไหน ? ถ้าดูตามพระไตรปิฎก อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นอริยบุคคลระดับพระโสดาบัน ท่านยังคงทำมาค้าขายตามปกติ สามารถที่จะให้ทานแก่พระภิกษุสงฆ์ทุกวัน ถึงวันละ ๕๐๐ รูป
บุคคลที่เป็นพระอริยเจ้าระดับพระโสดาบัน ยังมีการทำมาค้าขาย มีการกอบโกยปัจจัยเงินทองเข้าสู่ตนเองและครอบครัวตามปกติ แต่ไม่ได้นำเอาความร่ำรวยนั้นไปเบียดเบียนผู้หนึ่งผู้ใด ซ้ำยังช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประจำ จนได้ฉายาว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี คือ ผู้มีก้อนข้าวสำหรับบุคคลอนาถา ถ้าหากว่าร่ำรวยแล้วเป็นกิเลส แปลว่าผู้พูดนั้นตั้งกำลังใจไว้ในทางที่ผิด คิดแต่จะใช้ความร่ำรวยไปทางมัวเมาด้วย รัก โลภ โกรธ หลง นั่นเอง..! หรือจะดูตัวอย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา บุคคลนี้มีประวัติชัดเจนว่าเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ นางวิสาขามหาอุบาสิกานั้น แต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ผู้เป็นบิดาได้มอบสินทรัพย์ให้ ก็คือเงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ทอง ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองเหลือง ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองแดง ๕๐๐ เล่มเกวียน เหล่านี้เป็นต้น ตลอดจนกระทั่งฝูงวัวมากมายจนนับไม่ได้ เมื่อไปถึงยังบ้านของฝ่ายสามีแล้ว นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็นำทรัพย์สินเหล่านี้ไปแบ่งปันให้กับชาวบ้านทั้งหมด บาลีใช้คำว่า "ยังทุกคนให้มีฐานะเสมอกัน" ก็คือคนที่มีมากก็แบ่งให้น้อย คนที่มีน้อยก็แบ่งให้มาก จนกระทั่งทุกคนมีทรัพย์สินใกล้เคียงกันหมด นางวิสาขามหาอุบาสิกาที่เป็นพระอริยเจ้าระดับพระโสดาบันก็ไม่ได้ปฏิเสธความร่ำรวย โดยเฉพาะมีเครื่องประดับที่ชื่อมหาลดาปสาธน์ ซึ่งมีมูลค่าถึง ๙๑ โกฏิ ถ้าหากว่าเราตีราคาว่า ๑ โกฏิเท่ากับ ๑๐ ล้าน เครื่องมหาลดาปสาธน์นั้นก็จะมีราคาถึง ๙๐๐ กว่าล้าน ซึ่งในราคาปัจจุบันนี้ย่อมไม่มีทางที่จะเทียบกับราคาในสมัยโบราณได้ ท่านเองก็ไม่ได้เห็นว่าความร่ำรวยนี้เป็นกิเลส ซ้ำยังเอาเงินทองนั้นไปสร้างบุพพารามมหาวิหารถวายไว้ในพระพุทธศาสนา จนกระทั่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ ในฐานะของมหาอุบาสิกา ผู้ไปยังวัดวาอารามแล้วไม่เคยไปมือเปล่า เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดประเพณีในพระพุทธศาสนาหลายประการ ก็คือการถวายผ้ากฐิน การถวายผ้าคหปติจีวร เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2023 เมื่อ 01:39 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้ายังรู้สึกว่าน้อยไป เราก็ไปดูเจ้ามหานามศากยะ ท่านเป็นกษัตริย์ของศากยวงศ์ เมื่อฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว บรรลุอนาคามิผล บุคคลผู้เป็นพระอนาคามี ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือ ผู้ที่สละแล้วซึ่งบ้านเรือนทรัพย์สินทั้งหมด
แต่ว่าเจ้ามหานามศากยะนั้น ต้องบอกว่าท่านน่าสงสารมาก อยากจะสละราชสมบัติ โดยการไปเวนราชสมบัติให้กับอนุรุทธกุมาร แต่พอถามว่า "บุคคลผู้เป็นกษัตริย์ต้องทำอะไรบ้าง ?" อนุรทธกุมารก็บอกว่า "ถ้าลำบากขนาดนั้น พี่ก็เป็นต่อไปเถอะ ผมบวชเองดีกว่า" ว่าแล้วท่านก็ออกบวช จนกระทั่งกลายเป็นพระมหาสาวกผู้เป็นเลิศทางทิพจักขุญาณ เจ้ามหานามศากยะซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ต้องการบ้านเรือนสมบัติอะไรแล้วตามกำลังใจของตน แต่ว่าสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบ จึงต้องกัดฟันทนเป็นกษัตริย์ของศากยวงศ์สืบต่อไป ก็ไม่เห็นว่าพระอริยเจ้าระดับสูงขนาดอนาคามีบุคคล จะปฏิเสธความร่ำรวย หรือว่าทรัพย์สมบัติ เพียงแต่ว่าท่านอยู่โดยที่จิตไม่ได้ยึดเกาะในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเลย ดังนั้น..ถ้าหากว่ามากล่าวถึงในลักษณะของการที่ท่านผู้นั้นกล่าวว่า กระผม/อาตมภาพแนะนำให้คนภาวนาพระคาถาเงินล้านเพื่อความร่ำรวย เป็นการพอกพูนกิเลส ท่านทราบหรือไม่ว่าการภาวนานั้นจะสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อสมาธิทรงตัว ปัญญาก็ย่อมเกิด เมื่อปัญญาเกิด ก็ไปควบคุมศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทั้งสามอย่างนี้ ถ้าเป็นมัคคสมังคี คือรวมพร้อมเมื่อไรแล้ว ย่อมสามารถที่จะตัดกิเลสระดับใดระดับหนึ่ง เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาปฏิมรรค ขึ้นไปจนถึงอรหัตผล ตามแต่กำลังหรือวาสนาบารมีที่ท่านผู้นั้นสั่งสมมา ว่ามากน้อยกว่ากันเท่าไร ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระคาถาเงินล้านก็เป็นแค่อุบายที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนให้พวกเรามา โดยหวังเป้าหมายสูงสุด คือพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน แต่ถ้าหากว่าท่านทำไม่ถึง อย่างน้อยผลทางโลก ๆ ก็ทำให้เรามีฐานะร่ำรวย มีความคล่องตัว จะสร้างเสริมบุญกุศลในส่วนใดก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ จะช่วยเหลือผู้อื่น ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น..การภาวนาพระคาถาเงินล้าน จึงมีผลดีตั้งแต่ต้นยันปลาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2023 เมื่อ 01:42 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
อยากจะเรียนถามว่า ท่านผู้ติมานั้น ท่านติเพื่อก่อหรือเปล่า ? หรือเพื่อติให้ตัวเองนั้นดูดี เป็นบุคคลที่มีความดีความงาม มองเห็นความผิดพลาดของผู้อื่น เป็นการติแบบที่หวังประโยชน์ หรือว่าติแบบเหยียบคนอื่นขึ้นไปสู่ที่สูง ? ซึ่งเป็นการติที่สร้างกิเลส แบกความมานะถือตัวถือตน แบกสักกายทิฏฐิ ตัวกูของกูเอาไว้เต็มที่หรือเปล่า ? เป็นการติแบบที่โบราณกล่าวว่า "ติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ได้แต่งตัว" หรือเปล่า ?
ถ้าหากว่าเป็นไปในลักษณะนั้น คำติของท่านก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย เพราะว่าไม่ได้ชี้ช่องบ่องทางให้ผู้อื่นเห็นว่า จะทำสิ่งใดถึงจะถูกต้อง นอกจากบอกอย่างเดียวว่าทำแบบนั้นผิด ทำแบบนั้นผิด เราเองเป็นคนดี เห็นความผิดถึงได้ชี้ให้เห็น ถ้าอย่างนั้นท่านก็จะเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก เพราะว่าแบกกิเลสเอาไว้อย่างเต็มที่ มีจิตใจที่ประกอบด้วยวิหิงสาวิตก คือคิดแต่จะเบียดเบียนคนอื่น ไม่เห็นถึงคุณงามความดีของคนอื่น กลายเป็นเอากิเลสของตนเองมาแสดงให้คนอื่นเห็น ว่าเรามีกำลังใจต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน..! กระผม/อาตมภาพและคณะศิษย์ทั้งหลาย ที่ร่วมกันภาวนาพระคาถาเงินล้านมาตั้งแต่ต้น ก็ขอเอาใจช่วยให้ท่านสามารถยกจิตของตนให้สูงขึ้นมา จากปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส อย่างน้อยที่สุดให้เป็นกัลยาณชนที่มีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิทรงตัวบ้าง หรือถ้าหากว่าสามารถยกจิตขึ้นเป็นอริยชน ผู้เบาบางด้วยกิเลส หรือว่าผู้ที่ตัดกิเลสส่วนใดส่วนหนึ่งได้ ตลอดจนกระทั่งหมดกิเลส เข้าสู่พระนิพพานได้ ก็จะเป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพและคณะศิษย์จะอนุโมทนาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่หวังว่าเราจะได้ไปพบกัน ณ ภพภูมิที่สูงขึ้นไปเบื้องบน ไม่ใช่พบกันในอบายภูมิเบื้องต่ำ ซึ่งกระผม/อาตมภาพและคณะศิษย์คงไม่ยินดีที่จะไปด้วยเป็นแน่..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2023 เมื่อ 01:45 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|