#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ถือว่าเป็นวันประวัติศาสตร์วันหนึ่งของวัดท่าขนุนเรา ที่ช่วยกันอัญเชิญพระแก้วประจำพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน น้ำหนัก ๙๕๐ กิโลกรัม ขึ้นสู่ที่ประดิษฐานได้สำเร็จ ชนิดที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้รับเหมา หรือว่านายช่าง ตลอดจนกระทั่งคนของเราเอง ไม่มีใครเชื่อว่าจะทำได้ เพราะว่าส่วนใหญ่ของเขาต้องมีรอกชัก ต้องมีรอกกระดกให้ยุ่งไปหมด ส่วนของเรามีแต่แรง..!
แต่ทุกท่านก็เห็นแล้วว่า ถ้าหากว่าใช้แรงงานได้ถูกที่ถูกทาง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้ และโดยเฉพาะถ้ามีปัญหาขึ้นมา ปัญญาจะเกิดเอง เพียงแต่ว่าให้ฟังคนอื่นบ้าง ถ้าเรารู้สึกว่า เรามีแนวทางที่ดีในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ แต่คนอื่นเสนอแนวทางที่ดีกว่า เราต้องยอมรับ อย่าไปแบกทิฏฐิมานะอยู่ ถ้าแบกทิฏฐิมานะอยู่ นอกจากงานไม่สำเร็จแล้ว ยังจะขัดแย้งกันเสียเปล่า ๆ ต้องขอบคุณขอบใจทุกท่านทุกคน ที่ช่วยกันออกเรี่ยวออกแรงจนแทบจะหมดสภาพไปตาม ๆ กัน ขอบคุณแม้กระทั่งเวรยามที่ไม่ละหน้าที่มา เนื่องเพราะว่าตอนที่เราระดมพลมาจนหมด บางทีอาจจะมีมิจฉาชีพฉวยโอกาสได้ เราใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ มิจฉาชีพก็ใช้ปัญญาเช่นกัน ก็คือเขาจะเลือกจังหวะที่เราทำวัตร บิณฑบาต เจริญกรรมฐาน ในการที่จะแทรกเข้ามา แล้วก็ลักขโมย หรือก่ออาชญากรรม ต้องบอกว่าคนดีก็มีความฉลาด ถ้าหากว่ากุสโล ก็คือฉลาดในการสร้างบุญสร้างกุศล โกวิโท ก็คือฉลาดหลักแหลมในการแก้ไขแก้ปัญหาต่าง ๆ ไอ้เจ้าพวกมิจฉาชีพนั้นเป็นเฉโก ฉลาดในการโกง บาลีมีความหมายว่าฉลาดเหมือนกัน แต่ฉลาดไปคนละอย่าง เมื่อเช้านี้กระผม/อาตมภาพก็ต้องบอกว่าหมดสภาพ เพราะปกติจะตื่นประมาณตี ๒ เมื่อเช้านี้เสียงระฆังดังแล้วถึงตื่น หมดสภาพจริง ๆ เพียงแต่ว่าพอเรียกตัวเองให้ลุก ปลุกตัวเองให้ฟื้น กลับเข้ามาก็เจริญพระกรรมฐาน ทำวัตร บิณฑบาตกับพวกเราได้ตามปกติ เรื่องของร่างกายเราอย่าไปเชื่อมากนัก ถึงบอกว่าไม่ไหว ก็ให้เราพยายามไหวหน่อย เพราะว่าเราเองก็ไม่ได้ต้องการร่างกายนี้อยู่แล้ว "มึงจะพังลงไปก็เรื่องของมึง กูจะทำงาน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2023 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
คราวนี้ช่วงเช้าที่เจริญพระกรรมฐาน กระผม/อาตมภาพขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออนุญาตพระองค์ท่านเป็นกรณีพิเศษว่า ถ้าหากญาติโยมล้นหลาม จนรับกันไม่ไหวจริง ๆ จะขออนุญาตเป่ายันต์เกราะเพชรรอบพิเศษ แม้ว่าพระองค์ท่านจะอนุญาต แต่สิ่งที่ไม่อนุญาตนั้นมีเยอะมาก
ที่แรกเลยก็โดนก็คือวัดสี่แยกเจริญพร นิมนต์กระผม/อาตมภาพไปปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านสั่งเลย "ห้ามรับของคนนอกมาเข้าพิธี" แม้กระทั่งในวัดท่าขนุนของเรา พวกท่านก็จะเห็นว่าระยะหลัง ๆ ในช่วงของการเป่ายันต์เกราะเพชร จะไม่มีการรับฝากวัตถุมงคลเข้าพิธี ท่านบอกว่าหากินกันจนเกินงาม..! ในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น สิ่งที่พระองค์ท่านจะสงเคราะห์ให้ ก็คือวัตถุมงคลที่เราติดตัวอยู่ แต่คราวนี้คำว่า "ติดตัวอยู่" ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ประมาณ ๒ ชิ้น ๓ ชิ้นก็พอได้ แต่ถ้ามึงเล่นขนมาเป็นร้อยเป็นพัน ท่านก็ไม่อนุเคราะห์สงเคราะห์ให้เหมือนกัน แต่ก็จะมีไอ้พวกปัญญามากแบบเฉโก ก็คือฝากเขามาคนละ ๕ องค์ ๑๐ องค์ แบบนั้นก็รอไปเถอะ..! เรื่องของพระ เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา ท่านตรงไปตรงมา ไม่ใช่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแล้วจะรอดไปได้ ก็แปลว่าในเรื่องที่พวกเราทั้งหลายพยายามที่จะทำกัน ไม่ว่าจะเป็นในพิธีที่วัดท่าขนุนก็ดี ที่บ้านก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ใช่ของที่คิดจะใช้คู่ตัวแค่ชิ้นสองชิ้น ทำขึ้นมาด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย แต่ตั้งใจทำขึ้นมาขาย ท่านไม่สงเคราะห์ให้ ฉะนั้น..ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ จะตั้งพิธียิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็นิมนต์เรียนเชิญท่านเอาเองก็แล้วกัน กระผม/อาตมภาพไม่เกี่ยว ส่วนในเรื่องของวัตถุมงคลต่าง ๆ ของวัดเราก็ต้องบอกว่าเหลือน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าวันงานจะมีเพียงพอให้กับญาติโยมที่มาหรือเปล่า ? แต่ว่าส่วนที่มีแน่ ๆ ก็คือน้ำมนต์เสาร์ ๕ ซึ่งจะว่าไปแล้ว เป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพถนัดที่สุด เนื่องเพราะว่าภาวนาชักยันต์น้ำมนต์อยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ มีใครลองทำดูบ้างไหม ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันว่า ถ้าใครสามารถทำได้ จะบรรเทาวาระกรรมลงไปได้มาก กระผม/อาตมภาพลองทำดู ก็จริงตามนั้น เพราะว่าร่างกายดีขึ้น เจอหมอเจอยาที่ถูกโรคมากขึ้น คราวนี้ทำไมการที่เราภาวนาชักยันต์น้ำมนต์แล้วถึงสามารถที่จะลดวาระกรรมลงไปได้ ? ก็เพราะว่าท่านภาวนา ทาน ศีล ภาวนา ภาวนาอานิสงส์สูงที่สุด แล้วการที่นึกถึงภาพยันต์ก็คือการทรงทิพจักขุญาณ หรือว่าทรงกสิณนั่นเอง เท่ากับว่าเราทำกองกรรมฐานใหญ่ ยิ่งถ้าทำสม่ำเสมอ ผลดีก็ยิ่งเกิด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2023 เมื่อ 03:13 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
คราวนี้พวกเราทั้งหลายส่วนใหญ่มีสองอย่าง อย่างแรกก็คือฟังแล้วไม่เชื่อก็เลยไม่ทำ อย่างที่สองก็คือฟังแล้วเชื่อ แต่ไม่มีอารมณ์จะทำ เป็นเรื่องที่แปลกมาก บุคคลที่ปฏิบัติธรรมแล้วจะประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่แล้วก็คือบุคคลที่ต้องจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำบ้างทิ้งบ้าง ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนซักซ้อมอยู่ทุกวัน
ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพทำวัตรไป อ่านหนังสือไป แล้วรู้เรื่องได้อย่างไร ? ถ้าหากพวกเราสามารถแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ อย่างพระอินทร์ ท่านทำงานทีละพันอย่างพร้อมกันได้ เขาถึงได้เรียกท่านว่า "สหัสนัยน์" ผู้มีตาตั้งพัน ก็คือสามารถพินิจพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งพันเรื่องพร้อม ๆ กัน เพียงแต่ว่าการแยกจิตแยกกายทำงานหลายอย่างพร้อมกันนั้น มีข้อเสียเหมือนกัน ก็คือถ้าเราควบคุมรักษาไม่เป็น แม้แต่ขณะที่เราภาวนาจนกระทั่งลมหายใจทรงตัว อีกใจหนึ่งมันยังฟุ้งซ่านได้ เพราะว่าเราไปแยกจิตจนชิน วิธีที่ดีที่สุดก็คือ รวมความรู้สึกทั้งหมดกลับมาหาลมหายใจเข้าออกตรงหน้า อย่าปล่อยให้หลุดไปไหน ไม่เช่นนั้นแล้วเผลอเมื่อไรก็แยกใจหนึ่งไปภาวนา ใจหนึ่งไปฟุ้งซ่าน กลายเป็นทำดีกับชั่วพร้อม ๆ กัน ถ้าหากว่ากำลังความดีมีมากว่าก็กำไร กำลังความชั่วมีมากกว่าก็ขาดทุน ที่เสมอ ๆ กันนั้นหายากมาก สำหรับพวกเรา พรุ่งนี้ออกบิณฑบาตแล้วแจ้งงดออกบิณฑบาตวันเสาร์หนึ่งวัน และวันเสาร์ต้องงดทำวัตรเช้าไปด้วย ไม่มีที่ให้พวกท่านทำหรอก เชื่อเถอะ..! ก็แปลว่าเช้าวันเสาร์ พวกเราต้องเข้าประจำตำแหน่งหน้าที่กันเลย ได้ยินเสียงระฆังสัญญาณเมื่อไร ก็รีบแบ่งกันไปฉันเช้า แล้วก็กลับเข้าสู่งานของตัวเอง ตั้งใจว่าถ้าพระท่านสงเคราะห์ในเรื่องเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อไร เราขอน้อมรับด้วย แล้วก็ทำงานไป จะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องไปใส่ใจว่าสมาธิจะทรงตัวหรือไม่ ? จะภาวนาได้ต่อเนื่องหรือไม่ ? ถ้าพระท่านสงเคราะห์แล้ว ต้องการหรือไม่ต้องการท่านก็ให้ เพียงแต่ว่าให้แล้วเรารักษาไว้ได้หรือเปล่า ? นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กระผม/อาตมภาพเองรับยันต์เกราะเพชรจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสิบกว่าครั้ง ไม่เคยได้มีโอกาสนั่งอย่างเป็นทางการสักครั้งเดียว เพราะว่าวิ่งทำงานตลอด แต่ก็รับรู้ได้ตลอดว่าตอนนี้ยันต์กำลังเข้าตัวเอง บางทีขนลุกเป็นหนามขนุน ลูบไม่ลงเลย เป็นตุ่ม ๆ เหมือนหนังไก่ เห็นชัดมาก แล้วก็อยู่เป็นชั่วโมงเลย เพื่อที่จะยืนยันว่า "เอ็งรับได้แน่" จะได้ไม่เสียกำลังใจว่าเรามัวแต่ทำงานอยู่ แล้วไม่ได้รับอะไรเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2023 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
โดยเฉพาะท่านที่ตั้งใจรับด้วยความเคารพ จะอยู่มุมไหนของโลกก็รับได้ เพียงแต่ว่าต้องมีความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ แล้วก็เตรียมธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม เมื่อตรงเวลากับทางวัด ไม่ว่าจะเป็น ๑๐ โมงเช้า หรือว่าบ่ายโมงตรง ก็ให้ตั้งใจภาวนาพุทโธสัก ๓๐ นาที มีแค่นี้เอง
ถ้าหากรู้สึกว่าร้อนหู ร้อนหน้า หนักตัว หนักไหล่ ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลงอะไรก็ปล่อยไป ให้รู้ว่านั่นเป็นอาการของยันต์ที่กำลังเข้าตัว บางส่วนทำให้ปีติเกิด อาการพวกนี้ถึงได้เกิดขึ้น บางท่านที่ดื้อมาก ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพก็ไข้จับไปสองวันสามวัน เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า "เกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?" ท่านบอกว่า "เอ็งดื้อเกินไป ยันต์จะเข้าตัว แต่กำลังใจป้องกันตัวไปต่อต้านอัตโนมัติ ในเมื่ออีกฝ่ายกดลงมา อีกฝ่ายยันออกไป ต้านกันอยู่ กำลังเราน้อยกว่าก็ไข้จับ ยันต์เข้าตัวหมดเมื่อไรก็เป็นอันว่าหายไข้" บางอย่างนั้นนอกเหตุเหนือผลจนต้องถามครูบาอาจารย์ท่านว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะว่าสังเกตตัวเองมาหลายครั้งว่า ทำไมรับยันต์แล้วต้องเป็นไข้ด้วย ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครมีจริตนิสัยดื้อด้านแบบกระผม/อาตมภาพ ก็น่าจะโดนในระดับเดียวกัน ก็คือไข้จับไปด้วย ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะญาติโยมหรืออาคันตุกะมา ใครที่รับผิดชอบหน้าที่ก็จัดการนำเข้าที่พักให้เรียบร้อย ในช่วงแรกก็คงต้องลงทะเบียนกันก่อน วันที่ ๒๒ อย่างไรก็ลงทะเบียนไม่ได้ เพราะว่าแห่กันมามืดฟ้ามัวดินขนาดนั้น ก็เป็นอันว่าวันนี้พรุ่งนี้ลงทะเบียนก่อนก็แล้วกัน ตอนเย็นวันที่ ๒๒ เลิกงานแล้วค่อยโกนหัวนาค แล้วหาคนเทศน์สอนนาคหลังทำวัตรค่ำด้วย วันที่ ๒๓ จะได้บวชหมู่เข้าพรรษา ส่วนท่านที่มาช้าก็ถือว่าเป็นความเฮง เพราะว่ากระผม/อาตมภาพไม่ว่างสักวัน รอไปบวชตอนลอยกระทงก็แล้วกัน..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2023 เมื่อ 03:20 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|