|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ขอโอกาสพระเถรานุเถระ น้องสามเณร และเจริญพรญาติโยมทุกท่าน วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ มีหลายเรื่องที่อยากจะพูด แต่ก็อาจจะเลยเวลาไปบ้าง
เรื่องสำคัญที่จะพูด ไม่ใช่เรื่องที่คนไทยติดเชื้อโควิด-๑๙ ทะลุวันละสองพันคนขึ้นไป ไม่ใช่คนไทยตายเพราะโควิด-๑๙ วันหนึ่งเป็นเลขสองหลัก นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะพูดถึงก็คือ "ดราม่า" ในวันสองวันนี้ มีคนทำขนมเป็นรูปพระเครื่อง แล้วก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย จะเกิดโทษหนัก อีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ทำออกมาแล้วก็กิน แล้วก็ขายตามปกติ ถ้าจะห้ามไม่ให้ทำขนมลักษณะอย่างนี้ก็ต้องไปห้ามไม่ให้สร้างพระเครื่องด้วย เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าชักจะไปกันใหญ่ Go so big...(หัวเราะ)... ที่ว่าไปกันใหญ่เพราะว่าทั้งสองฝ่ายไปกันคนละทาง หันหลังให้กันต่างคนต่างเดิน แล้วก็บอกว่าทางของตัวเองนั่นถูก ทุกท่านคิดว่าจะมีโอกาสถูกไหม ? มีครับ...คือถ้าเดินจนรอบโลกทางก็จะมาซ้อนกันเอง แต่คราวนี้กว่าจะถึงตรงนั้น พระพุทธศาสนาอาจจะไม่มีแล้วก็ได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2021 เมื่อ 12:41 |
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องของการทำขนมเป็นรูปพระเครื่อง ก็ไม่ต่างจากการที่ไปวาดรูปพระพุทธเจ้าแล้วมีพระพักตร์เป็นอุลตร้าแมน ก็คือมาในแนวเดียวกัน เพียงแต่ว่าถ้าเรื่องนี้จะพูดให้ชัด ต้องแบ่งกำลังใจคนออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งก็คือบุคคลที่มุ่งทางโลก ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินตามปกติ อีกฝ่ายหนึ่งคือพวกที่มุ่งทางธรรม ปฏิบัติแล้วก็หวังความดีความงามที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน พูดแค่นี้ส่วนใหญ่พวกเราก็จะเข้าใจแล้วว่า ที่เรื่องไปกันใหญ่เพราะว่าทั้งสองฝ่ายหันหลังให้กัน แล้วต่างคนต่างเดินไปคนละทาง ถ้าในความเป็นปุถุชน แปลชัด ๆ ว่าบุคคลที่หนาด้วยกิเลส คนทั้งหลายเหล่านี้จิตใจหยาบ ไม่รับรู้อะไรที่เป็นบาปบุญคุณโทษในส่วนที่ละเอียด ย่อมเห็นว่าไม่มีโทษสามารถที่จะทำได้ แต่บุคคลอีกประเภทหนึ่ง คือกัลยาณชน ผู้หวังความหลุดพ้น พยายามสำรวจทุกวิถีทางว่ามีอะไรที่จะทำให้ทางเดินของตนเองมีอุปสรรค ก็จะเห็นว่าเป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย ขาดศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ทำสิ่งนี้แล้วจะเป็นโทษ ทำให้ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ตามที่ตนเองหวังได้ แล้วหนทางที่จะไปบรรจบกันก็ต่อเมื่อต่างคนต่างเดิน จนกระทั่งได้คนละครึ่งโลก แล้วก็เริ่มเดินเหยียบรอยของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เรารอขนาดนั้นไม่ได้.... ที่รอไม่ได้เพราะว่าพวกเราในฐานะพุทธบริษัททั้ง ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หน้าที่หลัก ๆ เลยก็คือปกป้องพระพุทธศาสนา จะไปรอให้เขาเถียงกันจนเห็นดำเห็นแดงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าต่างคนต่างเดินไปคนละทาง แล้วก็บอกว่าสิ่งที่ตนเองเดินไปแล้วพบนั้นถูกต้อง ก็กลายเป็นเชื้อโรคร้ายก็คือสนิมที่กัดกินเหล็ก ท้ายที่สุดพระพุทธศาสนาก็กลายเป็นเหล็กที่ผุกร่อน...หมดสภาพ...พัง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2021 เมื่อ 20:22 |
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ทางที่ดีที่สุดคืออะไร ? คือการรู้จักฟังเสียงผู้อื่น แล้วใช้ปัญญาพินิจพิจารณาแก้ไข ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ เป็นการตักเตือนที่หวังประโยชน์อย่างแท้จริง เขาจะบอกวิธีแก้ไขมาด้วย ไม่ใช่ประเภทด่าแล้วจบ ประเภทนั้นนี่อาตมาถือว่าตีหัวเข้าบ้าน มีหน้าที่ด่าอย่างเดียว แล้วไม่บอกเขาว่าที่ทำแล้วถูกนั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..บุคคลเช่นนั้นไม่น่าจะถือว่าเป็นผู้วิจารณ์ที่ดีได้
ดังนั้น...เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างฟัง ฝ่ายปุถุชนฟังแล้วว่าสิ่งนี้นักปราชญ์ไม่สรรเสริญ ผู้รู้อย่างแท้จริงไม่เห็นด้วย จะก่อให้เกิดทุกข์โทษในภายภาคหน้า ก็พยายามปรับปรุงตัวเอง อันดับแรกก็ทำให้น้อยลง หลังจากนั้นก็ดึงตัวเองให้ห่างออกมา ท้ายที่สุดก็เลิกทำ ฝ่ายที่หวังมรรคหวังผลไม่ใช่ไปด่าเขา แต่คุณต้องเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำอย่างไรจะช่วยให้เขาพ้นจากกองทุกข์ตรงนั้นได้ แนะนำด้วยความหวังดีปรารถนาดี หวังในความเจริญของเขา ก็ต้องมีจิตที่ประกอบไปด้วยเมตตากรุณา ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างเป็นแบบนี้ ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น ศาสนาของเราก็จะมั่นคงอยู่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นก็จะได้รับการแก้ไข
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2021 เมื่อ 12:46 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เพียงแต่น่าเสียดายว่าประเทศของเราปัจจุบันนี้มีแต่คนรู้มาก คำว่า รู้มาก ในที่นี้คือ คนที่รู้มีมาก แต่คนที่รู้จริงมีน้อย แล้วแต่ละอย่างทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ ก็ไม่ได้หวังประโยชน์ต่อผู้อื่น โดยเฉพาะไม่ได้หวังประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา มีทั้งวิจารณ์เอาสนุก มีทั้งวิจารณ์เหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้ตนเองเด่นขึ้นมา มีทั้งประเภททำตัวปล่อยวางแต่ความจริงแล้วแบกไว้เต็มที่ แต่สรุปลงไปก็คือ ตัวกูของกูทั้งนั้น..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ปัญหาต่าง ๆ จึงประเดประดังกันมา เพราะว่าไม่ได้ติเพื่อก่อ ถ้าเป็นผมหรืออาตมาก็ใช้คำว่า หวังดีแต่ประสงค์ร้าย คนที่ติเพื่อก่อ นอกจากประกอบด้วยเมตตากรุณาแล้ว ยังต้องมีปัญญาด้วย ชี้ทางออกบอกทางถูกให้กับเขา คนที่รับไปก็พยายาม พยายามอย่างไร ? เตือนตัวเองว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำกาย วาจา ใจ ทั้งหลายเหล่านั้นให้ได้ มองตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เห็นตัวเองให้ชัด ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะพัฒนากาย วาจา ใจของเราให้ดีขึ้นมาได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2021 เมื่อ 12:47 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
จากเรื่องนั้นก็ขอมาต่อเรื่องที่ว่า วันนี้สามเณรเดินแถวเป็นรูปเป็นร่างหน่อย แต่เป็นอะไรที่ผมรู้สึกเบื่อหน่ายมาก เพราะอะไร ? เพราะว่าตลอดระยะเวลาทั้งที่บวชและไม่ได้บวช ๔๐ กว่าปีที่ผ่านมา ผมเจอแต่คนประเภทนี้ ก็คือจะด่าก็ต้องออกชื่อกันตรง ๆ ถึงจะรู้ตัว...! ทำไมทุกคนไม่คิดว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์พูดมาเรามีโอกาสผิด เราจะต้องแก้ไข พูดอ้อม ๆ ก็แล้ว ให้นัยก็แล้ว ด่าคนอื่นเป็นตัวอย่างก็แล้ว ไม่เคยคิดที่จะแก้ ต้องออกชื่อว่ามึงนั่นแหละ..! ถึงจะแก้ไข ถ้าไม่บอกว่าไอ้ควายตัวนี้ ไอ้หมาตัวโน้น ไอ้ไก่ตัวนั้น ก็ไม่แก้ แล้วถ้าอย่างนั้นความเจริญจะมีได้อย่างไร ?
สมัยที่อยู่วัดท่าซุงก็เป็นครับ วันหนึ่งหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า "วันนี้พระท่านมาบอกว่า พระสี่รูปของคุณจิตใจดำมืดมาก ถ้าไม่ปรับปรุงแก้ไข โอกาสที่จะลงอเวจีมีสูงมาก" ท่านบอกว่าจะไม่ออกชื่อว่าเป็นใคร ให้ไปพิจารณากันเอาเอง ผมอยากจะบอกตอนนี้ว่า ผมมีความรู้สึกเหมือนกับหลวงพ่อตอนนั้น ก็คือ อยากให้ทุกคนพิจารณาว่านั่นคือตัวเอง แล้วพยายามปรับปรุงแก้ไข แต่ปรากฏว่าพอออกจากโบสถ์ลับหลังหลวงพ่อ ทุกคนก็มากระซิบกระซาบกันว่า "ใครวะ...?" ผมฟังแล้วทนไม่ได้ครับ ผมก็เลยบอกว่า "ผมกับท่านชาติชายรับไปแล้วสอง เหลืออีกสองไปแบ่งกันเองก็แล้วกัน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2021 เมื่อ 12:50 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
นี่คือสิ่งที่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราบกพร่อง เพราะเราไปมองออก ไม่เคยมองเข้า ที่เรามองออกก็คือไปจับผิดคนอื่น ไม่ได้กล่าวโทษโจทย์ตนเอง แปลว่าผิดหลักธรรมมาตั้งแต่ต้นแล้ว โอกาสที่เราจะเจริญก้าวหน้าจึงไม่มี
ดังนั้น...วันนี้ที่กล่าวถึงในเรื่องของการทำขนมเป็นรูปพระเครื่องก็ดี จนกระทั่งเรื่องของการปรับปรุงแก้ไข แล้วก็วกกลับมาในเรื่องภายในวัดท่าขนุนของเรา ญาติโยมที่ฟังอยู่ก็ไม่ใช่คิดว่านี่เป็นเรื่องของพระ แต่ต้องเข้าใจเลยว่านี่คือเรื่องของเรา ส่วนไหนที่ใกล้เคียงกันเราจะต้องปรับปรุง เราจะต้องแก้ไข ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสที่จะดีขึ้นก็มีน้อยมาก แล้วก็จะแบกเอาตัวทิฐิมานะ ตัวกูของกูมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่นานขึ้น ก็คือกูอายุมากกว่า กูพรรษามากกว่า กูปฏิบัติธรรมมานานกว่า อะไรที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "กว่า" นั่นระยำทั้งนั้น...! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต้องบอกว่าพวกเราเองบกพร่อง ก็คือบกพร่องในการประพฤติปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม ไม่สามารถที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ ไม่สมควรเป็นพุทธบริษัททั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงไว้วางใจแล้วฝากพระพุทธศาสนาเอาไว้ จึงเป็นเรื่องที่เตือนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือฆราวาสก็ตาม หน้าที่ของเราก็คือปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลามีใครมากล่าวตู่พระพุทธศาสนา มากล่าวตู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะต้องแก้ไขได้ แก้ต่างได้ ยืนยันคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยืนยันคุณความดีของพระพุทธศาสนาได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราเองก็คงไม่ต่างจากหนอนจากแมลง ที่คอยบ่อนเบียนชอนไชกินต้นไม้คือพระพุทธศาสนา อาศัยเลี้ยงชีวิตไปวัน ๆ หนึ่ง จนกว่าต้นไม้จะล้มตายไป แล้วเราก็พลอยตายไปด้วย..! หวังว่าคงจะได้แนวคิดกันพอสมควรแก่เหตุในวันนี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2021 เมื่อ 12:53 |
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|